วรรณโลกา

ผู้แต่ง : หมีติดเมฆ

วรรณโลกา
‘วรรณโลกา’ ดินแดนที่ซึ่งเวทมนตร์และวิทยาศาสตร์ต่างหลอมรวมเป็นหนึ่ง ยุคสมัยที่เผ่าพันธุ์ทรงอิทธิฤทธิ์ทั้งหลายต่างอาศัยอยู่ร่วมกัน‘เทพา’ ‘ยักษา’ ‘วานร’ ‘สมิง’ ‘ปักษา’ ‘มกร’ ‘เงือก’ ‘ภูติพราย’ และอีกเหลือคณานับที่ไม่ได้กล่าวถึง
ซึ่งหากเทียบกับเหล่าอมนุษย์มากอิทธิฤทธิ์ในดินแดนแห่งนี้แล้ว ‘มนุษย์’ คือเผ่าพันธุ์ที่ ‘อ่อนแอ’ ที่สุด

—ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธุ์ที่แสนร้อนระอุ แสงตะวันเจิดจ้าส่องสว่างซัดสาดเมืองกรุง ตึกราบ้านช่องสูงเสียดฟ้าอัดแน่นไปด้วยประชากรหลากหลายเผ่าพันธุ์ ช่องว่างระหว่างตึกคือถนนคอนกรีตที่มีรถราและพาหนะสัตว์วิเศษต่างหยุดยืนนิ่ง เนื่องจากปัญหาเส้นทางท้องถนนที่แก้ไม่เคยหาย แม้ว่าจะมีบางเผ่าที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศหรือใช้พาหนะที่บินได้ก็ตาม แต่นั่นก็ยิ่งทำให้การเดินทางติดขัดยิ่งกว่าเสียเดิม

“ร้อนชะมัด...”

ด้วยเขตสภาพอากาศร้อนชื้นสุดอบอ้าว ทั้งที่บ่ายโมงแล้วแท้ๆ แต่อุณหภูมิยังคงพุ่งทะลุสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส รังสีความร้อนจากดวงตะวันสามารถเผาผิวหนังให้ไหม้เกรียมได้ภายในไม่กี่อึดใจ เป็นเหตุให้รามได้แต่นอนกลิ้งอยู่ในบ้านทั้งวัน

ราม เป็นชายหนุ่มอายุ 18 เป็นวัยรุ่นสุขภาพดีธรรมดาๆ ไม่มีอะไรพิเศษคนหนึ่ง ผมสีดำธรรมดาหยักศกเล็กน้อย นัตน์ตาสีดำธรรมดา สายตาสั้นพอสมควรจึงต้องใส่แว่นตากลมหนาตลอดเวลา หน้าตาธรรมดาไม่ถึงกับขี้ริ้วขี้เหล่แต่ก็ไม่ได้หล่อเหลาเช่นกัน ส่วนสูงเองธรรมดา ไม่สิ เตี้ยกว่ามาตรฐานมนุษย์เพศเล็กน้อย สีผิวหากเทียบกับคนที่อยู่ในประเทศเขตร้อนแล้วถือว่าซีดเซียวพอสมควร หากให้นิยายเป็นคำสั้นๆ ก็คงจะเป็น ‘เจ้าเตี้ยแว่นเนิร์ดผมหยักศก’

หลังจากเรียนจบมัธยมก็ลาบิดา มาสอบเรียนต่อเข้ามหาลัยในเมืองกรุงที่เต็มไปด้วยอมนุษย์

รามอาศัยตัวคนเดียวในบ้านหลังเล็กๆ เก่าๆ หลังหนึ่ง ไม่ใช่หอพักนักศึกษาทั่วไปแบบคนอื่นๆ เนื่องจากเผ่ามนุษย์ในสายตาเผ่าอื่นนั้นไม่ค่อยจะเป็นที่ยอมรับเท่าไหร่นัก จึงไม่สามารถหาที่พักอาศัยดีๆ ในเมืองใหญ่ได้ จะมีก็แต่บ้านเช่าเก่าๆ หลังนี้เท่านั้น

ตอนนี้เป็นช่วงหยุดยาวของมหา’ลัยที่ไม่มีการเรียนการสอน รามจึงตัดสินใจที่จะหมกตัวอยู่แต่ในบ้านทั้งวัน เพื่อหลีกเลี่ยงแสงอาทิตย์และโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยอมนุษย์ต่างเผ่า

อย่างที่เคยบอกไป เผ่ามนุษย์ในดินแดนแห่งนี้นั้นไม่ค่อยจะเป็นที่ยอมรับนัก เนื่องจากเป็นเผ่าพันธุ์แสนอ่อนแอที่ไร้ซึ่งอิทธิฤทธิ์ใดๆ ไร้ซึ่งเวทมนตร์ ไร้ซึ่งวิชาคาถาอาคม ซึ่งในยุคสมัยที่เวทมนตร์ขับเคลื่อนล้ำหน้าเหนือวิทยาศาสตร์ เผ่าพันธุ์ที่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ก็ไม่ต่างอะไรจาก เผ่าพันธุ์ไร้ความสามารถ เป็นเหตุให้มนุษย์มักถูกเผ่าพันธุ์อื่นหยามเหยียดว่าอ่อนแอไร้ความสามารถ การกดขี่ขมเหงเผ่ามนุษย์จึงมีให้เห็นเป็นประจำ ซึ่งรามเองก็เช่นกัน เขาเป็นมนุษย์ไร้ความสามารถที่กล้าสอบชิงทุนเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยกลางเมืองกรุง นั่นจึงทำให้เขามักถูกนักศึกษาเผ่าอื่นๆ กลั่นแกล้งอยู่เป็นประจำ พวกอาจารย์เองก็ไม่คิดสนใจใยดีเพราะเห็นว่าน่ารำคาญ

รามนั้นไม่ใช่คนกล้าหาญพอจะตอบโต้ผู้อื่น เขาจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับการกลั่นแกล้งเหล่านั้นไปเรื่อยๆ ซึ่งบางครั้งการกลั่นแกล้งก็หนักข้อขึ้นจนถึงขั้นที่ว่าลาออกเสียจะดีกว่า แต่เขาก็ยังคงอดทนต่อไป

ด้วยความที่ว่ามีเผ่าบางเผ่าไม่ค่อยชอบขี้หน้าตนเท่าไรนัก รามจึงไม่เกลียดขี้หน้าเผ่านั้นไปโดยปริยาย

ด้วยเหตุนี้เองช่วงหยุดยาวสำหรับรามจึงเป็นช่วงเวลาสวรรค์ ไม่มีสายตาที่มองเขาราวกับตัวประหลาด ไม่มีการกดขี่ข่มเหงจากเผ่าพันธุ์อื่นที่ไม่ชอบขี้หน้าตน ทว่า ทั้งที่ตัดสินใจจะหมกตัวอ่านหนังสืออยู่แต่ในนี้ทั้งวันแท้ๆ แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นจนได้ ในตู้เย็นไม่เหลืออะไรให้กินเลยนอกเสียจากผักเฉาใกล้เน่า หากไม่ออกไปซื้อเสบียงมาตุนเพิ่มคงอยู่ไม่รอดถึงเปิดเทอมเป็นแน่

รามถอนหายใจยาวด้วยความคิดที่ว่า ไม่อยากออกไปข้างนอกแต่ก็ช่วยไม่ได้

 “หืม? ทำไมตาขวาถึงได้กระตุกขึ้นมาได้ล่ะเนี่ย?”

จู่ๆ ดวงตาข้างขาวของรามก็กระตุกอย่างไม่ทราบสาเหตุ ขวาร้ายซ้ายดีตามโบราณว่า ตาซ้ายกระตุกคือเรื่องดี ตาขวากระตุกจะมีเรื่องร้าย แต่รามไม่ใช่คนที่เชื่อในโชคลางคำทำนายจึงไม่ได้คิดสนใจ

รามนั้นเรียนอยู่ในคณะแพทย์สิ่งที่เชื่อคือหลักการทางวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์เป็นรองเท่านั้น

ในตอนนั้นเขาไม่อาจรู้ตัวเลยว่า เหนือขึ้นไป ณ น่านฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล ร่างเล็กไร้สติร่วงหล่นจากฟากฟ้าทะลุชั้นบรรยากาศมุ่งไปยังบ้านพักเก่าๆ หลังหนึ่งอย่างพอดิบพอดี

โครมมมม!

บ้านหลังเล็กถูกอะไรบางอย่างกระแทกทะลุเป็นรูโหว่ เศษปูนเศษไม้ร่วงลงมา ควันฝุ่นกระจายฟุ้งจนมองไม่เป็นสิ่งรอบข้าง ชายหนุ่มถูกบางอย่างล้มทับจนล้มลงไปนอน หัวสมองมึนงงเบลอไปชั่วขณะ ร่างกายหนักอึ้งไม่ขยับเขยื้อน โชคดีที่เขาไม่ได้รับบาดแผลบาดเจ็บ แต่การที่ถูกอะไรบางอย่างกระแทกอย่างแรงนี่ก็ชวนโอดโอยเหมือนกัน

“...นี่มันอะไรเนี่ย”

รามไม่อาจเข้าเหตุการณ์กะทันหันที่เกิดขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย เข้าใจเพียงแค่ว่าคงมีบางอย่างล่วงลงมาใส่บ้านเช่าของเขาเท่านั้น
เมื่อเริ่มได้สติรามก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ โชคดีที่แว่นของเขาไม่ได้หลุดกระเด็นออกไป มิฉะนั้นเขาคงมองอะไรไม่เห็นเป็นแน่
รามพยายามทำความเข้าใดต้นเหตุที่ก่อคดีให้เขาในครั้งนี้

ร่างเล็กไร้สติ เรือนผมสีดำขลับเหยียดตรงแผ่กระจายถึงบันท้าย ใบหน้างดงามหมดจดราวกับงานศิลปะ ร่างเล็กนุ่มนิ่มผิวสีน้ำผึ้ง ร่างกายของเด็กสาววัยใสที่ไร้ซึ่งเสื้อผ้าอาพรใดๆ เผยให้เห็นถึงเนื้อหนังมังสาของสาวน้อยอย่างเต็มประดา
กล่าวคือที่อยู่บนตัวของชายหนุ่มวัยกลัดมัดนั้นก็คือ สาวน้อยเผ่ามนุษย์ในสภาพเปลือยเปล่า นั่นเอง

ราวกับรู้ว่าถูกชายหนุ่มมองอยู่ เด็กสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ก่อนจะเอียงคอมองค้อนใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างสับสนมึนงง

สายตาของชายหนุ่มถูกดึงให้สบกับดวงตาคู่งามสีเขียวมรตกของเด็กสาวราวกับต้องมนต์สะกดอย่างไรอย่างนั้น

ซึ่งสิ่งแรกที่รามซึ่งเป็นชายหนุ่มวัยรุ่นสุขภาพดีสมควรจะทำเมื่อมีสาวน้อยน่ารักนอนแผ่หลาอยู่บนตัวราวกับเชื้อเชิญให้ผิดศีลธรรมนั่นก็คือ...

“ว้ากกกกกกกกก!”
กรีดร้องอย่างสุดเสียงนั่นเอง

ผ่านไปหลายนาที ในที่สุดชายหนุ่มก็เลิกกรีดร้องแล้วใจเย็นลง เขาหยิกแก้มตัวเองพยายามดึงสติสตังให้กลับมา แล้วทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กล่าวโดยย่อก็คือ จู่ๆ ก็มีสาวน้อย ร่วงทะลุหลังคาลงมาจากท้องฟ้าทับตัวเขา ถึงจะจุกอยู่บ้างแต่ร่างกายของรามไม่ได้รับบาดแผล

“เอ่อ...ช่วยลุกไปก่อนได้ไหมครับ?”

“อื้ม!”

เด็กสาวพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืนตามคำขอ ซึ่งรามเพิ่มกลับมานึกได้ว่านั้นเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์อย่างยิ่ง เพราะว่าเธอไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอาพรปกปิดใดๆ เลย หรือก็คือแก้ผ้าล่อนจ้อน นั่นทำให้มองเห็นเรื่องร่างของสาวน้อยตรงหน้าอย่างเต็มสองตา หน้าอกแบนราบ ท่อนล่า—แค่กๆๆๆ!!

“เหวอ! สะ เสื้อผ้า ใส่เสื้อผ้าก่อน!”

ใบหน้าของรามร้อนผ่าวแดงแจ๋เป็นลูกตำลึกสุก เขายกมือขึ้นมาปิดตาแต่ก็แอบมีแง้มนิดๆ หน่อยๆ ช่างเป็นการกระทำที่ย้อนแย้งเหลือเกินจริงๆ  
เห็นชายหนุ่มที่ตนไม่รู้จักแสดงท่าทางเช่นนั้นก็เอียงคออย่างฉงน

“แต่หมายเลขสิบไม่มีเสื้อผ้า”

“ไม่มี!? ไม่มีงั้นเรอะ! ระ รอเดี๋ยวนะ!”

จากนั้นรามก็ตรงดิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้าใด จากนั้นก็โยนใส่ร่างของเด็กสาว แต่ช่างน่าหนักใจเพราะเด็กสาวนั้นใส่เสื้อผ้าไม่เป็นเสียอย่างนั้น เข้าจึงต้องช่วยใส่ให้แทนเป็นการวุ่นวายเสียยกใหญ่

ในที่สุดก็เอาเสื้อฮู้ดกันหนาวสีเขียวแก่และกางเกงขาสั้นให้เธอใส่สำเร็จจนได้ แม้ว่ามันจะดูหลวมโครกไปหน่อยก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้แม่หนูแก้ผ้าล่อนจ้อนเช่นนั้น

รามพบว่าเธอมีแผลถลอกเล็กๆ ตามตัวเต็มไปหมด ความใฝ่ฝันของรามนั้นคือการเป็นนักการแพทย์ ฉะนั้นการต้องเห็นผู้อื่นต้องบาดแผลเจ็บปวดจึงเป็นเรื่องที่ทนไม่ได้ ทำให้เขารีบหากล่องพยาบาลมาทำแผลให้เธอทันที

“เท่านี้ก็คงไม่เป็นไรแล้ว”

หลังจากที่ทำแผลทายาพันผ้าเสร็จสรรพ รามก็อดชื่นชมความสำเร็จของตัวเองเสียไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยใช้วิชาความรู้รักษาผู้อื่น ทำเอารู้สึกภาคภูมิใจพอสมควรเลยทีเดียว

“สุดยอดเลย ไม่เจ็บแล้ว ดีจัง”

“ก็นะ”

รามยกมือขึ้นเกาหัวอย่างขวยเขิน

หืม...? อ๊ะ! แล้วนี่เขาจะเขินทำไมเนี่ย นี่มันไม่ใช่เวลามาทำอะไรแบบนี้สักหน่อย! รามพาเด็กสาวนั่งจับเข่าคุยกันตรงส่วนของบ้านที่ไม่มีเศษเพดานกระจัดกระจาย

“เอ่อ นี่ คือ...หนูเป็นใครงั้นเหรอ แล้วร่วงลงมาจากหลังคาได้ไง?”

ถ้าให้เดาคงจะเป็นเด็กซนที่ชอบปีนหลังคาชาวบ้านล่ะมั้ง รามคิดว่าคงเป็นเช่นนี้ล่ะมั้ง ถ้าเป็นแบบนั้นจะต่อแม่หนูนี่ให้ยับแล้วโทรเรียกพ่แม่มาชดใช้ค่าเสียหายเลยคอยดูสิ



“ชื่อของหมายเลขสิบคือหมายเลขสิบล่ะ หมายเลขสิบหนีออกมาก็เลยร่วงลงมา” เด็กสาวยิ้มร่าตอบคำถามอย่างกระตือรือร้น

“....” คำตอบที่ได้กลับชวนให้สับสนงงเป็นไก่ตาแตก

หมายเลขสิบๆ อะไรนะ? รามไม่สามารถจับใจความนั้นได้เลยแม้แต่น้อย

“นี่แม่หนู ไม่มีชื่อเรียกหรืออะไรแบบนั้นงั้นเหรอ”

“ตามหลักแล้วไม่มีนะ หมายเลขสิบถูกเรียกหมายเลขสิบอย่างเดียวไม่มีชื่อเรียก”

หมายเลขสิบ... นี่สรุปว่าชื่อหมายเลขสิบเรอะ นี่มันชื่อตัวละครในการ์ตูน‘ลูกแก้วมังกร’รึไงกัน พ่อแม่พันธุ์ไหนกันนะที่กล้าตั้งชื่อลูกแบบนี้

“แล้วพ่อแม่เธอล่ะ?”

“หมายเลขสิบไม่มีพ่อแม่”

“กรำพร้าพ่อแม่งั้นเหรอ?”

“อื้อ ถ้าว่าตามหลักก็เป็นแบนนั้น”

อย่างนี้นี่เองเด็กกำพร้าสินะ ช่างน่าสงสารจริงๆ แม้แต่ชื่อเรียกก็ไม่มี ‘หมายเลข 10’ ที่ว่านี่คงจะเป็น เลขที่ของเด็กในบ้านเด็กกรำพร้าสินะ ผมเองก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกันว่ามีสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ตั้งชื่อส่งๆ ไปงั้นๆ เด็กคนนี้ก็อยู่ในรูปแบบนั้นเหมือนกัน
แล้วที่บอกว่าหนีก็คงจะประมาณหนีออกมาจากบ้านเด็กกำพร้ามาวิ่งเล่นจากนั้นก็เกิดคิดพิเรนมาบ้านบ้านผมจากนั้นก็ร่วงลงมาอย่างนั้นสินะ!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นความรู้สึกขุ่นเคืองที่เกิดการที่บ้านถูกถล่มก็หดหายไป
ยังไงก็เผ่ามนุษย์เหมือนๆ กัน รักใคร่กลมเกลียวกันไว้ดีกว่านะ

“หมายเลขสิบงั้นเหรอ เรียกยากจริง อืม... เธอไม่มีชื่อเล่นสินะ? อยากผมให้ตั้งชื่อเล่นให้เรียกไหม แต่ถ้าไม่อยากก็ไม่ต้องก็ได้นะ”

“จริงเหรอ!? จะตั้งชื่อให้หมายเลขสิบจริงๆ เหรอ!?”

“อยากได้เหรอ?”

“อื้ม หมายเลขสิบใฝ่ฝันจะมีชื่อเรียกมานานแล้ว แต่ไม่เคยสมหวัง ถ้าพี่ชายตั้งชื่อให้หมายเลขสิบจะดีใจมากเลย”
เด็กสาวยิ้มกว้างน่ารัก

อั่ก! พะ พี่ชายงั้นเหรอ!? พลังทำลายล้นเหลือเกินไปแล้ว ตองคิดชื่อดีๆ ให้สมกับที่คาดหวัง อืม... ชื่อดีๆ เพราะๆ งั้นเหรอ

“...ทศ

เด็กสาวเอียงคอฉงนเมื่อได้ยินคำนั้น

ทศ ที่แปลว่า สิบ ไงล่ะ ฟังดูไพเราะ แถมยังเหมาะกับหลายเลขสิบด้วย นอกจากนี้ยังแปลว่า ดวงชะตาได้ด้วยนะ ฟังดูดีใช่ไหมล่ะ”

“ทศ... สิบ... ดวงชะตา...”

เด็กสาวที่เรียกตัวเองว่าหมายเลขสิบนิ่งงันไปชั่วขณะ

“ใช่แล้วล่ะ อ๊ะ แต่ถ้าไม่ชอบจะเอาอย่างอื่นก็ได้นะ เอ่อ...อย่าง เมย์ พลอย เฟิร์น แนน ไอซ์ มาย น้ำ ไรเงี้ย?” รามไม่ได้รู้ตัวเลยว่าชื่อที่ตนเอ่ยออกมาเมื่อครู่นั้นเป็นชื่อเล่นที่โหลสุดๆ เพียงใด

“ทศเหรอ... ต่อไปนี้ ทศชื่อว่าทศล่ะ ดะ ดีใจจัง”

เด็กสาวแสดงยินดีออกมาจนแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ รามไม่นึกเลยว่าแค่ตั้งชื่อเล่นที่เรียกง่ายๆ ให้เด็กสาวตรงหน้าจะยินดีถึงขนาดนี้ รู้ตัวอีกทีรามก็เผลอลูบหัวของเด็กสาวโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าสัญชาตญาณของความเป็นพ่อคนกัน? รามคิดในใจเช่นนั้นพรางลูบหัวของเด็กสาวด้วยความเอ็นดูต่อไป

ในเวลานั้นเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าการกระทำนั้นเป็นการกระทำที่น่าสงสัยแค่ไหน หากทำอะไรเช่นนี้ในที่สาธารณะล่ะก็คงไม่แคล้วคลาดถูกตำรวจเรียกไปสอบปากคำเป็นแน่แท้

โครก~ คราก~

เสียงคำรามกึกก้องดังสนั่นไปทั่วบ้าน ออกมาจากหน้าท้องน้อยๆ ของเด็กสาวที่ตอนนี้หน้าแดงด้วยความเขินอาย
หมายเลขสิบ ไม่สิ ทศพยามเอามือกุมปิดหน้าท้องสุดชีวิต แต่เสียงร้องของกระเพาะกลับดังออกมาได้ไม่หยุด

โครก~ คราก~

“เอ่อ...อยากทานอะไรไหม?”

“อือ...”

ณ ตลาดนัดยามค่ำคืนที่ แสงสีจากร้านค้าสว่างไสว ร้านค้าแผงลอยเรียงรายที่ทิวแถว  กลิ่นหอมน่ากินโชยมาแตะปลายจมูกชวนน้ำลายสอ ผู้คนมากหน้าเผ่าพันธุ์ต่างเดินสัญจรสวนกันไปตามทาง แวะเวียนจับจ่ายซื้อของกินอย่างรื่นเริง ขณะที่เดินสวนผู้คนหลากเผ่าพันธุ์ทศก็แทะหมูปิ้งเสียบไม้ที่รามซื้อให้อย่างเอร็ดอร่อย ส่วนรามเองก็ซดเฉาก๊วยนมสดที่ซื้อมาเมื่อครู่

รามสวมเสื้อมีฮู้ดหนาสีดำเพื่อปกปิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ของตัวเอง ทศเองก็ดึงฮู้ดสีเขียวแก่ขึ้นมาสวมเช่นกัน รามบอกว่าถ้าไม่ปิดดีๆ เดี๋ยวจะมีคนมาหาเรื่อง ซึ่งทศก็ทำตามอย่างเชื่อฟัง นั่นทำให้พวกเขาดูเหมือนพี่น้องแท้ๆ ที่มาเดินตลาดด้วยกันเลยทีเดียว แม้ว่าคนน้องจะผิดแผกมีดวกตาสีเขียวเหมือนมรกตก็ตามที

ทีแรกรามตั้งใจว่าจะซื้ออะไรให้กินและพาเด็กสาวกลับไปส่งบ้าน แต่เธอกลับงอแงไม่ยอมกลับบ้านเสียงอย่างนั้น ทั้งยังไม่ยอมบอกที่อยู่ของตัวเองอีกด้วย รามที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีก็ถอดใจ ปล่อยเลยตามเลยแล้วกัน

คงไม่เป็นอะไรหรอกงมั้ง? ใช่ไหม?

“อยากกินอะไรอีกไหม?”

“อืม...อ๊ะ! เจ้านั่นล่ะๆ! ทศอยากกินเจ้านั่น!”

พอรามถามทศก็ชี้นิ้วไปยังแผงลอยเจ้าหนึ่งที่ส่งกลิ่นของทอดหอมหวน

“มะ แมลงทอดเรอะ!”

“แมลงทอดเหรอ? อื้ม! ทศจะกินแมลงทอดล่ะ! ”

รามนั้นเป็นจำพวกไม่ค่อยถูกโฉลกกับสัตว์แมลงมากขา แค่มองเฉยๆ ก็รู้สึกจะอาเจียนแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะมีคนเอาเจ้าตัวพันธุ์นั้นมาทำเป็นอาหารให้คนกิน

“ทศกินแมลงทอดไม่ได้เหรอ...”

เด็กสาวเอ่ยเสียงเศร้าสร้อย ดังนั้นแล้วจะช้าอยู่ใย รามบึ่งไปซื้อหนอนรถด่วนอันโอชะให้สาวน้อยลิ้มลองทันดี

ทศเคี้ยวแมลงทอดตุ่ยๆ รสชาติกรอบๆ มันๆ ของแมลงทอด ราดด้วยซอสถั่วเหลืองผสมพริกไปป่นนั้น เรียกได้ว่าเลิศรส รสชาติอร่อยยอดเยี่ยมกว่าหมูปิ้งเสียบไม้เมื่อครู่เสียอีก ทศได้หลงใหลในรสชาติของแมลงทอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ส่วนทางด้านรามนั้น เพียงแค่คำเดียวก็แทบจะคายของเก่าหมดไส้หมดพุง

“แมลงทอดอร่อยจัง~!”

“...ถ้าอร่อยก็ดีแล้วล่ะ”

ทศน้ำเสียงร่าเริงสดใส ส่วนรามน้ำเสียอิดโรย ใช่ว่าทุกคนในโลกนี้จะกินอะไรได้เหมือนกันหมดล่ะนะ

รามที่ยังรู้สึกอยากอาเจียนไม่หายก็เหลือบไปเห็นสิ่งปกติเข้า นั่นตรงนั้นเขามุงอะไรกันน่ะ?

“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย!”

ท่ามกลางฝูงชนนั้นคือคู่ชายหญิงเผ่าวานรที่มีลิงหางลิง ผู้ชายคนนั้นกำลังร้อนรนขอความช่วยเหลือ ข้างๆ มีหญิงสาวเผ่าวานรท้องแก่กำลังนอนร้องโอดโอย อยู่บนพื้น

แต่ว่า ไม่ว่าจะพยายามเรียกร้องความช่วยเหลือจากไทยมุงรอบๆ แต่ก็ไม่มีใครคิดกล้าจะทำอะไรทั้งนั้น ไม่สิ ทำไม่ได้เสียมากกว่า

เมียผมเธอ! เธอจะคลอดแล้ว! ได้โปรดเถอะ มีใครพอจะทำคลอดได้บ้าง ได้โปรด ได้โปรดเถอะ ขอร้องล่ะ!” ชายวานรแทบก้มกราบขอร้องทั้งน้ำตา

กว่ารถพยาบาลจะมาถึงก็ปาไปหลายนาที ซึ่งภรรยาของเขาคงทนไม่ได้แน่ๆ หากไม่รีบทำอะไรสักอย่างอาจจะส่งผลถึงชีวิตทั้งแม่ทั้งลูก
รามนั้นเป็นนักศึกษาแพทย์ แน่นอนว่าเคยศึกษาเรื่องสูติ-นรีแพทย์มาบ้าง แต่เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้มาก

ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วย แต่ว่าหากว่าทำพลาดขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น คงไม่จบแค่กินยาพาราแล้วเข้านอนแน่นอน แบบนั้นแล้วให้คนที่มีความรู้ความสามารถมาจัดการจะไม่ดีกว่าหรืออย่างไร?

ชายหนุ่มไม่มีความมั่นใจในฝีมือของตัวเองขนาดนั้น ที่สำคัญ ไม่มีใครอยากฝากชีวิตกับนักศึกษาที่ไม่เคยลงสนามจริงๆ ยิ่งเฉพาะกับมนุษย์แล้วด้วย ยิ่งเป็นไปไม่ได้

“พี่ราม...” ทศมองภาพนั้นด้วยใบหน้าโศก เธอกระตุกแขนเสื้อเรียกพี่ชายที่แม้เพิ่งรู้จักกันไม่นานแต่เธอกลับเชื่อใจเขากว่าใคร “...พวกเราทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”

“ผมงั้นเหรอ?”

“อื้ม พี่รามทำให้ทศหายเจ็บนี่นา ต้องทำให้ผู้หญิงคนนั้นหายเจ็บได้แน่ๆ”

“ไม่ได้หรอก ทำแผลกับทำคลอดมันต่างกันนะ”

“เอ๋? ทำไมล่ะ ทศก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะ แต่ว่า...” เด็กสาวชักสีหน้ากลับมาเป็นรอยยิ้มสดใสราวกับดองไม้บาน “...ถ้าเป็นพี่รามล่ะก็ ต้องทำได้แน่ๆ”

“ถ้าเป็นผมงั้นเหรอ...”

สายตาของเด็กสาวที่มองมาอย่างมุ่งมั่นราวกับปลุกบางสิ่งบางอย่างในจิตใจของชายหนุ่มที่ชื่อว่า ราม ให้แสดงตัวตนออกมา
เมื่อนั้นรามก็ถอดหมวกฮู้ดออก แล้วเดินแหวกว่ายไปกลางฝูงชนโดยมีทศเดินตามาติดๆ

“ขอให้ผมจัดการได้รึเปล่า”

“นี่แกมนุษย์งั้นเรอะ?”

“จะมนุษย์หรือไม่ใช่ก็ไม่เกี่ยวกัน ขอให้ผมช่วยได้รึเปล่าครับ ไม่สิ ได้โปรดให้ผมได้ช่วยด้วยเถอะครับ!” ผมก้มหัวจนใบหน้าแทบจะติดพื้น

“ทำได้รึ ทำได้จริงๆ ใช่ไหม เเกช่วยได้จริงๆ สินะ!”

“เชื่อมือได้เลยครับ”

ตามปกติหากมายืนกลางฝูงชนอมนุษย์ผมคงจะถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยามเป็นตัวประหลาด หรือไม่ก็ถูกขัดคอเป็นแน่ แต่นี่ไม่ใช่ ในตอนนี้ ที่นี่ มีแค่ผมเท่านั้นที่เสนอตัว เลยไม่มีใครคิดกล้าเข้ามาขัด

รามตรงดิ่งเข้าไปหาหญิงวานรท้องแก่ใกล้คลอดแล้วจัดท่าทางของเธอให้เรียบร้อย

“ใจเย็นๆ นะครับคุณ หายใจเข้าออกช้าๆ นะครับ ค่อยครับค่อยๆ”

“อื้อ! ค่ะ!”

“แบบนั้นแหละดี”

นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญจิตใจของผู้เป็นแม่คือสิ่งสำคัญที่สุดต้องใจเย็นๆ และตั้งสมาธิในการคลอดเข้าไว้

“คุณสามีกุมมือภรรยาไว้นะครับ”

“ขะ เข้าใจแล้ว”

“ขอโทษนะครับ! ใครก็ได้ช่วยเตรียมน้ำร้อนกับผ้าสะอาดให้ทีครับ!”

รามหันกลับไปจะโกนใส่กลุ่มคนที่มุงอยู่ ทว่าผู้คนต่างยืนนิ่งไม่ทำอะไรทั้งนั้น

“ก็บอกว่าน้ำร้อนกับผ้าสะอาดไงโว้ย หูตึงรึไง!”

“ปะ เป็นแค่มนุษย์อย่ามาทำกร่างนะ!”

“ใช่แล้ว แกเป็นมนุษย์ไม่ใช่รึไง”

“น้ำหน้าอย่ากแกน่ะ จะทำได้เรอะ”

ให้ตายสิ เวลาแบบนี้เนี่ยนะ!? นี่มนุษย์มันไปก่อกรรมทำเข็ญฆ่าโคตรเหง้าเหล่าตระกูลแกรึไงถึงได้มีความคิดแบบนั้นน่ะ!?

“จะปล่อยให้แม่ลูกคู่นี้อยู่ในอันตรายรึไง! ไหว้ล่ะ ช่วยลดทิฐิลงสักหน่อยเถอะ”

รามเลือดขึ้นหน้าหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ยังจะมาอะไรกันอีก ลดความผยองให้น้อยลงแล้วเพิ่มความเป็นคนให้มากขึ้นมันจะตายไหม

“ชิ! ช่วยไม่ได้ ถังน้ำร้อนเดี๋ยวข้าไปหามาเอง”

“ผ้าสะอาด แยกย้ายไปหา ในตลาดหาไม่ยากหรอก”

“ยังต้องการอะไรอีกไหม ไอ้มนุษย์”

“ถ้างั้นเอาสำลีกับผ้าห่มมาด้วยเลยก็แล้วกันครับ”

“เข้าใจแล้ว สำนึกบุญคุณไว้ด้วยล่ะ”

“ขอบพระคุณมากครับ!”

“ให้ตายสิวะ!”

เริ่มปฏิบัติการทำคลอดฉุกเฉินนอกสถานที่ได้

“อุแอว้~!  อุแอว้~!”

“““ไชโย!!!”””

เสียงร้องไห้ของทารกดังขึ้นพร้อมกับเสียงโห่ร้องยินดีของผู้คนที่อยู่รอบๆ แม่และเด็กเผ่าวานรอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย
รามอุ้มเด็กทารกเข้าสู่อ้อมอกของแม่อย่างอบอุ่น สายสะดือยังคงเชื่อมต่อทั้งสองราวกับสายสัมพันธ์ที่ไม่มีวันขาดสะบั้น

“ลูกแม่...อึก ดีใจจริงๆ ...ขอคุณค่ะ”

เมื่อเห็นดังนั้นแล้วรามก็ทิ้งตัวลงนอนกับพื้น ร่างกายของเขารับความตึงเครียดมากเกินไปและความรู้สึกโล่งอกที่ทำสำเร็จนั้นเขาปลดปล่อยออดมาจนหมด แต่ก็ไม่ได้มีเวลาให้พักถึงขนาดนั้น

“พี่ราม~!” ทศกระโดดเข้ากอดทับร่างของรามด้วยความดีใจ กระแทกท้องของเขาจนเจ็บจุก รามแอบรู้สึกตงิดๆ เพราะมันเหมือนตอนแรกที่เจอกันเลยไม่มีผิด “สำเร็จแล้วนะ!สุ ดยอด~! สุดยอดเลย~!”

“นั่นสินะ สำเร็จแล้ว ขอบใจจริงๆ นะ ทศ”

“ขอบคุณทศทำไม? ทศไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง?”

“ไม่หรอก ถ้าไม่มีเธอล่ะก็ผมคงไม่กล้าทำอะไรบ้าๆ แบบนี้หรอก ต้องขอบคุณเธอเลยนะ”

ทศเอียงคออย่างสับสนไม่เข้าใจในคำพูดของคนที่เธอนอนกอดทับอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว

“เอ่อ...ลุกไปได้ยัง?”

“อ๊ะ จริงด้วย”

หลังจากนั้นรถพยาบาลก็บินมารับผู้ป่วย ใช่ ไม่ผิดหรอก รถพยาบาลบินมาจริงๆ เป็นทีมงานพยาบาลที่นำโดยเผ่าปักษาที่มีความสามารถในการบิน รถพยาบาลเองก็ลงอาคมไว้ทำให้สามารถขับเคลื่อนบนท้องฟ้าได้

ทุกอยากกลับสู่ความสงบ คู่สามีภรรยาเผ่าวานรและเจ้าหน้าที่เข้ามาขอบคุณรามยกใหญ่ในวีรกรรมครั้งนี้ ส่วนคนที่เคยต่อว่าเขาก่อนหน้านี้ก็สำนึกได้และขอโทษที่พูดขาอะไรไม่ดีออกไป ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้เผ่ามนุษย์ในสายตาเผ่าอื่นเปลี่ยนแปลงไปบ้างพอดู

เพราะไม่อยากให้อะไร มันวุ่นวายไปมากกว่านั้นผมจึงแอบพาทศเดินหนีออกมา

ช่างเป็นวันที่วุ่นวายจริงๆ ทั้งเด็กผู้หญิงร่วงทะลุหลังคา ไหนจะต้องมาทำคลอดท่ามกลางสายตาชาวประชาอีก เป็นวันที่แสนวุ่นวาย พวกเราเดินออกมาจากตลาดผ่านสวนสาธารณะยามค่ำคืนมุ่งตรงสู่ทางกลับบ้าน

“จะกลับแล้วเหรอ พี่ราม”

“อืม ผมเหนื่อยสุดๆ เลยตอนนี้ อยากกลับไปนอนจะแย่แล้ว”

“ทศด้วย! ทศจะนอนกับพี่รามนะ”

“เอ่อ ไม่ใช่ว่าทศเองก็ต้องกลับบ้านหรอกเหรอ? เดี๋ยวก็มีคนเป็นห่วงหรอก”

“เอ๋? แต่ทศไม่มีบ้านให้กลับสักหน่อย”

“ไม่มีบ้านให้กลับ? แล้วสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าล่ะ”—

ตุบ!

ศีรษะของรามถูกกระแทกอย่างแรกจากทางด้านหลัง ร่ายกายเอนเอียงล้มลมไปนอนกับพื้น โลหิตสีแดงหลั่งไปตามพื้น

ทศ...
...หนีไป

ภาพสุดท้ายที่เห็นคือ ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อกาวน์สีขาวกำลังเหยียดรอยยิ้มน่าขนลุกและกลุ่มกองกำลังคนชุดดำ

“โอย...”

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในกรงขัง ตัวเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมตัวเองถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ความทรงจำสุดท้ายคือกำลังเดินกลับบ้านกับเด็กสาวที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน แล้วจากนั้นก็ถูกตีที่หัว...

ทศ แล้วทศล่ะ!? ชายหนุ่มหันไปรอบๆ อย่างร้อนรน แต่ก็มองไม่เห็นอะไรอะไรเลยนอกเสียจากกำแพงห้องสีเหลี่ยมและกรงเหล็ก
ด้านนอนนั้นคือโถงทางเดินไร้การตกแต่งมีเเค่ท่อและสายไฟฟ้ายาวไปตามทางเดิน บรรยากาศเงียบสงัดไม่มีลมพัด ไม่ได้ยินเสียงภายนอก น่าจะเป็นคุกใต้ดินหรืออะไรทำนองนั้น

เขาพยายามหางทางออกอยู่พักหนึ่งแต่ก็ไร้ความหมาย ไม่ว่าจะกระแทกกรงขังหรือกระโดดถีบกำแพงก็ไร้ประโยชน์ ดูเหมือนว่าเขาจะขยับร่างกายมากเกินไป ร่างกายของเขาล้มลงไปนอนกับพื้นราวกับ

ร่างกายอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงรู้สึกเย็นเยือกอย่างบอกไม่ถูก หัวที่ถูกตีเลือดอาบแห้งผากเป็นเกร็ดรู้สึกปวดอย่างกับจะระเบิด ปวดหัวชะมัด นี่เราเสียเลือดมากเกินไปรึเปล่านะ? รามรู้สึกว่าตัวเองจะหลับได้ตลอดเวลา แต่ว่าถ้าหากเขาไม่คงสติไว้ให้แม่นล่ะก็อาจจะไม่ตื่นอีกเลยก็ได้

กึก กึก เพล้ง!

ทันใดนั้นกรงขังเหล็กก็ถูกถ่างออกโดยแขนเรียวเล็กที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะมีแรงมากมายขนาดนั้น

“พี่ราม!”

ร่างของเด็กสาวเรือนผมสีดำขลับปรากฏกายผ่านกรงเหล็ก

“อย่าตายนะ”

เธอวิ่งเข้าไปหาร่างอ่อนแรงที่กองอยู่บนพื้น ลมหายใจของคนที่เธออุ้มอยู่อ่อนแรงจนน่าใจหาย ร่างกายของเขาเย็นเฉียบแม้แต่เด็กสาวยังตกใจ

“ทศจะพาหนีเดี๋ยวนี้แหละ”

ใช้แขนอุ้มช้อนร่างที่สูงกว่าตัวเองเกือบช่วงตัวขึ้นมาราวกับไร้น้ำหนัก ร่างกายเล็กๆ นั้นมีแรงมากพอที่จะอุ้มร่างของชายหนุ่มวิ่งได้เลยทีเดียว เมื่อจัดท่าอุ้มเรียบร้อยแล้วเธอก็พาเขาออกวิ่งไปจากห้องขัง

โถงทางเดินวกวนกว่าเขาวงกต เด็กสาวอุ้มร่างชองชายหนุ่มออกวิ่งหาทางออก หากไม่รีบพาเขาออกไปจากนี่ล่ะเปลวไฟแห่งชีวิตต้องดับลงเป็นแน่

ทางออกอยู่อีกไม่ไกล อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น

กลุ่มคนชุดดำถืออาวุธ 8 คน ปรากฏตัวกันทางออก พวกมันเล็กกระบอกปืนปืนไรเฟิลไปยังเด็กสาวที่พุ่งเข้า

“ยิ่ง!”

ปัง! ปัง! ปัง!

 “อย่านะ!”

ทศผลักร่างของรามออกไปจากวิถีกระสุนปืนกล แล้วให้ร่างกายของตัวเองต่างโล่ห์ปกป้องคนที่อยู่ข้างหลัง
ลูกตะกั่วจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งใส่ร่างเล็กอย่างไม่ปราณี

คนปกติถูกยินใส่ขนาดนั้นคงจะตายไปแล้ว แต่เด็กสาวกลับยืนนิ่งไม่เป็นอะไรเลยมีแต่น้อย กระสุนไม่ได้ผ่านร่างของเธอไปแต่กระดอนออก บนร่างกายมีเพียงแค่แผลถลอกจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น

“อย่าหยุด ยิงมันเข้าไป!”
ปัง! ปัง! ปัง!

แสงระเบิดปลายปืนสว่างวาบ กระสุนระรอกที่สองตามมาติดๆ แต่เด็กสาวก็ยังคงกางแขนปกป้องชายหนุ่มเอาไว้ แม้ว่าร่างกายของเธอจะทนทานแต่ก็ไม่ได้คงกระพัน บาดแผลของเธอเต็มตัว แต่กระนั้นเธอก็ยังคงใช้ตัวเองปกป้องร่างกายของชายหนุ่มจากห่ากระสุนเหล่านั้น
การโจมตีหยุดลง

ร่างเล็กหมดสติ ร่วงลงไปราวกับตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่เชือกขาดผึ่ง

เมื่อเป้าหมายหมดทางสู้พวกมันก็จับเธอกลับไปยังห้องปฏิบัติการ โดยไม่คิดแยแสชายหนุ่มอีกคนที่นอนอยู่เลยแม้แต่น้อย
แขนขาของเด็กสาวถูกตึงได้ในใจกลางเครื่องปฏิกรณ์หน้าตาแปลกประหลาด ที่ใช้สำหรับแผนการ

ที่ยืนมองภาพนั้นอยู่คือชายวัยกลางคนในชุดกาวน์สีขาว ศาสตราจารย์อัจฉการ ก้องเกียรติศักดิ์ จากสรีระร่างกายชายผู้นี้เป็นเผ่ามนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย

เขาคือชายผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด

ในอดีตชายผู้นี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นมนุษย์ผู้ฝ่าฟันอุปสรรคศึกษาและวิจัยผลงาน จนมีชื่อเสียงในวงการวิทยาศาสตร์เวทมนตร์ดันดับต้นๆ มนุษย์เพียงคนเดียวที่สามารถไปถึงจุดสูงสุดของวงการวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์ แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ความอิจฉาริษยาไม่ได้หายไปไหน  เบื้องหลังงานวิจัยของเขาถูกแอบอ้างไปเป็นผลงานของคนอื่นห้องวิจัยที่เรียกได้ว่าเป็นทั้งชีวิตของนักวิทยาศาสตร์ถูกลอบวางเพลิงเผาทำลายจนสิ้น

แต่นั่นไม่ใช่ที่สุด

ในคืนวันที่ถูกวางเพลิง ครอบครัวของเขาอยู่ข้างในนั้นด้วย

ด้วยความเคียดแค้น เพลิงโทสะโหมกระหน่ำ โลกที่ทอดทิ้งเขา โลกที่ไม่เคยมองเห็นความพยายามของเขา โลกที่ขโมยทุกสิ่งไปจากเขา ตั้งแต่วันนั้น เขาก็ปฏิญาณกับตนเองว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อแก้แค้นโลกใบนี้

“ไอ้โลกบ้าๆ พรรค์นี้ ไอ้พวกโง่ที่ดูถูกข่มเหงมนุษย์ กูจะทำลายพวกมันให้หมดไม่มีเหลือ!!!”

เคยมีตำนานกล่าวไว้ว่า ในอดีตกาลเคยมีราชันย์อสูรยักษ์ตนหนึ่ง รูปลักษณ์ผิวกายสีเขียว สิบเศียร สิบหน้า ยี่สิบกร มากล้นด้วยอิทธิฤทธิ์ แข็งกล้าเกินกว่าผู้ใดจะทัดทาน ยักษ์ในตำนานผู้ก่อความวินาศโกลาหนให้ทั้งสามภพนับครั้งไม่ถ้วน
นามนั้นคือ ‘ทศกัณฐ์’

ตำนานก็คือตำนาน แต่ว่า หากเรื่องเล่าในตำนานนั้นความจริงแล้วคือเรื่องจริงจากอดีตเล่า จะเป็นเช่นไร?
เมื่อนั้นการทดลองจึงเริ่มขึ้น เพื่อทำลายล้างโลกใบนี้และสร้างโลกที่มีเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์ เซลล์ของเทพอสุรานั้นยังหลงเหลืออยู่ภายในซากมหานครโบราณ วิทยาการปัจจุบันของโลกได้ผสมปนเปวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์รวมเป็นหนึ่งเดียว ผ่านไปหลายปี ทุ่มเงินไปเป็นแสนเป็นล้าน รวมรวมกลุ่มมนุษย์ผู้มีอุดการเดียวกัน การวิจัยล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งในที่สุดจากการทดลองสิ่งมีชีวิตเทียมทั้ง 10 ตัว แม้จะตายไปถึง 9 ตัว แต่ในที่สุดก็ได้ร่างทดลองที่สมบูรณ์แบบและมีค่าความเสถียรสูงสุด  พลังมหาศาลนั้นอันแน่นอยู่ในร่างกายของเด็กสาวผู้เป็นร่างทดลองหมายเลขสุดท้าย ผู้เป็นกุญแจในการไขพลังของเทพอสูรยักษ์ในตำนาน ร่างทดลองหมายเลข 10 นั่นเอง

กว่า 10 ปีที่ลงน้ำพักแรง ในที่สุดแผนการทำลายโลกก็จะเริ่มต้น เขาหันไปหาเหล่าผู้ช่วยที่อยู่ด้านหลัง เริ่มเดินเครื่องปฏิกรณ์ ดูดพลังชีวิตจากร่างทดลองเข้าไปในร่างกายของตัวเอง

“กรี๊ดดดดดดดด!”

เสียงกรีดร้องเจ็บปวดของเด็กสาวดังสนั่นเมื่อการดูดกลืนพลังชีวิตเริ่มทำงาน ส่งถ่ายพลังมายังชายวัยกลางคนผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด
ในขณะเดียวกันรามยังคนนอนอยู่ที่เดิม เขาซึ่งมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่สายน้อยตัวเล็กๆ กระโดดเข้ามากบังเพื่อปกป้องเขาจากห่ากระสุน จนได้รับบาดแผลจนหมดสติ

รามเพิ่มมารู้ตัวว่าเด็กสาวผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแน่ๆ มีมนุษย์ที่ไหนกันโดนห่ากระสุนไปขนาดนั้นแล้วยังมีลมหายใจ แต่ทว่านี่ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องยิบย่อยไร้สาระ รามค่อยๆ ยันร่างกายอันหนักอึ้งให้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเร็วมากจนยากเกินเข้าใจ รามนั้นไม่ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ใหญ่ในครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย เขาเป็นเพียงมนุษย์คนนอกธรรมดา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้เลย ที่จริงเขาจะหนีไปจากนี่ให้พ้นๆ เลยก็ยังได้ แต่ว่าเขากลับไปทำเช่นนั้น แม้จะไม่เข้าใจแม้จะไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ตามแต่ว่า รามปล่อยไปไม่ได้ปล่อยเด็กสาวที่เพิ่งเคยพบเจอแค่ไม่กี่ชั่วโมงคนนั้น เด็กสาวใสซื่อที่ดีใจยกใหญ่ตอนที่เขาตั้งชื่อให้ เด็กสาวที่มอบความกล้าให้เขา เด็กสาวที่พยายามปกป้องชีวิตเขา เขาปล่อยมันไปไม่ได้!

...ยอดเยี่ยม เจ้านี่แหละเหมาะสมที่สุด...

เสียงนั้นดังก้องภายในหัว ราวกับร่างกายตอบสนองพลังของจิตในพลัน ความเจ็บปวดค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับบาดแผลที่ศีรษะ ร่างกายมีเรียวแรงขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รามไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไรแต่เขารู้แค่เพียงว่าหากมีเจ้านี่เขาต้องช่วยเด็กสาวคนนั้นได้อย่างแน่นอน
อีกด้านใกล้มาถึงจุดสิ้นสุด ร่างกายของชายในชุดกาวน์ขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ราวกับลูกโป่งเป่าลมเป่าลม สูงใหญ่กว่า 5 เมตร ผิวกายเปลี่ยนสีเขียว แขนใหญ่ราวท่อน ใบหน้าของชายผู้นั้นบิดเบี้ยวมีเขี้ยวยักษ์แยกออกมา พลังมหาศาลเพิ่มพูน แรงกดดันจำนวมมหาศาลทำเอาผู้คนที่อยู่รอบๆ ถึงกับสลบ

“นี่แหละ นี่แหละ ถ้ามีเจ้านี่ล่ะก็ กูก็จะสร้างโลกใหม่ได้ กูนี่แหละคือทศกัณฐ์! กูจะถล่มโลกใบนี้ไม่ให้เหลือ!! ฮ่าๆๆๆ”

ในขณะที่กำลังหัวเราะร่าอยู่นั้นเองก็มีร่างบางรูปงามเข้ามาในสายตา

“ช่างน่าเสียดาย แต่ความทะเยอทะยานของเจ้าคงต้องดับลง ณ ที่นี้เสีย”

“ใครกัน!”

ร่างเพรียวบางในสวมเสื้อแขนยาวดำ เรือนผมสีดำขลับยาวลู่ลากพื้น ผิวพรรณขาวเนียนราวกับหิมะขาว ใบหน้านั้นเรียกได้ว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามหมดจด ดวงตาสีดำฉายแวววาวโรจน์ รอบกายนั้นมีสายลมสีเขียวร้อมกรรโชกราวกับเป็นอาพร

“นามนั้นมากเกินกว่าจะนับได้แต่หากเอ่ยถึงร่างสถิต นามนั้นคือ ราม

“จะเป็นใครก็ช่าง บังอาจบุกเขามาถึงที่นี่ก็จงลิ้มรสสุดยอดพลังนี่แล้วตายซะเถอะแก!”

ยักษาสีเขียวสูงกว่า 5 เมตรพุ่งหมดตรงมายังชายหนุ่มรูปงามที่ยืนนิ่ง
ทว่า หมดนั้นไม่อาจส่งมาถึง

“จงแสดงแสงยานุภาพิฆาตอริศัตรูให้สูญสิ้น พรหมาสตร์

เปรี้ยง! เมื่อสิ้นเสียงกระเทือนทบ ร่างนั้นก็แตกสลายกลายเป็นจุล คันศรธนูแสงพุ่งทะลวงใส่ยักษ์สีเขียวจะแตกกระจุย

“ง่ายดายเสียจริง ทศกัณฐ์งั้นรึ? หึ เทียบชั้นกับตัวจริงไม่ได้เลยแม้แต่น้อยนิด”

ตำนานเคยกล่าวไว้ว่า เมื่อคราใดที่โลกเข้าความโกลาหน จะมีบุรุษเทพเจ้าผู้หนึ่งอวตารจำเเลงกายลงมาเพื่อปัดเป่าภัยภิบัติเหล่านั้นให้ดับสิ้น องค์อวาตารเเห่งองค์นารายณ์...ราม

“เอาล่ะข้าคงต้องจัดการที่เหลือด้วยงั้นสิ? ช่างง่ายดายเสียจริง”

ราม
เดินขึ้นไปช้อนตัวรับเด็กสาวที่นอนหลับไม่ได้สติ ทำการรักษา เเละช้อนตัวอุ้มร่าง

"เสร็จงานเเล้ว กลับเรือนไปนอนให้สบายจิตเสียดีกว่ากระมัง"

—เช้าวันใหม่ที่แสนสดใส รามลืมตาตื่นลุกขึ้นจากที่นอนอย่างตกตึง ราวกับว่าก่อนหน้านี้เป็นความฝัน ฝันที่ยาวนานมากๆ ทั้งยังเหลือเชื่อเเม้เเต่ตนเองก็ยังรู้สึกว่าเกินกว่าฝันไปไกลลิบ

ทว่าในขณะที่กำลังคิดว่าทั้งหมดนั้นเป็นความฝันนั่นเอง 

“อ๊ะ พี่รามตื่นแล้วเหรอ”

ก็มีเด็กสาวเรือนผมสีดำขลับโผล่ออกมา

“เหวอ! ไม่ใช่ฝันหรอกเรอะ!”

เรื่องราวในค่ำคืนนั้นสิ้นสุดลงโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยนอกเสียจาก ชายหนุ่มและเด็กสาวที่อยู่ในบ้านหลังโทรมๆ หลังหนึ่งในใจกลางกรุง 
เเละอีกบุคคลคนหนึ่งซึ่งมองเรื่องราวเหล่านี้จะจุดที่เหนือขึ้นไป 

"ข้าคงไม่จำเป็นต้องลงมืออีกเเล้วกระมัง ดูเเลนางให้ดีล่ะ เจ้าหนุ่ม"

ร่างนั้นท้าวคางมองลองมายังพื้นเบื้องล่างเเล้วยิ้มๆ เปรยเช่นนั้น 

1 ความคิดเห็น

  • บุคคลนั้น

    (Jeerapon201@gmail.com)

    01-09-2017 18:41:37

    เรื่องราวแฟนตาซีเหมือนของยุโรป บวกกับเนื้อหาแบบการ์ตูนของญี่ปุ่น จบด้วยเรื่องของรามเกียรติ์ แค่เอาเรื่องของไทยๆไปใส่เล็กน้อย ไม่มีอะไรแปลกใหม่...ยังไม่ว้าว

    #1

แสดงความคิดเห็น