นักท่องกาล

ผู้แต่ง : TrikThem

                ผมได้พบกับมนุษย์ข้ามกาลเวลา ในวันที่สิบสาม เดือนเมษายน เป็นวันสงกรานต์ ผมพบเธอระหว่างเดินกลับจากร้านสะดวกซื้อ เธอเอ่ยถามว่าจะหาปืนฉีดน้ำได้ที่ไหน ผมประหลาดใจแต่ก็ตอบไปว่าร้านของเล่นน่าจะมี 
                เธอถามต่อ ไม่ทราบว่าไปทางไหนคะ ผมชี้บอกทางไปร้านของเล่นทุกร้านที่ผมรู้จัก เธอกล่าวขอบคุณพร้อมโค้งคำนับแบบชาวญี่ปุ่นแล้วเดินจากไป
                เมื่อกลับมาถึงบ้านผมเพิ่งฉุกคิด คนประเภทไหนกันที่ถามว่าจะหาปืนฉีดน้ำได้ที่ไหน แน่นอนสิว่าต้องเป็นร้านของเล่น ยิ่งเป็นหญิงสาวดูดีอย่างเธอ มีหรือที่จะตอบคำถามนี้ด้วยตัวเองไม่ได้ 
                หญิงสาวมีใบหน้าสวยเข้มแบบคนไทยแต่ผิวขาวจัด ไม่ใช่ขาวอมชมพูอย่างชาวเอเชีย แต่เป็นผิวขาวซีดแบบชาวยุโรป เส้นผมของเธอเป็นสีน้ำตาลประกายทองโดยธรรมชาติราวกับเป็นสีที่ติดตัวมาแต่กำเนิด วิธีการพูดเองถึงจะฉะฉานชัดเจนแต่ก็มีสำเนียงแปร่งประหลาด ผมให้ข้อสรุปแก่ตัวเองว่าเธอคงเป็นลูกครึ่งชาวไทยและยุโรปที่ใช้ชีวิตอยู่เมืองนอก
                จากนั้นผมลงมือทำอาหารเช้า มีแซนด์วิชแฮมชีส ไข่เจียวออมเล็ต และกาแฟ ผมไม่ออกไปเล่นน้ำในวันสงกรานต์ ใช้เวลาช่วงเช้าถึงเที่ยงไปกับการจัดการงานของบริษัทที่คั่งค้างอยู่ที่บ้าน หลังอาหารกลางวัน ผมหยิบหนังเก่าที่ดัดแปลงมาจากนิยายของอาจินต์ ปัญจพรรค์ อย่าง ‘มหา’ลัย เหมืองแร่’ กลับมาดูซ้ำ สิบสองปีผ่านไปผลงานกำกับของจิระ มะลิกุลชิ้นนี้ยังครองอันดับหนึ่งหนังไทยในดวงใจผมไม่เปลี่ยนแปลง 
                หลังหนังจบผมนอนฟังเพลงของวงควีนจนเผลอหลับยาวสามชั่วโมง เมื่อตื่นขึ้นมา ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ววิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้านานสี่สิบห้านาที เสร็จสิ้นพร้อมกับตอนที่เพลง ‘ด้อนท์ สต็อป มี นาว’ จบลง
                เสร็จแล้วผมอาบน้ำ ชำระเหงื่อไคล เปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาเป็นชุดเดิม นาฬิกาบอกเวลาหกโมงเย็นแต่ผมไม่หิว ไม่มีประโยชน์อะไรถ้าฝืนยัดอาหารลงไปทั้งที่ท้องอิ่ม ผมเปิดโทรทัศน์ นั่งดูข่าวเพื่อฆ่าเวลารอความอยากอาหาร ทว่าทุกช่องรายงานแต่ภาพบรรยากาศการเล่นน้ำของคนไทย 
                จนถึงสองทุ่มผมจำใจออกไปหาของกิน ผมปิดล็อคบ้าน ขับรถมาสด้าสาม ซีดานสีดำเงาออกไป แวะซื้อบุหรี่ยี่ห้อเอสเซ่ที่ร้านสะดวกซื้อระหว่างทาง ขณะเดินกลับไปที่รถ ผมพบหญิงสาวประหลาดคนเมื่อเช้านั่งคนเดียวในร้านอาหารตามสั่ง 
                 “มาเล่นน้ำหรือคะ” เธอถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นผม
                 “เปล่าครับ ผมแค่ออกมาทานข้าว”
                 “หากคุณไม่รังเกียจร้านริมทางมาทานด้วยกันไหมคะ”
                 “ไม่ดีกว่าครับ” ผมปฏิเสธ ไม่เห็นความจำเป็นใดต้องตอบรับคำเชิญจากหญิงสาว “เชิญคุณตามสบาย”
                 “ฉันเพียงแค่อยากตอบแทนคุณ” เธอหยิบปืนฉีดน้ำขนาดพอดีมือขึ้นมาวางบนโต๊ะหินอ่อน “โปรดให้ฉันเลี้ยงอาหารคุณสักมื้อ ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป”
                  ครั้งนี้ผมยอมนั่งลงตรงข้ามกับหญิงสาว คงเป็นการเสียมารยาทหากปฏิเสธคนที่อยากตอบแทนน้ำใจ อาหารบนโต๊ะมีมากล้นเหลือ ทั้งต้มยำกุ้ง กะเพราหมู แกงส้ม และอีกมากมาย
                 “เชิญคุณสั่งเพิ่มตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจ” 
                  ผมเรียกบริกรหนุ่มมาแล้วสั่งข้าวต้มกับปลาสลิดทอด จากนั้นถามหญิงสาว “คุณกินเองหมดนี่เลยหรือ”
                 “ค่ะ” เธอตอบพร้อมใช้กระดาษเช็ดปากด้วยท่าทีงดงาม “แถวบ้านฉันอาหารไทยมีราคาแพง ไม่บ่อยนักที่จะได้ทานอาหารหลากหลายเมนูพร้อมกันเช่นนี้ แต่สำหรับคุณคงมองเป็นการสิ้นเปลือง”
                 “มันเป็นสิทธิของคุณ” ผมบอกสั้นๆ 
                  หญิงสาวประหลาดรับฟังแล้วยิ้ม เธอจัดการทานอาหารของเธอต่อ ระหว่างเรามีเพียงความเงียบ ไร้ซึ่งบทสนทนาใดต่อกัน แต่กลับไม่มีความอึดอัด อาจเป็นเพราะต่างคนต่างทำตัวเหมือนไม่ได้ร่วมโต๊ะตัวเดียวกัน เธอละเลียดอาหารมากหน้าหลายจาน ส่วนผมนั่งนิ่งราวกับตนเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของดาวโลก ไม่นานอาหารของผมก็ถูกยกมาเสิร์ฟ 
                  เธอถาม “ขอชิมได้ไหมคะ” ผมผายมือให้ แน่นอนว่าไม่มีปัญหาในเมื่อเป็นเงินของเธอ
                  “คุณคงอาศัยอยู่ต่างประเทศมานาน” ผมตั้งข้อสังเกตขณะหญิงสาวลิ้มรสปลาสลิดทอด 
                  “ถูกของคุณ ฉันเดินทางมาไกล สงกรานต์ที่นี่ไม่เหมือนกับที่บ้านฉันแม้แต่น้อย”
                   ผมเริ่มรู้สึกสนใจอยากฟังเรื่องที่หญิงสาวพูด “พอจะบอกได้ไหมครับว่ามันต่างกันอย่างไร”
                   หญิงสาวประหลาดส่ายหน้า “ถ้าให้พูดตามตรงคุณต้องไม่เชื่อฉันแน่ หรือไม่ก็ต้องหาว่าฉันบ้า”
                   “ผมช่วยยืนยันข้อสันนิษฐานนั้นได้หลังคุณเล่าจบ”
                   “ถ้าคุณต้องการแบบนั้น” เธอพ่นลมหายใจก่อนเริ่มเล่า “สงกรานต์ของฉันช่วงเช้าเป็นประเพณีดั้งเดิม เราขึ้นไปที่วัดเพื่อทำบุญ สร้างประติมากรรมทราย แล้วรดน้ำอวยพรให้กัน ตอนบ่ายถึงกลางคืนเป็นวอเตอร์ เฟสติวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เราแต่งกายด้วยเสื้อลายดอกสีฉูดฉาด บางคนแต่งคอสตูมเหมือนฮัลโลวีน การคมนาคมแทบทั้งหมดไม่ว่าจะทางดิน ทางน้ำ หรือทางอากาศถูกปิดเพื่อให้คนออกมาเล่นน้ำกันด้วยปืนสงกรานต์ – โอ้ ฉันลืมไปว่าคุณคงไม่รู้จักปืนสงกรานต์ มันคล้ายร่างพัฒนาของปืนฉีดน้ำ เป็นปืนของเล่นไฮเทค”
                   “ประเดี๋ยวก่อน” ผมแทรก “คุณจะบอกว่าพวกคุณใช้ปืนของเล่นแพงหูฉี่มาเล่นสงกรานต์กันอย่างแพร่หลาย แถมเด็กและผู้ใหญ่เข้าวัดไปทำบุญก่อเจดีย์ทรายทั้งที่สังคมเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน”
                    ผมชี้นิ้วไปทางถนนใหญ่ รถยนต์จำนวนมากต่อกันเป็นแถวยาวระหว่างรอไฟแดง มีรถกระบะไม่ต่ำกว่าสิบคัน ทุกคันมีถังน้ำสูงเท่าตัวคน วัยรุ่นชายเมาเหล้าแหกปากร้องเพลง สาวรุ่นแต่งเสื้อผ้าน้อยชิ้นเต้นท่ายั่วยวนหลังกระบะ
                    “ขอโทษด้วยถ้าผมเข้าใจผิด แต่ผมนึกไม่ออกว่าจะมีสงกรานต์ไหนยิ่งใหญ่ไปกว่าที่ไทย และเราไม่จำเป็นต้องปิดการคมนาคมเพื่อไปวัดหรอก เพราะแทบไม่เหลือใครเข้าวัดแล้ว”
                    “ฉันพูดจริง เราจำเป็นต้องห้ามเครื่องบินขึ้นบินเพราะมีคนหลายล้านเดินทางไปยังวัดกว่าหมื่นแห่ง” หญิงสาวค้าน
                    “แล้ววัดกับเครื่องบินมันเกี่ยวกันตรงไหน” ผมสงสัย
                    “นั่นเพราะวัดอยู่บนฟ้า ในวันสงกรานต์มีลิฟต์ลอยฟ้ามากกว่าสองหมื่นตัวถูกใช้งาน หากมีการคมนาคมทางอากาศจะทำให้เกิดปัญหายุ่งยาก” 
                     ผมจ้องหน้าหญิงสาวเขม็ง “คุณอาจพูดถูกเกี่ยวกับปฏิกิริยาตอบรับของผม” 
                     หญิงสาวประหลาดไม่สนใจคำพูดของผม เธอยังว่าต่อ “แล้วคุณยังเข้าใจผิดเรื่องเจดีย์ทราย เราไม่ได้ก่อเจดีย์แต่ทำให้มันเป็นรูปร่างต่างๆเหมือนการปั้นหิมะ วัดบางแห่งที่มีคนไปจำนวนมากมีการจัดประกวดประติมากรรมทรายเหมือนเทศกาลประกวดงานแกะสลักหิมะที่สวนโอโดริในซัปโปโร ประเทศญี่ปุ่น”
                     “โอเค” ผมตัดบท “ผมว่านี่ฟังดูไม่เหมือนสงกรานต์ที่ผมรู้จักเท่าไหร่ ที่จริงไม่เหมือนเทศกาลไหนในโลกเลยด้วยซ้ำ”
                     “คุณไม่เชื่อฉันหรือ” เธอถาม
                     “ผมไม่ได้บอกว่าคุณโกหก แต่กล่าวโดยสัตย์จริง ที่คุณพูดมันยากจะเชื่อ เหมือนคุณไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก แต่กำลังพูดถึงงานเทศกาลจากดาวดวงอื่นหรือไม่ก็จากยุคสมัยที่แตกต่าง บางทีคุณอาจสิ่งที่กลัวว่าผมจะคิดว่าคุณเป็น”
                     ใบหน้าของหญิงสาวเรียบเฉย ยิ้มหุบสนิท เธอจ้องมองผมด้วยแววตาใช้ความคิด อาจกำลังนึกเรื่องเพ้อฝันเรื่องต่อไปหรือหาจังหวะเฉลยว่าทั้งหมดเป็นตลกไร้สาระตอนไหนดี นั่นสุดจะคาดเดา ผมยอมรับว่าเธอเป็นนักเล่าเรื่องชั้นยอดและเรื่องที่เธอเล่าก็น่าสนใจไม่น้อย แต่เธอกำลังใช้ความสามารถผิดทาง ผมสงสัยเหลือเกินว่าสาวงามอย่างเธอทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
                     “แล้วคุณคิดว่าเป็นอย่างไหน” หญิงสาวเอ่ยขึ้น
                     “อย่างไหนอะไร” ผมทวนคำถาม
                     “คุณจะเชื่อเรื่องที่ฉันเล่าไหม ถ้าฉันบอกว่าตัวเองเป็นมนุษย์โลกขนานแท้และไม่ได้หลุดออกจากวงโคจรความเป็นจริง”
                      คราวนี้เป็นผมที่เงียบแทน หญิงสาวยังคงนั่งนิ่งรอคำตอบ 
                     “คุณกำลังจะบอกผมว่าตัวเองเป็นมนุษย์ที่ข้ามกาลเวลามาจากอนาคตหรือ”
                     “ถ้าเรียกให้ถูกต้องเป็นนักท่องเวลาค่ะ” เธอบอก
                     “งั้นคุณก็เป็นนักท่องเวลา” ผมถามอีกครั้ง
                     “เป็นอื่นไปไม่ได้”
                      ผมเงียบไปอีกรอบ ครั้งนี้นานหลายนาที ผมไม่แตะอาหารในขณะที่หญิงสาวที่อ้างตัวว่าเป็นนักท่องเวลาทำตัวเป็นปกติ นั่งกินอาหารไม่ทุกข์ร้อน ผมชั่งใจว่าควรทำอย่างไรต่อไปดีระหว่างทนนั่งให้จบมื้ออาหารหรือลุกออกไปทั้งอย่างนี้
                     “แปลกใจที่คุณยังนั่งอยู่ ฉันนึกว่าคุณจะลุกหนีไปทันทีหรือด่าทอฉันเสียอีก” หญิงสาวทำลายความเงียบขึ้นมาในจังหวะหนึ่ง ผมระบุเวลาแน่ชัดไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่
                     “ผมกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องที่คุณพูด มันทำผมสับสนไม่น้อย”
                     “การที่ครุ่นคิดก็แปลว่าคุณไม่ได้มองข้ามคำพูดของฉันไงคะ” เธอยิ้มให้
                     “ผมแค่พิสูจน์ไม่ได้ว่าคุณพูดจริง”
                     “แต่ก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าฉันโกหก”
                     “ใช่ ผมพิสูจน์ไม่ได้ แต่คุณดูไม่ใช่คนเลวร้าย” ผมพูดพลางกลับมาทานอาหาร “และผมก็ไม่ได้เสียอะไรจากการรับฟังเรื่องของคุณ เพราะฉะนั้นไม่สำคัญหรอกว่าคุณโกหกหรือไม่ ผมแค่รับฟังไปตามมารยาท”
                     หญิงสาวประหลาดอมยิ้มอย่างมีความหมาย “คุณเองก็ไม่ใช่คนเลวร้าย”
                     “ทำไม” ผมถาม
                     “คุณรับฟังคนอื่นอย่างจริงจังแม้จะเป็นคนแปลกหน้าอย่างฉันก็ตาม เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในสภาพสังคมเช่นนี้ คนในยุคของคุณจัดว่าเลวร้าย สนใจแต่เรื่องของตัวเอง ไม่แยแสคนอื่น เห็นคนที่แปลกจากตนเองเป็นเรื่องตลกน่าขำขัน ถ้าเป็นคนอื่นคงบอกว่าฉันบ้าเสียสติไปแล้ว” ขณะพูดหญิงสาวหันไปมองทิศทางเดียวกับที่ผมเคยชี้ไป ทางที่มีแต่แสงสี ความบันเทิง และความลุ่มหลง 
                     “สิ่งที่คุณพูดเมื่อกี้ก็ถูก พวกเขาเหล่านั้นจะไม่ไปเข้าวัดทำบุญ ก่อเจดีย์ทราย หรือแม้แต่รดน้ำให้ผู้ใหญ่ของพวกเขา ยุคสมัยของคุณเป็นจุดเสื่อมของประเพณีและวัฒนธรรมไทยอย่างแท้จริง และหากคุณคิดว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แย่แล้ว ฉันบอกได้เลยว่ายุคของคุณเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเสื่อมทรามเท่านั้น”
                      ผมคิดตาม อย่าว่าแต่ชายหญิงที่ออกมาหาความสำราญบนท้องถนนเลย แม้แต่ผมเองก็ไม่ได้เห็นความสำคัญของสงกรานต์ไม่ว่าในทางประเพณีเดิมหรือวอเตอร์ เฟสทิวัล และไม่ใช่แค่ผม ยังมีคนอีกมากมายที่ลืมเลือนสิ่งเหล่านี้ไป
                      “ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูดมา ทำไมในยุคของคุณสงกรานต์ถึงได้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง”
                      “เราเป็นยุคแห่งการบูรณาการค่ะ”  เธอบอก แต่ไม่มีทีท่าภูมิใจกับยุคของตนเองแม้แต่น้อย “สิ่งใดก็ตามที่พัฒนาขึ้นมาสู่จุดสูงสุดย่อมต้องพบกับความเสื่อมถอย และเมื่อมันถูกทำลายจนเหลือเพียงรากฐาน มนุษย์ก็จะหันกลับมามองแล้วเก็บเอาชิ้นส่วนที่พังทลายไปก่อสร้างใหม่บนฐานเดิม กลายเป็นสิ่งก่อสร้างใหม่ เป็นจิตวิญญาณใหม่ในกายหยาบเก่า คุณสังเกตประวัติศาสตร์สิคะ ไม่มีอาณาจักรใดล่มสลายโดยปราศจากมหาอาณาจักรใหม่มาแทนที่ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับเวลา แต่ฉันไม่ได้เกลียดพวกคุณนะคะ อย่างน้อยฉันก็ยังชอบมากกว่าคนในยุคของฉัน”
                      “ผู้คนในยุคคุณเป็นอย่างไร” ผมถามอย่างใคร่รู้
                      “ห่วยสนิท” หญิงสาวกดเสียง หน้าตาไม่สบอารมณ์ “คุณลองจินตนาการถึงคนไทยในอุดมคติสิคะ ทุกอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา สยามเมืองยิ้มหรืออะไรก็ตาม เราเป็นแบบนั้นค่ะ เพื่อนบ้านแสนดีผู้มีน้ำใจ คนดีศรีสังคม เป็นผ้าขาวแสนบริสุทธิ์ เราเหมือนถูกโขกออกมาจากแม่พิมพ์ ‘คนไทยตัวอย่างจากหนังสือเรียนหน้าที่พลเมือง’ ของยุคคุณ อย่างฉันถือว่าเป็นแกะดำตัวน้อยที่หาได้ยากยิ่งในฝูงแกะขาว”
                       ผมนิ่วหน้า “มันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือที่ทุกคนเป็นมิตรแก่กัน”
                       “ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าดีเลยค่ะ คุณเคยได้ยินเรื่องยุคพระศรีอารย์ไหม” เธอถาม
                       “คุ้นว่าเป็นยุคที่มีแต่คนดี” ผมพยายามนึกรายละเอียดอื่น “คุณจะบอกผมว่ายุคของคุณอยู่ในยุคพระศรีอารย์หรือ”
                       “มีคนจำนวนหนึ่งเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น แต่ก็เป็นแค่ส่วนน้อย บางคนที่เชื่อมากๆถึงขั้นเรียกยุคคุณว่ายุคมิคสัญญี” หญิงสาวพักดื่มน้ำแล้วกล่าวต่อ “ส่วนตัวแล้วถึงจะไม่เชื่อแต่ฉันก็ว่ามีความคล้ายคลึงอยู่ คนทุกคนพอใจในสิ่งที่มี ไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่มีความทุกข์ใจ ทุกคนล้วนดีเหมือนกันหมด แต่นั่นล่ะที่แย่ มนุษย์ที่ปราศจากด้านมืดจะยังเป็นมนุษย์อยู่ได้อย่างไรกัน ความชั่วร้ายและเห็นแก่ตัวเป็นส่วนหนึ่งของเรามานานกว่าพันปี เราไม่อาจเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ได้หากปราศจากด้านมืดในจิตใจ”
                       “เป็นแนวคิดที่ออกจะรุนแรงเกินไปหน่อย” ผมบอก
                       “คุณไม่ชอบหรือคะ”
                       “เปล่า แต่มันตรงเกินไป คนบางคนรับฟังเรื่องพวกนี้ไม่ได้ ได้ยินแล้วเป็นเดือดเป็นร้อน ค้านหัวชนฝา สาปแช่งคนพูดว่านอกรีตไร้ศีลธรรม แต่ไม่ใช่กับผม”
                       “คุณเองก็คิดว่าความชั่วร้ายเป็นเรื่องธรรมชาติหรือ” เธอถามอย่างสนใจ
                       “ผมเชื่อว่าทุกคนเกิดมาเพื่อมีความสุข แม้จะไม่ได้มาจากการทำดี”
                       “ถึงจะมองต่างมุมแต่เราเชื่อเหมือนกัน มนุษย์สมควรยอมรับตัวตนตามธรรมชาติของตัวเอง” หญิงสาวบอก ผมสังเกตเห็นประกายตื่นเต้นในแววตาของเธอ มันเหมือนลูกไฟที่โดนแช่ไว้ในภูเขาน้ำแข็ง รอวันที่ภูเขาสูงจะพังทลายลงมา “คุณเป็นคนแรกที่คิดเห็นตรงกับฉัน”
                       “ไม่มีนักคิด นักปรัชญาในยุคของคุณเลยหรือ เหล่าคนที่ใช้เวลาคิดหาเหตุผลว่ามนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร ในยุคของผมเป็นธรรมดาที่จะมีคนกลุ่มเล็กๆที่คิดนอกกรอบสวนทางกับสังคม”
                       “ไม่ค่ะ ที่นั่นไม่มีใครตั้งคำถามกับชีวิต มีแต่คนตั้งคำถามกับความตาย ว่าทำอย่างไรถึงจะได้กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์ประเสริฐอีกในชาติถัดไป” ประกายในดวงตาของหญิงสาวหายไปเมื่อพูดถึงคนในยุคของเธอ ราวกับเธอกำลังไว้อาลัยให้เหล่าคนที่มุ่งหวังชีวิตใหม่หลังความตาย
                       “แต่คนตายไม่ตั้งคำถาม” ผมพูด 
                       จะมีประโยชน์อันใดถ้าทุกวันที่มีชีวิตอยู่ถูกใช้เพื่อภพชาติหน้าที่อาจไม่มีวันมาถึง เช่นนั้นการมีชีวิตคงไม่ต่างกับการขึ้นรถไฟสักขบวน เรานั่งเอนหลังพิงเบาะยาวนานหลายสิบปีเพียงเพื่อรอให้รถไฟจอดที่ชานชลาแล้วเปลี่ยนขบวนใหม่ เป็นวงจรที่ดำเนินไปไม่มีสิ้นสุด
                       “คนตายไม่ตั้งคำถาม แต่คนตายคงอยู่เพื่อบอกเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ ในยุคของฉัน เราปลุกชีพคนตายด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่จำลองตัวตนของบุคคลในอดีต เนรมิตวิญญาณพวกเขาขึ้นมาเพื่อทำประโยชน์แก่คนในปัจจุบัน ปีก่อนอับราฮัม ลินคอล์นขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาชั่วคราวระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ครั้งก่อนเป็นวาระของเจมส์ บูแคนัน อินเดียมอบตำแหน่งประธานาธิบดีให้คานธียาวนานถึงสิบสองปี อัลเฟรด โนเบลเป็นผู้มอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ บ็อบ ดีแลนแต่งเพลงใหม่ระหว่างที่เดอะบีเทิลส์ทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก มาร์ลอน แบรนโดเข้าชิงออสการ์จากภาพยนตร์ที่กำกับโดยอัลเฟรด ฮิตช์ค็อก เบิร์ด ธงไชยยังคงครองตำแหน่งนักร้องชายอันดับหนึ่งของประเทศไทย ว่ากันว่ามีการพยายามคืนชีพให้อดอล์ฟ ฮิตเลอร์และเบนิโต มุสโสลินีเพื่อประโยชน์ในการศึกษาประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองแต่ถูกต่อต้านจากหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งอิตาลีและเยอรมันเอง อันที่จริงโลกเราพัฒนาไปไกลขึ้นมากเมื่ออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ชาร์ลส์ ดาร์วิน โทมัส อัลวา เอดิสัน นิโคลา เทสลา และเซอร์ไอแซค นิวตันมาอยู่พร้อมหน้ากัน”
                       “การใช้ประโยชน์จากคนตายฟังดูไม่เหมือนกิจธุระของคนมีศีลธรรม” ผมแย้ง
                       “พวกเขาพูดเสมอว่า ‘เพื่อประโยชน์สุขของคนหมู่มาก’ บ้าง ‘เพื่อความก้าวหน้าของมนุษยชาติ’ บ้าง ทุกการกระทำมีเหตุผลดูดีอยู่เบื้องหลัง ฉันได้แต่เฝ้าถามตัวเองเสมอว่าชีวิตทุกวันนี้จะมีค่าแค่ไหน เมื่อคนตายไม่ตายจริง วิญญาณจะหลับใหลอย่างเป็นสุขได้อย่างไรเมื่อส่วนหนึ่งของตัวตนกำลังวิ่งพล่านมีบทบาทในโลกคนเป็น พวกคนเป็นก็น่าเหลือทน มอบหน้าที่ มอบอำนาจ มอบบทบาทให้ปัญญาประดิษฐ์ หลงลืมว่านี่คือตัวตนจอมปลอม รับฟังทุกอย่างจากคนตายจนไม่เคยตั้งคำถามต่อตัวเอง” หญิงสาวขึงขังจริงจัง แสดงความเกลียดชังเทคโนโลยีล้ำยุคผิดศีลธรรมอย่างไม่ปิดบัง เธอเป็นตัวแทนผู้เรียกร้องสิทธิของผู้วายชนม์ เป็นมาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์แห่งโลกหลังความตาย 
                        “สำหรับผม คนที่ไม่ถามหาอะไรจากชีวิตก็ไม่ต่างจากคนที่อยู่เพื่อรอวันตาย คนเราเกิดมาต้องมีสักครั้งที่สงสัยในชีวิตของตัวเอง อาจด้วยตัดพ้อต่อชะตากรรมหรือตั้งแง่กับเส้นทางในอนาคต แต่ไม่มีใครที่ไม่เคยถามตัวเองว่าเราเกิดมาทำไม มันคล้ายพันธกิจชีวิตของมนุษย์ทุกคน” 
                        ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอริสโตเติลที่กำลังสั่งสอนลูกศิษย์หน้าใหม่ หญิงสาวมีแนวคิด มีปรัชญาของตัวเอง แต่อ่อนด้อยเหมือนเหล็กที่ไม่เคยผ่านการทุบตี ปรัชญาของเธอเป็นแร่ดิบที่ยังไม่ผ่านการเจียระไน ราวกับเธอไม่เคยถกเถียงเรื่องพวกนี้มาก่อน 
                        “หรือเรียกได้ว่าเป็นธรรมชาติของตัวตนดั้งเดิมที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งทางสังคม” 
                        “ถ้าคุณพอใจจะคิดแบบนั้น” ผมจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแต่หมดเกลี้ยง หญิงสาวเติมน้ำให้อย่างมีน้ำใจ 
                        “คุณสนใจจะไปเล่นน้ำกับฉันไหมคะ”
                        ผมฉงนใจ เหตุใดคนงดงามหมดจดอย่างเธอถึงต้องเอ่ยชวนคนแปลกหน้าอย่างผมไปเที่ยวด้วย “ทำไมถึงชวนผม”
                        “ไม่รู้สิคะ แค่รู้สึกว่าคงจะดีถ้าคุณไปด้วยกัน” เธอยักไหล่ ไม่มีท่าทีเสแสร้ง บางอย่างในแววตาและน้ำเสียงของเธอทำให้ผมรู้สึกไม่อยากปฏิเสธคำชวน 
                        “คืนนี้ดึกแล้ว จะดีกว่าไหมถ้าเป็นวันพรุ่งนี้”
                        “คงไม่ได้ค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธหนักแน่น “ฉันเหมือนซินเดอเรลล่าที่ต้องกลับจากงานเต้นรำก่อนเที่ยงคืน คืนนี้ฉันต้องกลับบ้าน พรุ่งนี้จะไม่อยู่ที่นี่อีก”
                        ผมเสียเวลาหยุดคิดเล็กน้อยก่อนตอบตกลง ไม่มีเหตุผลใดรองรับการตัดสินใจ


                        เราเดินไปตามถนนจนถึงบริเวณที่คนหลายร้อยหลายพันกำลังเล่นน้ำสงกรานต์ หญิงสาวนักท่องเวลาพกปืนฉีดน้ำขนาดพอดีมือมาด้วย ส่วนผมมามือเปล่าเหมือนสิบโทเดสมอนด์ ดอสเข้าร่วมรบที่ผาแฮ็คซอว์ ริจในสงครามโลกครั้งที่สอง
                        เธอเล่าถึงสงกรานต์ในอนาคต มันฟังดูเหมือนสวนสนุกในความฝัน ผู้คนใช้ปืนของเล่นล้ำยุคยิงใส่กันเหมือนการเล่นเพ้นท์บอล มีปืนและกระสุนหลายสิบแบบ เธอบอกว่าคนชอบใช้ปืนกลกับกระสุนสีเพราะมันทำให้โลกกลายเป็นรุ้งสี่สิบเก้าเฉดสี ผมฟังแล้วนึกถึงเทศกาลโฮลี เทศกาลแห่งสีสันของประเทศอินเดียที่ใช้ผงสีสาดใส่กันผสมกับเทศกาลโคลนที่เมืองโปเรียง ประเทศเกาหลี ต่างกันตรงที่เทศกาลทั้งสองใช้ผงสีจากพืชสมุนไพรและโคลนบำรุงผิว แต่สงกรานต์ในอนาคตใช้ผงแป้งที่มีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคและส่งเสริมความงาม บ้านไหนที่มีน้ำหอมเหลือจากการรดน้ำดำหัวจะนำน้ำหอมมาเล่นในช่วงบ่าย ทำให้กลิ่นหอมอบอวลราวกับอยู่ในสวนดอกไม้ขนาดเท่าประเทศฝรั่งเศส
                        หลังประเพณีแบบดั้งเดิมในช่วงเช้าเสร็จสิ้นการจราจรทุกทางจะกลับมาเปิดใช้งานอีกครั้ง คนรวยบางพวกใช้ไอพ่นแรงดันน้ำเหาะเหินขึ้นไปบนอากาศ บางพวกเช่าเหมาสวนลอยฟ้าเพื่อเปิดงานปาร์ตี้สังสรรค์ยาวสามวันสามคืนไม่หยุดพัก โดยมีดีเจชื่อดังอย่างเดวิต เกตต้า หรือมาร์ติน แกรร์ริกซ์ผลัดกันขึ้นแสดง ส่วนปุถุชนคนธรรมดาต่างเล่นน้ำและย้อมสีเมืองให้เหมือนเดินอยู่ใจกลางเนบิวลาดาวเคราะห์ที่ห่างออกไปไกลหลายปีแสง ผมนึกสภาพเมืองเละไปครึ่งแถบแล้วสงสัยว่าจะต้องเสียเงินและเวลาขนาดไหนในการทำให้เมืองกลับเป็นเหมือนเดิม หญิงสาวบอกไม่มีคราบสีใดอยู่ข้ามคืนในยุคของเธอ ไม่ต้องพูดถึงเศษขยะ ประชาชนทุกคนมีความรับผิดชอบเกินกว่าจะทิ้งขยะลงพื้น บางชิ้นย่อยสลายตัวเองได้ แปลงกายเป็นละอองฝุ่นปลิวหายไปในอากาศ บางชิ้นที่ล้าหลังก็อัดแน่นอยู่เต็มกระเป๋ากางเกงของนักท่องเที่ยวผู้เดินโทงเทงหาถังขยะ
                         หญิงสาวจากอนาคตมองบรรดาผู้หญิงกลางคืนแต่งตัวน้อยชิ้น เสื้อบางแนบเนื้อ กางเกงขาสั้นกุดราวกับชุดชั้นใน เธอบอกว่าจะไม่เหลือผู้หญิงประเภทนี้อีกในอนาคต เพราะเมื่อโลกเริ่มเข้าสู่ยุคบูรณาการจะเกิดการเรียกร้องสิทธิให้ชาย หญิง และเพศที่สามเท่าเทียมกัน ผมแย้ง บอกว่าเท่าเทียมไม่ใช่ความยุติธรรม ความเท่าเทียมหมายถึงทุกคนต่างมองเห็นกันในระดับสายตาเดียว ไม่มีใครต้องแหงนหน้ามองฟ้า แต่ยุติธรรมหมายถึงการถางที่ ราดปูนเพื่อไม่ให้มีคนใดได้ยืนอยู่บนชั้นที่สูงกว่า  หากอยากให้ทุกคนเท่าเทียมต้องลดระดับน่านฟ้า ไม่ใช่ปรับที่หน้าดิน แต่เป็นไปไม่ได้ที่ทุกชีวิตจะเท่าเทียม ระดับชั้นเป็นกลไกของสังคม มีคนอยู่สูงก็ต้องมีคนอยู่ต่ำ
เธอตอบใช่ เกิดการลองผิดลองถูกมากมายกว่าที่ผู้หญิงจะได้เฉิดฉายในการเป็นผู้นำ เพศที่สามสามารถแต่งงานและมีบุตรโดยเป็นที่ยอมรับของสังคม ผู้ชายบางคนไม่ต้องอับอายที่มีภรรยาเป็นหัวหน้าครอบครัว 
                         ครั้งหนึ่งสังคมไทยเคยล่มจมเพราะออกกฎหมายให้ผู้หญิงค้าประเวณีเป็นอาชีพสุจริต ด้วยเห็นว่าเป็นงานบริการที่ไม่ทำร้ายใคร ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมและกิจการหลายอย่างล่มจมเพราะลูกจ้างหญิงที่ขัดสนเรื่องการเงินลาออกไปค้ากาม เด็กสาวจำนวนมากไม่สนใจการเรียน หวังจะทำงานสบาย ค่าตอบแทนสูง ไม่ต้องมีทักษะฝีมือ ต่อมาผู้ชายบางกลุ่มเริ่มประท้วงรัฐบาลให้ผู้ชายสามารถค้าบริการอย่างถูกกฏหมายเหมือนผู้หญิง ส่วนใหญ่เป็นพวกวัยรุ่นสันหลังยาวที่มีดีแค่หน้าตาแต่ขาดสมองนึกคิด หรือบางทีไม่มีทั้งสองอย่าง 
ผลคือเศรษฐกิจของประเทศแทบจะเป็นอัมพาตเพราะขาดแรงงานหนุ่มสาวในการขับเคลื่อน คนไทยรักสบายแต่ฟุ่มเฟือยจึงเกียจคร้านงานหนัก ชอบทำแต่งานเบา ประชากรวัยทำงานกว่ายี่สิบเปอร์เซนต์หากินด้วยการค้ากาม ยังไม่นับเยาวชนไม่บรรลุนิติภาวะทั้งหญิงชายที่แอบลักลอบขายบริการอย่างผิดกฎหมาย ผลพวงที่ตามมาคืออุปทานมากกว่าอุปสงค์ การขายบริการไม่ทำเงินเหมือนแต่ก่อนและมีรายได้ต่ำลงเรื่อยๆจนคนไม่สามารถใช้ร่างกายหากินได้อีก แต่คนเหล่านี้ไม่มีฝืมือ ไม่มีความรู้ทำให้ไม่มีงานทำหรือต้องทำงานใช้แรง ค่อยผสมปูน ยกหิน ทุบตึก มีส่วนน้อยที่จะประสบความสำเร็จในการค้าขายและเปิดร้านอาหาร 
                         อีกปัญหาที่พบคือการไม่คุมกำเนิดและเคยมีเซ็กส์เป็นกิจวัตรประจำวันจนเคยตัว ทำให้คนบางกลุ่มเสพติดเซ็กส์ขั้นรุนแรงจนไม่เป็นอันทำงาน ประชากรเกิดใหม่ในอัตราที่สูงกว่าประชากรเสียชีวิต กว่าครึ่งถูกพ่อแม่ทอดทิ้งเพราะไม่มีเงินเลี้ยงดู 
ปัญหาเด็กกำพร้าล้นประเทศกลายเป็นภารกิจสำคัญของคณะรัฐบาล โชคดีที่ตอนนั้นหลายประเทศทั่วโลกกำลังผนึกกำลังกันเป็นปึกแผ่นเพื่อยกระดับของสังคมโลก นายกรัฐมนตรีไม่รอช้า พาประเทศไทยกระโดดเข้ากระแสลมใหม่แห่งการพัฒนา ทำให้จากที่คาดไว้ว่าต้องใช้เวลาฟื้นฟูคุณภาพประชากรในประเทศราวยี่สิบถึงสามสิบปี เสร็จสิ้นได้ผลลัพธ์ในระยะเวลาเพียงครึ่งเดียว   
                         “ไม่น่าเชื่อที่รัฐบาลทำสำเร็จ ผมแทบไม่เคยเห็นการแก้ปัญหาใดๆเป็นชิ้นเป็นอันเลยในยุคของผม ยิ่งเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศที่เหนียวแน่นยั่งยืนคงได้แต่ฝันไป” ที่ริมชายหาดในเมืองพัทยา ผมดื่มเบียร์หมดไปสองกระป๋องระหว่างนั่งฟังหญิงสาวจากอนาคตเล่าเรื่องยาวเหยียด ผมเริ่มเมา สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อตัว หญิงสาวเองก็หน้าแดงขึ้นเพราะฤทธิ์สุรา พูดน้ำท่วมทุ่งและผ่อนคลายราวผมเป็นเพื่อนสนิทแต่เยาว์วัย
                         “มนุษย์เป็นยอดผู้พิชิตสุดทะเยอทะยาน ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้” เธอแหงนหน้ามองท้องฟ้า นับดวงดาวสุกสกาวที่หรี่แสงลงเพราะไม่อาจสู้ความสว่างของไฟใจกลางเมือง “อเล็กซานเดอร์มหาราชพิชิตอาณาจักรเปอร์เซียได้แต่ก็ยังรั้นยกทัพไปอินเดียเพราะต้องการเห็นจุดสิ้นของโลก เจงกีส ข่านยึดครองจีนตอนเหนือแล้วขยายอำนาจปกครองไปยังทะเลดำและแปซิฟิก นายพลนโปเลียน โบนาปาร์ตขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศส ล้านปีก่อนหน้านี้มนุษย์ถ้ำเต้นระบำฉลองเมื่อเห็นไฟดวงแรกของโลก ต่อมาโทมัส อัลวา เอดิสันประดิษฐ์หลอดไฟสำเร็จ ปลดปล่อยคนจากความมืดยามค่ำคืน ในอนาคตข้างหน้าแม้แต่ดวงอาทิตย์ก็จะเป็นของมนุษย์หากเรามีความทะเยอทะยานมากพอ”
                         ผมส่ายหน้าให้กับคำพยากรณ์ของหญิงสาว “แต่กฎของธรรมชาติยิ่งใหญ่ทรงพลังเกินกว่ามนุษย์คนใดหรือกลุ่มใดจะต้านทาน อดีตเป็นเครื่องพิสูจน์ชั้นดี ไม่ว่าสีนามิที่ภูเก็ตในปี พ.ศ. 2547  น้ำท่วมประเทศไทยในปี พ.ศ. 2554 แผ่นดินไหวที่บัลดิเบีย ประเทศชิลีปี พ.ศ. 2503 หรือภูเขาไฟระเบิดที่ปอมเปอี ทุกครั้งที่มนุษย์งัดข้อกับธรรมชาติเราเสียหายและล้มตาย ส่วนธรรมชาติกำชัยไร้รอยแผล”
                         “คุณพูดเหมือนธรรมชาติเป็นฝ่ายผิด” หญิงสาวย่นคิ้วถาม
                         “ผมพูดว่าธรรมชาติเป็นฝ่ายชนะเสมอ ซึ่งก็สมควรแล้ว มนุษย์เป็นนักทำลายล้าง ไม่สมควรอยู่บนจุดสูงสุดของโลก โลกบาดเจ็บมามากเกินพอเพราะมีมนุษย์อิงแอบขออาศัย ถ้าดาวดวงนี้มีชีวิต มนุษยชาติก็คือมะเร็งร้าย”
                         เธอฟังแล้วยิ้มละไม “ใช่ค่ะ มนุษย์เป็นนักทำลายตัวยง เราทำลายทุกอย่าง แม้แต่กฏเกณฑ์ธรรมชาติก็พังไม่มีเหลือ เรื่องนี้อนาคตเป็นข้อพิสูจน์ชั้นยอด ยุคของฉันไม่มีปัญหาโลกร้อนเหมือนพวกคุณ เพราะเราควบคุมสมดุลของวัฏจักรธรรมชาติเบ็ดเสร็จ และถ้าเราไม่ทำลายกฎของเวลาลง ฉันก็คงไม่มายืนอยู่ตรงนี้”
                         “รวมถึงกฏของความตาย” ผมยักไหล่ให้ ไม่ได้ใส่ใจคำพูดของเธอ “แต่ผมไม่เคยเห็นอนาคตของคุณ ไม่นับว่าเป็นข้อพิสูจน์”
                         “สุดแล้วแต่คุณจะเชื่อ” เธอค้อมหัวงดงามราวนางสนมในวัง
                         ผมนิ่งคิดกลางเสียงคลื่นซัดกระทบฝั่ง หญิงสาวนั่งนับดาวต่อพร้อมดื่มเบียร์กระป๋องใหม่ สุดท้ายผมตัดสินใจบอกเธอ 
                         “ผมอยากไปเยือนยุคของคุณ”
                         หญิงสาวหันมามองหน้าผม ดูแปลกใจ ไม่เชื่อหูตัวเอง “คุณกำลังขอร้องฉันหรือ”
                         “ผมอยากฟังการแสดงสดของเฟรดดี เมอร์คูรีแห่งวงควีน” เธอมองสบตาอย่างสนใจ สายตาเชื้อเชิญให้พูดต่อ “ผมเป็นแฟนเพลงของควีนตั้งแต่อายุสิบสาม ชีวิตวัยรุ่นของผมถูกหล่อหลอมด้วยเฟรดดี ไบรอัน เมย์ จอห์น ดีคอน โรเจอร์ เทย์เลอร์ ทุกครั้งที่ผมดูดีวีดีคอนเสิร์ตควีน ร็อค มอนทรีออล ผมฝันอยากไปดูการแสดงสดของควีนด้วยตาตัวเองสักครั้ง น่าเสียดายที่ไบรอัน เมย์สมาชิกคนสุดท้ายของวงเสียชีวิตก่อนผมเกิดได้สองนาที ผมกับควีนไม่เคยมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน”
                         หญิงสาวเงียบ ผมเงียบตาม สักพักหนึ่งเธอเอ่ยถาม “ทำไมถึงไม่ขอให้ฉันพาคุณย้อนไปในปีที่มีคอนเสิร์ตควีนของจริง”
                         ผมหยุดคิด “คงเพราะอยากเห็นยุคพระศรีอารย์ที่คุณพูดถึง”
                         “เราไม่ใช่ยุคพระศรีอารย์ เป็นยุคบูรณาการ ไม่เกี่ยวข้องกับคำทำนายของพุทธศาสนา”
                         “ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียง มีใครบ้างไม่อยากเห็นอนาคต” ผมบอก “คุณพาผมไปได้ไหม”
                         หญิงสาวหลิ่วตาให้ เธอขยับตัวเข้ามาใกล้จนร่างกายเราแนบชิดกัน ผมตกใจแต่ไม่ได้ถอยหนี “คุณมั่นใจหรือว่าตัวเองคู่ควรกับโลกสีขาว คุณเป็นคนดีพอหรือ”
                         “คุณบอกว่าผมเป็นคนดี หรือว่านั่นยังไม่มากพอ”
                         “ใช่ค่ะ ไม่มากพอ” สิ้นคำพูด หญิงสาวยื่นใบหน้าเข้ามาจูบผมที่ริมฝีปาก รสชาติของเบียร์ส่งผ่านเข้ามาที่โคนลิ้น ผมหายใจแรง หน้ามืดสับสนแต่รู้สึกขึงขังฮึกเหิม มือสองข้างไล้ไปตามเอวบางของหญิงสาวราวกับนักสำรวจโลกใหม่ ผมดึงเสื้อเธอขึ้นถึงเอวแล้วสัมผัสผิวขาวเนียน แต่ความร้อนจากร่างบอกบางช่วยเรียกสติให้กลับคืนมา ผมผละมือ ดันตัวหญิงสาวออกไป 
                         “คุณทำอะไร” ผมถามพร้อมหอบหายใจ
                         “ทดสอบจิตใจคุณ” เธอว่า
                         “น่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้”
                         “สำหรับฉันคนดีคือคนที่อยู่เหนือตัวตนดั้งเดิม มีสติปัญญามากกว่าสัญชาตญาณ” ดวงตาของเธอทอประกาย “และคุณอยู่เหนือความหื่นกระหายของตัวเอง”
                         “ผมแค่เห็นว่าเราไม่สมควรทำเรื่องนี้”
                         “ใช่ค่ะ” หญิงสาวยิ้มขำ “คุณไม่ควรพรากผู้เยาว์ มันผิดกฏหมาย”
                         “อะไรนะ” ผมร้อง ตกใจกับคำพูดของเธอ “คุณเป็นเยาวชนหรือ”
                         “สิบหกปี เยาวชนตามกฎหมายของยุคคุณและยุคฉันค่ะ”
                         สูญญากาศลูกใหญ่บังเกิดขึ้น ผมไม่อาจบรรยายความรู้สึกตัวเองได้ ผมคาดคะเนอายุของเธอผิดไปครึ่งรอบ จึงยอมให้เด็กสาวอายุสิบหกเลี้ยงอาหาร เดินเที่ยวกลางคืนที่พัทยา นั่งดื่มเบียร์ริมหาด และกอดจูบเธอ เป็นเรื่องห่างไกลความดีโดยสิ้นเชิง
                         “ไม่จำเป็นต้องกังวลค่ะ ความผิดฉันเองที่ไม่แนะนำตัว คุณไม่รู้กระทั่งชื่อฉัน และเรื่องทั้งหมดในคืนนี้ฉันเป็นฝ่ายเชื้อเชิญ คุณเพียงสนองรับ” 
                         “บอกผมสิคุณชื่ออะไร” ผมทำเสียงขรึม พยายามไม่ให้เป็นการสนทนาระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่
                         เธอยิ้มซนเหมือนสาวอายุสิบหกปีอย่างที่ไม่เคยทำ บางทีการรู้ความจริงอาจทำให้มุมมองของผมเปลี่ยนไป “ฉันอยากให้คุณลองเดา”
                         “ชื่อจริงหรือชื่อเล่น”
                         “ชื่อจริงค่ะ” เธอตอบ “คนไทยในยุคของฉันเลิกตั้งชื่อเล่นให้กัน การตั้งชื่อเล่นแต่กำเนิดเป็นเรื่องเชยและล้าสมัย เราตั้งให้แค่คนที่เราผูกพัน รู้สึกสนิทใจด้วย”
                         “วิจิตรา” ผมเลือกชื่อนี้เพราะหญิงสาวงดงามเหมือนภาพวาด วิจิตราแปลว่างามหยดย้อย
                         “ผิดค่ะ” เธอพูดเสียงนุ่มพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเธอที่ข้างแก้ม เสียงหัวใจของเธอดังราวกับหน้าอกเธอกำลังแนบที่หูผม “ชื่อของฉัน อธิษฐาน”
                         หญิงสาวจากอนาคตนามอธิษฐานประกบปากจุมพิตผมอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีสัมผัสใดส่งผ่านมา ผมรู้สึกราวกับร่างกายละลายกลายเป็นของเหลว เนื้อหนังและกระดูกซึมผ่านพื้นทราย ลึกลงไปใต้พื้นโลก ผมมองเห็นแฟรงก์ ซินาตรากำลังนั่งกินชีสเค้กระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องกายส์ แอนด์ ด็อลส์ พุ่มพวง ดวงจันทร์ร้องเพลง จอห์น เลนนอนถูกยิงที่หน้าอพาร์ตเมนต์ เดอะ ดาโคตา จูเลียส ซีซาร์ออกรบในสงคราม พีระมิดคูฟูกำลังก่อสร้าง กำแพงเมืองจีนพังทลาย มูราคามิ ฮารูกิได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม ชาวอินเดียไปสำรวจดาวอังคาร สหรัฐอเมริกาผนึกกำลังเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย การประชุมสุดยอดผู้นำหญิงของโลก งานแต่งงานยิ่งใหญ่ของผู้นำประเทศทางฝั่งยุโรปที่เป็นเกย์ โลกที่ไร้พรมแดนทางเชื้อชาติ ทุกประเทศต่างมีชาติพันธุ์ต่างๆอาศัยอยู่ร่วมกัน เกิดการผสมกันของยีนส์ มนุษย์ทั่วโลกกลายเป็นพันธุ์ผสม ไม่มีคอเคซอยด์ ไม่มีมองโกลอยด์ ไม่มีนิกรอยด์ 


                        ผมลืมตาขึ้นมาพบตัวเองอยู่ในโกดังเก่ากลิ่นเหม็นอับ รอบตัวมืดไปหมด มีเพียงแสงที่ลอดจากหน้าต่างที่ทำให้มองเห็นสิ่งรอบข้าง ฝุ่นละอองลอยไปมาเหมือนเมล็ดของดอกแดนดิไลออน อธิษฐานยืนห่างผมไปไม่กี่เมตร
                        “มาเถอะ เรามีเวลาไม่ถึงชั่วโมง”
                        ผมลุกขึ้นเดินไปหาเธอ “เราอยู่ที่ไหน”
                        หญิงสาวหันมามองผมก่อนจะผลักบานประตูให้เปิดออก “โลกใหม่ค่ะ”
                        อากาศหนาวพุ่งผ่านเข้ามาในโกดังพร้อมกับแสงสว่างจ้า ผมเดินตัวสั่นตามเธอออกไป อธิษฐานเดินตัวปลิวอย่างชำนาญทาง 
                        ข้างนอกอากาศเย็นและเป็นตอนกลางคืน ผมเดินตามหลังอธิษฐานไปโดยปราศจากคำถาม ผู้คนจำนวนมากเดินขวักไขว่สัญจรไปมา ไม่มีรถแล่นผ่านเพราะถนนถูกยกขึ้นไปบนฟ้า ถนนโปร่งใสเรืองแสงเหมือนคริสตัล ล้อรถยนต์เปล่งแสงนีออนแต่ไม่แตะพื้นถนน ที่นี่รถยนต์คล้ายจะเหาะได้ 
                        มีคนหลากชาติพันธุ์เหมือนที่ผมเห็นตอนกลายเป็นของเหลวซึมผ่านดินทราย แต่พวกเขาดูแปลกตากว่าที่เคยเห็น ชายผิวสีคนหนึ่งมีผมสีบลอนด์ หญิงสาวหน้าหมวยอีกคนมีเส้นผมสีแดง แต่ดวงตาสีฟ้า หนุ่มวัยรุ่นชาวไทยเดินผ่านผมไป เขามีผมหยักศกเส้นหนาเหมือนชาวแอฟริกัน จมูกแดง และหน้าเป็นกระ ผมไม่อาจเดาได้ว่าอยู่ส่วนไหนของโลก
                        อธิษฐานหันมาเห็นผมตัวสั่นเพราะความหนาว เธอบอก “กรุงเทพในฤดูหนาวอุณหภูมิต่ำกว่ายุคของคุณมาก คุณคงไม่ชิน”
                        ผมตะลึง ไม่อยากเชื่อว่าในอนาคตกรุงเทพจะหนาวได้ถึงเพียงนี้ “มันเกิดขึ้นได้อย่างไร”
                        “ผลพวงจากภาวะโลกร้อน” หญิงสาวตอบ เธอพ่นลมหายใจใส่ฝ่ามือแล้วถูกันให้เกิดความร้อน “เราหยุดยั้งมันได้ แต่ธรรมชาติที่แปรเปลี่ยนไปแล้วยากจะทำให้หวนคืนเป็นเหมือนเดิมในทันที ด้วยความสัตย์จริง ถึงจะเป็นช่วงสงกรานต์ แต่ยุคของคุณทำฉันร้อนแทบตาย”
                        “ตอนเป็นเด็กผมฝันอยากให้มีหิมะตกที่เมืองไทย ที่นี่มีหิมะไหม”
                        อธิษฐานเล่าให้ฟัง “คุณมาเร็วไป กว่าหิมะจะตกคงอีกราวสองอาทิตย์ แต่ถ้าคุณมาในช่วงสงกรานต์จะได้เห็นแท็งค์น้ำเคลื่อนที่ทรงช้างขนาดยักษ์วิ่งแล่นไปทั่วเมืองคอยเติมกระสุนให้คนเล่นน้ำ รัฐบาลได้แรงบันดาลใจจากงานศิลปะช้างไทย-อิตาลีของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ฉันเรียกมันว่าก้านกล้วย” 
                        ผมเอ่ยถาม “ขนาดยักษ์นี่ใหญ่แค่ไหน”   
                        “เล็กสุดคือสี่เมตร ตัวใหญ่มีตัวเดียวขนาดสิบห้าเมตร เจ้าตัวนี้ไม่เคลื่อนที่ เป็นช้างขี้เกียจคอยยืนเติมน้ำให้ผู้คน” พูดจบหญิงสาวก็วิ่งขึ้นบันไดไป เบื้องหน้าเป็นอาคารขนาดใหญ่ ป้ายเขียนบอกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เหตุการณ์โลก ผมฉงนใจว่าเรามาทำอะไรที่พิพิธภัณฑ์ ไม่มีทางที่เฟรดดี เมอร์คูรีจะขึ้นร้องเพลงที่นี่ 
                        ข้างในพิพิธภัณฑ์โอ่อ่าใหญ่โต มีนิทรรศการที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่น่าตื่นตามากมายทว่าร้างไร้ผู้คนสมเป็นเวลากลางคืน ผมนึกถึงภาพยนตร์ชุดไนท์ แอท เดอะ มิวเซียม อยากให้สิ่งของในพิพิธภัณฑ์ลุกขึ้นมามีชีวิต ผมจะเป็นตัวเอกของเรื่องที่แสดงโดยเบน สติลเลอร์คอยไล่จัดการปัญหาวุ่นวายที่เกิดขึ้นในพิพิธภัณฑ์
                        อธิษฐานเดินผ่านนิทรรศการเหมือนเดินผ่านทุ่งหญ้าโล่ง ไม่มีความสนใจใดให้ และแล้วเธอก็พาผมเข้ามาในห้องกว้างปิดทึบ หลังคาลักษณะเป็นโดมกระจก สุดขอบห้องตรงข้ามประตูมีนาฬิกาขนาดยักษ์คล้ายจำลองมาจากหอนาฬิกาบิ๊กเบนในประเทศอังกฤษ อุปกรณ์ฉายภาพสูงสามเมตรตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง อธิษฐานเดินเข้าไปพิมพ์ข้อมูลใส่หน้าจอเครื่องฉาย
                        ทันใดนั้นเครื่องฉายก็ทำงาน แสงเลเซอร์ถูกยิงไปทั่วห้อง มันสว่างจ้าจนผมต้องหลับตาหนี สองวินาทีต่อมา เสียงฝูงชนร้องตะโกนดังสนั่น ผมลืมตาขึ้นมาเห็นคนหลายหมื่นอัดแน่นอยู่ภายในห้องมืดทึบ ด้านหน้ามีเวทีขนาดใหญ่ เฟรดดี เมอร์คูรี ไบรอัน เมย์  จอห์น ดีคอน โรเจอร์ เทย์เลอร์ ทั้งสี่คนยืนอยู่บนนั้นเล่นเพลง ‘วี วิล ร็อค ยู’ ทุกคนในวงต่างแต่งกายเหมือนครั้งคอนเสิร์ตควีน ร็อค มอนทรีออล ผมไหลเข้าไปในกระแสของอดีต ร้องตะโกนไปตามเฟรดดี ชูแขน โบกมือ กระโดดโลดเต้น กลายเป็นส่วนหนึ่งของภาพอันยิ่งใหญ่แห่งประวัติศาสตร์ดนตรียุคแปดศูนย์ 
                        ภาพเสมือนจริงหายไปเมื่อเพลง ‘วี อาร์ เดอะ แชมเปียน’ จบลง โดมกระจกกลับคืนมาอีกครั้ง ไม่มีวงควีน ไม่มีเสียงดนตรี ไม่มีแฟนเพลงจากอดีต มีเพียงผมยืมหอบหายใจ ซาบซึ้งไปกับเสียงร้องและดนตรีของราชาในนามราชินี
                        “เครื่องฉายภาพเสมือนจริงย้อนเวลากลับไปสแกนภาพเหตุการณ์จริงในอดีตแล้วฉายออกมาให้ผู้คนได้สัมผัสความรู้สึกเดียวกันกับผู้คนในเหตุการณ์” อธิษฐานบอกพลางหันหลังพิมพ์ข้อมูลใส่หน้าจอ ห้องทึบกลายเป็นลานกว้างปลอดโปร่ง ท้องฟ้าสีฟ้าฟ้าสวย ณ อนุสาวรีย์ลิงคอล์นในวอชิงตัน ดี.ซี. คนจำนวนกว่าสองแสนยืนฟังสุนทรพจน์ ‘ข้าพเจ้ามีความฝัน’ ของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ 
                       “ผมนึกว่าคุณจะพาไปดูการแสดงของวิญญาณวงควีนที่ไหนสักแห่ง”
                       อธิษฐานหน้าหมอง “ฉันไม่อยากทำให้คุณผิดหวัง ควีนอาจจะเปี่ยมจิตวิญญาณเหมือนในยุคเจ็ดศูนย์ แปดศูนย์ แต่ผู้คนในยุคของฉันไม่มีทางเข้าถึงจิตวิญญาณ”
                      “ทำไม” ผมถาม
                      “คุณเห็นร้านอาหารตรงหน้าพิพิธภัณฑ์ไหม” ผมพยักหน้าตอบ “ที่นั่นมีการแสดงร่วมกันของบรูโนมาร์ส เดวิด โบวี่ และเอ็ด ชีแรน แต่ทุกคนนั่งนิ่งเหมือนฟังดนตรีคลาสสิค”
                      “บ้าไปแล้ว”
                      ผมอิจฉาเมื่อนึกถึงภาพดาวค้างฟ้าสามดวงแห่งวงการดนตรีมาอยู่ตรงหน้า ภาพในฝันที่คนในยุคผมได้แต่ฝันถึง
                      “เป็นเรื่องธรรมดาของยุคนี้ที่จะมีนักร้องระดับตำนานมาแสดงสดต่อหน้า ความคุ้นชินกัดกินเรา ทุกวันนี้คนอยู่สบายเกินไปจนเคยตัว ขาดไร้จิตวิญญาณ เหล่าคนตายยังดูเป็นมนุษย์มากกว่า” หญิงสาวเดินฝ่าฝูงชนเสมือนจริงมายืนข้างผม
                      “คนพวกนี้น่าสงสาร” ผมพึมพำ “คุณช่วยเปลี่ยนเป็นคอนเสิร์ตควีนอีกครั้งได้ไหม”
                      “ฉันทำไม่ได้ เครื่องฉายภาพถูกออกแบบมาไม่ให้ฉายอดีตเดิมนานเกินไปเพื่อกันไม่ให้คนในปัจจุบันหลงรักอดีต”
                      ผมทอดถอนใจ รู้สึกเหมือนเป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งอกหัก ทว่าความรักยังคุกรุ่นในอก “พวกเขาทำถูก อดีตเป็นเรื่องน่าหลงใหล ใครๆต่างก็ถวิลหา เมื่อครู่ผมแทบไม่อยากหลุดกลับมาสู่ความเป็นจริง”
                      “แต่มีเรื่องน่าขำ คนในยุคฉันเดินติดกับดักหลงรักอดีตหัวปักหัวปำ โดยเฉพาะคนไทยที่หวังอยากเป็นชาติสำคัญของโลกจึงฟื้นฟูวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมขึ้นมาเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยว หากินกับของเหลือของคนในอดีต และสำเร็จ เรายิ่งใหญ่ได้ด้วยวัฒนธรรมประเพณี สุดท้ายคนไทยถอนกำลังออกจากแวดวงวิทยาศาสตร์ กลายเป็นประเทศที่เกาะกุมมรดกจากยุคก่อนอย่างเหนียวแน่น” อธิษฐานพูดตำหนิฉะฉานใส่อารมณ์เหมือนนักวิเคราะห์ประเด็นสังคม เธอดูเหนื่อยหน่ายกับเรื่องที่เธอพูด
                     “คนไทยเป็นนักประยุกต์ดัดแปลง ไม่ใช่นักบุกเบิก เมื่อเราเป็นอันดับหนึ่ง ปราศจากคู่แข่งด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เราไม่อาจหาอะไรมาพัฒนาต่อได้ วัฒนธรรมที่หยุดนิ่งคือวัฒนธรรมที่ตายแล้ว ความไร้จิตวิญญาณของคนไทยกำลังทำให้ประเทศชาติตาย”
                     “คุณกำลังพูดถึงการล่มสลายของมหาอาณาจักร” ผมถามหยั่งเชิง
                     อธิษฐานพยักหน้าให้ “บางครั้งเราจำต้องปล่อยให้มันล่มสลาย เราเดินต่อไปไม่ได้หากมือข้างหนึ่งเหนี่ยวรั้งอดีตไว้ สิ่งที่ควรทำคือการเก็บก้อนอิฐไปใช้สร้างนครใหม่ ไม่ใช่ดึงดันจะลากนครเดิมผ่านฟ้าผ่านฝนไปทุกที่” 
                     “แต่ประเทศไทยของคุณเปลี่ยนไปมาก คุณก็เห็นสงกรานต์ของผม มันสกปรกและน่าสลดใจ เป็นเพียงงานสังสรรค์ที่หนึ่งปีมีหน แต่ของคุณไม่ใช่ คุณมีประเพณีดั้งเดิมและแหล่งท่องเที่ยวทำเงินระดับโลก นั่นไม่นับเป็นการเก็บอิฐไปสร้างใหม่แล้วหรือ” ผมถามแย้งประเด็นของเธอ อธิษฐานเหยียดยิ้มแต่ตาเศร้า
                     “เราเคยเก็บอิฐมาก่อสร้างใหม่ค่ะ แต่ตอนนี้เรากลับมาหยุดนิ่งอีกครั้งเพราะความสำเร็จที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย กลายเป็นเพียงหอคอยยักษ์รอวันโดนโค่น ฉันได้แต่หวังว่าเมื่อมหาอาณาจักรล่มสลาย คนไทยจะกลับมามีจิตวิญญาณแห่งความพัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น”
                     “ทำไมต้องรอให้ถึงวันนั้น คุณเริ่มเองตอนนี้ก็ยังได้”
                     หญิงสาวส่ายหัว “คุณพูดเพ้อเจ้อ ฉันเป็นแกะดำตัวจ้อยในฝูงแกะขาว ฉันลำพังทำอะไรไม่ได้”
                     “คุณไม่ได้สู้ลำพัง” ผมมองตาเธอ ภายในดวงตาสุกสกาวเหมือนดาวบนฟ้าที่เพิ่งเกิด “เมื่อคุณริเริ่มสู้เพื่อคนอื่น คนอื่นก็จะต่อสู้เพื่อคุณ ไม่มีนักปฏิวัติคนใดอ้างว้างไร้มิตรสหายข้างกาย คุณก็เช่นกัน”
                     “คุณเชื่อว่าฉันทำได้หรือ” อธิษฐานถามเสียงเบาหวิว
                     “แน่นอน” ผมตอบเสียงหนักแน่น “คุณเป็นคนมีปณิธาน มีจิตวิญญาณ ไม่เหมือนคนอื่น”
                     “แต่ฉันเป็นส่วนหนึ่งของยุคสมัย ความไร้ซึ่งจิตวิญญาณมีอยู่ในตัวฉัน”
                     “คุณมีจิตวิญญาณ” ผมยืนยัน
                     เมื่อได้ยินดังนั้น อธิษฐานยกยิ้มสดใสราวแสงอาทิตย์ตกกระทบน้ำทะเลยามเช้า เธอสว่างจ้าดั่งเทียนไขเล่มเดียวที่ส่องสว่างบนพื้นโลก “ฉันดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นค่ะ”
                     ทันใดนั้นนาฬิกาเรือนยักษ์ส่งเสียงดังเหง่งหง่าง เข็มชี้บอกเวลาเที่ยงคืน รอยยิ้มของเธอจางลง 
                     “ถึงเวลาที่คุณต้องกลับบ้านแล้ว”
                     อาคารสั่นสะเทือนเหมือนเกิดแผ่นดินไหว เครื่องฉายภาพเสมือนจริงหยุดทำงาน จัสตุรัสลิงคอล์น มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ และคนอีกสองแสนหายไปในพริบตา โดมกระจกมีรอยร้าวและแผ่ขยายลุกลากขึ้นทุกครั้งที่เสียงลูกตุ้มนาฬิกาดัง ผมมองขึ้นไปบนเพดาน ตระหนักได้ว่าบัดนี้อาคารทั้งหลังจมอยู่ใต้น้ำจนมิดหลังคา ผมตื่นตกใจ แต่อธิษฐานยิ้มใจเย็น เอ่ยเสียงหวานราวขับร้องบทเพลง 
                     “ได้โปรดอย่าลืมฉัน คุณเป็นมิตรสหายคนแรก” เธอเดินมาสวมกอดผมแน่น “ข้าพเจ้ามีความฝัน”
                     ยังไม่ทันที่ผมจะได้บอกลา เสียงลูกตุ้มนาฬิกาครั้งสุดท้ายก็ดังขึ้น กระจกบนเพดานแตกยับพังทลาย มวลน้ำมหาศาลไหลทะลักเข้ามาในห้อง ผมโดนเกลียวน้ำโถมทับอย่างไร้ทางสู้ กระดูกทั้งตัวหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อวัยวะภายในถูกทำลาย ร่างกายถูกแรงดันน้ำบีบอัดราวกับอยู่ในหลุมดำ สุดท้ายร่างผมแหลกไม่มีเหลือ หดย่อเหลือเล็กเท่าเศษธุลีดิน


                     ในกาลเวลาปัจจุบัน ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนริมหาด สำลักน้ำทะเลที่มีอยู่ท่วมคอ แดดอ่อนยามเช้ามาพร้อมกับน้ำขึ้นที่สูงถึงใบหน้า ผมยันตัวขึ้นคลานหนีคลื่นลูกถัดไป รู้สึกปวดหัวเพราะฤทธิ์เบียร์ 
                     สัมผัสของเม็ดทรายเปียกละเอียดชื้นไปทั่วฝ่าเท้า รองเท้าของผมหายไป ไม่ใช่แค่นั้น ผมสำรวจในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง กุญแจรถกับกระเป๋าเงินก็หายไปเช่นกัน ใครบางคนคงขโมยไประหว่างที่ผมนอนหลับไม่ได้สติข้ามคืนกลางชายหาด
                     สายตาของผมสอดส่องไปเห็นปืนฉีดน้ำของอธิษฐานตกอยู่บนพื้นทราย แต่ไร้วี่แววเจ้าของ บางทีเธออาจลืมหยิบไปหรือตั้งใจทิ้งไว้ให้ผม นั่นสุดจะรู้ได้ ผมทิ้งตัวลงนอนแผ่ทันทีที่พ้นเกลียวคลื่น อธิษฐานได้จากไปแล้ว เธอนั่งรถฟักทองคันงามกลับไปยังอนาคตขาวบริสุทธิ์ของเธอ ส่วนผมถูกทิ้งไว้ที่นี่ โลกแสนสกปรกใบเดิมที่เปรอะเปื้อนใจคนสีเทาดำ
                     ผมหยิบปืนฉีดน้ำบนพื้นทรายขึ้นมาจ้องมองแล้วคิดถึงคำพูดเลียนแบบสุนทรพจน์ของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ของอธิษฐาน รู้สึกเสียดายที่จะไม่มีโอกาสได้เห็นเธอทำตามความฝัน มาร์ติน ลูเธอร์ใช้เวลากว่าสิบปีในการต่อสู้เพื่อสิทธิของชาวผิวสี สุดท้ายเขาจบชีวิตลงเพราะคนที่เกลียดชังความดีงามและปณิธานของเขา แต่อธิษฐานยังอ่อนเยาว์ ตัวคนเดียว เธอจะต้องเจ็บปวดทรมานอีกมาก หากต้องการเห็นโลกในอุดมคติกลายเป็นความจริง  
                     ผมได้แต่ภาวนา ในอนาคตอีกหมื่นแสนคืนข้างหน้า ขอให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเคียงข้างอธิษฐาน ได้เฝ้ามองการเดินทางทรหดสู่ยุคสมัยใหม่ของเธอ จวบจนดวงวิญญาณหลับใหลไปเยี่ยงผู้วายชนม์
                     เสียงเพลง ‘โบฮีเมียน แรพโซดี’ ของวงควีนดังขึ้นมา ณ ที่ไหนสักแห่งของโลก
                     หญิงสาวมีความฝัน
                     ข้าพเจ้ามีความฝัน

แสดงความคิดเห็น