เด็กผู้หญิงผู้มีอคติ

ผู้แต่ง : เด็กหญิงอ.อ่าง

            “ขับรถเร็วๆสิเว้ย!!”
            “รีบไปหาพ่อแกรึไง”
            ท่ามกลางเมืองหลวงที่วุ่นวาย เสียงก่นด่าของคนเรายังคงดังก้องอยู่ในจิตใจ แม้ไม่มีเสียงบีบแตรที่ดังกังวานราวกับฟ้าผ่า ผู้คนก็รู้สึกได้ถึงความขุ่นเคืองในใจ รวมกันก่อรวมเป็นก้อนสีดำ ความเห็นแก่ตัวเริ่มเข้าครอบงำขับเลยผ่านดวงไฟสีแดงสีเขียวสีเหลืองที่เคยใช้ชี้นำพวกเขา กัดกินเวลาให้เลื่อนเลยออกไปเรื่อยๆ
            ภายในรถคันยาวที่รอคอยเวลาให้มันเคลื่อนออกไป เธอเช่นเดียวกับคนอื่นๆนั่งอยู่ภายใน รอให้รถคันยาวแล่นออกไปยังสถานที่อันเป็นจุดหมาย พวกเราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หวังเพียงเวลาจะเดินไปให้เร็วกว่าเดิมพร้อมๆกับสาปแช่งจราจรไปพลาง
            เธออยู่ในประเทศที่ชื่อว่า ‘ไทย’
            ก้อนสีดำเริ่มก่อขึ้นในตัวของเธอ
            เธอลงที่จุดหมายของเธอ ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ มันคำรามเสียงดังลั่นราวกับจะประกาศให้ทุกผู้ทุกแห่งรู้ถึงความผิดพลาดของเธอ
            “ทำไมแกถึงกลับบ้านดึก?!”
            แบตเตอรี่โทรศัพท์ของเธอหมด ทำให้ป้าโทรมาหาเธอไม่ได้และเธอเองก็โทรไปหาป้าไม่ได้เช่นกัน ป้าไม่ได้ว่าอะไรเธอมากและดึงเธอเข้าไปในบ้าน ก่อนจะกลับไปดูละครในโทรทัศน์ต่อ
            ในขณะที่เธอทิ้งตัวนอนและเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวของเธอ

            เธอเดินเข้าไปในสถานที่เรียนพิเศษของเธอ มันเป็นบรรทัดฐานที่ว่าใครเรียนไม่เก่ง ต้องเรียนพิเศษเพื่อให้คะแนนดีขึ้น ถูกบอกเล่าปากต่อปาก จนมันกลายเป็นเสมือนธรรมเนียมที่ต้องทำสืบต่อกันมา ไม่ว่าจะเรียนเก่งหรือไม่เก่ง บ้างก็ทำไปเพื่อแข่งขันกันภายในห้อง
            มันเป็นชีวิตของเด็กนักเรียนธรรมดา
            เธอนั่งลง เพื่อนของเธอหันมาทักเธอและหันไปเล่นโทรศัพท์ต่อระหว่างรอติวเตอร์เข้ามา เธอเองก็เปิดโทรศัพท์ขึ้นมาและเลื่อนดูอินสตาแกรมของเพื่อนสาว ยายนั่นเพิ่งลงรูปของมันกับแฟนไปเมื่อวาน
            เธอกดชอบและเลื่อนลงไปดูคอมเม้นต์
            “เดี๋ยวแฟนก็ทิ้ง”
            “เขาจีบเล่นเฉยๆปะคะน้อง?”
            “อ่อยเขาก่อนสิท่า”
            เธอวางโทรศัพท์ในมือลงและหันไปหามัน ยายนั่นยิ้มให้เธอและชี้ไปที่หน้ากระดานด้านหน้าเนื่องจากติวเตอร์เดินเข้ามาแล้ว รอยยิ้มของยายนั่นเป็นรอยยิ้มของคนที่กำลังฝืนใจ
            “ช่างมันเหอะแก”
            ก้อนสีดำของเธอรุ่มร้อนไปด้วยโทสะ
            เธอดึงสมุดออกมาและออกแรงลงไปบนด้ามปากกาเพื่อระบายอารมณ์ เธอหันไปตั้งใจฟังติวเตอร์ต่อ ถ้านั้นจะทำให้เพื่อนของเธอจะรู้สึกดีขึ้น
            เธอควรจะทำอย่างไรดี?
           
            เธอแยกตัวกับเพื่อนสาวและเตรียมจะกลับบ้าน แต่ไหล่ของเธอกลับโดนดึงเอาไว้ เธอจึงหันกลับไปมองและอดแสยะยิ้มออกมาไม่ได้ ทำไมกันนะ? คนที่ควรนั่งเรียนข้างเธอถึงได้มาอยู่ที่นี่
            หมอนั่นหอบหายใจ เขาแบกหนังสืออยู่เต็มหลังและในมือยังมีอีกสองสามเล่ม
            “วันนี้เรียนเรื่องอะไรมั่ง?”
            เธอคิดเอาไว้อยู่แล้ว
            พวกเธอนั่งลงที่ศูนย์อาหาร ระหว่างรอให้หมอนั่นลอกหนังสือของเธอ เธอก็ไปซื้อข้าวมาทาน พ่อแม่ของเขาค่อนข้างคาดหวังในตัวเขามากๆเพราะครอบครัวของเขาเป็นหมอทั้งคู่ หมอนั่นจึงโดนกดดันจากคนทั้งบ้าน แถมพ่อกับแม่ยังส่งให้เขาไปเรียนพิเศษหลายๆที่จนแทบไม่มีวันทำอะไร
            แต่คงไม่มีใครรู้ว่าหมอนั่นอยากเป็นสถาปนิก
            “อ้าวไงจ๊ะ พ่อหมอสุดหล่อของยาย”
            ยายของหมอนั่นเดินเข้ามา เธอมักจะเจอยายคนนี้อยู่บ่อยๆ ยายคนนั้นพูดเรื่องการเป็นหมอกับเขาและหันมาบออกเธอให้เอาหมอนั่นเป็นตัวอย่าง เธอเตรียมจะลุกขึ้นจากที่นั่ง แต่หมอนั้นกดมือของเธอเอาไว้
            ห้ามพูดแทรกผู้ใหญ่หรือทำตัวเสียมารยาท
            มันเป็นวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมา เธอนั่งลงเหมือนเดิม แม้ว่าสิ่งที่ยายพูดจะไม่มีประโยชน์กับเธอเลยก็ตาม เธอจะทำเพราะมันเป็นมารยาท

            เธอกลับมาบ้านด้วยมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เธอจ่ายเงินให้เขาและเข้าไปในบ้านหลังเล็กๆของเธอ ป้านั่งดูโทรทัศน์เหมือนเดิม แต่ครั้งนี้เธอลงไปนั่งด้วย โทรทัศน์กำลังฉายภาพของผู้หญิงคนหนึ่งหน้าดีคนหนึ่งที่ได้ดิบได้ดีจนเป็นใหญ่เป็นโตและผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวของป้าข้างบ้าน
            หญิงแก่วัยเกินสามสิบจับกลุ่มกันสุ้มหัวเล่าเรื่องต่างๆนานา วันนี้ใครเป็นอะไรบ้าง? หลานใครทำงานอะไรอยู่? และผู้หญิงพวกนั้นมักจะมายุ่มย่ามกับชีวิตของเธอกับป้า
            “โตขึ้นหนูจะเป็นอะไรเหรอคะ? หลานของป้าน่ะเป็น....”
            “ป้าบ้านเลขที่สิบสอง เขาโดนสามีเก่ามาหาด้วยแหละ”
            เสียงแหลมเรียวของพวกเธอกรีดลงมาในหูของเธอเสมอ ป้าไม่เคยพูดอะไรใส่คนพวกนั้น มนุษย์เพศหญิงวัยเกินสามสิบมักจะชอบเดินจับหัวกันนินทา แต่จริงๆก็ไม่ได้ช่วยอะไรพวกเธอเลย
            ตอนเด็กๆเธอได้แต่ยืนมองลุงทิ้งป้าไปเหมือนกับตอนที่พ่อของเธอโดนแม่ทิ้ง ก่อนที่ท่านจะเสียไปในปีต่อมา มีพวกผู้หญิงพวกนั้นมาหาเธอบ้าง แต่เธอก็ไม่เคยรู้สึกอะไรกับคำสงสารพวกนั้นเลย วันนั้นเธอได้แต่ปล่อยให้ป้ากอดเอาไว้ในอ้อมแขนและร้องไห้ออกมา
            เธอเหมือนกับหนูจนตรอกที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน มันก็คือกำแพง เธอไม่คอยชอบมันเท่าไหร่ แต่เธอรู้ว่าป้าจะอยู่กับเธอเสมอ เธอจึงสู้ต่อ
            เธอเอนไปพิงไหล่ของป้า
            “ป้ารักหนูไหม?”
            ป้าหันมามองเธอเหมือนแปลกใจ ก่อนจะดึงเธอเข้าโอบไว้แน่นๆ ไออุ่นแพร่ซ่านเข้าไปในร่างกายของเธอ มันลามเข้าไปถึงรอบดวงตาของเธอ ทำให้เธอต้องกระพริบตาถี่ๆเพื่อยั้งมันไว้
            ก้อนสีดำในตัวของเธอเต้นหนึ่งจังหวะ
            “ถ้าไม่รักแกและฉันจะไปรักใครวะ?”

            เด็กนักเรียนส่งเสียงดังโหวกเหวกโวยวาย ก้องเสียงดังสะท้อนไปทั่วโรงอาหาร ทุกคนคนวางถาดข้าวลงกับโต๊ะส่งเสียง ก๊อง แก๊ง ตามๆกันไป เด็กหลายไปรวมตัวจุกกันอยู่ด้านหน้าร้านค้า หยิบเงินให้และนำขนมกลับมา ไม่ได้ดูเป็นระเบียบมาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นวุ่นวาย
            เธอนั่งลงกินข้าวข้างๆกับเพื่อนของเธอทั้งสองคน เพื่อนสาวก้มมองโทรศัพท์ของตัวเองและมันยังไม่ได้แตะข้าวของตัวเอง เธอก้มหน้ากนข้าวของเธอไปต่อ ในขณะที่หมอนั่นพยายามมองเข้าไปในโทรศัพท์ของมัน เห็นดังนั้นเธอก็ลองเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาดูบ้าง
            คอมเม้นต์ต่างๆก็เริ่มมากขึ้น มีทั้งคอมเม้นต์ที่มาชมไอจีของมันและมาด่ามัน มีแฟนคลับของยายนั่นมาปกป้องมันบ้าง แต่เธอไม่คิดว่ามันจะช่วยอะไรได้ เธอวางโทรศัพท์ลง แต่หมอนั่นกลับดึงโทรศัพท์ของเธอไป เขาเลื่อนดูในโทรศัพท์และหันมาทางเพื่อนสาวของเธอ
            “ทำไมแกไม่บล็อกคนพวกนี้ไปว่ะ?”
            พวกเธอมองหน้าผู้ชายตรงหน้าพวกเธอ
            “ก็….ในเมื่อแกเป็นแอดมิน แกก็แค่บล็อกคนพวกนี้ออกไปก็ได้ใช่ไหมล่ะ? แถมในเครื่องของยายนี่ก็มีปุ่ม ‘รีพอร์ต’ หมายความในเครื่องแกก็ต้องมีปุ่ม ‘บล็อก’ อยู่ แค่นี้ไอดีของคนพวกนี้ก็เข้ามาดูไอจีแกๆไม่ได้แล้ว ”
            เพื่อนสาวของเธอมองหน้าหมอนั่น ก่อนจะพยายามหาปุ่ม ‘บล็อก’ เพื่อจะบล็อกคนพวกนั้นออกไป หมอนั่นส่งโทรศัพท์คืนให้เธอและยิ้ม
            หมอนั่นยิ้มในแบบที่เธอทำไม่ได้
            เธอรับโทรศัพท์มา พวกเธอมัวแต่คิดมากกับเรื่องเล็กน้อยๆ จนลืมไปว่าพวกเธอเองก็ทำอะไรได้เหมือนกัน คนอื่นจึงมาคิดมากเป็นเพื่อนพวกเธอ จนเป็นเรื่องใหญ่โต
            ก้อนสีดำในตัวเธอหัวเราะ
            “ดราม่าชะมัด”

            เธอก้าวขึ้นรถคันยาวและนั่งลงข้างริมหน้าต่าง รถคันอื่นค่อยๆเลื่อนตัวออกไปพร้อมกับรถของเธอ เธอมองออกไปด้านหน้า รถติดกันเป็นแพยาวจนสุดลูกตา กว่าเธอจะถึงบ้านคงอีกนาน เธอตั้งใจจะทิ้งตัวนอนปล่อยให้รถขับไปตามทางของมัน เว้นซะแต่ มันจะมีบางอย่างทำให้เธอต้องสะดุ้งตัวขึ้นมา
            “ในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ…”
            เสียงไซเรนรถพยาบาลดังขึ้น มันโฉบเฉี่ยวผ่านรถต่างๆเพื่อจะพาคนไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด คนขับรถเมล์หักพวงมาลัยออกไปด้านข้างสร้างช่องทางให้รถพยาบาลฝ่าเข้าไป แต่รถด้านหน้ากลับไม่ขยับตามขึ้นไป ทำให้รถพยาบาลผ่านไปไม่ได้ ทุกคนเพียงแค่เห็นแก่ตัว
            เธอก้มหัวลงแนบไปกับราวเหล็ก ความขมในปากเข้ามาแทนที่ส่วนว่างเปล่าในหัวใจของเธอ ไม่มีทางที่รถพยาบาลจะผ่านไปได้ มันคงจะยากเกินไปที่สร้างทางให้รถพยาบาลในเวลาแบบนี้ ทั้งเธอและรถพยาบาลจะต้องติดอยู่เส้นทางที่มองไม่เห็นแม้กระทั่งจุดหมาย
            “เป็นบ้าอะไร?! ขยับรถสิวะ!”
            ก้อนสีดำในตัวของเธอเรียกร้องให้เธอหันไปมอง
            คุณลุงที่ขับรถตะโกนขึ้นมา พอมีคนเริ่ม รถคันอื่นก็เริ่มจะทำตาม แต่ก็ยังมีรถที่ไม่ยอมขยับอยู่ดี คุณลุงคนนั้นสบถอออกเป็นคำหยาบ เขาทำท่าเหมือนจะเดินลงไปดันรถเอง แต่ว่ารถเก๋งที่อยู่อีกฝากหนึ่งกลับขับเข้าไปเบียดคันที่บังอยู่ จนแทบจะชนกัน
            เจ้าของรถคนนั้นหักพวงมาลัยเข้าไปชิดกับรถคันอื่น ส่วนรถเก๋งก็ขับตามเข้าไป สร้างทางคดเคี้ยวกันไปถึงหน้าไฟแดง คุณลุงโห่ร้องด้วยความดีใจ
            อาชาสีขาวฝ่ารถนับร้อยออกไป มันพาเอาผู้ป่วยที่อยู่ข้างในผ่านช่องทางแคบๆที่ถูกสร้างขึ้น มันไม่ได้บ่นอะไร แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลานาน หน้าที่ของมันคือการพาคนเจ็บไปยังโรงพยาบาล อาชาตัวนั้นวิ่งไปตามทางของมันและพุ่งตรงไปด้านหน้าผ่านเขตกั้นที่ไม่มีใครผ่านไปได้
            มันฝ่าออกไปได้
            ทุกคนหันมามองหน้ากัน พวกเขาขยับรถกลับที่เดิม แม้จะเลยเส้นที่กำหนดมานิดหน่อย รถคันเล็กก็พอจะเข้าไปในเลนได้อย่างปกติ เว้นซะแต่รถคันยาวของพวกเธอ มันขยับไปไหนไม่ได้เพราะขนาดของมัน แต่อาชาสีขาวได้ทิ้งของขวัญไว้ให้พวกเขาทุกคน
            สัญญาณไฟสีแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียว
            “ให้มันได้อย่างนี้สิวะ”
            รถคันยาวหันกลับไปที่เดิมและแล่นพาผู้โดยสารของมันไปยังจุดหมาย

            เธอก้าวลงจากรถคันยาวและหันไปทางสถานที่ที่มอเตอร์ไซค์รับจ้างมารวมกัน บริเวณรอบๆมีเพียงพวกผู้หญิงผู้ชายและนักท่องเที่ยว แต่ไม่มีใครสักคนที่จะเธอไปส่ง เธอจึงตัดสินใจนั่งลงและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะตัดตัวเองอออกจากสิ่งรอบข้าง
            ไม่ว่าเธอจะมองไปทางไหนก็จะเจอกับผู้คนมากมาย เสียงดนตรีเบาๆและเสียงพูดคุย เธอวางเธอโทรศัพท์ลงและเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า ตอนที่พ่อของเธอยังอยู่ เขามักจะพาเธอออกไปด้านนอก บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ที่เป็นสีดำจะมีประกายแสงสีขาวเล็กๆลอยอยู่ตรงนั้นเคียงคู่กับพระจันทร์ที่ส่องประกายเด่นกว่าทุกคน
            เขาจะออกไปกรีดยางออกจากต้นไม้สูงลิบที่เธอมองไม่เห็นยอด พ่อจะผูกกะลาอันเล็กเอาไว้กับต้น เผื่อว่ายางมันจะออกมาหลังจากที่พ่อเดินออกไป เธอจะวิ่งเล่นอยู่ท่ามกลางต้มไม้สูงลิ่วพวกนั้นและท่องสูตรคูณไปด้วยเพื่อให้พ่อรู้ว่าเธออยู่ตรงนี้
            พอตอนเช้าเธอกับแม่ก็จะเอายางที่พ่อกรีดมาทำเป็นแผ่น เธอจะแขวนมันกับไม้ไผ่และรอให้แห้ง ก่อนจะเอาไปขาย เราสามคนแทบไม่ต้องทำอะไร แค่กรีดยางและเอามาแปรรูป
            แต่แม่กลับตัดสินใจพาเธอและพ่อย้ายมาเมืองหลวง ที่นี่อะไรก็สุขสบาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกตลอด ชีวิตมันกลับดูสบายขึ้นทุกที
            เธอเคยสงสัยว่าคนแบบพวกเธออยากกลับไปบ้างไหม?
            “น้องไปไหม?”
            พี่วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างขับมาด้านข้างเธอและกวักมือเรียก เธอจึงกระโดดขึ้นรถไป เธอลองโทรไปหาป้าดูเพราะแบตเตอรี่ใกล้จะหมดเต็มที แต่ป้ากลับไม่รับ เธอจึงปิดโทรศัพท์ไป แต่ก่อนจะกดปิดโทรศัพท์ กลับมีสายของหมอนั่นโทรเข้ามา เธอกดรับ
            “ฮัลโหล?”
            “ตอนนี้แกอยู่ไหน!? ป้าของแกเข้าโรงพยาบาล โรงพยาบาลที่แม่ฉันทำงานอยู่ แกต้องรีบมาเลยนะเว้ย?!”
            ก้อนสีดำในตัวเธอกรีดร้อง
            เธอรีบบอกให้พี่วินมอเตอร์ไซค์พาเธอไปที่โรงพยาบาล เขาพยักหน้าและรีบซิ่งไปอีกทาง เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันเหมือนกระทิงที่พร้อมจะพุ่งตรงไปยังผ้าแดงที่มาทาดอร์ถืออยู่ พี่วินมอเตอร์ไซค์เร่งเครื่อง เขาตั้งจะฝ่าไฟเขียวไปให้ได้ แต่เวลาเหลืออีกเพียงไม่กี่วินาที
            “ชิ…ไม่ทันเว้ย!”
            พวกเธอหยุดตรงทางแยกพอดี เธอกุมมือไว้แน่น ความรู้สึกต่างๆกำลังปะทุอยู่ภายในพร้อมกับหัวใจของเธอที่เต้นดังราวกลองรบ เสียงเครื่องยนต์ของรถอีกคันดังขึ้นมาปลุกความสงสัยในตัวเธอ รถเก๋งสีเทาคันหนึ่งกำลังแล่นมาและมันกำลังแล่นตรงมาทางพวกเธอ
            เธอปิดตาลง
            แรงกระแทกปะทะเข้าที่มอเตอร์ไซค์ ร่างกายของเธอวูบโหวงเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนกระแทกลงกับพื้น ความเจ็บปวดก่อขึ้นทั่วทั้งร่างกายของเธอ มันไม่ปราณีเธอแม้แต่น้อย น้ำอุ่นสีแดงข้นไหลลงมาตามต้นแขนของเธอและหยดลงไปกับพื้น มันคือเลือด เลือดสดๆที่มาจากร่างกายของเธอ
            ตอนนี้เธอเห็นเพียงสีขาว แขนของเธอทั้งเจ็บและปวด แต่เธอกลับรู้สึกอยากไปหาป้า เธออยากไปเจอกับป้า เธอไม่อยากมานอนตายอยู่ตรงนี้ แต่ร่างกายดันไม่ยอมขยับตาม
            ก้อนสีดำในตัวเธอกำลังร้องไห้
            “น้อง…น้อง! ยังไหวไหม? ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลกับรถตำรวจที!”
            ใครก็ได้ช่วยเธอที

            “แก! เป็นอะไรไหม?!”
            เธอลืมตาขึ้น ร่างกายของเธอทั้งหนักทั้งปวดเหมือนมีใครเอาหินมาถ่วงเธอไว้ เธอกำลังนอนอยู่บนเตียงสีขาวสะอาดโดยมีเพื่อนสาวของเธอนั่งอยู่ข้างๆ เธอมีผ้าพันแผลอยู่เต็มตัว มันทับกันหลายชั้นจนเธอแทบขยับตัวไม่ได้ เพื่อนของเธอกุมไหล่ของเธอเบาๆ
            “โชคดีที่แกใส่หมวกกันน็อก ตอนแกโดนชนมีพี่ผู้ชายมาช่วยเอาไว้ เขาเป็นคนพาแกมาส่งโรงพยาบาลเอง ส่วนพี่ผู้ชายอีกคนที่โดนรถชนพร้อมกับแก เขาฝากบอกมาด้วยว่า ‘ค่ารถไม่ต้องจ่าย ครั้งนี้พี่ให้ฟรี’ และก็…นี่ยาของแก คุณแม่ของหมอนั่นเขาจ่ายค่าพยาบาลให้”
             เธอรับถุงยามา ข้างในมียาแก้ปวดกับยาแก้อักเสบอยู่สองสามเม็ด เพราะมีคนมาช่วยเธอกับพี่วินมอเตอร์ไซค์เอาไว้ เธอถึงมาอยู่ตรงนี้แทนที่จะนอนอยู่ตรงทางแยก ยายนั่นดึงตัวเธอขึ้นให้นั่งดีๆระหว่างคุณหมอเดินเข้ามา คุณหมอบอกให้เธอทานยาเช้า-เย็นและเปลี่ยนผ้าพันแผลทุกวัน เธอรับปากพร้อมกับสบตากับคุณหมอเพื่อยืนยันคำพูดของเธอ เธอถึงเพิ่งสังเกตว่าผู้หญิงตรงหน้าคือแม่ของหมอนั่น
            เธอลุกขึ้นจากเตียงท่ามกลางความตกใจของคุณน้าและยายนั่น เธอดึงมือของคุณน้าเอาไว้และถามถึงห้องของป้า ทันทีที่คุณน้าตอบ เธอก็พุ่งออกจากห้องไป เธอวิ่งไปตามโถงทางเดินและเลี้ยวเข้าห้องที่มีชื่อของป้าเขียนอยู่
            บนเตียงสีขาวสะอาดของโรงพยาบาลมีผู้หญิงแก่อายุเกือบจะหกสิบปีนอนหลับอยู่บนนั้น เธอมีสายน้ำเกลือคาไว้ที่มือข้างซ้ายของตัวเอง เธอเดินไปข้างๆเตียงของป้า ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นมีเหงื่อเกาะเล็กน้อย แม้จะหลับอยู่เธอก็รู้ได้ว่าป้ากำลังทรมานอยู่
            หมอนั่นเดินมายืนข้างๆป้าและคอยใช้ผ้าเช็ดเหงื่อให้ตามกรอบหน้า
            “ป้าของเธอเป็นโรคความดันโลหิตสูง ท่านล้มลงตอนประมาณหกโมงพอดีระหว่างรอเธอกลับบ้าน ตอนเธอเข้าโรงพยาบาลมาเพราะโดนรถชน ท่านก็ลุกขึ้นมาดูเธอ อาการเลยหนักขึ้น เป็นความฉันเองแหละที่บอกให้เธอรีบมาเร็วๆ”
            เธอรู้สึกเหมือนขาของตัวเองไม่มีแรง
            “โชคดีนะที่พวกป้าที่อยู่แถวนั้นสังเกตเห็นว่าป้าของเธอแปลกไป พวกท่านจึงบุกเข้าไปและรู้ว่าป้าของเธอล้มลง พวกท่านเลยรีบโทรเรียกรถพยาบาลให้”
            ป้า….พวกป้าผู้หญิงที่ชอบมาแขวะพวกเธอนั่นอย่างนั้นเหรอ?
            ร่างกายของเธอทรุดลงไปกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง หมอนั่นดูตกใจมากที่เธอทรุดลงไปกองกับพื้น เขาใช้แขนของตัวเองพยุงเธอเอาไว้ เธอกำลังรู้สึกแปลกๆ
            ในสถานที่แห่งนี้ เราทุกคนหันหน้าใส่กัน ด่ากันและประชดประชันใส่กัน เราตั้งอคติกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำ เรายึดมั่นในเรื่องเดิมๆ เราชอบทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เราเห็นแก่ตัว เรามาจากสถานที่ที่ต่างกัน เราคอยจับผิดกันและกัน ซึ่งนั่นรวมเธอด้วย
            แต่สุดท้าย มันกลับเป็นเราที่ช่วยเหลือกันเอง
            ในวันที่ใครสักคนเดือดร้อน พวกเราทุกคนก็ยื่นมือเข้าไปโดยไม่สนว่าคนๆนั้นเป็นใคร
            มันเป็นวิถีชีวิตของพวกเรา เราต่างกัน แต่เราก็ยอมรับกัน เรามีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองหรือเพื่อใครสักคน ทุกๆอย่างที่เราทำมา มันหลอมรวมกันเป็นสิ่งที่เราใช้ชีวิตอยู่ในตอนนี้
            เธอรู้ดีเสมอว่าในตัวของเธอมีสิ่งสีดำที่คอยต่อต้านมันเสมอ เธอมักจะได้ยินแค่คำด่าคำประชดประชัน เธอเลยเอาแต่หลับตาและเชื่อในสิ่งที่เธออยากเชื่อ ไม่ได้มองอะไรอย่างจริงจังสักครั้ง
            หมอนั่นดึงเธอเข้าไปกอดและลูบหลังเธอเบาๆเสมือนปลอบประโลม เขาเช็ดน้ำตาให้เธอพร้อมพยุงเธอขึ้น เธอมองหน้าหมอนั่น ก่อนจะตั้งสติและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เธอกดลงไปบนหมายเลขที่เธอไม่คิดเคยมาก่อนว่าจะต้องโทรไปหา เสียงสัญญาณดังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงคนรับสาย
            “คุณป้าคะ” เธอยิ้ม “ขอบคุณค่ะ”
            เสียงปลายดูเหมือนตกใจมากๆ แต่เธอกลับรีบวางสายไปในทันที หมอนั่นหันมายิ้มให้เธอและเธอเองก็รู้สึกโล่งใจเหมือนกัน
            ก้อนสีดำในตัวเธอสงบลง
            มันจะไม่หายไป แต่มันจะอยู่ในนั้นเสมอ มันจะร้องไห้พร้อมเธอ หัวเราะพร้อมเธอและใช้ชีวิตอยู่ไปพร้อมกับเธอเพราะมันคือส่วนหนึ่งของเธอ
            เธออยู่ในสังคมที่มีวัฒนธรรมแบบนี้ตลอดมา
                       

2 ความคิดเห็น

  • บุคคลนั้น

    (Jeerapon201@gmail.com)

    03-09-2017 12:07:49

    นิยายนี้เหมือนจะสื่อว่า สังคมไทยเป็นแบบไหนให้"ยอมรับ" แต่สำหรับผู้อ่านไม่ค่อยเห็นด้วยกับเรื่องนี้

    #1

  • 16-10-2018 18:09:56

    #2

แสดงความคิดเห็น