หอศิลป์

ผู้แต่ง : panynn_99

    เมื่อกาลเวลาเริ่มผันแปรทุกสิ่งอย่างก็เปลี่ยนกลับตาลปัตรจากสิ่งผิดกลับกลายเป็นชอบ สิ่งที่ชอบโดยธรรมกลับสูญหายความงดงามในอดีตก็เช่นกันไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นหรือสิ่งที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์และสืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่นเมื่อถึงจุดเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นก็ย่อมถูกบิดเบือนไป บางอย่างหากไม่ต้องตาก็ต้องดับสูญ


                                                              ---------------------------------------


             ภายในห้องโถงแปดเหลี่ยมที่กว้างขวางแต่ไร้ซึ่งผู้คน ผนังทุกด้านถูกประดับประดาไปด้วยรูปภาพมากมายที่สื่อถึงชีวิตและจิตวิญญาณรวมถึงประติมากรรมรูปแบบต่างๆที่เมื่อหลายปีก่อนเคยมีมูลค่าห้องที่อยู่ติดโถงใหญ่ทั้งสองฝั่งซ้ายขวาต่างก็มีรูปภาพแขวนประดับไว้บนผนัง ตรงกลางโถงทรงแปดเหลี่ยมมีเสาคอนกรีตต้นใหญ่ทาสีน้ำตาลไม้ค้ำเพดานที่เจาะทำเป็นบันไดวนขึ้นไปถึงชั้นบนสุด อาคารแห่งนี้มีด้วยกันสี่ชั้นยกเว้นโถงแปดเหลี่ยมนี้มีห้าชั้น ที่นี่เมื่อก่อนเคยคับคั่งไปด้วยผู้คนที่มาเที่ยวชมงานศิลปะแต่ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ร่องรอยและความทรงจำ ไม่ว่าจะเป็นที่ห้องจัดแสดงนี้หรือทั้งหอศิลป์ความมีชีวิตชีวาเมื่อหลายปีก่อนได้ถูกชะล้างไปพร้อมกับค่านิยมของวัฒนธรรมตะวันตกที่เข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตของคนในสังคม หลังคากระเบื้องสีเทาทรงโดมของหอศิลป์แห่งนี้มีโครงสร้างเป็นแบบสถาปัตยกรรมนีโอเรอเนสซองส์ หลังคานั้นสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามสายของวันเกิดเป็นประกายระยิบระยับ ถึงแม้ว่าภายนอกจะดูสวยงามเพียงใดแต่ที่แห่งนี้ก็ไม่มีคนมาเข้าชมเกือบสองปีกว่าแล้ว พนักงานที่เคยทำงานอยู่ที่นี่ก็พร้อมใจกันลาออกจนจะหมดไม่เหลือใครที่แห่งนี่จึงต้องถูกปิดลง สนามหญ้าที่เคยถูกตกแต่งให้สวยงามก็มีหญ้าขึ้นรก สระน้ำที่เคยให้ความรู้สึกเย็นใจก็แห้งเหือดเหลือไว้แต่บ่อคอนกรีตที่เต็มไปด้วยตะไคร่แห้งหลุดล่อนอยู่ก้นสระ ลานกลางแจ้งที่เคยประดับไปด้วยรูปปั้นของศิลปินผู้สรรค์สร้างงานศิลปะที่งดงามตอนนี้กลับกลายเป็นลานที่มีแต่เศษใบไม้แห้งกับรูปปั้นที่ตากแดดตากลมจนสีถลอกไม่น่ามอง รั้วเหล็กที่กั้นบริเวณหอศิลป์แห่งนี้สีที่เคยพ่นไว้ก็ลอกออกจนเกิดเป็นสนิม ที่นี่ถูกทิ้งร้างมานานนับปีเพราะผู้คนหันไปสนใจสื่อต่างชาติที่ทันสมัย และเสพวัฒนธรรมตะวันตกจนลืมรากเหง้าของความเป็นไทย

             “ที่นี่แหละครับคุณมายา หอศิลป์ติดจำนองที่คุณสนใจ” เสียงนายธนาคารพูดขึ้นหลังจากที่พาลูกค้าที่สนใจจะไถ่จำนองอสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารได้ทำการยึดไว้มาถึงสถานที่ที่ลูกค้าต้องการหญิงสาวเจ้าของชื่อก้าวขาลงจากรถแล้วถอดแว่นกันแดดออกก่อนจะมองไปยังตัวอาคารขนาดใหญ่สูงสี่ชั้นที่ได้รับอิทธิพลแบบตะวันตกที่ตั้งอยู่ตรงหน้าใบหน้าคมคายของหล่อนแสดงออกถึงความสนอกสนใจสถานที่แห่งนี้เป็นพิเศษ
             “ผมจะพาชมรอบๆก่อนนะครับ” นายธนาคารร่างสูงพูดพร้อมกับเดินไปไขแม่กุญแจตัวใหญ่ที่ล็อกรั้วเหล็กไว้แล้วผลักมันออกให้กว้างพอที่คนจะเดินเข้าได้จากนั้นเขาก็เดินนำเข้าไปโดยมีผู้หญิงร่างเพรียวบางที่ชื่อว่าเป็นลูกค้าเดินตามไปติดๆ
             “ตรงบริเวณนี้เป็นลานจัดแสดงประติมากรรมกลางแจ้งครับ เจ้าของเดิมย้ายออกไปโดยไม่ได้เอาทรัพย์สินไปด้วยเพราะที่ดินและตัวอาคารติดจำนองธนาคารและค้างชำระหนี้ครบห้าปีธนาคารจึงยึดไว้ครับ” นายธนาคารพูดอธิบายพร้อมกับเดินนำลูกค้าชมลานกว้างไปอย่างคร่าวๆ
             “พวกรูปปั้นพวกนี้เป็นแค่ของตกแต่งนี่คะ มันไม่น่าจะจำนองได้ทำไมถึงโดนยึดด้วยล่ะคะ?” มายา ลูกค้าสาวดีกรีนักธุรกิจแนวหน้าของประเทศถามอย่างนึกสงสัย
             “เพราะทรัพย์สินพวกนี้ไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นต่อการใช้ชีวิตครับ อีกอย่างเจ้าของเดิมเขาก็ไม่ได้ต้องการของพวกนี้อยู่แล้วด้วย เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี่จึงถูกธนาคารยึดครับ” นายธนาคารหนุ่มตอบ หญิงสาวก็พยักหน้าเข้าใจ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างถูกยึดทุกอย่างที่นี่ก็คงจะเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคารทั้งหมด แล้วถ้าหากเธอจะซื้อสถานที่นี้ก็คงต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลแน่ๆ
             “ขอดูข้างในอาคารได้ไหมคะ?” ลูกค้าสาวถามพลางเดินไปหยุดอยู่ที่ประตูกระจกตรงทางเข้าตัวอาคาร ตรงบริเวณทางเข้านี้ต้องขึ้นบันไดมาประมาณหกถึงเจ็ดขั้น บานประตูที่นี่มีสองแบบ ตรงกลางเป็นประตูแบบหมุนส่วนด้านข้างซ้ายขวาเป็นประตูบานเลื่อน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นประตูระบบอัตโนมัติทั้งสิ้น แต่ในกรณีที่ไฟฟ้าถูกตัดประตูทั้งสามบานนี้ก็กลายเป็นประตูอัตโนมือไปโดยปริยาย เธอพยายามมองผ่านฝุ่นหนาเตอะที่เกาะประตูเข้าไปด้านในแต่ข้างในก็มืดทึบจนทำให้มองไม่เห็นอะไรนอกจากเงาสะท้อนของตัวเอง
             “ข้างในเป็นห้องจัดแสดงครับ ถ้าคุณอยากเข้าไปดูเดี๋ยวผมจะเปิดประตูให้” นายธนาคารคนนั้นเดินตรงเข้ามาแล้วไขกุญแจปลดล็อกประตูแล้วผลักบานประตูเข้าไป

             ภายในเกือบจะมืดสนิทแต่ได้แสงสลัวๆของแสงอาทิตย์ช่วงสายของวันส่องนำทางเข้ามาจนเห็นโถงจัดแสดงทรงแปดเหลี่ยมและห้องจัดแสดงห้องอื่นที่อยู่ติดกันทั้งสองฝั่งซ้ายขวาตรงข้ามกับประตูทางเข้าเป็นลิฟต์แก้วสำหรับขึ้นชมชั้นอื่นๆ ตรงกลางห้องก็มีบันไดวนที่ทะลุขึ้นไปถึงชั้นบนได้แต่กลับดูโล่งเปลือยเพราะไม่มีราวบันไดบนผนังมีรูปภาพสะท้อนแนวคิดและภูมิปัญญาต่างๆประดับไว้ หญิงสาวร่างบางพาตัวเองเดินชมรูปภาพที่ผนังด้านหนึ่งแล้วหลุดยิ้มออกมาเมื่อเห็นความงามของรูปภาพเหล่านั้น รูปภาพที่ถูกจัดแสดงที่นี่ดูมีคุณค่าในตัวของมันเองอย่างมาก ทุกภาพสามารถรับรู้ได้ถึงจิตวิญญาณและข้อคิดต่างๆที่ศิลปินต้องการจะสื่อออกมาอย่างชัดเจน ภาพส่วนใหญ่เป็นจิตรกรรมไทยร่วมสมัยที่มีรากฐานมาจากพระพุทธศาสนา บางภาพก็สื่อออกมาในรูปแบบของวิถีชีวิตคนในชุมชน ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่มีคุณค่ามากและเป็นมรดกทางวัฒนธรรมไทยที่ยังหลงเหลืออยู่ ในยุคที่ผู้คนส่วนใหญ่หันไปให้ความสนใจและความสำคัญกับวัฒนธรรมตะวันตกโดยไม่หันมาเหลียวแลสิ่งสวยงามที่บ่งบอกถึงความเป็นชาติไทยศิลปะเหล่านี้ก็จะถูกลืมเลือนไปจนหมดสิ้นเข้าสักวันตอนนี้ทุกสิ่งที่อยู่ในหอศิลป์แห่งนี้อาจจะดูไร้ค่า แต่สิ่งเหล่านี้มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเองเพียงแค่มันถูกซ่อนไว้เบื้องหลังของสถานที่แห่งนี้เท่านั้น
         
             “งานศิลป์ทั้งหมดนี่มีค่าเท่าไรเหรอคะพอจะประเมินราคาได้ไหม?” ลูกค้าสาวร่างบางถามโดยที่ยังไม่ละสายตามาจากรูปภาพตรงหน้า
             “เฉพาะในห้องนี้หรือทั้งหอครับ?” นายธนาคารหนุ่มถามกลับพร้อมกับเปิดแฟ้มดูราคาทรัพย์สินทั้งหมดที่ธนาคารได้ประเมินค่าไว้ตอนทำการยึดที่
             “ทุกห้องรวมถึงตัวอาคารและที่ดินเลยค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างมั่นใจ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อที่แห่งนี้ถึงแม้ว่าจะต้องเสียเงินจำนวนมหาศาลก็ตาม แต่มันก็คุ้มค่าถ้าจำนวนเงินที่เสียไปนั้นจะคืนชีวิตชีวาและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยกลับคืนมา
             “ที่ดินกับตัวอาคารถูกประเมินค่าไว้ที่สี่สิบสองล้านบาทครับ ส่วนทรัพย์สินทั้งหมดนี้ราคาประเมินอยู่ราวๆเก้าแสนบาทครับ” นายธนาคารหนุ่มตอบ หญิงสาวก็ฟังพลางคิดตามไปด้วยตอนนี้ราคาอยู่ที่สี่สิบสองล้านเก้าแสนบาทยังไม่รวมค่าไถ่จำนองซึ่งราคาน่าจะเหยียบอีกหลายล้าน
             “ที่นี่ติดจำนองใช่ไหมคะ ถ้าฉันจะซื้อที่นี่ต้องเสียค่าไถ่จำนองอีกเท่าไหร่?” เธอถามต่อพลางกำหนดงบประมาณในใจ หากราคาสูงเกินห้าสิบล้านก็ไม่ไหวแต่ถ้าราคาเกินงบมานิดๆหน่อยๆก็น่าจะต่อรองราคาได้
             “เจ้าของเดิมจำนองที่ดินนี้ไว้เป็นหลักประกันชำระหนี้ประมาณสิบหกล้านครับ” ทันทีที่นายธนาคารตอบก็ทำเอามายาขนลุกซู่ จริงอยู่ที่ที่นี่มันสวยหรูดูแพงแต่ว่าราคารวมทั้งหมดมันเกินงบมาตั้งแปดล้านกว่าบาทหากคิดรวมค่าทรัพย์สินทั้งหมดนี่ด้วย
             “ลดราคาประเมินลงหน่อยไม่ได้เหรอคะ?” หญิงสาวถามพลางเดินดูรอบๆห้องโถงแปดเหลี่ยมนี้แล้วมองหาร่องรอยตำหนิหรือรอยบุบสลายแต่ภายในห้องโถงแห่งนี้นอกจากรอยร้าวเล็กน้อยบนผนังหรือรอยแตกบนพื้นกระเบื้องแล้วก็แทบจะไม่มีอะไรเสียหายเลย
             “ทางเราลดราคาประเมินให้ได้มากสุดที่สิบเปอร์เซ็นต์ครับ” นายธนาคารตอบอย่างสุภาพเพราะตัวอาคารก็ยังอยู่ในสภาพดีแถมยังตั้งอยู่บนที่ดินที่ทำเลดีมากๆอีกด้วยราคาก็ต้องสูงเป็นธรรมดา
             “ฉันขอเดินดูรอบๆอย่างละเอียดก่อนนะคะ” หญิงสาวพูดพร้อมกับเดินไปดูห้องจัดแสดงที่อยู่ถัดจากห้องโถงทรงแปดเหลี่ยมไป ห้องที่อยู่ทางฝั่งซ้ายมือเป็นห้องที่มีทั้งรูปภาพและงานงานประติมากรรมรูปต่างๆที่แสดงออกถึงความสงบสีที่ใช้บนภาพวาดก็ล้วนเป็นสีวรรณะเย็น พอเดินย้อนไปดูห้องที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก็มีรูปภาพและงานประติมากรรมประดับอยู่เช่นกัน แต่รูปร่างและโทนสีออกไปทางวรรณะร้อน ให้ความรู้สึกร้อนแรงและไม่หยุดนิ่ง

             มายาเดินวนกลับมาที่ห้องโถงแปดเหลี่ยมอีกครั้งแล้วลองขึ้นบันไดดูสองถึงสามขั้น เธอพบว่าบันไดนี้ค่อนข้างสูงและชันแถมยังไม่มีราวบันไดอีกต่างหาก รั้วกั้นบันไดให้เป็นสัดส่วนก็ไม่มี ถ้าเธอจะซื้อที่นี่จริงๆนอกจากเสียงค่าที่ ค่าไถ่จำนองค่าของจัดแสดงแล้วเธอยังต้องมาซ่อมแซมต่อเติมหอศิลป์แห่งนี้ด้วยซึ่งรวมๆแล้วงบประมาณทั้งหมดที่เธอต้องใช้อาจจะเฉียดร้อยล้านเลยก็เป็นไปได้ จากที่นายธนาคารบอกว่าสามารถลดราคาประเมินให้ได้มากสุดสิบเปอร์เซ็นต์ก็หมายความว่าจากสี่สิบสองล้านบาทก็จะเหลือสี่ล้านสองแสนบาทเท่ากับว่าเธอจะสามารถจ่ายทั้งหมดนี่ได้ในราคายี่สิบเอ็ดล้านหนึ่งแสนบาทเท่านั้นโดยรวมค่าไถ่จำนองแล้วด้วย ถือว่าราคาถูกมากๆเธอสามารถจ่ายได้สบายๆแต่ถ้าต่อราคาไม่ได้แล้วเธอต้องมาซ่อมแซมทุกอย่างที่นี่อีกมันก็อาจจะเกินงบประมาณที่เธอคาดการณ์ไว้จำนวนมากถ้าจะยอมเสียเงินเกือบร้อยล้านเพื่อหอศิลป์ที่เดียวมันก็ดูะไม่ค่อยเหมาะเท่าไร อีกอย่างถ้าคนที่บ้านรู้ว่าเธอใช้เงินจำนวนมากขนาดนั้นกับหอศิลป์ที่ไม่มีใครเหลียวแลมันก็จะเป็นเรื่องไม่ดีอีก
            “คุณสามารถลดให้ฉันเต็มจำนวนสิบเปอร์เซ็นต์ได้ไหมคะ?” หญิงสาวถามหลังจากยืนใช้ความคิดอยู่พักใหญ่
            “ผมเกรงว่าอาจจะไม่ได้ เพราะที่นี่ยังอยู่ในสภาพดีอยู่นะครับ” นายธนาคารตอบ มายาก็เริ่มหันมองรอบตัวเพื่อหาตำหนิรอยใหญ่มาต่อรองราคา
            “ทั้งๆที่ที่นี่มีร่องรอยเสียหายน่ะเหรอคะ ไหนจะรอยร้าวบนผนัง ฝ้าผุเป็นรูพรุน แถมสระน้ำก็ยังมีรอยคอนกรีตผุๆอีก นี่ฉันต้องจ่ายค่าไถ่จำนองด้วยนะคะ คุณจะไม่เห็นใจลดเต็มจำนวนให้จริงๆเหรอ?” หญิงสาวพูดเสียงแกมขอร้องเธอรู้ว่าธนาคารอยากจะขายที่ดินเปลี่ยนเป็นเงินใจจะขาดแต่ก็เอาคำว่า ‘ทรัพย์สินอยู่ในสภาพดี’ มาอ้าง ต่อให้ต่อราคาได้สักครึ่งหนึ่งของราคาประเมินอย่างไรเสียธนาคารก็ต้องขายให้เพราะทางธนาคารก็อยากได้เงินมาปลดจำนองที่ดินที่ไม่คนอยากได้อยู่แล้ว นายธนาคารเองก็ทำสีหน้าหนักใจเพราะหอศิลป์แห่งนี้ยังอยู่ในสภาพดีจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรชำรุดมากมาย แต่ถ้าไม่ลดราคาให้ก็อาจจะเสียลูกค้าไป หอศิลป์ที่ใหญ่ขนาดนี้ก็ไม่ค่อยมีคนเขากล้าซื้อกันสักเท่าไรแถมสังคมปัจจุบันยังไม่มีใครสนงานศิลปะอีกด้วย สุดท้ายแล้วนายธนาคารก็จำยอมลดราคาประเมินให้แล้วทั้งสองฝ่ายก็นัดวันโอนเงินโอนกรรมสิทธิ์กัน โดยฝ่ายหนึ่งได้ราคาที่คุ้มค่าและอีกฝ่ายได้เงินไปปลดจำนองที่ออกจากกรรมสิทธิ์ของตน


                                                                  --------------------------------------


            “ว่าอะไรนะ!นี่เธอใช้เงินไปยี่สิบล้านเพื่อซื้อหอศิลป์เก่าๆน่ะเหรอ?!” พิเชษฐ์ พี่ชายเพียงคนเดียวของมายาตะโกนเสียงดังลั่นหลังจากที่น้องสาวสุดที่รักของเขามาบอกว่าเพิ่งทุ่มเงินหลักสิบล้านไปกับหอศิลป์เก่าๆที่ไม่มีคนต้องการ
            “โธ่...พี่คะ ที่นั่นเป็นแหล่งรวบรวมศิลปะของชาติเลยนะคะ ฉันก็แค่อยากจะทำให้มันมีชีวิตชีวาแล้วก็อยากให้ผู้คนหันกลับมาสนใจวัฒนธรรมของตนก็เท่านั้นเอง อีกอย่างฉันก็ต่อราคามาได้แบบถูกสุดๆอีกด้วยนะคะ” มายาพูดเสียงอ่อน เธอรู้ว่าพี่ชายของเธอไม่อยากให้เสี่ยงลงทุนลงแรงกับสิ่งที่ไม่เป็นที่ต้องตาต้องใจของคนส่วนมาก แต่เธอก็มั่นใจว่าถ้าหากหอศิลป์ที่เธอซื้อมาถูกปรับปรุงให้ดูดีผู้คนจะต้องพากันมาเที่ยวชมแน่นอน
            “แล้วเธอมั่นใจเหรอว่าถ้าปรับปรุงมันแล้วผู้คนจะสนใจ ถ้าเขาสนใจกันจริงๆมันคงจะไม่ถูกปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นหรอก?” คนเป็นพี่ชายพูดต่อ
            “มันไม่ได้ถูกปล่อยทิ้งนะคะ แค่เจ้าของเดิมเขาถูกยึดทรัพย์เฉยๆ เขาก็เลยทำต่อไม่ได้” น้องสาวตอบ เธอยังคงยึดมั่นในความคิดของเธออยู่ว่าเธอสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้
            “แล้วทำไมเขาถึงถูกยึดทรัพย์ล่ะ เขาไม่มีเงินใช้หนี้หรือไร?” พิเชษฐ์ถามต่อ ในความคิดของเขาตอนนี้ก็คือถ้าหากหอศิลป์นี่ดีจริงเจ้าของเดิมก็คงจะไม่ต้องขายหรือต้องเป็นหนี้จนถูกยึดหรอก แต่ไม่ว่ามันจะดูดีน่าสนใจแค่ไหนก็ไม่มีอะไรทนกระแสสังคมที่เข้ามาปะทะได้อยู่ดีนั่นแหละ
            “ทางธนาคารบอกว่าเขาจำนองที่ไว้แล้วไม่ใช้หนี้คืนในเวลาที่กำหนดค่ะ” มายาตอบ
            “แล้วเธอก็ซื้อมามันมีอะไรน่าสนใจอย่างนั้นหรือ?” พิเชษฐ์ย้อนถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เขายังนึกภาพไม่ออกเลยว่าแค่ตัวอาคารมีรูปภาพแขวนไว้มันจะไปน่าสนใจได้อย่างไรกัน
            “พี่เชษฐ์คะ ถ้าพี่ได้ไปดูพี่จะเข้าใจค่ะ มันสวยงามมากจริงๆ” สิ่งที่มายาได้เห็นมันสวยงามมากในความคิดของเธอและเธอก็ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ เธออยากให้พี่ชายของเธอได้ไปดูด้วยตาตัวเอง
            “แล้วถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้เข้าเธอไม่กลัวโดนว่าเหรอ?” พิเชษฐ์ถามต่อถึงสิ่งที่มายาแอบระแวงตอนตันสินใจซื้อ
            “กลัวสิคะ พี่ก็อย่าเพิ่งบอกพวกท่านล่ะ เอาไว้ฉันจัดการทุกอย่างเสร็จพี่ค่อยบอก แล้วพี่ก็ต้องมาช่วยฉันปรับปรุงหอศิลป์นี่ด้วย” มายาตอบอย่างหนักแน่น เธออยากให้พ่อกับแม่ประหลาดใจและชื่นชมในตัวเธอบ้าง ทั้งพ่อและแม่เป็นนักธุรกิจที่ต้องไปประสานงานที่ต่างประเทศบ่อยครั้ง พวกท่านเองก็สนงานศิลปะแต่สิ่งที่พวกท่านสนใจกลับไม่ใช่งานศิลป์ที่เป็นวัฒนธรรมของชาติตัวเอง พี่ชายเธอก็เป็นสถาปนิกที่มักจะออกแบบโครงสร้างอาคารออกไปทางตะวันตกเสียอย่างเดียว และนี่ก็เป็นโอกาสดีที่เธอจะเริ่มทำให้พวกเขาเห็นถึงคุณค่าของลายเส้นแบบไทยๆ เธอจะดึงพี่ชายเธอเข้ามาช่วยในงานนี้ด้วย เพราะตัวหอศิลป์ที่เธอซื้อมามีโครงสร้างออกไปทางตะวันตก ซึ่งถ้าจะตกแต่งอะไรใหม่ก็คงไม่ยากเกินความสามารถของพิเชษฐ์พี่ชายเธอ
            “เฮ้อ พี่ล่ะเหนื่อยใจกับเธอจริงๆ อยากให้ช่วยอะไรล่ะ?” สุดท้ายพิเชษฐ์ก็ยอมใจอ่อนแล้วถามถึงสิ่งที่น้องสาวของเขาต้องการ เพราะถ้าไม่มีปัญหาอะไรมายาก็ไม่ขอความช่วยเหลือจากเขาหรอก
            “งานถนัดของพี่เลยล่ะค่ะ แต่ก่อนจะตอบตกลงพี่ควรจะไปดูสถานที่จริงก่อนนะคะ” พอเห็นพี่ชายยอมใจอ่อนคนเป็นน้องสาวก็ยิ้มกว้างอย่างเบิกบาน อย่างน้อยถ้าพี่ชายของเธอช่วยเหลือเธอให้จัดการปรับปรุงหอศิลป์นี่ได้ ความต้องการที่จะดึงผู้คนกลับมาให้สนใจศิลปะไทยก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

            หลังจากทำการซื้อขายกับธนาคารมาได้นี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว มายากับพิเชษฐ์ก็ได้มาที่หอศิลป์เพื่อดูว่ามีอะไรต้องปรับปรุงบ้าง
             “ที่นี่แหละค่ะพี่เชษฐ์ ประตูมันถูกสนิมกินอาจจะเปิดยากสักหน่อยนะคะ” หญิงสาวพูดพร้อมกับก้าวขาเดินลงจากรถโดยหยิบเอาสมุดบันทึกเล่มเล็กและปากกาติดมือมาด้วยก่อนจะเดินนำพี่ชายของตนมาที่หน้าประตูรั้วเหล็กขนาดใหญ่
             “โห...แค่รั้วนี่ก็เสียหายหลายแสนแล้วนะ”พิเชษฐ์พูดพลางเดินสำรวจดูลักษณะทางกายภาพต่างๆรั้วของหอศิลป์แห่งนี้ก่ออิฐโบกปูนเป็นฐานขึ้นมาจากพื้นประมาณครึ่งเมตรและต่อรั้วเหล็กยอดแหลมขึ้นสูงไปอีกรวมประมาณหนึ่งร้อยสามสิบเซนติเมตร รวมแล้วรั้วที่กั้นพื้นที่นี้สูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ตรงปูนที่ก่อเป็นฐานไว้มีรอยแตกและผุพัง ส่วนรั้วเหล็กก็มีทั้งสนิมและยอดบางส่วนที่หักงอลงมา ถ้าจะซ่อมแซมจริงๆแค่รั้วนี่ก็อาจจะเหยียบหลักล้านเลย
             “ประมาณกี่แสนคะ?” มายาหันมาถามพลางเตรียมจดรายการต่างๆที่ต้องซ่อมแซม
             “ขึ้นอยู่กับพื้นที่ แล้วพื้นที่ทั้งหมดนี่กว้างและยาวเท่าไร?” คนเป็นพี่ชายตอบแล้วถามกลับพลางลองคิดคำนวณราคารั้วต่อรางเมตรอย่างคร่าวๆในขณะที่น้องสาวของเขาก็เปิดดูพื้นที่ในโฉนด
             “ประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบคูณสามร้อยเมตรค่ะ ความยาวนี้รวมประตูรั้วนะคะ” มายาตอบ เธอเองก็ไม่ค่อยแน่ใจในความยาวประประตูเหมือนกัน ถ้ากะในระดับสายตาก็น่าจะยาก
             “ไปเอาตลับเมตรในรถมาให้พี่หน่อยสิ เดี๋ยวพี่จะวัดเอง”พิเชษฐ์สั่งซึ่งมายาเองก็ทำตามพอได้ตลับเมตรมาแล้วเขาก็เริ่มทำการวัดที่ทันทีโดยมีน้องสาวของเขาคอยช่วยจดความยาวต่างๆให้ เวลาผ่านไปจนถึงตอนบ่ายสองพี่น้องก็หยุดสำรวจพื้นที่แล้วพากันกลับมาที่บ้าน ในขณะที่คนเป็นน้องทิ้งตัวนอนลงบนโซฟาตัวอย่างอย่างเหนื่อยล้า คนเป็นพี่กลับนั่งก้มหน้าก้มตาขีดๆเขียนๆบางอย่างอย่างตั้งอกตั้งใจ
              “พี่เชษฐ์ พี่ทำอะไรคะ?” มายาถามอย่างสงสัย
              “ก็กำลังคำนวณงบที่เธอต้องใช้ไง ทั้งค่าซ่อมรั้ว ค่าทำความสะอาด ค่าเดินสายไฟแล้วก็อีกสารพัดค่าใช้จ่ายที่เยอะแยะไปหมด” คนเป็นพี่ตอบโดยไม่หันมามองหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่พิเชษฐ์ไปเห็นที่หอศิลป์มันก็ดูดีในระดับหนึ่ง เขาเองก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมมายาถึงอยากได้หอศิลป์แห่งนี้นักหนา ถ้าฟื้นฟูให้มันอยู่ในสภาพดีขึ้นมาได้มันก็คงจะน่ามองขึ้นอีกเยอะ
              “มายา แค่ค่ารั้วทั้งหมดนี่ก็เหยียบหนึ่งล้านแล้วนะ”พิเชษฐ์พูดขึ้นหลังจากนั่งเงียบใช้สมองไปพักใหญ่
              “เหยียบล้านเลยหรือคะ มันแพงไปไหม?” ทันทีที่พี่ชายของเธอเอ่ยปากบอกราคา มายาก็รู้สึกสะท้านไปถึงไขสันหลัง
              “ก็เหล็กมันผุหมดแล้ว ถ้าทำแบบส่งๆตบตาคนก็เสียแค่ค่าสีเอามาพ่นมาทาใหม่แค่นั้นแหละ” พิเชษฐ์ตอบ เขารู้ว่ามายาเป็นคนที่ละเอียดกับงาน หล่อนคงไม่ยอมให้ทำแบบลวกๆแน่
              “ฉันยอมเสียเงินหลักล้านเพื่อให้สถานที่ออกมาดี” หญิงสาวตอบเสียงหนักแน่น เสียเท่าไหร่เท่ากัน ยิ่งเธอเสียเงินมากเท่าไรเธอก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้คนมาเข้าชมความงามของหอศิลป์แห่งนี้ให้ได้มากเท่านั้น
              “ตอบหนักแน่นดีมาก นี่แค่ค่ารั้วนะยังไม่รวมค่าปรับปรุงสระน้ำ ค่าซ่อมแซมรูปปั้นหรือแม้แต่ค่าซ่อมภายในก็ยังไม่ได้รวม เธอคิดว่าจะจ่ายไหวเหรอ?”
              “ก็...ค่อยๆทยอยทำทีละเล็กละน้อยก็ได้ค่ะ ฉันเข้าใจว่าของพวกนี้ต้องใช้เวลา” มายานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วตอบ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ตามมานั้นทำให้เธอรู้สึกมือสั่นจนอยากจะร้องไห้ เธอต้องเสียเงินมหาศาลจริงๆแล้วเธอก็ได้คำนวณเวลาไว้ประมาณหกเดือนซึ่งอาจจะเร็วไปสักหน่อยหากจะเปิดหอศิลป์ในตอนนั้นแต่เธอก็อยากให้งานออกมาดีด้วย ถ้าล่าช้าไปอีกสักเดือนสองเดือนก็พอจะรับได้อยู่
              “แล้วจะไปหาคนงานมาจากไหน ถ้าจ้างช่างซ่อมที่เขามีงานประจำอยู่แล้วงานก็ออกมาดีนะแต่ค่าจ้างคงจะแพง” พิเชษฐ์พูดต่อพลางก้มหน้าลงลองออกแบบปรับปรุงสระน้ำและสนามหญ้าลงบนกระดาษให้ออกมาน่าสนใจ
              “ถ้าอย่างนั้นก็จ้างคนที่เขาตกงานสิคะ เราไม่ได้เร่งงานเขาด้วยผลงานอาจจะออกมาดีก็ได้” มายาเสนอ ที่เธอเสนอความคิดนี้ออกมาก็เพราะเธอเห็นว่ามีคนตกงานกันเยอะขึ้นเนื่องจากแรงงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานไร้ฝีมือและไม่มีความรู้ อีกอย่างค่าครองชีพกลับต่ำลงในขณะที่ของทุกอย่างแพงขึ้นผู้คนก็แข่งขันกัน งานรับจ้างส่วนใหญ่นายจ้างก็เลิกจ้างงานลูกจ้างเพราะไม่มีงบประมาณจ่ายเงินเดือนให้
              “จ้างชั่วคราวน่ะเหรอ?” คนเป็นพี่ชายถามกลับ
              “ก็บางคนถ้าเขาไม่มีทางไปต่อจริงๆเราก็จ้างให้เขาทำงานต่อที่หอศิลป์เลยก็ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบ ก่อนที่เธอจะได้รับตำแหน่งตกทอดในธุรกิจของครอบ เธอก็ได้ลองออกสำรวจข้อมูลต่างๆของผู้คนดูจนรู้ว่าคนส่วนใหญ่มีปัญหาในเรื่องงานและการใช้ชีวิตกันมาก ถ้าหากเธอประกาศหาแรงงานแล้วเฟ้นหาคนที่ต้องการจะทำงานกับเธอได้ต่อไปเรื่อยๆ เธอมั่นใจว่าจะต้องมีคนสนใจงานนี้
              “แล้วจะเริ่มงานเมื่อไหร่?” พิเชษฐ์ถาม
              “ยิ่งเร็วยิ่งดีค่ะ”


                                                                --------------------------------------


               ภายในเวลาเพียงอาทิตย์เดียวมายาก็สามารถหาคนงานมาร่วมงานกับเธอได้ประมาณยี่สิบคนคละชายหญิงซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่พอดี จำนวนคนพอประมาณไม่มากไม่น้อยเกินไป เมื่อได้จำนวนคนงานแล้วเธอกับพิเชษฐ์ก็จัดสรรงานต่างๆให้คนงานแบ่งเป็นสี่กลุ่ม แบ่งงานกันเป็นช่างซ่อมรั้วและทำสวนหกคน ช่างทาสีและตกแต่งผนังภายในหกคน ช่างน้ำช่างไฟสี่คน และสุดท้ายคนทำความสะอาดอีกสี่คน เมื่อแบ่งงานกันเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกคนก็แยกกันไปทำงานของตนเอง วัสดุต่างๆที่ต้องใช้พิเชษฐ์ก็จัดเตรียมมาให้จนครบหมดแล้ว ทั้งสองคนพี่น้องจึงมีหน้าที่เดินตรวจตราและให้คำแนะนำในการทำงานกับพวกคนงานเท่านั้น
                สามเดือนผ่านไปงานซ่อมแซมหอศิลป์เสร็จแล้วเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือตอนนี้ก็มีแค่ตกแต่งภายในให้แล้วเสร็จ สภาพภายนอกของหอศิลป์ในตอนนี้ดูดีมากทีเดียว ตัวอาคารได้รับอิทธิพลจากตะวันตกเป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอเรอเนสซองส์สี่ชั้นมีหลังคาสีเทาทรงโดมและโถงทรงแปดเหลี่ยมสูงห้าชั้นอยู่ตรงกลางดูโดดเด่น ตัวอาคารทาสีขาวสะอาดสะอ้านตัดกับสีครีมดูสบายตา บันไดทางขึ้นมายังประตูของตัวอาคารก็มีการทำราวเหล็กไว้และมีการปรับบางส่วนเป็นทางเรียบสำหรับรถเข็น รอบตัวอาคารเป็นลานกลางแจ้งที่ล้อมรอบด้วยสนามหญ้า มีการปลูกไม้มงคลยืนต้นเพื่อให้ความร่มรื่นและร่มเงา และปลูกไม้ประดับดัดเป็นทรงต่างๆเพิ่มลูกเล่นให้ลานจัดแสดงประติมากรรมกลางแจ้งดูน่าสนใจ สระน้ำที่อยู่ตรงกลางลานกว้างก็มีการจัดหาน้ำพุมาตกแต่งพร้อมกับปลูกบัวและเลี้ยงปลาสวยงามไว้ด้วยรอบๆสระน้ำก็มีกระถางไม้ดอกขนาดเล็กประดับไว้ ตรงมุมหนึ่งของรั้วก็ได้นำศาลพระภูมิมาตั้ง ส่วนอีกมุมหนึ่งก็สร้างศาลาประดิษฐานพระพุทธรูปไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ภายในก็ได้นำรูปภาพทั้งหมดออกไปเก็บไว้ในห้องเก็บของเป็นการชั่วคราว แล้วก็ได้ทาสีพื้นลงบนผนังเหลือแค่วาดลวดลายตกแต่งให้สวยงาม มายาเธอเชื่อว่าหากตกแต่งผนังด้วยลายเส้นแบบไทยจะสามารถเรียกคะแนนจากผู้ชมได้เป็นอย่างดี
                แสงแดดยามบ่ายลอดผ่านช่องหน้าต่างเล็กๆที่อยู่สูงเกือบติดเพดานเข้ามาด้านในห้องจัดแสดง ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา คนงานที่ยังคงทำงานอยู่ในหอศิลป์แห่งนี้ก็เหลือแค่ช่างจิตรกรรมเพียงห้าถึงหกคนเท่านั้น พิเชษฐ์ก็ติดงานสำคัญจึงต้องรีบกลับไปก่อนทำให้ที่หอศิลป์มีเพียงมายาเดินตรวจงานอยู่คนเดียวแต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรที่ต้องทำงานคนเดียวเพราะปกติเวลาเดินสายงานทำธุรกิจกับลูกค้าเธอก็ต้องไปคนเดียวอยู่แล้ว
                “คุณวาดสวยจังเลยนะคะ ลายนี้เรียกว่าอะไรเหรอ?” มายาเดินเข้ามาดูที่ผนังด้านหนึ่งแล้วถามช่างวาดที่กำลังบรรจงวาดลายเส้นรูปแบบต่างๆลงบนผนัง
                “ตรงมุมนั้นเป็นลายประยุกต์มาจากแม่ลายดาวผสานกับแม่ลายกนก ส่วนตรงกลางที่ผมกำลังวาดอยู่นี่เรียกว่าลายหน้าขบ” ช่างวาดคนนั้นตอบโดยไม่หันมาสบตาคนถาม คำตอบของเขาทำให้มายาเกิดความสนใจมากทีเดียว เพราะขนาดลงลายแบบร่างไว้เฉยๆยังดูสวยงามถ้าหากลงสีด้วยแล้วคงจะดูโดดเด่นมากแน่ๆ
                “แล้วทำไมถึงเรียกว่าลายหน้าขบล่ะคะ ฉันว่ามันออกจะคล้ายทรงพุ่มข้าวบิณฑ์เสียมากกว่า” หญิงสาวย่อตัวลงดูลายเส้นแบบชัดๆข้างๆช่างวาดแล้วถามต่อ
                “มันมีพื้นฐานมาจากแม่ลายพุ่มที่ลักษณะคล้ายทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ครับ แต่ที่เรียกว่าลายหน้าขบก็เพราะว่าลายเส้นนี้ประดิษฐ์มาจากใบหน้าของสัตว์หิมพานที่ใช้ปากและฟันขบกัด ก็เลยเรียกว่าลายหน้าขบไงครับ ส่วนเส้นที่วาดออกมาข้างๆนี่เรียกว่าเถาลาย มันจะช่วยให้ลายหน้าขบมีความอ่อนหวานมากขึ้น” ช่างวาดตอบ คำตอบของเขาทำให้มายารู้สึกทั้งสนใจและประหลาดใจ ปกติช่างวาดที่วาดภาพลายไทยจะเป็นพวกครูอาจารย์ที่สอนงานศิลป์เสียมากกว่า แต่ช่างวาดคนนี้ดูแล้วอายุยังไม่น่าเกินสามสิบเลยเสียด้วยซ้ำ
                “คุณนี่รู้ละเอียดดีจังเลยนะคะ ทำงานด้านนี้มานานแค่ไหนแล้วเหรอ?” หญิงสาวถามทำเอาช่างวาดหนุ่มละมือจากงานตรงหน้าแล้วหันมาสบตาเธอ
                “ก็เพิ่งเริ่มทำตั้งแต่ที่คุณว่าจ้างนี่แหละครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงกวนประสาทเล็กน้อยก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปากใส่ผู้ว่าจ้างทีหนึ่งแล้วหันกลับไปทำงานต่อ ทำเอานายจ้างสาวถึงกับเผลออ้าปากค้างเพราะความงุนงงและไม่เข้าใจ คนๆนี้เพิ่งทำงานตอนที่เธอว่าจ้างแต่ผลงานกลับออกมาดีเหมือนเป็นมืออาชีพ แถมยังทำหน้าทะเล้นใส่นายจ้างอย่างเธออีก นี่เขาเป็นใครมาจากไหนถึงได้ทำแบบนี้ เขาต้องไม่ใช่แค่ช่างวาดที่ฝีมือระดับธรรมดาแน่ๆ
               “นี่คุณ...เพิ่งเริ่มทำอย่างนั้นเหรอ?แต่ฝีมือคุณเหมือนมืออาชีพมากเลยนะ” หญิงสาวพูดถามอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
               “ใช่ครับ ผมเพิ่งเริ่มทำ ขอบคุณที่ชื่นชมฝีมือผมนะครับ” และเป็นอีกครั้งที่เขาตอบโดยไม่หันมามองหน้าเธอ
               “แล้ว...คุณอายุเท่าไหร่ ยังไม่ถึงสามสิบใช่ไหม?” นายจ้างสาวถาม
               “ครับยังไม่ถึง ผมเพิ่งจะยี่สิบสองเอง” ช่างวาดหนุ่มตอบยิ้มๆ พอมายารู้อายุของเขาเธอก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจยิ่งขึ้นไปอีก คนอายุยี่สิบต้นๆมีความสามารถมากขนาดนี้เชียวหรือ
               “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คุณเรียนอยู่หรือว่าทำงานแล้ว?” นายจ้างสาวถามกลับอีกครั้ง
               “ถ้าเป็นเวลาปกติก็ต้องเรียนอยู่นั่นแหละครับ แต่นี่ปิดเทอมอยู่ผมก็เลยทำงาน” ช่างวาดหนุ่มหันมาตอบยิ้มๆ
               “คุณเรียนอะไรอยู่เหรอ ดูเหมือนคุณจะถนัดด้านงานศิลป์นะ”
               “คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาวิชาจิตรกรรมครับ” ช่างวาดหนุ่มตอบ ตอนแรกมายาคิดว่าในยุคที่ต่างชาติเข้ามามีอิทธิพลในประเทศจะทำให้คนเราลืมวัฒนธรรมของตนไปจนหมดแล้วเสียอีก แต่ในวันนี้เธอเหมือนได้เห็นแสงไฟที่จวนจะดับได้ลุกโชนขึ้นมา ศิลปะไทยที่เกือบจะสูญหายไปได้มีหวังที่จะอยู่คู่กับวิถีชีวิตของคนในชาติอีกครั้ง แค่คิดเพียงเท่านี้มายาก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาแล้ว
               “มิน่าล่ะ คุณถึงได้วาดรูปออกมาได้สวยขนาดนี้” หญิงสาวพูดยิ้มๆ แต่เด็กหนุ่มตรงหน้าก็ไม่ได้พูดอะไรกลับมาเธอแอบสังเกตว่าตอนที่เธอกล่าวชมเขาก็แอบลอบยิ้มออกมาเล็กน้อย
               “แล้วคุณชื่ออะไรเหรอ?” มายาถาม ถึงตอนนี้เขาจะเป็นลูกจ้างแต่เธอก็ควรจะได้รู้ชื่อของเขาสักหน่อย อย่างน้อยๆในวันข้างหน้าถ้าได้เห็นผลงานของจิตรกรคนนี้เธอจะได้สรรหาผลงานพวกนั้นมาประดับที่หอศิลป์ของเธอบ้าง
               “บุรินทร์” ช่างวาดคนนั้นตอบมาแบบสั้นๆ
               “ชื่อเพราะดีนะคะ ฉันชื่อมายา” หญิงสาวเอ่ยชมและแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร
               “ผมรู้ครับ คุณบอกตั้งแต่ที่จ้างงานพวกผมแล้ว ทั้งคุณแล้วก็คุณพิเชษฐ์” ชายหนุ่มที่ชื่อบุรินทร์ตอบทำเอานายจ้างสาวหน้าเหวอไปอีกครั้งมีที่ไหนที่ลูกจ้างกล้าพูดจาย้อนนายจ้างแบบนี้
               “แหม ก็คิดเสียว่าฉันแนะนำเป็นการส่วนตัวก็ได้” นายจ้างสาวพูดเสียงขุ่นๆเหมือนไม่ค่อยพอใจทำเอาช่างวาดหนุ่มแอบชำเลืองมองแล้วอดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้
               “ผมไม่ลืมง่ายขนาดนั้นหรอกครับ มีแต่พวกนายจ้างนั่นแหละที่มักจะลืมชื่อลูกจ้างอย่างพวกผม” บุรินทร์พูดขึ้นลอยๆแต่ก็ยังไม่ละความสนใจออกมาจากงานตรงหน้า
                “ฉันก็ไม่ใช่นายจ้างขี้ลืมเหมือนกัน อย่างน้อยฉันก็จำชื่อคุณได้ล่ะ” มายาตอบกลับแกมประชดก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกไปดูงานในห้องอื่นๆ ถ้าเธอยังอยู่ต่อปากต่อคำกับช่างวาดเด็กน้อยคนนั้นเธอคงโดนเขากวนประสาทจนไมเกรนกำเริบแน่ๆ


                                                                   --------------------------------------


                “เดือนหน้าหรือครับ? ได้ครับ ไม่มีปัญหา แล้วเจอกันครับ” หลังจากที่มายากลับมาที่บ้านในตอนเย็นเธอก็ได้ยินเสียงของพิเชษฐ์ดังออกมาจากห้องนั่งเล่น เหมือนกำลังคุยโทรศัพท์กับลูกค้าอยู่
                “อ้าว มายา มาพอดีเลย มานี่สิพี่มีอะไรจะบอก” เมื่อพิเชษฐ์เห็นเธอยืนอยู่หลังประตูก็เรียกเธอให้มานั่งใกล้ๆ
                “พี่เชษฐ์มีเรื่องอะไรหรือคะ?” หญิงสาวถามพลางนั่งลงข้างๆพี่ชาย
                “เมื่อกี้นี้มีลูกค้าต่างชาติโทรฯมา เขาบอกว่าสนใจอยากจะเข้ามาดูงานตกแต่งหอศิลป์น่ะ”พิเชษฐ์ตอบเสียงใสนั่นก็ทำให้มายาสงสัยอยู่ไม่น้อย
                “งานตกแต่งเหรอคะ?ตอนนี้ยังไม่เสร็จเลยนะคะจะให้ลูกค้าเข้ามาดูได้อย่างไรกัน” มายาย้อนถามเสียงสูง เธอก็รู้สึกดีใจนั่นแหละที่มีชาวต่างชาติสนใจอยากดูงานตกแต่งแบบไทยๆ แต่ว่างานตกแต่งภายในยังเสร็จไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยด้วยซ้ำ แถมระหว่างทำงานยังมีกลิ่นสีตลบอบอวนอยู่อีก เธอเกรงว่าจะทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่ดี
                 “เอาเถอะน่า เขามาเสนองานออกแบบตกแต่งภายในกับพี่ แล้วทีนี้เขาอยากตกแต่งให้ได้กลิ่นอายของพระพุทธศาสนา พี่เห็นว่าเรากำลังตกแต่งหอศิลป์กันอยู่พี่ก็เลยเสนอให้เขาลองเข้ามาดูงาน เผื่อเขาจะชอบ” พิเชษฐ์อธิบายหลังจากที่เห็นน้องสาวทำหน้าเครียด เขาเองมองเห็นผลประโยชน์ทางการค้าในงานนี้ด้วย ถ้าหากลูกค้าพึงพอใจในผลงานที่หอศิลป์แล้วล่ะก็ธุรกิจของครอบครัวที่มายาเป็นคนบริหารก็อาจจะไปรุ่งด้วยเช่นกัน
                 “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ แล้วลูกค้าคนนั้นเขาจะมาเมื่อไหร่คะ?” หญิงสาวถาม
                 “เดือนหน้า แล้วพี่ก็เชื่อว่ากว่าลูกค้าจะมางานภายในก็ต้องเสร็จเป็นบางส่วนแล้วเหมือนกัน เธอไม่เสียหน้าแน่นอน พี่รับรองได้” พิเชษฐ์พูดเสียงหนักแน่นเพื่อหวังจะให้น้องสาวของเขารู้สึกดีขึ้น แต่ไม่ใช่เลย มายากลับคิดมากหนักกว่าเดิม เพราะถ้าลูกค้าจะมาเดือนหน้า ก็เท่ากับว่าเธอต้องเร่งงานให้มีบางส่วนต้องวาดโครงร่างเสร็จและเริ่มลงสีได้แล้ว แต่ถ้าหากเธอเร่งงาน ลายเส้นที่อ่อนช้อยก็อาจจะกลายเป็นกระด้างเพราะความเร่งรีบก็เป็นไปได้ แต่ถ้างานล่าช้าลงสีไม่ทันให้ได้เห็นความงามก่อนลูกค้าจะมาพี่ชายของเธอก็อาจจะเสียหน้าไปอีกคน


วันต่อมา

                มายามาที่หอศิลป์ในตอนสายๆของวัน เช้านี้เธอรู้สึกไม่ดีเลยเธอไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะมัวแต่คิดว่าจะจัดสรรเวลาอย่างไรให้งานเสร็จเร็วและออกมาดี สุดท้ายเธอมาผล็อยหลับเอาตอนรุ่งเช้าแล้วก็ฝืนพาตัวเองมาตรวจงานเอาตอนสาย
                “สวัสดีครับคุณมายา” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับปรากฏร่างของเจ้าของเสียงที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามายกมือไหว้ทักทายเธออยู่ไม่ไกล บุรินทร์นั่นเอง
                “สวัสดีค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?” มายารับไหว้และทักทายกลับก่อนจะเอ่ยถามตามมารยาทของผู้เป็นนายจ้าง
                “เปล่าครับ ไม่มีอะไร ผมแค่เห็นว่าวันนี้คุณมาสายกว่าปกติก็เลยเข้ามาทักเฉยๆน่ะครับ” บุรินทร์ ช่างวาดหนุ่มผู้มีแววจิตรกรฝีมือดีตอบเสียงใส
                “ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่นอนดึกนิดหน่อยก็เลยตื่นสาย ว่าแต่งานคุณคืบหน้าถึงไหนแล้วคะ” หญิงสาวตอบแล้วถามเข้าประเด็นที่ทำให้เธอคาใจมาทั้งคืน
                “ผนังด้านหนึ่งก็ลงเส้นเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ เหลือตัดเส้นให้คมขึ้นแล้วก็ลงสี” บุรินทร์ตอบ คำตอบของเขาทำให้มายาสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย อย่างไรเสียถ้าลงสีเสร็จเร็วก็คงจะพอกู้หน้าเธอกับพี่ชายไม่ให้แตกระหว่างที่ลูกค้ามาชมได้
ผนังทรงสี่เหลี่ยมที่เคยเป็นผนังโล่งเปลือยไม่มีเอกลักษณ์ บัดนี้ได้มีลวดลายที่ลงลายเส้นไว้อย่างละเอียดอ่อน ถึงแม้ตอนนี้จะมีเพียงรอยดินสอที่ร่างไว้แต่มันก็ให้ความรู้สึกละมุนละไมไม่ต่างจากภาพเขียนที่ลงสีเท่าไรนัก แต่ถ้าหากว่าตัดเส้นให้คมและลงสีให้เสร็จผนังนี้ก็คงจะดูดีขึ้นมาอีกมากและคงให้ความรู้สึกแตกต่างจากตอนที่ยังเป็นผนังโล่งๆอยู่ไม่น้อย
                “วันนี้คุณจะตัดเส้นได้ถึงครึ่งหนึ่งหรือเปล่า?” มายาถามขณะยังมองไปที่ลวดลายบนผนังอย่างไม่ละสายตา
                “ก็อาจจะเป็นไปได้ครับ แต่ผมคิดว่าถ้ารีบทำให้มันเสร็จเร็วลายเส้นจะออกมาไม่สวย” บุรินทร์ตอบ การจะตัดลายเส้นให้สวยคมนั้นต้องอาศัยความตั้งใจและสมาธิอย่างมาก ไม่เช่นนั้นลายเส้นที่ตัดออกมาจะไม่เสมอกับรอยดินสอและอาจจะแข็งกระด้างจนให้ความรู้สึกไม่อ่อนช้อยก็เป็นได้
                “แต่ฉันต้องการให้งานเสร็จเร็วและมีคุณภาพ เดือนหน้าลูกค้าจะเข้ามาดูสถานที่ฉันก็ไม่อยากจะเร่งงานแบบนี้หรอกนะ แต่ถ้ายังไม่มีผลงานอะไรอาจจะทำให้เสียโอกาสดีๆไปเลยก็ได้” นายจ้างสาวพูดต่อเสียงเครียดและใบหน้าของเธอก็ฉายแววไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด
               “คุณมายาครับ ผมเข้าใจคุณนะ แต่งานศิลปะจำเป็นต้องใช้เวลาและต้องอาศัยอารมณ์ความรู้สึกของผู้วาดด้วยนะครับ” บุรินทร์พูดขึ้นเสียงเบา เขาเข้าใจว่านายจ้างรู้สึกกดดันที่ต้องมาเร่งงานทั้งๆที่อยากให้ออกมาดี แต่เขาก็อยากจะบอกให้รู้ว่างานพวกนี้ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ
               “อารมณ์ความรู้สึกหรือคะ?” นายจ้างสาวหันมาถามด้วยสีหน้าชวนสงสัย
               “ใช่ครับ อารมณ์และความรู้สึกของผู้วาดจะทำให้ผลงานต่างๆถูกสื่อออกมาในรูปแบบทางอารมณ์ที่ต่างกัน มันก็ไม่ใช่แค่งานจิตรกรรมนะครับ งานประติมากรรมหรือแม้แต่สถาปัตยกรรมเองก็ด้วย” ช่างวาดหนุ่มอธิบาย แต่เมื่อเห็นนายจ้างของเขายังทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจเขาจึงอธิบายต่อ
               “อ่า...ถ้าอย่างนั้นคุณลองนึกถึงพระพุทธรูปดูนะครับ ที่พระพักตร์ของพระพุทธรูปจะสื่ออารมณ์และความรู้สึกออกมา ถ้าหากว่าพระพุทธรูปองค์นั้นถูกสร้างขึ้นในช่วงสงคราม ช่างหล่อพระก็จะมีอารมณ์ความรู้สึกไม่สบายใจส่งผลให้หล่อพระออกมาแล้วองค์พระมีพระพักตร์ที่เศร้าหมอง แต่ถ้าหากสร้างในช่วงที่บ้านเมืองกำลังเจริญรุ่งเรือง ช่างหล่อพระก็จะมีความสุขหรืออารมณ์ดีส่งผลให้พระพุทธรูปที่หล่อออกมามีพระพักตร์ที่สดใส งานสถาปัตยกรรมและงานจิตรกรรมก็เช่นกันครับ” ขณะที่บุรินทร์อธิบาย มายาก็คิดภาพตามไปด้วยทำให้เธอเข้าใจสิ่งเขาบอก แต่เธอยังไม่หายเครียดเรื่องงานอาจจะเสร็จไม่ทันก่อนลูกค้าจะมาอยู่ดี
                “แต่ฉันก็ยังกลัวว่างานจะเสร็จไม่ทันอยู่ดี” หญิงสาวพูด
                “แล้วคุณเชื่อว่าผมจะทำเสร็จทันไหมล่ะครับ?” บุรินทร์ย้อนถามด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วมองตรงเข้าไปในดวงตาของนายจ้างสาว
               “ฉันคิดว่าฉันเชื่อคุณได้แต่มันก็ไม่มีอะไรมายืนยันได้นี่ แล้วคุณก็บอกว่างานศิลป์ต้องอาศัยอารมณ์และความรู้สึก ฉันก็ไม่อยากจะเร่งงานให้คุณรู้สึกกดดัน” มายาตอบช่างวาดหนุ่มฟังแล้วก็อมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดให้กำลังใจนายจ้างของเขา
               “ทุกอย่างมันจะเป็นไปตามที่คุณเชื่อครับ ความเชื่อไม่ต้องการสิ่งยืนยัน ถ้าเป็นอะไรที่ต้องใช้สิ่งยืนยันสิ่งนั้นจะไม่ใช่ความเชื่อ” บุรินทร์พูดแล้วยิ้มให้กำลังใจก่อนจะหันกลับไปมองงานตรงหน้าแล้วนั่งลงเริ่มตัดเส้นลายไทยที่วาดไว้บนผนังอย่างจริงจัง สิ่งที่เขาพูดและสิ่งที่เขาทำมันทำให้มายาอดคิดไม่ได้ว่าคนๆนี้เป็นแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยจริงๆหรือ เขาดูมีความคิดเป็นผู้ใหญ่เสียมากกว่า แถมคำพูดเขาแต่ละคำยังสามารถทำให้คนสนใจและประหลาดใจได้อีกด้วย ตอนที่เธออายุเท่าเขาเธอยังทำแบบนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ


เย็นวันนั้นเอง

               ตั้งแต่ที่มายากลับมาถึงบ้านเธอก็เอาแต่คิดวนไปวนถึงสิ่งที่บุรินทร์บอกเธอเมื่อตอนสาย คำพูดของเขามันก็ไม่ได้เข้าใจยากหรอกแต่ว่าเธอกลัวที่จะต้องเชื่อในสิ่งที่ไม่มีหลักประกันเสียมากกว่า ถึงจะพยายามปลอบใจตัวเองว่าการทำงานทุกอย่างย่อมมีความเสี่ยง แต่สำหรับงานนี้มันไม่เหมือนกันเธอไม่ได้ทำเพื่อธุรกิจแต่เธอทำเพื่ออนุรักษ์
               “โอ๊ย... คิดจนปวดหัวหมดแล้วเนี่ย!!” หญิงสาวบ่นออกมาเบาๆแล้วทึ้งผมตัวเองอย่างหงุดหงิดก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียง
               “ความเชื่อไม่ต้องการสิ่งยืนยัน... อย่างนั้นเหรอ... แล้ว... ฉันควรเชื่อไหมนะ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองก่อนที่หนังตาจะหนักอึ้งและปิดลงเพราะความเหนื่อยล้า

 
                                                                    --------------------------------------
 

หลายวันต่อมา

                มายาไม่ได้เข้ามาดูงานในหอศิลป์เลยเพราะติดงานต้องไปเจรจาธุรกิจที่ต่างประเทศ พิเชษฐ์เองก็มีงานออกแบบที่ต้องจัดการให้ลูกค้า ทำให้หลายวันมานี้ไม่มีใครเข้าไปตรวจงานเลยและด้วยความที่นายจ้างไม่ว่างมาคุมงานทำให้พวกลูกจ้างที่ขี้เกียจพากันอู้งานจนกลายเป็นพอกหางหมู
               “คุณลุงครับ นี่ยังไม่ถึงเวลาพักเลยทำไมมัวแต่นอนล่ะครับ?” บุรินทร์พูดถามชายวัยกลางคนที่เป็นช่างวาดอยู่อีกห้อง
               “ก็ไม่มีคนคุมงานทั้งทีก็ขอขี้เกียจสักหน่อยมันจะเป็นอะไรไปล่ะวะ” เสียงลุงคนนั้นตอบกลับมาอย่างไม่ค่อยพอใจ
               “เดี๋ยวงานก็เสร็จไม่ทันหรอกครับ เห็นใจนายจ้างหน่อยสิครับลุง” ช่างวาดหนุ่มพูดต่อ เขาไม่ชอบที่มีคนกินแรงคนอื่นอย่างลุงคนนี้เลย ค่าจ้างก็ได้เท่ากันแต่กลับมีคนอู้งานแบบนี้แล้วพวกคนที่เขาตั้งใจทำงานอย่างจริงจังล่ะ แบบนี้มันเอาเปรียบกันชัดๆ
               “นายจ้างเขาก็ควรเห็นใจลูกจ้างบ้างไหมวะ ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุดเลยเนี่ย” ลุงคนนั้นเถียงกลับ
                “แต่เขาก็ให้ค่าตอบแทนคุ้มไหมล่ะครับ ในเมื่อเขาให้เราเต็มร้อยเราก็ควรให้เขาเต็มร้อยด้วยเหมือนกัน อีกอย่างถ้างานไม่มีอะไรคืบหน้าแล้วคุณมายาเขากลับมาเห็นพวกเราจะเดือดร้อนกันหมดนะครับลุง” ช่างวาดหนุ่มพูดต่อพร้อมกับใช้เหตุผล แต่เหมือนลุงหัวดื้อคนนี้จะไม่ฟังเขาเลยสักนิด
                “คนอื่นเขาก็อู้งานกันเหมือนกันเอ็งก็ไปบอกคนอื่นบ้างสิ มาว่าข้าคนเดียวแบบนี้มันไม่ถูกนะโว้ย เป็นเด็กเป็นเล็กไม่มีสัมมาคารวะเลยมาพูดสั่งสอนผู้หลักผู้ใหญ่เอ็งเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ” ลุงคนนั้นเถียงกลับเอาปาวๆไม่ฟังเหตุผล บุรินทร์เองก็เหนื่อยที่ต้องต่อปากต่อคำเหมือนกัน เขาก็ทำได้แค่ทำหน้าที่ของตัวเองออกมาให้ดีใครจะอยู่ใครจะไปก็แล้วแต่เขาเถอะ
พระอาทิตย์ตอนกลางวันแผดแสงแรงกล้าออกมาราวกับจะเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้ แต่ที่หอศิลป์แห่งนี้ได้ปลูกต้นไม้ไว้ทั่วบริเวณทำให้อากาศไม่ร้อนมากเท่าไรนัก บุรินทร์ที่พักจากงานตัดเส้นและลงสีผนังก็ออกมานั่งกินข้าวคนเดียวบนม้านั่งหินอ่อนใต้ต้นไม้
                “เป็นเด็กแล้วไม่มีสิทธิ์พูดอะไรเลยหรือไง พวกคนแก่นั่นแหละยึดเอาแต่ความคิดตัวเองไม่เปิดรับคำแนะนำจากคนอื่น แย่มาก!” ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองพลางตักข้าวเข้าปากตัวเองอย่างนึกโมโห เพราะประเทศนี้มันมีคนกินแรงคนอื่นอย่างลุงคนนั้นไงประเทศถึงได้ไม่พัฒนาเสียที
                “มัวบ่นอะไรคนเดียวน่ะ พูดไปกินไปเดี๋ยวก็ข้าวติดคอหรอก” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกลับปรากฏเงาของใครบางคนที่มายืนอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มเงยหน้ามองแล้วเผลออุทานชื่อคนๆนั้นออกมาทันที
                “คุณมายา!” บุรินทร์อุทานออกมาเสียงดังอย่างลืมตัวทำให้สำลักข้าวที่อยู่ในปากจนต้องรีบลนลานหยิบน้ำขึ้นมาดื่มให้โล่งคอ
                “เอาเข้าไป พูดยังไม่ทันขาดคำ เป็นอะไรมากไหม?” หญิงสาวที่ยืนดูอยู่ช่วยหยิบขวดน้ำให้แล้วพูดออกมาด้วยความเป็นห่วง
                “ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณนะครับ” บุรินทร์พูดขึ้นหลังจากที่รู้สึกดีขึ้นแล้ว เขานึกไม่ถึงเลยว่ามายาจะมาในวันนี้เห็นหายไปหลายวันก็คิดว่าติดงานจนไม่ว่างมาเสียอีก
                “แล้วทำไมออกมานั่งคนเดียวล่ะ คนอื่นไปไหนหมด?” นายจ้างสาวถามพลางนั่งลงบนม้านั่งตรงหน้าเขา
                “อยู่ข้างในครับ ผมรำคาญก็เลยออกมา” ชายหนุ่มพูดเสียงขุ่นแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ
                “มีเรื่องทะเลาะกันเหรอ?” คำถามจากคนตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้นมามองอีกครั้ง
                “เปล่าครับ เหมือนผมหงุดหงิดอยู่คนเดียวมากกว่า” บุรินทร์ตอบอันที่จริงเขาไม่กล้าพูดว่ามีคนอู้งานต่างหากเพราะเขารู้ว่ามายาต้องการให้งานออกมาเสร็จเร็วและมีคุณภาพ ถ้าหากพูดออกไปจะให้คิดมากกว่าเดิมเปล่าๆ
                “อ้าว หงุดหงิดแล้วจะทำงานได้เหรอ?” นายจ้างสาวถามอีกครั้งเธอถามแบบนี้ก็เพราะบุรินทร์เคยบอกเธอว่างานจะออกมาดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับอารมณ์ของคนทำ นั่นก็เลยทำให้เธอสงสัยว่าเขาหงุดหงิดแบบนี้จะมีกะจิตกะใจทำงานหรือเปล่า
                 “ผมแยกแยะได้ครับ ว่าแต่คุณเถอะไม่ติดงานที่อื่นเหรอครับถึงได้มาที่นี่” ชายหนุ่มตอบแล้วถามกลับ
                 “ก็เพิ่งว่างมานี่แหละ ฉันซื้อขนมหวานมาฝากด้วยนะ รับไปสิ” มายาพูดเสียงใสแล้วส่งถุงขนมให้ช่างวาดฝีมือดีที่เธอชื่นชมไปประมาณสามถึงสี่ถุง
                 “ขอบคุณมากนะครับ แล้วทำไมคุณซื้อมาตั้งเยอะครับเนี่ย?” ชายหนุ่มยกมือไหว้แล้วกล่าวขอบคุณก่อนจะรับเอาถุงขนมมาเปิดดู
                 “ก็ไม่อะไรหรอก แค่คิดได้น่ะว่ายังไม่เคยเลี้ยงหรือให้อะไรคนที่เขามาทำงานให้เลย คิดเสียว่าเป็นน้ำใจเล็กน้อยก็แล้วกัน” มายาตอบยิ้มๆ
                 “ไม่เห็นต้องลำบากซื้อมาเลยนี่ครับพวกผมก็แค่ทำงานตามหน้าที่ไม่ได้หวังอะไรมากมายอยู่แล้ว” บุรินทร์พูดเสียงแผ่วลง บางทีคนที่ไม่หวังผลในการทำงานอาจจะมีแค่เขาคนเดียวก็ได้
                 “ฉันไม่ลำบากหรอก อะไรที่แบ่งปันกันได้ฉันก็อยากจะแบ่งนะ” มายาพูด สำหรับเธอแล้วการเสียเงินสักจำนวนหนึ่งมาซื้อของเลี้ยงคนเพียงแค่ไม่กี่คนมันไม่ได้หนักหนาอะไรเลย เพราะเธอใช้แรงงานเขาเธอก็ควรจะตอบแทนดีๆบ้าง
                 “แล้วคุณไม่เอาไปแบ่งให้คนที่อยู่ข้างในบ้างเหรอครับ?” ชายหนุ่มถามกลับอีกครั้ง
                 “ให้สิ คุณอย่าเพิ่งหายไปไหนนะเดี๋ยวฉันออกมาคุยต่อ” พูดจบนายจ้างสาวก็เดินเข้าไปในตัวอาคาร บุรินทร์เองก็อดคิดเล่นๆไม่ได้ว่าถ้าพวกคนงานที่เหลือเห็นมายาพวกนั้นจะตกใจเหมือนเขาไหม แล้วถ้ามายาเดินตรวจงานวันนี้คงมีคนโดนเล่นงานแน่ๆ
                 “บุรินทร์!!” สักพักหนึ่งมายาก็เดินกลับออกมาแต่กลับมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนักพร้อมกับเรียกชื่อเขาเสียงดัง“ครับ?” เจ้าของชื่อหันไปขานรับโดยที่ยังถือช้อนกินข้าวอยู่ “มีอะไรเหรอครับคุณมายา?”
                  “ระหว่างที่ฉันไม่อยู่มันเกิดอะไรขึ้น?!” นายจ้างสาวถามเสียงเฉียบแล้วส่งสายตาดุๆมาทางบุรินทร์อย่างขอคำตอบ สงสัยคนโดนเล่นงานอาจจะไม่ใช่บางคนแต่คงเป็นทุกคนเสียแล้ว
                 “นี่พวกคุณไม่เห็นความสำคัญของงานกันเลยเหรอคะ เห็นว่าฉันใช้งานพวกคุณฟรีๆหรือไง?!” หญิงสาวผู้เป็นนายจ้างตวาดดังลั่นท่ามกลางบรรดาคนงานที่ยืนเรียงแถวก้มหน้าไม่สบสายตาเธอ เธอถามใครก็ไม่มีใครตอบอะไรพอไปถามบุรินทร์เธอคิดว่าน่าจะได้คำตอบจากเขาแต่เขาก็เอาแต่อ้ำๆอึ้งๆ สุดท้ายก็ต้องเรียกมารวมกันแล้วสวดแบบรวดเดียวจบ
                 “งานมันยากมากนักหรือคะ พวกคุณรับงานนี้กันเองแท้ๆทำไมไม่มีความรับผิดชอบเลยล่ะ?!” เป็นอีกครั้งที่เธอพูดแล้วไม่มีคำตอบจากกลุ่มคนที่ยืนเรียงแถวอยู่ตรงหน้า
                 “พอไม่มีคนคุมงานพวกคุณก็ทำตัวขี้เกียจแบบนี้มันกินแรงคนที่เขาตั้งใจเกินไปไหม ถ้าอย่างนั้นฉันให้ค่าจ้างตามผลงานดีไหมคะพวกคุณจะได้ตั้งใจกันแบบจริงจังได้เสียที?!” มายาพูดเสียงจิกกัดพลางเดินไล่สบตาคนงานทีละคน ในบรรดาคนงานหกคนนี้มันจะมีแค่สองสามคนเท่านั้นแหละที่ไม่หลบสายตาเธอ ซึ่งคนพวกนี้คือคนที่ตั้งใจทำงานพวกเขาจึงไม่สะทกสะท้านกับคำต่อว่าพวกนี้และหนึ่งในนั้นก็คือบุรินทร์
                  “เหลือเวลาอีกแค่สองอาทิตย์เท่านั้น อีกสองอาทิตย์จะมีลูกค้ามาดูงาน ถ้าถึงตอนนั้นแล้วงานตกแต่งชั้นแรกยังไม่เริ่มตัดเส้นหรือลงสีล่ะก็...” หญิงสาวใช้เสียงโทนต่ำและลากเสียงค้างไว้เพื่อบ่งบอกว่าสิ่งที่เธอจะพูดต่อไปนี้ไม่ได้พูดเล่นและจิกสายตามองคนงานอย่างเคืองๆ ถ้าอยู่กันแค่นี้ดูแลกันเองไม่ได้ก็ไม่ต้องไปหวังจะเป็นใหญ่เป็นโตแล้ว
                “ฉันจะเลิกจ้าง แล้วจะไม่ฟังคำแก้ตัวอะไรทั้งสิ้นด้วย แยกย้ายกันไปทำงานได้แล้ว” พอมายาพูดจบเหล่าช่างวาดทั้งหลายก็แยกย้ายกันไปตามมุมของตนโดยมีนายจ้างสาวใช้สายตาดุๆมองดูการทำงานอยู่ไม่ไกล
                พอตกเย็นเมื่อคนงานกลับบ้านกันหมดแล้วมายาก็โทรเรียกให้ช่างมาติดตั้งกล้องวงจรปิดทั้งในและนอกงตัวอาคาร โดยซ่อนไว้ไม่ให้เป็นที่สังเกตเห็นแล้วที่นี้แหละเธอจะได้รู้สักทีว่าตอนเธอเผลอใครมันตั้งใจและใครมันขี้เกียจ


                                                              --------------------------------------


                  ก่อนถึงวันที่ลูกค้าจะเข้ามาดูงานมายาและพิเชษฐ์ก็ได้มาดูความเรียบร้อยของสถานที่อีกครั้ง ผนังทุกด้านของชั้นแรกได้ลงสีจนเสร็จสิ้น ลวดลายดูมีความวิจิตรงดงามมากในแต่ละห้องจะใช้โทนสีต่างกันออกไปตามผลงานที่จะนำมาจัดแสดง  ซึ่งในแต่ละห้องนั้นก็ได้ทำความสะอาดแล้วเอาพวกประติมากรรมและงานจิตรกรรมที่เก็บไว้ออกมาเรียง เมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วหอศิลป์บริเวณห้องจัดแสดงชั้นแรกก็ดูสวยผิดตาจากตอนแรกที่มีแค่ผนังเปลือยโล่งๆไปเลย ทุกสิ่งเป็นไปตามที่มายาคาดไว้แบบไม่ผิดเพี้ยน
                 “แล้วตอนนี้ชั้นบนเริ่มตกแต่งหรือยัง?” พิเชษฐ์ถามขึ้นหลังจากเดินดูห้องจัดแสดงชั้นล่างจนทั่ว
                 “เริ่มแล้วค่ะ คาดว่าไม่เกินปีนี้ก็น่าจะเปิดให้เข้าชมได้แล้วล่ะค่ะ” มายาตอบ ถึงแม้ว่าเวลาทั้งหมดอาจจะเกินที่เธอตั้งเป้าไว้ไปอีกครึ่งปี แต่ถ้ามันทำให้ผลงานออกมาดีเธอก็ยอม
                 “พรุ่งนี้ลูกค้าจะเข้ามาดูที่นี่ ถ้าหากว่าเขาชอบการตกแต่งแบบนี้เขาก็อาจจะช่วยแนะนำชาวต่างชาติคนอื่นๆให้มาเที่ยวชมที่นี่ด้วยก็ได้นะ แล้วมันก็เป็นโอกาสดีที่จะมีคนหันมาสนใจงานศิลปะไทยเพิ่มขึ้น” พิเชษฐ์พูด มายาฟังแล้วก็มีแรงที่จะปรับปรุงสถานที่นี้ต่อ เธอจะไม่ทิ้งที่นี่ไปแน่ๆต่อให้ต้องเจออุปสรรคที่จะเข้ามาในอนาคตก็ตาม เธอทุ่มเงิน ทุ่มแรง และทุ่มเวลาให้กับสถานที่นี้เยอะมาก เธอจะต้องทำให้มันมีประโยชน์ต่อคนในชาติให้ได้มากที่สุด


วันต่อมา

                  ทุกอย่างเป็นไปตามคาด เมื่อพิเชษฐ์พาลูกค้าต่างชาติเข้ามาที่หอศิลป์ ลูกค้าคนนั้นดูจะชอบที่นี่มากไม่ว่าจะเป็นทั้งการตกแต่งแต่งภายนอกและภายในหรือแม้แต่มารยาทแบบไทยๆที่เหล่าคนงานยกมือไหว้ทักทายเขา ก่อนที่เขาจะกลับไปคุยงานกับพิเชษฐ์ที่บริษัทเขาก็ได้พูดทิ้งท้ายให้กำลังมายาไว้ด้วย
                  “ผมชอบที่นี่นะครับ การตกแต่งที่นี่ดีมากๆเลย ทั้งๆที่ตัวอาคารเป็นแบบตะวันตกแท้ๆแต่คุณกลับบริหารการตกแต่งให้มีความเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมซึ่งนี่เป็นเรื่องดีนะครับ ทำต่อไปนะครับถ้ามีเรื่องให้ผมช่วยคุณบอกผมได้ตลอดเลย”
แต่เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ เมื่อมายาเห็นบุรินทร์เดินหน้าเครียดลงมาจากชั้นบนเธอก็ตรงเข้าไปถามไถ่ทันที
                  “เป็นอะไรหรือเปล่า?หน้าเครียดมาเชียว” นายจ้างสาวเปิดประเด็น
                  “เปล่าครับ...แต่อันที่จริงก็มีเรื่องอยู่เหมือนกัน” ช่างวาดหนุ่มตอบ
                  “มีอะไรเหรอ?” มายาถามอีกครั้ง แล้วเธอก็ได้รู้คำตอบที่ทำให้ช่างวาดหนุ่มคนนี้หนักใจ
                  “วันจันทร์ที่จะถึงนี้ผมต้องไปเรียนแล้วครับ แต่ผมจะพยายามหาเวลาว่างมาทำงานที่ค้างต่อให้เสร็จครับ” บุรินทร์ตอบเสียงอ่อนแล้วพยายามฝืนยิ้มออกมา มันเหมือนเวลาผ่านมาแค่ไม่กี่วันตั้งแต่ที่เขาได้มาเป็นช่างวาดที่หอศิลป์แห่งนี้ เขาเองก็อยู่ปีสี่แล้วเรียนก็เรียนแค่เทอมเดียว อีกเทอมหนึ่งที่เหลือก็ต้องฝึกงาน เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะมีเวลามาช่วยงานที่นี่อีกนานแค่ไหน
                  “ไม่เป็นไร ถ้าไม่ว่างจริงๆก็ไม่ต้องฝืนมาก็ได้” มายาพูดแล้วยิ้มบางๆหวังจะช่วยคลายความกลุ้มใจให้เด็กหนุ่มตรงหน้า แต่เขาก็ไม่ได้ยิ้มตามเธอเลย
                  “ผมจะมาครับ งานจะได้เสร็จคุณจะได้ไม่ต้องคิดมาก แล้วก็...ผมจะมาเพื่อให้ได้เห็นหน้าคุณด้วย” ชายหนุ่มพูดเสียงเข้มเหมือนเป็นกังวลว่าเธอจะไม่สบายใจถ้าหากงานไม่เสร็จ แล้วเขาก็พูดเสียงอ่อนก่อนจะยิ้มออกมาในประโยคสุดท้ายทำเอานายจ้างสาวแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อยแล้วยืนนิ่งตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ บุรินทร์เห็นแล้วก็อดขำออกมาไม่ได้ มายาเองก็โดนเด็กคนนี้แกล้งพูดจากวนประสาทมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งแต่เธอก็ยังตามเล่ห์เขาไม่ทันสักที


                                                                --------------------------------------
       

                    หอศิลป์ที่ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอเรอเนสซองส์ซึ่งนำเข้ามาจากวัฒนธรรมตะวันตก ได้ถูกตกแต่งให้เคล้าไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นไทย ตัวอาคารสี่ชั้นแบ่งการจัดแสดงแตกต่างกันออกไป โดยชั้นแรกเป็นปะติมากรรมและจิตรกรรมที่แสดงออกทางด้านพระพุทธศาสนา ชั้นที่สองเป็นการจัดแสดงรูปหล่อหุ่นขี้ผึ้ง ชั้นที่สามเป็นที่สำหรับสาทิตการทำของใช้แบบภูมิปัญญาชาวบ้าน ชั้นที่สี่เป็นงานศิลปะร่วมสมัยและมรดกทางวัฒนธรรมประเภทต่างๆ และสุดท้ายโถงทรงแปดเหลี่ยมชั้นที่ห้ามีไว้สำหรับเป็นจุดชมวิว
                    หอศิลป์แห่งนี้ได้รับความสนใจจากผู้คนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างล้นหลาม ทำให้คิวการบรรยายประวัติของศิลปะรูปแบบต่างๆในแต่ละวันมีผู้คนจองเข้ามาจนแน่นเอี๊ยด แต่เจ้าของหอศิลป์อย่างมายาก็ไม่มีปัญหากับเรื่องการจัดตารางเวลาบรรยายงานต่างๆอยู่แล้วเพราะเธอมีวิทยากรคนเก่งของหอศิลป์คอยช่วยเหลือเธอทุกอย่าง เขาคนนี้คือคนที่มาเป็นช่างวาดลายไทยในช่วงปรับปรุงหอศิลป์ เขาคนนี้คือคนที่มาฝึกงานเป็นวิทยากรในสมัยเรียน และในปัจจุบันนี้เขาคือคนที่เป็นเหมือนครูที่คอยสอนเธอถึงสิ่งที่เธอไม่เคยรู้และเขาก็สอนคนอื่นให้รู้ถึงความงดงามของวัฒนธรรมผ่านคำพูดและการบรรยายผ่านตัวอักษร เขาทำให้ความต้องการที่จะฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทยของมายาเป็นจริง ผู้คนหันกลับมาสนใจพื้นฐานเดิมของตนเองอีกครั้ง และมีแนวโน้มที่จะช่วยกันสืบสานให้ความงดงามนี้อยู่คู่คนไทยไปอีกนานหลายชั่วอายุคน ไม่ใช่แค่มายาหรือพิเชษฐ์เท่านั้นที่พอใจกับสิ่งนี้ หลังจากที่ปรับปรุงหอศิลป์แห่งนี้จนเสร็จสองพี่น้องคู่นี้ก็ไปบอกให้พ่อกับแม่ได้รู้ว่าพวกเขาเปลี่ยนวิถีไทยดั้งเดิมที่หายสาบสูญไปให้กลับคืนมาได้ และทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าหากขาดเขาคนนั้น... คนๆนั้นเขาคือบุรินทร์
                    “พี่คะ ลายที่ขอบประตูนี่เรียกว่าอะไรหรือคะ?” เด็กประถมผู้อยากรู้อยากเห็นเอ่ยถามวิทยากรหนุ่มที่เพิ่งเรียนจบมาหมาดๆถึงลายไทยที่อยู่บนขอบประตู
                    “นั่นเรียกว่าแม่ลายประจำยาม ที่เรียกแบบนี้ก็เพราะว่าเชื่อกันว่าเป็นยามรักษาการณ์มีไว้สำหรับป้องการภัยอันตรายต่างๆ แม่ลายแบบนี้ถ้าหากนำไปใช้กับลวดลายอื่นก็จะมีชื่อเรียกต่างกันออกไป” บุรินทร์ตอบแล้วมองไปที่ขอบประตูนั้นก่อนจะอมยิ้มออกมา กว่าจะได้ลายไทยที่สวยงามเป็นที่ต้องตาต่อคนหมู่มากเช่นนี้ ตัวช่างวาดเองก็ต้องหลังขดหลังแข็งกันมาไม่น้อย ความงดงามแต่ละอย่างนั้นมีความเจ็บปวดซ่อนอยู่ลึกๆในตัวของมันเอง
                   
                     นิยามของวัฒนธรรมก็คือ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเกิดมาจากมิติอันหลากหลายของความคิด ความเชื่อ และวิถีแห่งภูมิปัญญาต่างๆอันเกิดจากการเรียนรู้ วัฒนธรรมล้วนมีลักษณะต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับพื้นที่ของผู้ที่คิดค้นขึ้น บางอย่างไม่ต้องตาก็ดับสูญ บางอย่างก็สืบทอดมาถึงปัจจุบัน ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับโอกาสและความจำเป็นต้องใช้ ถ้ามีโอกาสที่ดีวัฒนธรรมที่ถือกำเนิดขึ้นมาก็จะได้รับการสืบสานต่อไป แล้วสำหรับคุณ คุณคิดว่า ‘โอกาสมันมาจากไหน?’

3 ความคิดเห็น

  • บุคคลนั้น

    (Jeerapon201@gmail.com)

    01-09-2017 20:07:14

    รู้สึกว่าการบรรยายจะเป็นไปทางนิยายรักซะเยอะ จำเป็นต้องลงลึกถึงแก่นของอาคารด้วยหรือ ส่วนเนื้อหาเรื่องวัฒนธรรมแค่อ่านย่อหน้าสุดท้ายก็รู้เรื่องทั้งหมด

    #1

  • สุรีย์พร กาญจนชุม

    (Panyatanasan@hotmail.com)

    19-09-2017 10:56:53

    เพิ่งเริ่มหัดแต่งทำได้ขนาดนี้ก็สุดยอดอล้วค่ะเป็นกำลังใจให้พัฒนาต่อไปนะคะ

    #2

  • one man

    (panyatanasan2502@gmail.com)

    19-09-2017 11:04:35

    ถ้าจะเปรียบเทียบการแต่งเรื่องสั้นในเด็กวัยเดียวกันไม่เปรียบเทียบกับผู้ใหญ่ที่ช่ำชอง ก็นับว่าแต่งได้ดีมาก

    #3

แสดงความคิดเห็น