แม่ค้าออนไลน์

ผู้แต่ง : ลออ


แม่ค้าออนไลน์           

 
           เสียงคลิกเมาส์และแป้นพิมพ์ที่ดังสลับกันติก ติก ระรัวจากมือผอมบางของสาววัยมหา’ลัย ที่กำลังเร่งรีบตอบข้อความที่เข้ามาอย่างมากมายในอินบล็อคทั้งเฟสบุ๊กและทวิตเตอร์ สองมือจดรายการสินค้าที่สั่ง สายตาก็คอยมองจอไปด้วยก้มสลับไปมาอยู่อย่างนั้น จนคนที่นั่งแพคของมองดูแล้วก็เวียนหัวแทน
            “พี่จูน...เมย์แพคของเสร็จแล้วนะ” เมย์สาวผิวเข้มวัย 19 ปี ที่ตระโกนบอกพี่สาวของตนเองที่กำลังนั่งมองจอโน้ตบุ๊กอย่างจดจ่อ แต่เธอก็ทำเพียงแค่หันหน้ามาส่งยิ้มให้น้อย ๆ ก่อนจะหันกลับไปสนใจข้อความมากมายจากลูกค้าที่เข้ามาสั่งของเพราะเธอและพี่สาวอย่าง “จูน” พึ่งเปิดสั่งครีมยี่ห้อดังจากเกาหลีไปเมื่อคืนวันนี้เลยมีออร์เดอร์เข้ามาเยอะมากเป็นพิเศษ
            สาวในตาคมตามแบบฉบับของคนใต้กวาดสายตามองไปรอบบ้านเช่าหลังเล็ก ๆ มันมีพื้นที่มากพอสำหรับแพคของ มองดูกล่องพัสดุมากมายที่ต้องนำไปส่ง มองดูความสุขของพี่สาวที่ได้รอยยิ้มกลับคืนมาหลังจากมันแห้งเหือดไปนาน มองดูความสำเร็จเล็กๆ ที่ตนและพี่สาวสามารถก้าวข้ามมันมาได้ ถึงจะเหนื่อย ท้อ และเสียน้ำตามามากมายเท่าไหร่กับมัน แต่แล้วเธอกับพี่สาวก็ฝ่าฟันจนทุกอย่างลงตัวและผ่านไปได้ด้วยดี
            ทุกอย่างที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรง ทุกอย่างที่เกิดจากความพยายามและอดทน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันได้คืนความสุขและชีวิตให้กับจูนพี่สาวของเธอ


1 ปีที่แล้ว
            เสียงเอะอะโวยวายภายในห้องแลคเชอร์ของนักศึกษาปีหนึ่งดังไปทั่วบริเวณห้อง เพราะวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกในช่วงภาคเรียนที่สองแล้วของมหาวิทยาลัยที่สาวใต้ผิวเข้มอย่างจูนสอบติด วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันแรกที่ทำให้เธอรู้สึกมีความสุขกับการเป็นนักศึกามหา’ลัยอย่างเต็มตัวสักทีถึงแม้มันจะผ่านไปได้แค่เพียงหนึ่งเทอมก็ตามเธอสามารถอยู่ที่ได้อย่างดี
            “ไงแก...”เสียงทักทายจากเพื่อนสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม ที่กำลังหย่อนก้นนั่งลงเก้าอี้ตัวข้างๆกัน เรียกให้จูนให้ไปมองและส่งยิ้มหวานแทนการทักทาย
            “วันแรกก็คึกครื้นแบบนี้แหละ...พอเรียนไปสักเดือน สองเดือนเดี๋ยวก็หายจ๋อยกันหมด” มะขามเพื่อนสาวที่บ่นกระปอดกระแปดถึงเพื่อน ๆในห้องที่ดูจะตื่นเต้นกับการเปิดเรียนในวันนี้มากเป็นพิเศษ
            “ธรรมดาน่า..” จูนว่าก่อนจะปลายตามองไปยังเพื่อน ๆในห้องที่วิ่งวุ่น ทักทายกันอย่างสนุกสนานเสมือนคนที่ได้พบเจอกันมาเนินนานจนกระทั่งอาจารย์เข้าถึงได้เงียบสงบและเริ่มเรียนกัน


            จูนเดินเอื่อย ๆ ขึ้นบันไดหอมาอย่างเชื้องช้าเพราะวันนี้เธอเหนื่อยมากกับการเดินทางที่แสนยาวนานของจราจรในกรุงเทพก่อนแนงสั่นสะเทือนจากกระเป๋าจะสั่นจนเธอรู้สึกได้
            “ฮัลโหล...แม่” น้ำเสียงเนือยๆ ที่ตอบกลับหลังกดรับสายกับมือที่กำลังควานหาไขกุญแจห้อง
            (เป็นยังไงบ้างจูน..อยู่ที่นู้นสบายดีหรือเปล่า) น้ำเสียงสำเนียงใต้ที่ฟังแล้วอบอุ่นหัวใจจากสายที่เรียกเข้ามาในตอนหัวค่ำหลังจากที่จูนกลับจากมหาวิทยาลัย เป็นสายที่มาจากผู้เป็นแม่ที่โทรทางไกลมาจากสงขลา
            “ก็ดีแม่...อยู่ได้”จูนว่ากลับไปก่อนจะวางกระเป๋าลงบนโต๊ะหนังสือ ภายในห้องขนาดเล็กที่ไม่ไกลจากมหา’ลัยมากเท่าไหร่ เธอสอบติดเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ได้เทอมหนึ่งแล้วและมันก็ดี ๆกับเธออย่างหนึ่งที่เธอควรกลัวมันคือเข้าร่วมกับสังคมในมหา’ลัย สังคมที่อยู่นั้นไม่เป็นอย่างที่ครอบครัวเธอเป็นห่วงหรือกังวลอย่างใด เพื่อนที่คบหานั้นไม่ได้ใช้หรูหราหรืออู้ฟู้ท่าไหร่นัก
 เธอเลยไม่จำเป็นต้องทำตัวให้ทัดเทียมกับผู้อื่นหรือต้องอายสายตาใครต่อใครเวลาหยิบเครื่องมือสื่อสารเครื่องเก่า กับสะพายกระเป๋าราคาไม่กี่ตังค์ไปไหนมาไหนในมหา’ลัย
            (อื้ม..สบายก็ดีแล้วกินข้าวกินปลาหรือยังล่ะ) เสียงผู้เป็นเอ่ยถามอย่างห่วงใยกับลูกสาวคนโตที่ต้องมาเรียนไกลบ้าน และอีกแค่หนึ่งปีลูกสาวคนเล็กก็ต้องไปเรียนไกลเหมือนพี่เช่นกัน เธอเองก็ลำบากใจและร็สึกไม่สบายใจทุกครั้งทีมองหน้าลูกทั้งสองจากรูปภาพ
            ถึงฐานะทางบ้านจะไม่ได้ยากจนถึงขั้นไม่มีกินแต่ช่วงนี้เป็นหน้าฝนน้ำท่วมบ่อย ต้นยางจมน้ำเน่าตายไปหลายสิบต้น ราคายางเองก็ลดลงเงินที่ใช้หมุนเวียนในสวนยางก็แทบไม่เพียงพอ
            “กินแล้วค่ะแม่..แล้วที่บ้านยังไงบ้างบ้านเราโดนน้ำท้วมมากไหม” น้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใยของจูนทำให้ปลายที่ฟังถึงกับพูดไม่ออกมันไม่ใช่แค่ท้วมมาก แต่มันท้วมจนไม่สามารถที่จะกรีดยางได้เลยต่างหาก
            (ก็ไม่เท่าไหร่หรอก...ยังพอกรีดยางได้อยู่น่ะ) คำพูดปดจากผู้แม่ ที่บอกไป พร้อมกับสีหน้าที่สลดลงไม่ยากต้องให้ลูกเครียดกับเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นแต่รายได้กับลดลงและไม่มีเลยในช่วงนี้
            “คิดว่าบ้านเราจะโดนเยอะซะแล้ว..แม่แค่นี้ก่อนนะหนูไปอาบน้ำก่อนเหนื่อยมากเลยวันนี้” เธอว่าด้วยเสียงออดอ้อนผู้เป็นแม่เหมือนอย่างเคยที่เวลาเหนื่อยกับการเรียนหรือทำกิจกรรมก็จะทำแบบเป็นประจำเพื่อเรียกกำลังใจและกำลังกายกับตัวเอง
            (ไป...ไป ไปอาบน้ำเถอะเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนเมย์มันก็เป็นอยู่ด้วยล่ะเดี๋ยวก็ไม่เหงากันล่ะ..มีแต่ผู้เฒ่าสองคนที่นี้ล่ะที่จะเหงาแทน) เธอพูดกับแม่อีกนิดหน่อยก่อนจะวางสายและไปอาบน้ำอาบท่าอย่างที่บอก
 
       

          หลังชำระล้างร่างกายเรียบร้อยจูนก็มานั่งโน้ตบุ๊คเพื่อเข้าไปท่องโลกโชเชียลตามปกติที่เธอเข้าอยุ่ทุก ๆวัน มือก็เลื่อนอ่านข้อความมากมายที่สมาชิกในเฟสบุ๊ก หรือกระทั่งทิวตเตอร์ที่เธอใช้เป็นประจำมีข้อความมากมายเด้งขึ้นมาให้อ่าน และเธอก็ยังเห็นร้านค้ามากมายที่ปกอยู่ในตามชีเชียลมีเดียแบบนี้ทั้งเสื้อผ้า เครื่องสำอาง หรือของออฟฟิตเชียลมากมายของต่างประเทศที่มีคนเปิดขายและจัดจำหน่ายสินค้าพวกนี้
            “ถ้าเราลองขายของแบบนี้บ้างจะไงนะ...เป็นแม่ค้าออนไลน์แบบนี้จะรายได้ดีไหมนะ” เสียงพูดกับตัวเองดังขึ้นและภาพในหัวก็ปรากกฏขึ้นตามว่าถ้าหากได้ลองเป็นแม่ค้าออนไลน์มันจะเป็นอย่างไร และมันคงดีถ้าได้ลองมีรายได้เล็ก ๆ จากการที่ยังเป็นนักศึกษาและยังช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับพ่อแม่
แต่สำหรับจูนในตอนนี้แล้วมันก็ยังคงเป็นเพียงแค่ความคิดที่อยากจะลองทำเท่านั้นเพราะเธอในตอนนี้ก้ยังไม่เดือนร้อนอะไรมากกับค่าใช้จ่าย
            “หลีกหน่อยแก!!” เสียยงเอะอะโวยวายมาจากด้านหลังห้องเรียนผ่านไปแล้วเกือบครึ่งเทอมหลังที่จูนได้เข้ามาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ เธอมองไปยังเสียงโวยวายของเพื่อนคนหนึ่งในห้องที่หอบกล่องพัสดุมากมายมาเต็มอก ทั้งยังมีอีกมากในถุงหิ้วใบใหญ่
            “ก้อย..มันขายอะไรเหรอมะขาม” จูนหันไปถามมะขามที่นั่งอยู่ข้างกันกำลังสนใจภาพศิลปินสุดหล่อในโทรศัพท์ของตัวเองก่อนจะละสายตามามองจูน
           “อิก้อยอ่ะเหรอ..เห็นว่าพรีของจากเกาหลีและก็ญี่ปุ่นอ่ะ..ฉันยังเคยสั่งลิปฯกับมันเลยนะ..นี่ไง”เธอว่าก่อนจะควานหาลิปยี่ห้อหนึ่งขึ้นมาให้จูนดู
           “แล้วก้อยมันสั่งยังไงอะ..ไปซื้อที่นั่นเลยหรอหรือสั่งในเว็ป” จูนถามขึ้นด้วยความสงสัยต่อการซื้อสินค้าจากต่างประเทศของก้อย เพราะเธอคิดว่ามันต้องแพงมากแน่ ๆและการสั่งมันคงต้องยุ่งยากน่าดู
           “ฉันไม่รู้อะแก...ลองถามมันดูดิ...ฉันจะดูอปป้าฉันต่อเนี่ยแกนี้ขัดจริงๆ” มะขามว่าขึ้นอย่างขัดใจก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้กับอปป้าในจอของตัวเองต่อ จูนเลยได้แต่ถอนหายใจแบบปลงสุด ๆกับเพื่อนของตัวเองแต่ในหัวก็ยังคิดไม่ตกว่าการสั่งของจากต่างประเทศและการขายของออนไลน์แบบที่ก้อยทำนั้น มันจะขายออกเหรอ
            จนเมื่อชั่วโมงแห่งการเข้าเรียนก็ถึถงและจูนได้มีโอกาสทำงานร่วมกับก้อยความสงสัยที่มันติดค้างในใจเมื่อต้นชั่วโมงเลยทำให้เธกล้าที่เอ่ยถามออก ไป
            “ก้อยแกขายอะไรเหรอ” จูนหันไปถามก้อยที่นั่งข้างไกลเป็นวงกลมเพราะในตอนนี้โต๊ะเลคเชอร์แต่ละคนถูกเลื่อนเข้าหากันและกำลังฟังการอภิปรายย่อยจากเพื่อนกลุ่มอื่นจากงานที่อาจารย์สั่งให้ทำในชั่วโมงเรียน
            “อ้อ..ขายพวกเครื่องสำอางอ่ะ..ทำไมเหรอ” ก้อยตอบกลับพลางมองจูนด้วยสายตาที่แปลกใจอยุ๋หน่อยเพราะตัวเธอเองก็ไม่สนิทกับเพื่อนอย่างจูนเท่าไหร่
           “ก็เปล่า..แค่สงสัยว่าเวลาสั่งของทำยังไง” จูนว่ากลับก่อนด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรเพื่อไม่ให้เกิดความรำคาญใจกับเพื่อนในการที่เธอมานั่งสอบถามเหมือนกำลังสอบปากคำพวกผู้ร้ายแบบนั้น
           “บางครั้ก็กดในเว็ปมันเลยอ่า..แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ฝากคนรู้จักที่อยู่ที่เกาหลีหรือไม่ก็ญี่ปุ่นหาของให้แล้วก็ให้เข้าส่งมาฉันก็ให้ค่าแรงเขาแค่ก็แค่นั้น” เธอว่าพร้อมยักไหล่แบบขอไปทีให้กับจูนที่ดูเหมือนกำลังสอบส่วนเหมือนกับบว่าเธอขายของหนีภาษีอย่างนั้น
            “แล้วแกไม่กลัวโดนโกงเหรอ”
           “ไม่อ่ะ..คิดอะไรมากแกถ้าอยากจะขายของแบบนี้มันต้องกล้าได้กล้าเสียสิมั่วแต่กลัวแล้วจะได้ตังค์ใช้ไหมล่ะยะ” ก้อยว่าจบก็หันกลับไปสนใจเพื่อนที่พูดอภิปรายอยู่หน้าห้องเพื่อตัดความรำคาญของจูนที่เอาแต่ถามเรื่องส่วนตัวอย่างการขายของนี่
            ขณะที่จูนกำลังจะขึ้นรถเมลล์เพื่อตรงกลับหอเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ราคาถูกก็ดังขึ้น เธอหยุดรับนิดนึงก่อนจะก้าวขาขึ้นไปยังรถเมลล์สภาพซอมซ่อมองหาที่นั่งก่อนจะนั่งลงไปและกดรับสายจากน้องสาว
            “ฮัลโหลว่าไงเมย์” จูนว่าพลางมือก็ยืนส่งเหรียญเป็นค่าโดนสารไปอย่างไม่ใส่ใจหูก้คอยฟังเสียงพูดจากปลายสาย
            (ฮัลโหลพี่จูน...เป็นไงบ้าง) เสียงตอบที่ดูจะดังผะแผ่วอย่างนึกแปลกในจูนเธอขมวดคิ้วมุ่น
           “มีอะไรหรือเปล่าทำไม..น้ำเสียงฟังดูไม่ดีเลยเกิดอะไรขึ้น” จูนตอบกลับอย่างร้อนใจก่อนจะปรับท่านั่งให้ดีเสียก่อนจะตั้งใจฟังน้องสาวพูด
           (อาทิตย์ที่แล้วเห็นแม่โทรมาหาพี่จูน)
          “อ่า..ใช่ทำไมมีอะไรหรือเปล่า” จุนเอ่ยถามอย่างแปลกใจกับน้องสาวอีกครั้ง วันนี้เหมือนมันมีอะไรแปลกแบบที่เธอเองก็ยังไม่เข้าใจแต่กลับรู้สึกได้แบบนั้น
           (ก็..แม่เขาโกหกพี่จูนน่ะ..อันที่จริงบ้านเราไม่เหลืออะไรเลยสวนยางจมน้ำหมดแผ่นยางก็ลอยน้ำหายไปหมดมันไม่เหลืออะไรให้ขายเลยน่ะสิถึงขายได้ก็ไม่รู้จะมีคนชื้อไหม...ตอนนี้บ้านเราเงินเหลือน้อยแล้วนะพี่จูน..เมย์ยังคิดเลยว่าเมย์อาจจะหยุดเรียนไปก่อนสักปีเพราะอีกไม่กี่เดือนก็ต้องเข้ามหา’ลัยแล้ว..เมย์ว่าจะรอให้อะไรมันลงตัวก่อนแล้วค่อยไปสอบใหม่ปีนี้ก็ปล่อยไปก่อน..โควต้าที่เมย์ติดก่อนคงต้องสละสิทธิ์) คำบอกเล่าจากปากน้องสาวที่โทรมาหาจูนในวันนี้มันเหมือนฟ้าดินกำลังจะถล่มลงให้ได้อนาคตของน้อง ความเป็นอยู่ของครอบครัวที่ตอนนี้กำลังแย่เพราะภัยพิบัติ เธอควรจะทำยังดีเพราะเมย์น้องสาวของเธอเองทั้งเรียนเก่งและมีความสามารถสอบติดโควต้าได้ในมหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดังได้และมันกำลังจะถูกสละสิทธิ์ไปเพราะความไม่พร้อมทางสถานะการเงินนี้เหรอ
           “ไม่ได้นะเมย์...แกจะสละสิทธิ์ไม่ได้นะแกอุตส่าห์ตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้าที่นี่นะอย่าทิ้งไปง่าย ๆ อย่างนี้สิ” จูนว่าอย่างกังวลใจเพราะเธอเห็นถึงความพยายามของน้องมาตลอดช่วงที่เตรียมตัวสอบเข้าที่นี่เธอไม่อยากให้มันสูญเปล่าไป
           (แต่ถ้าเมย์เรียนปีนี้เลย...ค่าใช้จ่ายเราจะเพิ่มขึ้นนะค่าเทอมค่ากินค่าอะไรใหม่ของนักศึกษาเข้าใหม่ ไหนจะค่าปรับปรุงสวนยางที่เสียหายนี้อีกเงินเก็บที่บ้านเราก็ไม่ได้เยอะนะเอามันมาลงทุนก่อนดีกว่าเมย์เรื่องเรียนเอาไว้ที่หลังก็ได้)
           หลังจากที่จูนได้ฟังคำบอกกล่าวจากน้องสาวและพึ่งวางสายไปเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วยิ่งทำให้เครียดและรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาในทันที เหนื่อย    เพราะมันคืออนาคตของบ้านและอนาคตของน้องเธอทั้งสองมันสำคัญทั้งคู่ เธอควรช่วยหาทางออกสิ่งเดี่ยวจะทำได้ในตอนนี้คือช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของเธอลง หรือไม่เธอก็ควรหางานทำเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตัวเอง

           แล้วคนอย่างเธอจะทำอะไรดีล่ะ?

         จูนคิดทบทวนถึงเรื่องการหารายได้เพิ่มให้กับตัวเองมาเกือบอาทิตย์กว่าได้ เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับครอบครัวหลังจากวันนั้นสองวันที่เธอโทรกลับไปหาที่บ้านอีกครั้งถามแม่เธอไปตรงๆ ถึงสถานการณ์ทางบ้านว่าเป็นยังไงและเหมือนลมจะจับเธอในทันทีเพราะความสะเพร่าของเธอเองที่ไม่ได้สนใจข่าวจากทีวีมากนักเอาแต่เรียนกลับมาหอก็เหนื่อยล้า สนใจแต่โลกโซเชียลมากจนเกินไปจนไม่รู้เลยว่าบ้านเธอน้ำท้วมไปมากแค่ไหนความเสียหายของสวนยางแย่ไม่แพ้เหมือนกันไม่ใช่แค่ของเธอแต่เพื่อนบ้านเองก็เช่นกันถึงจะมี ข่าวตามโซเชียลที่เธอพอจะเห็นบ้างว่าน้ำมันท้วมมากแค่ไหนแต่เธอก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นบ้านเธอที่อยู่ในกลุ่มที่โดนหนักเอาการ
         “หน้าแกดูเครียดๆ นะช่วงนี้มีไรบอกฉันได้นะ”มะขามเอ่ยถามเพื่อนข้างกายที่เข้ามานั่งเรียนด้วยกันในห้องแล้วก็เอาแต่เงียบนั่งหน้าเครียดจนผิดวิสัย
         “อืม..ก็นิดหน่อยน่ะที่บ้านกำลังมีปัญหา”จูนว่าอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะเลคเชอร์
         “บ้านแก่อยู่ในพื้นที่น้ำท้วมด้วยนิ..เมื่อวานฉันดูข่าวกับอาม่าเห็นท้วมกันยันหลังคาบ้านเลยที่บ้านแกโอเคนะ” มะขามเอ่ยถามด้วยความห่วงใยเพื่อนสาวที่มาเรียนไกลและคงจะมีปัญหากลุ้มใจไม่น้อย
         “อื้ม..บ้านฉันท้วมพอกับที่แกดูในข่าวแหละ..ฉันว่าจะหางานทำช่วยที่บ้านแต่ไปสมัครมาแล้วไม่รับเลยสักที่นี่สิเครียด!!” จูนว่าก่อนจะหายใจทิ้งออกมายาวๆ ต่อความเพียรพยายามหางานพาร์ททามทำเธอสมัครมาแล้วหลายที่แต่ก็เต็มหมดส่วนใหญ่แล้วจะรับแต่ทำประจำเธอเลยหมดสิทธ์ในงานนั้น ๆ ไปโดนปริยาย
         “ลองขายของแบบก้อยมันดูไหมล่ะ..ไม่ต้องไปสมัครกับใครด้วยใช้เงินตัวเองลงทุนไม่ต้องเข้างานเย็นๆ เลิกค่ำมืดด้วยขายของได้ตลอดเวลา” จูนเด้งตัวขึ้นมาทันทีหลังจากฟังคำแนะนำจากเพื่อนสาวร่างท้วมที่เสนอแนวคิดนี้ให้กับเธอ
        “จริงด้วยสิ...แต่ฉันจะขายอะไรดีอ่ะ” จูนกลับมาคิดไม่ตกอีกครั้ง การจะขายของมันก็ง่ายอยู่หรอกถ้าหากตั้งร้านขาย แต่ว่าจะขายอะไรล่ะ? ถ้าขายอาหารทานเล่นทั่วไปเธอคงไม่มีเวลามานั่งเตรียมอุปกรณ์เตรียมซื้อของหรือหาทีทางในการขาย เสียค่าเช่าทีค่าเดินทางอีกหากขายไม่ได้เลย ก็เสียเงินไปเปล่าประโยชน์
         “ก็ขายของพวกพรีออร์เดอร์จากเกาหลี ญี่ปุ่น อเมริกาเครื่องสำอาง เสื้ออผ้าแบบก้อยมันอ่ะ ขายออนไลน์แบบมันเอาสิแกเดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็ซื้อของออนไลน์กันทั้งนั้น แม่ค้าที่ขายพวกนี้เข้าก็ขายแบบนี้กันทั้งนั้นขายดีกว่าการไปตั้งร้านซะอีก” มะขามเสนอแนวคิดให้กับจูนอีกครั้งเป็นทางเลือกให้เธอได้ตัดสินใจว่าจะเอายังไงถ้าหากเลือกจะมาทางนี้
         “หรือแกจะขายครีมเน็ตก็ได้นะ...แต่ก็เลือก ๆหน่อยล่ะกันบางยี่ห้อใช่ว่าจะดีคนชื้อไปใช้หน้าพังมาโวยกับแกก็ลำบากไปอีก” มะขามว่าขึ้นก่อนจะเลื่อนโทรศัพท์ที่เปิดหน้าร้านขายเครื่องสำอางในแอพทวิตเตอร์ให้กับจูนดู
        “เนี่ย..แอคเคาท์ก้อยมัน มันขายในนี้เหมือนจะขายง่ายกว่าในเฟสไอจี..มันคุยง่ายดูของง่ายกว่าในนี้คนขายของเยอะจะตายไม่ต่างจากพวกเฟสฯ ไอจีหรอกแกลองไปปรึกษาก้อยมันดูสิ”
        ความคิดมากมายเกิดขึ้นกับจูนทันทีหลังจากได้รับคำแนะนำจากมะขามที่เชียวชาญในการซื้อของออนไลน์มากเป็นพิเศษมากกว่าเธอซะอีก  ธอแทบจะไม่เคยสั่งของจากร้านค้ามนอินเตอร์เลยสักครั้งเพราะกลัวจะโดนโกงเลยเลือกจะซื้อหาจากห้างสรรพสินไม่ก็เดินตลอดนัดเอาแทน ทนร้อนหน่อยเดียวเท่านั้น
        เสียงแจ้งเตือนจากเฟสบุ๊คตั้งขึ้นหลังจากที่จูนได้ส่งข้อความผ่านเฟสบุ๊คไปหาก้อยเพื่อสอบการสั่งสินค้าและการขายของ ก้อยแนะนำให้จูนไปสมัครทวิตเตอร์ซึ่งเธอเองก็มีมันอยู่แล้ว และก้อยยังแนะนำอีกว่าควรขายของที่ตอนนี้คนกำลังสนใจอย่างเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวของเกาหลีญี่ห้อหนึ่งที่ตอนนี้กำลังฮิต ถ้าหากจะขายพวกนั้นก้อยจะช่วยจัดการสั่งของให้ก่อนเพราะมีเพื่อนของพี่ที่ของช่วยซื้อของให้จากเกาหลีและญี่ปุ่นโดยตรงจะได้ไม่ต้องกดเว็บสั่งเพราะกว่าจะกดเว็บคงต้องงมภาษากันอีกนานและกว่าจะสมัครสมาชิกได้ก็ต้องใช้เบอร์โทรยืนยันซึ่งมันเสียเวลาและยุ่งยาก
           ถ้าอยากขายของได้เร็ว ๆ ทางเดียวคือให้คนที่เกาหลีหาของให้แล้วส่งมาไทยก็แค่นั้น ซึ่งจูนก็คิดไม่ต้องอีกครั้งกับการที่ต้องจ่ายเงินให้กับใครหนึ่งในจำนวนมากที่ได้รู้จักดีเพื่อให้เขาซื้อของมาให้ไม่รู้ว่าจะได้หรือว่าเกรงว่าจะเสี่ยงโดยโกงไหนจะคนชื้ออีกหากเอามาขายแล้วไม่มีคนชื้อไม่แย่กว่าเลยหรอแล้วของพวกนี้จะเอาไปไว้ไหน
         “ฉันควรทำไงดีเนี่ย..เงินในบัญชีก็มีแค่ไม่กี่พัน” จูนบ่นกับตัวเองก่อนจะดูเงินในสมุดบัญชีที่เธอเก็บมาตั้งแต่ก่อนเข้ามหา’ลัยในตอนทำงานพาร์ททามในร้านอาหารแถมบ้านกับเพื่อน ฌะอกำลังหนักใจกับปัญหาเล็ก ๆของตรงนี้ฟมันอาจจะถูกมองว่าไม่ใช้เรื่องที่ต้องมาคิดให้มากความแต่ใครจะรู้ได้ว่าถ้าหากกดโอนเงินให้ไปแล้วเงินมันจะหายไปเลยไหมหรือว่ามันจะกลับมาสร้างกำไรให้กับเธอ

          สองเดือนกว่าๆ แล้วที่จูนนั่งไม่ติดเพราะรายการสั่งที่มากจนเธอรับแทบไม่ทัน แค่วันเดียวเท่านั้นที่เธอคิดทบทวนก่อนจะกดโอนเงินไปกับเพื่อนของพี่ก้อยที่อยู่เกาหลีเพื่อซื้อเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ฮิตที่วัยรุ่นกำลังสนใจกันออยู่ หลังจากที่เธอโอนเงินไปและรอเวลาของมา เธอประกาศขายของผ่านทวิตเตอร์และมันน่าเหลือเชื่อสำหรับเธอมากมีคนสนใจเครื่องสำอางและ ผลิตภัณฑ์ที่เอประกาศ เธอใช้ทั้งหลักฐานบัตรประชาชน หลักฐานการส่งสินค้ามายังเพื่อให้ความเชื่อมั่นกับลุกค้าที่เข้ามาสั่งซื้อกับเธอเพื่อเป็นการยืนยันว่าเธอจะไม่โกงคนที่โอนเงินมาให้ และเธอเองก็ยินดีที่จะให้สิ่งเหล่านั้นกับพวกเขาเพราะตั้งใจมาขายของจริง ๆ ไม่ได้แม้แต่จะมาโกงแต่อย่างใด
         เธอทำคนเดียวอยู่เกือบสองเดือน รอสินค้าอาทิตย์ สองอาทิตย์กว่าแพคของและจัดส่งกำไรที่เอได้ถึงจะไม่มากนักแต่เดือนนั้นเธอไม่จำเป็นต้องให้ที่บ้านโอนมาให้ซึ่งเป็นที่แปลกใจมากเธอจึงเล่าให้ฟังเพื่อใหเพวกท่านสบายว่าเธอไม่ได้ทำไม่ดีเพื่อเอาเงินพวกนี้มาใช้จ่าย และถึงแม้มันจะสามารถช่วยเหลือเธอได้
         “ฮัลโหลก้อย..เออก้อยติดต่อพี่ฝ้ายได้ไหมอะ..ฉันโอนเงินค่าของที่สั่งไปแล้วเป็นอาทิตย์แล้วอ่าแต่พี่แกยังไม่ติดต่อกับมาเลยว่าของได้ไหมหรือส่งแล้ว” จูนเอ่ยถามปลายสายอย่างกังวลใจเพราะอาทิตย์กว่าแล้วที่เธอไม่สามารถติดต่อพี่ฝ้ายที่เป็นคนจัดหาสินค้าพวกนี้มาให้กับเธอ อาทิตว์กว่าที่พี่ฝ้ายหายเงียบไปจนเธอรู้สึกแปลกใจ
          (เออ..ว่าจะถามอยู่ติดต่อได้ไหมฉันว่าจะโทนไปสั่งให้ค่าของให้หน่อยเงียบหายไปเลยแกก็ติดต่อไม่ได้ใช่ไหม)
          “ใช่..เมื่ออาทิตย์ที่แล้วที่ฉันโอนค่าของที่จะสั่งให้พี่เขาไปจนตอนนี้ก็เกือยจะเข้าอาทิตย์ที่สองแล้วพี่เขายังไม่ติดต่อมาเลย”จูนว่ากลับไปก่อนจะวางกล่องพัสดุลังที่ยังไม่ได้บรรจุอะไรลงวางลงบนโต๊ะหนังสือที่เมื่อก่อนเคยเต็มไปด้วยชีทงานตอนนี้มันเต็มไปด้วยสมุดจดรายชื่อสินค้า กล่องพัสดุ เลขพัสดุที่รอการอัพเดตอีกมากมาย
          (พี่ฝ้ายแม่งเป็นอะไรหรือเปล่าวะเนี่ย..เดี๋ยวฉันลองถามพี่กรายก่อนนะแค่นี้นะ) ก้อยตัดสายทิ้งไปก่อนที่จูนจะเอ่ยอะไรต่อ ก่อนจะหันมาเช็คออร์เดอร์ที่เธอพึ่งเปิดพรีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวไปเมื่ออาทิตย์ก่อนพร้อมกับเครื่องสำอางแบรืนดังของเกาหลีมีคนสั่งเข้ามามากมายจนเธอรับแทบไม่ทัน ยอดเงินที่เข้ามาสั่งจองสินค้าเช่นกันเข้ามาเกือบทุกวัน และมันก็หายแล้วเกือบครึ่งเพราะพึ่งสั่งสินค้าลอตแรกไปกับพี่ฝ้ายเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
           จูนละความสนใจจากพี่ฝ้ายที่ขาดการติดต่อไปเพราะเธอคิดว่าอีกเดี๋ยยวก้อยก็คงติดต่อเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ก้อยชอบหายไปถึงแม้ครั้งก่อนจะหายไปสองสาววันหลังจากเธอโอนเงินให้ เพราะโดยปกติแล้วหลังจากโอนพี่ฝ้ายก็จะออกหาสินค้าให้เธอเลยทันทีและมันหาไม่ยากเลยสักนิด

           หนึ่งเดือนเต็มที่พี่ฝ้ายขาดการติดต่อไปกระทั่งก้อยหรือพี่กรายพี่สาวของก้อยที่เป็นเพื่อนกับพี่ฝ้ายก็ไม่สามารถติดต่อได้เลย จุนเริ่มเครียดอีกครั้งเพราะเธอไม่เคยรอสินค้าที่สั่งแบบนานเกินเดือน อย่างต่ำสองถึงสามอาทิตย์ก็มากพอแล้ว
          เธอไม่มีอะไรไปอัพเดตให้ลูกค้าดูเลยว่าตอนนี้ของที่ได้สั่งไปนั้นมันอยู่ตรงไหนแล้วหากเป็นอย่างเมื่อสองสามเดือนก่อนเธอยังสามารถอัพเดตให้ลูกค้าไห้ชื่นใจได้ว่าสินค้ากำลังมาถึงแต่นี้แค่หน้าตาของสินค้าเธอยังไม่เห็นแม้แต่เหงาหรือกระทั่งคนที่ไปหาซื้อของให้เธอ เธอก้ยังไม่เห็นเลยสักนิด ขาดการติดต่อทุกช่องทางไม่มีการอัพเดตใดใดทั้งสิ้น
           “แก...พี่ฝ้ายยังไม่ติดต่อมาเลยวะ” จูนหันหน้าไปหามะขามที่วันนี้มาเที่ยวเล่นที่ห้องพักเล็กๆ ของเธอที่ตอนนี้เต็มไปด้วยลังพัสดุที่กำลังของแพคแต่กลับไม่มีของให้แพค
           “ไม่ใช่โดนโกงหรอ..หายไปเงียบ ๆ แบบนี้อ่ะ” มะขามว่าขึ้นก่อนจะพาตัวเองไปยังเตียงนอนที่ที่สะอาดและว่างให้เธอได้นั่ง
           “ไม่หรอกมั้ง...พี่เขาก็ส่งของตลอดนะ”จูนว่าอย่างไม่เต็มเสียงและไร้ซึ่งความมั่นใจในคำพูดของเธอ เพราะตอนนี้เธอก็เริ่มหวั่นใจขึ้นมาแล้ว อย่างที่มะขามและเธอกำลังคิดอยุ่
          “ถ้าโดนโกงจะทำไง...ก็ต้องคืนเงิน..มีเงินพอจะคืนเขาไหมน่ะตั้งกี่แสน”มะขามว่าอย่างเหนื่อยใจเพราะเธอเองกู้รู้ว่าจูนกำลังทำอะไรเพราะมะขามก็เป็นหนึ่งในแรงงานในการช่วยเพื่อนแพคของยามว่างอยู่บ่อยครั้ง
          “นั่นสิ” น้ำตาจูนค่อยๆ ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวเพราะกำลังหมดหนทางแล้วถ้าหากโดนโกงจริงไม่มีปัญญาเอาเงินมาคืนคนที่สั่งเข้ามาแน่นอนไม่มีใช่น้อย ๆ เลยที่เธอไว้โอนเงินให้ไป
          “บ้านแกก็ลำบากด้วยไม่ใช่เหรอ..ลองติดต่อไปใหม่ไหม”มะขามเข้ามากอดปลอบเพื่อนตัวเองที่เริ่มร้องไห้โหอีกครั้งเพราะเธอดันเผลอพูดเรื่องครอบครัวของเพื่อนที่กำลังลำบากไม่แพ้กัน “ฉัน..ฉันโทรไปแล้วทั้งวันเลย..ไม่ติดไม่มีสัญญาณตอบรับเลยไลน์หรือทวิตฯพี่เขาก็บล็อคฉันไปแล้ว” จูนว่าก่อนจะปล่อยโหอีกครั้งใส่เพื่อนเพราะเตรียมใจไว้แล้วว่าสิ่งที่เธอคิดและสิ่งที่มะขามพูดมันคือเรื่องจริงก่อนที่มะขามจะมาหาเธอ เธอพยายามแล้ว ก้อยเองก็ไม่ต่างที่ช่วยติดต่อแต่ก็ไม่ติดแต่ก้อยโชคดีที่ยังไม่ได้สั่งอะไรไป
         “ฉิบหายแล้ว...จูนแกจะทำไงเนี่ย”สีหน้าตกใจของมะขาปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัดถึงสิ่งที่จูนบอกไป เพราะไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองพูดจะเกิดจริง เพื่อนเธอกำลังโดนใครไม่รู้โกงเงินเกือบแสนไป
         “เพราะความสะเพร่าของฉันแท้ไปไว้ใจเขาให้หาซื้อของให้..เพราะฉันแท้ที่ไม่ของดูเอกสารตัวตนของพี่เขาเพราะฉันมันโง่เอง..ล้วฉันจะเอาเงินที่ไหนมาคืนพวกเขาล่ะ”น้ำเสียงร้องไห้ ตัดพ้อของจูนทำให้มะขามสงสารจับใจกับความลำบากที่ดูเหมือนจะยังไม่สิ้นสุดของเพื่อนเธอ อะไรมันจะโชคร้ายแบบนั้น “ฉันไม่รู้จะช่วยยังไงเลยว่ะจูน”
          ความเครียดเริ่มเกาะกินจูนเข้าไปทุกวันจากเดือนที่เธอไม่รับการติดต่อจาพี่ฝ้ายผ่านมาอีกสองอาทิตย์ที่เธอยังไม่ได้รับการติดต่อ เธอกำลังเครียดที่ถูกต่อว่าจากลุกค้าที่สั่งของเข้า เธอพยายามอธิบายทุกอย่างให้ทุกคนได้ฟังมันก็มีทั้งเข้าและไม่เข้าใจเธอ หาว่าเธอโกงเงินบางล่ะ หาว่าเธอเบี้ยวจะไม่ส่งของบ้างล่ะ มีหลายข้อความและหลายแจ้งเตือนที่เด้งเข้ามาทั้งโน้ตบุ๊คและโทรศัพท์เธอเองก็มีสายเรียกเข้ามาจากลูกค้าหลายสิบราย
          จนกระทั่งวันนี้ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าเธอเหมือนโจรเพราะมันมีภาพประกาศแจ้งเตือนผู้ใช้รายอื่นในทวิตเตอร์ว่าบุคคลในภาพที่ชื่อน.ส.ทิพาพรรณ แก้วรัตนา โกงเงินเกือบแสนจากการเปิดพรีออดเดอร์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เธอกลายเป็นผู้ร้ายทั้งที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้ก่อและภาพเหล่านั้นก็ถูกรีทวิตออกไปมากจนจูนอยากที่จะรับมือไหว
จูนพยายามที่ติดต่อก้อยอีกครั้ง แต่ได้รับเสียงเหวี่ยงและความไม่เต็มใจในการพูดคุยกับมา
         “โอ้ยแก...ฉันไม่รู้ว่าอิพี่ฝ้ายมันหายหัวไปไหนไม่ต้องโทรมาหาแล้วนะรำคาญ..แล้วอีกอย่างแกขายของก็ได้เงินเยอะไม่ใช่เหรอน่าจะมีเงินคืนเขานะ..ทำมาเป็นเดือนร้อนเหอะ!!” เธอว่าแค่นั้นก่อนจะตัดสายหนีไป จูนไร้ซึ่งหนทางให้หันเข้าหาครั้นจะหยิบยืมเงินจากเพื่อนอย่างมะขามก็คงไม่ได้แน่ มันเป็นเรื่องที่เธอต้องรับผิดชอบแต่เธอไม่รุ้ว่าจะทำยังไง จะเปิดพรีออร์เดอร์อีกครั้งก็ไม่มีใครเชื่อใจในการขายของเธอแล้วครั้นจะไปเปิดแอคเคาท์ก้มีคนไปตามต่อว่าเธอว่าโกงและประจานเธออย่างเสีย ๆ หายๆอีกครั้ง

           ก๊อก ก๊อก

         เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นเรียกสติที่กำลังฟุ้งซ่านของจูนให้กลับมาก่อนจะเดินไปเปิดประตูเธอคิดว่าคงเป็นเพื่อนสาวเธอที่จะแวะเวียนมาหาบ่อยครั้ง แต่มันกลับไม่ใช่อย่างนั้น
        “พี่จูน..” เสียงคุ้นหูที่แค่ฟังก็ทำให้จูนน้ำตาเกือบจะไหลออกมา
        “เมย์มาได้ไง” ครอบครัวของเธอที่มาหาเธอยามลำบากเหมือนกับรู้ว่ามีเรื่องลำบากใจและกำลังต้องการที่พึ่ง
        “เมย์ปิดเทอมน่ะพี่ลืมแล้วเหรอ...เลยมาอยู่เป็นเพื่อน”เมย์ว่าก่อนจะมองสภาพห้องที่รกจนหาที่นั่งแทบไม่ได้กระทั่งเตียงนอนที่เต็มไปด้วย เศษกระดาษและกล่องพัสดุมามากมายที่เหมือนกำลังเตรียมแพคของ
        “พี่จูน..เมย์เห็นแล้วนะ..เรื่องมันเป็นยังไงเล่าให้ฟังหน่อย”จูนเอ่ยหน้าขึ้นมามองน้องสาวที่ยืนมองเธออยู่พร้อมกับยืนโทรศัพท์ราคาถูกที่เล่นอิเตอร์เน็ตได้ก่อนจะปรากฏภาพของเธอ จูนน้ำตาไหลลงมาทันทีไหลลงมาแบบห้ามไม่อยู่เธอไม่อยากให้คนในครอบครัวรู้เรื่องพวกนี้เธอไม่อยากให่พ่อกับแม่ต้องมาลำบากเพราะเธอ
        “เมย์..พี่จะทำยังไงดีฮื่ออ” และเสียงร้องไห้เพราะความเครียดก็ดังตลอดทั้งคืนจนร่างที่อ่อนเพลียผล็อยหลับไปเอง เมย์ก็เช่นกันที่กอดพี่สาวเอาไว้แนบอกราวกับกำลังปกติหลับสนิทลงไปพร้อมกันเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทางแบบเร่งรีบ
        หลังจากที่เมย์มาอยู่ด้วยกันที่ห้องพักของพี่สาว ที่ตอนนี้เอาแต่นอนคุดคู้อยู่บนที่นอนที่ถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว หรือกระทั่งห้องเล็กๆ นี่เองที่ดูสะอาดตาหลังจากเมย์จัดการมันเสร็จสรรพจูนอยู่กับความเครียดมาเป็นอาทิตย์ไม่ไปเรียนไม่ไปพบเพื่อนหรือกระทั่งออกจากห้อง เก็บตัวเงียบเพราะกลัวว่าจะถูกตราหน้าจากคนรอบข้างว่าเป็นโจร คนโกงเงิน จนมันกลายเป็นความเศร้า เอาแต่ร้องไห้เพราะหาทางออกไม่ได้เมย์ก็เครียดไปตามกัน แต่ถ้าหากเธอเครียดไปอีกคนทุกอย่างก็จะยิ่งแย่ ภาพบัตรประชาชนและข้อความมากมายที่ถูกเขียนถึงจูนยังคงถูกพูดถึงอยู่ตลอดเวลากระทั่งสาขา คณะเอกที่เรียนเองก็รับรู้เรื่องนี้หมดแต่ก็ไม่มีใครยื่นมือมาช่วยสักนิด แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก็รับเอาไว้เพราะไม่สามารถติดตามเอามาคืนได้
         สิ่งเดี๋ยวที่ทำได้คือจูนสามารถคืนเงินให้กับลูกค้าที่สั่งของมาให้ได้แค่บางส่วนจนเงินที่ได้จากการขายของหมดบัญชีทุกวันนี้ใช้เงินที่ทางบ้านส่งมาให้เพียงเท่านั้น
        “พี่จูน..เมย์จะออกไปซื้อก่อนนะจะเอาอะไรไหมหรืออยากกินอะไรหรือเปล่า”หลังจากที่เมย์จัดแจ้งทุกอย่างเรียบร้อยเธอเตรียมจะออกไปหาซื้อเพราะนี่ก็สายแล้วสองพี่น้องก็ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย และก้เป็นอีกครั้งที่เมย์จะได้รับการส่ายหัวกับมาทุกครั้งที่เอ่ยถามแบบนี้
        “งั้นเดี๋ยวเมย์มานะ..ไปไม่นานหรอก” เมย์ว่าขึ้นก่อนจะมองไปยังพี่สาวอีกครั้งที่ตอนนี้จมอยู่กับความเครียดเธอเองก็ไม่แพ้กัน
เสียงประตูที่ปิดลงหลังจากที่แผ่นหลังเล็กๆ ของน้องสาวที่เธอรักสุดหัวใจรับหายไปจูนเหลือบไปมองที่บานประตูอีกครั้งเพื่อให้แน่ชัดว่าน้องสาวเธอได้ออกจากห้องไปแล้ว มือผอมแห้งวางโทรศัพท์มือถือลงบนที่นอนหลังจากเข้าไปเห็นข้อความที่เข้ามามากมาย คำด่า คำสาปแช่ง คำกล่าวหามากมายที่เธอกำลังได้รับมันมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ มันค่อยๆ กรีดลงไปยังหัวใจของจูน จูนมองไปยังราวเหล็กตากผ้าตรงระเบียงสลับกับผ้าปูที่นอนก่อนจะใช้มันผูกกับราวตากผ้านั่นอย่างไม่คิดเลยสักนิด เธอไม่ได้ผิดกับเรื่องนี้ทำไมเธอต้องมารับสิ่งพวกนี้เพียงคนเดียว ถ้าหากไม่มีเธออยู่ตรงนี้คำด่า คำว่าหรือข้อกล่าวหาพวกนั้นก็คงไม่มีมาให้เธอเห็นอีกเป็นแน่  
         สองขาที่เหยียบอยู่บนเก้าอี้นั่งกับบ่วงที่ผูกกับราวเหล็กสำหรับตากผ้าลำคอเล็กที่กำลังจะสอดเข้าไปบ่วงนั้นมันทั้งสั่น มือไม้เองก็ด้วยที่มันก็เริ่มสั่นขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ น้ำตาที่ไหลออกมาอาบสองแก้มยิ่งที่ให้จิตใจของเจ้าของร่างเริ่มหดหู่และอยากหายไปจากโลกนี้เร็วๆ จูนค่อยเขย่งเท้าตัวเองขึ้นเพื่อให้ตัวเองสามารถไปถึงบ่วงที่อยู่เหนือหัวเพียงน้อยนิดนั่น
         “พี่ขอโทษนะเมย์..พี่ไม่ไหวแล้วพี่เหนื่อย” เสียงสะอื้นปานจะขาดใจลอยออกมาจากริมฝีปากแห้งกัง ดวงตาสองข้างแดงก่ำกับสองมือที่กำบ่วงนั้นอย่างสั่นเทา
         ถ้าหากโลกนี้มีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยนางเอกยามลำบาก เมย์เองก็อยากจะเป็นแบบนั้นในตอนที่เธอกำลังจะวิ่งกลับขึ้นมาที่หออีกครั้งเพราะลืมเอากระเป๋าตังค์ลงไปด้วยหลังจากไปสั่งอาหารตามสั่งจากร้านข้าง ๆ หอพักพอจะจ่ายกับลืมเอากระเป๋าตังค์มาจนเธอต้องทิ้งข้าวไว้ที่ร้านและวิ่งมาที่ห้องอย่างเร็ว เร็วเท่าที่เธอจะทำได้ในตอนนั้นที่เธอคิด ไม่มีอะไรดลใจให้เธอวิ่งออกมา มันมีเพียงความรู้สึกกลัวในใจเท่านั้น ว่าถ้าหากเธอเดินเอื่อยๆมาเอากระเป๋าเธอคงไม่ได้ช่วยอุ้มร่างพี่สาวลงมาจากเก้าอี้ตัวนั้นและบ่วงที่กำลังจะครอบรัดลำคอของพี่สาวตัวเอง
          “ทำแบบนี้ทำไม...ทำแบบนี้ทำไมพี่จูน..ฮื่ออ”เสียงพูดสะอึกสะอื้นเอ่ยถามออกไปพร้อมกับกอดพี่สาวของตัวเองไว้แน่น
          “อย่างทำแบบนี้...ไม่เอาแบบนี้..พี่จูนอย่าทำแบบนี้อีก” เสียงเอ่ยห้ามพร้อมกับแรงที่ทุบไหล่พี่สาวด้วยแรงอันน้อยนิดพร้อมกับเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของทั้งสองดังกึ่งก้องไปทั่วริมระเบียงที่มีผ้าปูที่ห้อยโตงเตงลงมา เมย์เกือบเสียงคนในครอบครัวไปเพราะคำพูด คำกล่าวหาพวกนั้น เธอเกือบเสียพี่สาวไปเพราะการหากินของคนเห็นแก่ตัวที่พยายามหากลโกงจากการค้าขายในโลกออนไลน์ที่คนส่วนใหญ่เลือกใช้บริการกันเยอะจนไม่สามารถคัดกรองหรือแยกแยะได้เลยว่าใบหน้าที่ดูใจดีหรือเป็นมิตรจะคิดโกงกัน เพราะยอดเงินมากมายที่ถูกโอนไปให้คนแปลกหน้า ในแต่ละครั้งมันมักเสี่ยงเสมอที่จะไม่ได้กลับคืนมา
           หลังจากวันนั้นที่เมย์เกือบเสียคนในครอบครัวไป เธอจริงใช้โชเชียลที่เคยทำร้ายพี่สาวเธอทางอ้อม บอกกล่าวและเล่าทุก ๆอย่างที่พี่สาวเธอโดนมาถึงแม้มันจะเป็นการโกงเงินจากการซื้อขายทางออนไลน์ที่สังคมไทยนิยมเลือกใช้กันมากที่สุดไม่มาจะเป็นร้านขึ้นชื่อ หรือแบร์นดังก็มักมีช่องทางออนไลน์ในการขายเข้ามาทั้งนั้น เมย์จึงใช้สิ่งพวกนี้ในการแก้ปัญหาตรงนี้ซะ เลือกสั่งของจากเว็บไซต์แบร์นนั้นแทนการฝากซื้อเธอได้รับความช่วยเหลือจาก แม่ค้าออนไลน์หลายรายที่เข้ามาช่วยแนะนำการสั่งของ แนะนำการสมัครต่าง ๆนานาจนเธอสามารถสั่งของพวกนั้นและขายของได้จนมันสามารถที่จะทยอยจ่ายหนีให้กับลูกค้าที่ตกค้าการคืนเงินและยังขอให้คนที่โพสกล่าวหาพี่สาวเธอลบโพสพวกนั้นและแก้ไขสิ่งที่พูดให้ถูกต้อง
           จนทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง สภาพจิตใจเองเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องได้รับการเยียวยาหลังจากวันนั้นทั้งสองได้กลับบ้านไปหาพ่อและแม่ทุกความจริงถูกบอกกล่าว แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้แย่เกินไปกว่าคำว่าไม่เป็นไรจากปากของเป็นพ่อและแม่ พร้อมกับกอดออุ่นที่ช่วยเยียวยาสภาพจิตใจให้ดีขึ้น
 


 

2 ความคิดเห็น

  • ออมสิน

    01-09-2017 10:39:33

    หักมุมT_T นึกว่าตอนแรกจะเป็นเรื่องราวสาวอายุน้อยร้อยล้าน

    #1

  • บุคคลนั้น

    (Jeerapon201@gmail.com)

    01-09-2017 17:40:21

    เปิดเรื่องมาน่าสนใจมาก เรื่องราวจะเน้นไปทางความคิดของเด็กรุ่นใหม่และภัยที่เกิดในสมัยปัจจุบัน

    #2

แสดงความคิดเห็น