I'll be back.

ผู้แต่ง : Andre

Attention please, This is a Final Call of Thailand Air International Flight TH120 To ..”

หลายคนคงคุ้นเคยกับเสียงประกาศเรียกให้ผู้โดยสารทุกคนขึ้นเครื่องก่อนจะพลาดเที่ยวบินของตน และพลาดทริปแสนสนุกซึ่งกำลังจะเริ่มต้นเพียงแค่เครื่องบินทะยานลงจากน่านฟ้า

เสียงฝีเท้าหนักๆ มาพร้อมกับชายหนุ่มชาวอังกฤษคนหนึ่งซึ่งวิ่งกระหืดกระหอบ อันเดร คอปเปอร์ เป้าหมายของเขาคือประตูก่อนเครื่องออกในเสียงประกาศ อีกเพียงไม่กี่นาทีที่ประตูจะปิดและเขาจะพลาดทริปแสนสำคัญ ที่เขาได้มันมาจากการชิงโชครางวัลจากเครื่องดื่มอะไรสักอย่าง และรางวัลที่ว่านั่นคือการได้ไปท่องเที่ยวต่างประเทศถึงสามวันสองคืน

ประเทศไทย..

ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารและสถานที่ท่องเที่ยว ทว่าเขาก็ยังไม่เคยได้ลองสัมผัสมันด้วยตัวเองเลยสักครั้ง

ขอบคุณพระเจ้าที่เขาไม่ได้ตื่นสายหนักไปมากกว่านี้ เห็นแล้วล่ะว่ามีพนักงานต้อนรับก่อนขึ้นเครื่องสองคนอยู่รอเขาด้วยรอยยิ้ม แต่ที่ทำให้เขาขมวดคิ้วด้วยความงุนงงก็คือสิ่งที่พวกเขาทั้งสองนั้นทำ

พวกเขาประสานมือกันไว้ที่หน้าอก?

เลื่อนสายตาขึ้นจากสิ่งที่ชวนสงสัยก็ต้องพบว่าเขาและเธอกำลังวาดรอยยิ้มมาให้เขา ครั้นเมื่อเดินเข้าไปใกล้และยื่นตั๋วโดยสารให้ทั้งสองดู

“สวัสดีค่ะ Welcome to Thailand Air International”

พนักงานสาวต้อนรับกล่าว ก่อนเธอจะก้มใบหน้าลงเล็กน้อย โดยมือทั้งสองก็ยังประสานเอาไว้บนอก พอเขาหันไปมองอีกคนก็ทำเช่นเดียวกัน นั่นทำให้เขาเข้าใจไปว่าคงเพราะนี่คือสายการบินของไทย อาจจะเป็นธรรมเนียมของสายการบิน ไม่ก็มารยาทของพนักงานก่อนขึ้นเครื่อง

เพราะความคิดนั้นอันเดรจึงเดินผ่าน ไม่ได้ยิ้มรับรอยยิ้มของพนักงานชายหญิง


ทว่ามันไม่ใช่แค่นั้น ไม่ใช่แค่พนักงานต้อนรับ อันเดรพบว่าระยะทางที่เขาเดินเข้ามาก่อนจะถึงที่นั่ง พนักงานทุกคนล้วนทำแบบเดียวกันหมดนั่นคือใช้มือประสานไว้บนอก พูดคำว่าสวัสดีครับ/ค่ะแตกต่างกันไป แต่ที่ทำให้เขาเบลอไปชั่วขณะนั่นก็คือรอยยิ้ม รอยยิ้มที่เขาเห็นว่าทุกนส่งรอยยิ้มนั้นผ่านแววตา มิใช่การฉีกปากแสร้งวาดรอยยิ้มแบบในหนัง

แต่ก็คิดไปอีกเช่นกันว่ามันอาจเป็นเพราะธรรมเนียมของสายการบิน จึงทำให้พอถึงที่นั่งก็จัดการหลับตา ใส่หูฟังและจมอยู่ในโลกของตัวเองโดยไม่ได้คิดอะไรให้มากความ

ปล่อยให้ระยะเวลาไหลผ่าน และปล่อยให้เครื่องบินสีขาวทะยานลงจากน่านฟ้าเมื่อเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาและพบว่านอกจากท้องฟ้าที่เปลี่ยนสี ณ วินาทีนี้ เขาได้มาถึงเมืองไทยแล้ว

เขาคิดว่ารางวัลแสนหอมหวานนี้ค่อนข้างจะมีข้อเสียนิดหน่อย

ที่จริงก็ไม่หน่อย ก็เพราะสิ่งที่เขาจะได้รับแบบฟรีๆ นั้นมีเพียงแค่ค่าตั๋วโดยสารแบบไปกลับ และค่าโรงแรมที่เอาไว้ให้ ที่เหลือน่ะไม่มี เท่ากับว่าตลอดสามวันนี้เขาจะต้องท่องเที่ยวด้วยตัวเอง


เคยได้ยินกิตติศัพท์ของประเทศนี้มาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกินที่ขึ้นชื่อ สถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ

หรือแม้กระทั่งคนไทย

จากที่เคยได้ยินเรื่องเล่า แน่นอนว่าเรื่องราวที่เขาเคยได้ยินมามีทั้งดีและร้าย คนไทยส่วนใหญ่น่ะใจดี คอยช่วยเหลือชาวต่างชาติอย่างเขา ทว่าส่วนน้อยนั้น เขาเองก็เคยได้ยินจากข่าวภาคค่ำ การปล้น หรืออีกมากมาย 

จะยังไงก็ช่าง สิ่งที่เขาจะต้องทำต่อไปก็คือเดินทางไปยังโรงแรม นอกนั้น เอาไว้ว่ากันพรุ่งนี้อีกทีแล้วกัน


เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ทีนี้ก็ถึงด่านหารถโดยสารที่จะนำเขาไปยังที่พัก แต่โชคร้ายชะมัด.. เขาดันไม่รู้ว่าจุดเรียกรถมันอยู่ตรงไหนเนี่ยสิ เขาทำตัวไม่ถูก ก้มๆ เงยๆ โทรศัพท์มือถือและป้ายบอกทางอยู่หลายครั้ง และในวินาทีที่เขากำลังสับสนอยู่นั้น..

“ขอโทษนะคะ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า”

เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังขึ้น เธอทักเขาด้วยภาษาอังกฤษ เรียกให้อันเดรหันไปมองตามต้นเสียง
เจ้าของเสียงที่ถ้าหากให้อันเดรลองคาดคะเนอายุของเธอล่ะก็ คิดว่าไม่น่าจะเกิน 20 เป็นแน่ เธออยู่ในชุดกางเกงขายาว กับเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งที่แฟชั่นเขากำลังฮิตกัน

พนักงานประจำสนามบินงั้นหรอ? ทำไมถึงแต่งตัวแบบนี้?


แต่จะยังไงก็ช่าง ในเมื่อตอนนี้เขากำลังต้องการความช่วยเหลือ และเธอตรงหน้าก็เป็นฝ่ายยื่นมือมา เขาจึงไม่รอช้าที่จะเอ่ยปากถามว่าจุดเรียกรถนั้นอยู่ที่ใด

เมื่อได้รับคำตอบเป็นที่เรียบร้อย จึงรู้ว่าจุดเรียกรถต้องเดินไปอีก ทว่าก่อนจากกัน เสียงของเธอก็หยุดเรียกเขาไว้

“เพิ่งมาประเทศไทยครั้งแรกหรอคะ”

อันเดรชะงักไป ทว่าก็ยังคุมสติตัวเองและพยักหน้าตอบกลายๆ ว่าใช่ หลังจากพยักหน้า เขาเห็นว่าเด็กสาววาดรอยยิ้ม

“อ่า.. เที่ยวให้สนุกนะคะ หวังว่าคุณจะชอบประเทศของเราค่ะ”

เธอกล่าวแค่นั้น ก่อนจะเดินไปรวมกลุ่มกับคนที่คิดว่าน่าจะเป็นครอบครัวของเธอ เพราะงั้นก็สรุปได้ว่าเธอไม่ใช่พนักงานของสนามบินนี้.. แต่เข้ามาช่วยเขาโดยไม่คิดอะไรตอบแทนอย่างนั้นหรอ?

อันเดรเกาหัวด้วยความงุนงง ประเทศที่เขาเกิดมาต่างคนต่างเดินไม่มีใครสนใจใครกันด้วยซ้ำ ชายหนุ่มกระชับกระเป๋าเป้ไว้บนหลังก่อนจะเดินไปยังเส้นทางที่เด็กสาวเมื่อครู่นี้บอก เมื่อมาถึงจุดเรียกรถ อันเดรคิดว่าเขาช่างโชคดีที่ไม่ต้องรอนาน เพราะมีคนขับรถว่างอยู่พอดี

“สวัสดีครับ เชิญเลยครับ รถผมอยู่ทางนี้ครับ เชิญเลย” นั่นคือเสียงของคนขับรถของเขา ที่พูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นก่อนจะผายมือไปทางรถแท็กซี่ที่อยู่ไม่ไกล อันเดรฟังไม่ออกหรอกว่าเขาพูดอะไรบ้าง ถ้าคุ้นหูสุดก็คงเป็นคำทักทายว่า ‘สวัสดี’ ที่ได้ยินบ่อยๆตั้งแต่ขึ้นเครื่องจนมาถึงตอนนี้

เคยได้ยินมาบ้างเรื่องแท็กซี่ของเมืองไทยที่เขาว่าโหด แต่พอได้มาลองสัมผัสด้วยตัวเองอันเดรก็คิดว่าบางทีเรื่องเล่าเราก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อมันเสมอไป

คนขับรถของอันเดรนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ว่าดี ไม่มีกระชากหรือปาดรถคนอื่นไปมา ระหว่างทางยังพยายามจะชวนอันเดรพูดคุยด้วยซ้ำทว่าเขาก็ฟังออกไม่หมดว่าพูดอะไรมาบ้าง พอรู้สึกตัวอีกทีรถก็มาจอดถึงหน้าโรงแรมแล้ว

ในตอนที่จ่ายค่าโดยสาร อันเดรยื่นเงินสดค่าโดยสารให้จำนวนหนึ่ง คนขับรถพูดคำว่า ‘ขอบคุณครับ’ เป็นการใหญ่ นอกจากนี้ยังประสานมือไว้บนอกและยิ้มจนกว้างแบบที่พนักงานต้อนรับเคยทำกันด้วย เห็นทีคืนนี้เขาจะต้องศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับคนไทยให้มากขึ้นก่อนจะออกทริปพรุ่งนี้เสียแล้วล่ะ ไม่งั้นความสงสัยเขาต้องไม่จางหายแน่ๆ

เมื่อมาถึงห้องพัก แน่นอนว่าอันเดรไม่ปล่อยให้ความสงสัยเกาะกินอยู่นาน ชายหนุ่มเปิดแมคบุ๊คคู่ใจที่พกมาเที่ยวไทยขึ้นมาทันที ก่อนจะเสิร์ชคำพูดที่ได้ยินมาตลอดทั้งวันอย่างเช่น สวัสดีค่ะ หรือ ขอบคุณครับ นั่นจึงทำให้เขารู้ว่าคำแรกน่ะคือการทักทาย คล้ายๆพวก Hi หรือ Hello ในบ้านเขา ส่วนคำที่สองคือคำกล่าวเอาไว้ใช้เวลาขอบคุณ

แล้วการกระทำพวกนั้นล่ะ.. การประสานมือไว้บนอกก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆวาดรอยยิ้มที่ทำให้เขาเกิดอาการประหม่าทุกทีมันคืออะไร อันเดรไม่รอช้าที่จะหาคำตอบเหล่านั้นให้กับตัวเขาเอง
และเขาก็พบคำตอบ.. พฤติกรรมของคนไทยที่ปฏิบัติกับเขานั้น คนไทยเรียกกันว่า ‘การไหว้’

หากเปรียบกับประเทศเขา การจับมือคงแทนการไหว้ได้ดีที่สุด แต่สำหรับคนไทยแล้ว การไหว้นั้นแสดงถึงอะไรหลายๆ อย่าง แสดงถึงความมีสัมมาคารวะ การให้เกียรติซึ่งกันและกัน หรือจะแสดงออกถึงความหมายเพื่อการทักทาย การขอบคุณ หรือการขอโทษ โดยยกมือสองข้างประณม นิ้วชิด ปลายนิ้วจรดกัน ยกมือขึ้นในระดับต่าง ๆ ตามฐานะของบุคคล

อ่า.. เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและละเอียดละอ่อน ต่างจากบ้านเมืองเขายิ่งนัก แต่เขาก็รู้แล้วว่าการประสานมือไว้บนอกอะไรนั่นมันไม่ใช่ธรรมเนียมของพนักงานต้อนรับบนสายการบิน หากแต่เป็นการทักทายของคนไทยทั้งประเทศต่างหาก

คืนนั้นกว่าอันเดรจะได้นอนเวลาก็ล่วงเลยไปตีสองของไทย ถ้าถามว่าทำไมเขานอนดึก ก็มัวแต่เพลิดเพลินอยู่กับบทความเกี่ยวกับประเทศไทยอยู่น่ะสิ เพราะงั้นวันนี้สถานที่แรกที่เขาตั้งใจจะไปจากการศึกษาเมื่อคืนก็คือ วัดพระแก้ว

ช่วงนั้นเป็นเวลากลางวัน วินาทีแรกที่ได้มาถึง นอกจากแสงแดดที่แรงกล้าจนเขาอยากจะบ้าตายแล้ว ความสวยงามและความตระการตาของวัดพระแก้วก็ทำเอาเขาต้องเผลอยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปด้วยเช่นกัน

แสงแดดของพระอาทิตย์เมื่อตกกระทบกับแสงสีทองจากตัวเรือนอาคารของวัด อันเดรยอมรับว่ามันสวยเสียจนเขารู้สึกตื่นเต้นและตื่นตา ไม่ผิดแปลกจากคำกล่าวที่ร่ำลือมากันเลยสักนิดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวทุกคนควรมาเยือน

อาจจะเพราะมัวแต่ชื่นชมความงดงามของวัดเลยทำให้อันเดรไม่ทันระวัง

“โอ๊ะ!”

จนเผลอถอยหลังชนเข้ากับนักเรียนกลุ่มหนึ่งเอาเสียได้

S..Sor..” ด้วยสัญชาตญาณ อันเดรเกือบจะหลุดปากออกไปว่า Sorry คำขอโทษภาษาบ้านเกิดที่เขาคุ้นเคยมัน ทว่ายังไม่เพียงแต่จะได้ออกเสียงจนครบคำนั้น

“ข..ขอโทษค่ะ”

เขาเห็นเธอยกมือขึ้น การกระทำที่คนไทยเรียกกันว่าการไหว้ นั่นทำให้คำว่าขอโทษในแบบบ้านเกิดของเขากลืนหาย ในเมื่อเขาเองก็มีส่วนผิดที่มัวแต่เพลิดเพลินกับสถาปัตยกรรมตรงหน้าจนชนเข้ากับสาวน้อย เขาเอง..ก็ต้องมอบคำขอโทษให้เธอเช่นกัน

“ขอ.. โทษ..ครับ”

อันเดรทำเช่นเดียวกันกับเธอ ทั้งยกมือไว้ตรงอก และมอบคำขอโทษแบบฉบับไทยๆ ให้ เขาเห็นเด็กสาวและเพื่อนๆของเธอตาโต ก่อนจะวาดรอยยิ้มเล็กๆและเดินจากไป น่าแปลกที่ว่ามันอาจจะเป็นการชนกัน แต่ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกโกรธเคืองหรือคุกรุ่นในใจหลังได้รับรอยยิ้มพวกนั้นเลย

เมื่อเก็บภาพบรรยากาศของวัดพระแก้วเสร็จ สถานที่ต่อไปก็คือย่านอโศก ย่านที่เขาหมายจะฝากท้องที่นั่น

ตึก Terminal21 น่าจะให้คำตอบเขาได้ดี อันเดรเลือกร้านอาหารไทยร้านหนึ่งเพื่อฝากท้อง แน่นอนว่าเพียงแค่เขาเดินเข้ามาเหล่าพนักงานต่างพากันยกมือขึ้นและกล่าวทักทายเขา รอยยิ้มที่พวกเขามอบให้มันทำให้เขาอดยิ้มตามไม่ได้

คล้ายกับว่าจะเริ่มคุ้นชินกับการทักทายของไทย เพราะไม่ว่าเขาจะไปไหนการยกมือขึ้นไหว้จะอยู่ในกรอบสายตาของเขาหมด รอยยิ้มสดใสของคนไทยนั่นก็ด้วย ผู้คนมากมายที่สัญจรผ่านเขาไปมาต่างมอบรอยยิ้มให้กันและกันทั้งนั้น เขาไม่แปลกใจกับข้อมูลที่ค้นคว้าเมื่อคืนเลยสักนิด คำว่า สยามเมืองยิ้ม ที่ประเทศไทยได้รับฉายา

แน่นอนว่ามื้อกลางวันค่อนไปทางบ่ายอันเดรได้ชิมรสชาติของต้มยำกุ้งตามแบบฉบับไทยสมใจ รสชาตินั้นตราตรึงใจแค่ไหนวัดได้ที่จำนวนขวดน้ำที่อันเดรสั่งมาดับความเผ็ดร้อน แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือรสชาติที่ถึงแม้จะจัดจ้าน แต่สิ่งเหล่านั้นล่ะที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยอย่างแท้จริง

ก็เคยกินอาหารไทยที่บ้านเกิดตัวเองมาบ้าง แต่บอกเลยว่ารสชาติพวกนั้นไม่ได้ครึ่งของความเผ็ดร้อนของต้มยำกุ้งหรือแม้กระทั่งอาหารอื่นๆในไทย ที่วันนี้อันเดรก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันว่านอกจากอาหารชื่อดังระดับโลกอย่างต้มยำกุ้งแล้ว นอกจากนี้ประเทศไทยก็ยังมีอาหารดีๆ อีกหลายอย่างให้ได้ลิ้มลอง

แกงเขียวหวานถูกจัดอยู่ในอาหารจานโปรดของอันเดรจนต้องซื้อกลับโรงแรงมาหนึ่งถุง เพราะรสชาติที่ไม่เผ็ดร้อนเกินไปอย่างต้มยำกุ้ง ติดจะหวาน และกลมกล่อม ทำให้เขารู้สึกติดใจจนอยากจะนำมันมาลิ้งลองที่โรงแรมอีกครั้ง

ทริปวันแรกจบไปอย่างสวยงาม ทริปในวันที่สองของอันเดรเริ่มต้นจากรถไฟฟ้า

ด้วยความที่ไม่เคยมาไทย อีกทั้งตั๋วโดยสารของรถไฟฟ้าที่ไทยและอังกฤษก็ค่อนข้างต่าง เป้าหมายสถานีที่อันเดรจะไปลงนั้นคือสยาม โชคร้ายที่เขากลับไม่รู้ว่าการกดตั๋วโดยสารนั้นต้องทำยังไง
ยืนเลิ่กลั่กอยู่สักพัก นั่นทำให้อันเดรยืนตัดสินใจกับตัวเองอยู่นานว่าจะเปลี่ยนจากรถไฟฟ้าไปเป็นขึ้นรถแท็กซี่ดีหรือไม่

แต่แล้ว..

“พี่ครับ”

พระเจ้าก็เหมือนจะเข้าข้างเขาอีกครั้ง

“มีอะไรให้พวกผมช่วยหรือเปล่าครับ”

เมื่ออันเดรหันกลับไปหาต้นเสียง ก็ต้องพบกับเด็กหนุ่มสองคนยืนอยู่ด้านหลังและกำลังมอบรอยยิ้มมาให้ พวกเด็กหนุ่มพูดกับเขาด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงไทยๆ ทว่าอันเดรก็สัมผัสได้ถึงความต้องการช่วยเหลือและความใจดีผ่านสายตา

จึงทำให้เขาไม่รอช้าที่จะบอกเล่าถึงปัญหาที่กำลังพบเจอ และบอกถึงสถานที่ที่อยากจะไป อันเดรคิดว่าเขาช่างโชคดีเสียจริงๆ เมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองตรงหน้าก็กำลังจะไปสยามเหมือนเขา

“พี่จะไปทำอะไรที่สยามหรอครับ”

นั่นคือคำถามของเด็กหนุ่ม เมื่อพวกเราขึ้นมาถึงรถไฟฟ้าและได้ที่นั่งกันเรียบร้อย

ในส่วนของคำถาม อันเดรก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้หรอก เขารู้เพียงแค่ว่า สยาม เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวหลายคนบอกว่าเขาต้องมา คล้ายๆกับเป็นแลนด์มาร์คอีกหนึ่งที่ในประเทศไทยยังไงอย่างนั้น

“ไม่รู้สิ เดินเล่นมั้ง?”

“ถ้าพี่ไม่รู้จะไปที่ไหน พวกผมมีสถานที่แนะนำพี่ได้นะ”

“ที่ไหนล่ะ?”

เอเชียทีคครับพี่ พี่โชคดีมากเลยนะที่มาไทยช่วงนี้ วันนี้เขามีจัดงานลอยกระทงที่นั่น”

“ลอยกระทง?”

“ใช่ครับ ถ้าพี่ไม่รู้จะเที่ยวไหน ลองไปงานลอยกระทงที่เอเชียทีคดูสิครับ”

และเพราะคำแนะนำของเด็กหนุ่มทั้งสองนั่น

ทำให้ช่วงค่ำของวันนั้น อันเดรก็มาถึงเอเชียทีคจนได้

ผู้คนมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ สถานที่นี้ก็คงเหมือนกับสยามที่เขาได้ไปเยือน ถ้าหากมันไม่มีของบางอย่างอยู่ในมือพวกเขา

มันเป็นอะไรบางอย่างที่อันเดรไม่รู้จัก และไม่คุ้นตาเสียเลย ของชิ้นนั้นมีสามเหลี่ยมสีเขียวล้อมฐานกลมๆ เอาไว้ มีธูปและเทียนปักอยู่ตรงกลาง บางอันมีดอกไม้สีเหลืองบ้าง สีชมพูบ้าง แม้แต่ขนมปังก็ยังมี 

“กระทงจ้า กระทงขนมปังถูกๆจ้า”

อันเดรเดาว่าสิ่งที่ผู้คนถืออยู่นั้นเขาเรียกกันว่า กระทง สังเกตได้จากร้านซึ่งขายกระทงขนมปังอยู่อีกทาง แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจก็คือทำไมผู้คนถึงซื้อกระทงพวกนั้นไปปล่อยในน้ำ หรือมันจะเป็นการให้อาหารปลากันนะ? 

ด้วยความสงสัย อันเดรเดินเข้าไปหาร้านป้าขายกระทงคนนั้น

What is this?” และเอ่ยคำถามที่ทำเอาป้าถึงกับเลิ่กลั่ก ก่อนจะตอบด้วยภาษาไทยที่แน่นอนว่าเขาไม่เข้าใจมัน

เอ่อ.. กระทง มันคือกระทง เอาไว้ลอยขอขมาแม่น้ำคงคา”

เห็นชาวต่างชาติขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ เธอก็จนปัญญา

“ป้าคะ กระทงอันละเท่าไหร่คะ”

จนกระทั่งมีหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามา ป้าร้านค้าก็เลยหวังจะให้เธอช่วย

“อันละ 25 บาทจ้ะ เอ่อ.. หนูจ๊ะ หนูช่วยอธิบายพ่อหนุ่มคนนี้หน่อยได้มั้ย เหมือนเขาจะถามว่ากระทงคืออะไร”

“อ๋อ ได้สิคะป้า”

พวกเธอสองคนพูดอะไรกันอันเดรไม่รู้หรอก เขาเห็นแค่ป้าร้านค้าชี้นิ้วมาที่เขา ก่อนจะเห็นหญิงสาวหันมาทางนี้พร้อมกับรอยยิ้ม

“อันที่คุณป้าขายอยู่นี่คือกระทงค่ะ”

“กระทง?”

“ใช่ค่ะ วันนี้เป็นวันลอยกระทงของไทย ซึ่งเป็นการขอขมาแม่น้ำคงคา ที่คนเราได้กิน ได้ดื่ม ได้ใช้น้ำ ให้ระลึกถึงคุณค่าของน้ำที่เราได้ใช้ บางความเชื่อก็เชื่อกันว่าเป็นการลอยความเศร้าหรือลอยความทุกข์ให้ออกไปจากตัวเรา”

“แล้วทำไมถึงใช้ขนมปังทำกระทงล่ะ?”

“ก็เพราะแต่ก่อนเราใช้พวกใบตองไม่ก็หยวกกล้วยในการทำ บางคนก็ใช้พลาสติก โฟม แต่นั่นมันทำให้กระทงที่ลอยไปกลายเป็นขยะเกลื่อนกลาด อีกทั้งการใช้โฟมก็เป็นอันตราย สมัยนี้เลยไม่นิยมกันและหันมาใช้ขนมปังแทนเพราะจะได้เป็นอาหารให้ปลาไปในตัว ไม่ก่อให้เกิดขยะทำลายสิ่งแวดล้อมค่ะ”

อ่า.. เหมือนอันเดรจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เยอะเลยล่ะ

หลังจากคำอธิบายนั้น สรุปสุดท้ายอันเดรก็ได้ซื้อกระทงขนมปังมาหนึ่งอันและได้เข้าไปลอยกระทงในส่วนที่เขาจัดไว้

นเดรมองกระทงมากมาย มองแสงสว่างจากเทียนที่ล่องลอยไปกับพื้นน้ำ ลมเย็นๆ และบรรยากาศยามค่ำคืนทำให้เขารู้สึกสบายใจ คล้ายกับว่าได้ลอยความทุกข์และความเศร้าไปกับกระทงพวกนั้นจริงๆตามความเชื่อ


เขาไม่นึกเลยว่าคนไทยจะเป็นคนที่ละเอียดละอ่อนได้ขนาดนี้ ในเมื่อมีการใช้น้ำ เราก็ต้องขอบคุณและขอขมาน้ำที่เราได้ใช้ อีกทั้งยังเป็นการทำบุญให้พวกปลาโดยการให้อาหาร อย่างเช่นใช้กระทงขนมปังแทนกระทงโฟมหรือพลาสติกนั่นด้วย

อันเดรรู้สึกว่าระยะเวลาที่เขาได้อยู่ไทยน้อยไปเลยหากเทียบกับเรื่องราวมากมายที่เขาจะได้เรียนรู้มันที่นี่ ยังมีอีกหลายเรื่องราวที่เขายังไม่รู้ ยังมีอีกเรื่องเล่ามากมายที่ต่างจากสิ่งที่เขาได้ยิน 

ยังมีสถานที่อีกมากมายที่เขาอยากไป ยังมีวัฒนธรรมของไทยหลากหลายอย่างที่เขาอยากเจอ ยังมีคนไทยที่พร้อมจะช่วยเหลือเขาให้ได้พานพบ แต่จะให้ทำยังไงในเมื่อพรุ่งนี้เช้าเขาก็ต้องกลับอังกฤษแล้ว คืนนั้นกว่าอันเดรจะกลับถึงโรงแรมก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน เพราะเขาเอาแต่เดินเล่นชมสถานที่ต่างๆ ระแวกนั้น

ตอนเช้าอันเดรรีบตื่นมาแวะซื้อของฝากแถวๆ โรงแรมเผื่อพ่อและแม่ ก่อนที่เขาจะเดินทางไปยังสนามบินเพื่อให้ทันเที่ยวบินช่วงสิบโมงเช้า

พอมาถึงก็พบว่ายังมีเวลาอีกหลายสิบนาทีกว่าเครื่องจะออก อันเดรหาที่นั่ง ก่อนจะเลื่อนดูรูปภาพในกล้องถ่ายรูปด้วยรอยยิ้ม ประสบการณ์สามวันสองคืนเขาคิดว่ามันน้อยไปจริงๆ ที่จะทำความรู้จักวัฒนธรรมไทย คนไทย และความเป็นประเทศไทยให้มากขึ้นโดยใช้ระยะเวลาเพียงเท่านี้

วันแรกที่มา กับวันที่กลับไปช่างแตกต่างกันยิ่งนัก วันนั้นเขาตื่นสายเกือบจะมาไม่ทัน แต่วันนี้เขาตื่นเช้าเพราะอยากจะซึมซับความรู้สึกตอนที่อยู่ประเทศนี้เอาไว้ และรู้สึกอยากกลับมาท่องเที่ยวที่นี่ให้ได้อีก

Attention please, This is a Final Call of Thailand Air International Flight TH150 To ..”

ราวกับภาพในวันแรกฉายซ้ำ นั่งคิดอะไรเพลินๆ เสียนานเขาก็ได้ยินเสียงประกาศจากสายการบินให้ขึ้นเครื่อง

อันเดรเผลอหัวเราะ กระชับกระเป๋าเป้ก่อนจะถือพาสปอร์ตและตั๋วโดยสารเดินไปตามทาง เหมือนอย่างวันแรกที่อันเดรจะเห็นพนักงานชายและพนักงานหญิงยืนข้างกันเพื่อรอต้อนรับผู้โดยสาร

พนักงานสาวรับตั๋วโดยสารของเขาไปดูสักพักก่อนจะส่งกลับมา ตอนที่เธอยื่นตั๋วโดยสารกลับมาให้พร้อมรอยยิ้ม แน่นอนเขารู้ว่าเธอจะพูดว่าอะไร

“สวัสดีค่ะ Welcome to Thailand Air International”

วันแรกเขาเมินเฉย 

แต่วันนี้มันไม่ใช่

“สวัสดีครับ”

เธอยิ้ม เขาก็ยิ้ม

“ผมจะกลับมาที่ไทยอีกแน่นอน”



วัฒนธรรมมิได้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต

แต่วัฒนธรรมคือชีวิต

และเป็นชีวิตของทุกคนในสังคมไทย

เช่นสิ่งที่ผมได้พบ และคิดว่าคนไทยทุกคนก็น่าจะได้พบตามชีวิตประจำวัน นั่นก็คือการไหว้ เพราะมันแทนความหมายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทักทาย ขอบคุณ หรือขอโทษ คือวัฒนธรรมที่มองเห็นได้ง่ายที่สุดและสัมผัสได้ถึงความเป็นไทยมากที่สุด

ไม่ต้องรอให้ถึงวันสำคัญ ไม่ต้องรอให้ถึงเทศกาล เพียงแค่พบเจอกันในยามเช้า เราก็สามารถทักทายกันได้แล้ว


หรือแม้กระทั่งการลอยกระทงที่เป็นการขอขมาแม่น้ำที่เราได้ใช้ ชีวิตประจำวันของเราปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งเลยก็คือ น้ำ การลอยกระทงก็คือการระลึกและนึกถึงคุณค่าของน้ำที่เราได้ใช้ไปในแต่ละวัน

วัฒนธรรมไทยเป็นเรื่องราวน่าอัศจรรย์ที่ผมอยากรู้ และคงเรียนรู้มันได้ไม่หมดแน่หากใช้เวลาเพียงแค่สามวันสองคืนจากทริปที่ผมถูกรางวัลด้วยความบังเอิญ

แต่วันนี้มันไม่ใช่ความบังเอิญ

“สวัสดีค่ะ Welcome to Thailand Air International”

ครับ

“ยินดีต้อนรับสู่ประเทศไทยอีกครั้งนะคะ มิสเตอร์อันเดร”

นี่เป็นการมาไทยครั้งที่ 10 ของผม
 

แสดงความคิดเห็น