
EN04 Timestopable - คนหยุดเวลา
เมื่อ 'โรเบิร์ต ไทมส์' ต้องการย้อนเวลากลับไปเพื่อช่วยภรรยาสุดที่รัก แต่การทดลองผิดพลาดและทำให้กระแสเวลาพุ่งเข้าสู่ตัวลูกชายของเขา 'รีส ไทมส์' ฮีโร่ผู้สามารถหยุดเวลาได้จึงถือกำเนิดขึ้น!!
Chapter 2: เด็กหนุ่มผู้หยุดเวลา
“ทุกสิ่งมีราคาของมัน อยู่ที่ว่าเราต้องจ่ายด้วยเงิน จ่ายด้วยสิ่งของ
หรือว่าจ่ายด้วยเวลา”
-ทอร์น ลอว์น-
ชั้นที่นั่งในห้องเรียนของมหาวิทยาลัยวอทช์ถูกแบ่งเป็นขั้นบันไดสูง กว้างขวาง โอ่อ่า และเต็มไปด้วยนักศึกษามากหน้าหลายตา ทว่าความมืดสนิทของห้องทำให้เห็นได้ไม่ชัดเจนนัก บริเวณหน้าชั้นเรียนมีชายผมบลอนด์ร่างสูงโปร่งคนหนึ่งกำลังใช้รีโมตยิงเส้นเลเซอร์ชี้ไปที่ภาพโฮโลแกรมขนาดใหญ่ ซึ่งมีลักษณะเป็นใบหน้าของชายวัยกลางคนผู้สวมเสื้อผ้าโบราณและวิกผมสีขาว เขาคือนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังนามว่า
“เซอร์ ไอแซค นิวตัน” เสียงนุ่มทุ้มจากชายผมบลอนด์อธิบาย “เชื่อว่าทุกสิ่งนั้นไหลไปตามกาลเวลา ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ไม่มีอะไรคงที่ และไม่มีอะไร ที่หยุดการเคลื่อนไหวของเวลาได้”
นิ้วเรียวบางกดปุ่มบนรีโมตในมือ ภาพเปลี่ยนไปเป็นชายชราที่กำลังแลบลิ้น “ส่วนอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เชื่อว่าเวลาจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับแรงโน้มถ่วง...นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายทฤษฎีที่อธิบายเกี่ยวกับเวลา แม้กระทั่งนักจิตวิทยาก็มีความคิดที่แตกต่างกันออกไป บางคนเชื่อว่าเวลา จะช้าหรือเร็วนั้นขึ้นอยู่กับจิตใจของมนุษย์ ทุกคนคงเคยรู้สึกใช่ไหม ในตอนที่เรารอคอยอะไรบางอย่าง เวลาก็ดูเหมือนจะเชื่องช้า ส่วนเวลาแห่งความสุขก็มักจะผ่านไปเร็วเสมอ ทั้งที่จริงๆ แล้วเวลา ก็ยังคงเดินไปตามปกติของมันไม่เปลี่ยนแปลง”
“ศาสตราจารย์ทอร์นครับ” เสียงเด็กหนุ่มดังมาจากที่นั่งตรงมุมซ้ายของห้อง เงาตะคุ่มเห็นเป็นคนตัวเล็กที่กำลังเหยียดกายเพื่อยกมือให้สูงที่สุด “ถ้าเวลาเป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา แล้วมีความเป็นไปได้ไหมครับที่มนุษย์จะสามารถหยุดเวลาได้”
“เป็นคนถามที่ดีแฟรงค์” น้ำเสียงของศาสตราจารย์ทอร์นดูพึงพอใจ “เมื่อสิบปีก่อนครูกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งเคยทำงานวิจัยเกี่ยวกับเวลา พวกเราเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ว่าเวลาสามารถหยุดเดินได้รึไม่ คนเราสามารถข้ามไปสู่อนาคต หรือย้อนไปสู่อดีตได้รึเปล่า...ทั้งครูและเพื่อนรวมไปถึงทุกคนในทีมวิจัยต่างก็เข้าใกล้คำตอบของคำถามเหล่านั้นแล้ว ใกล้แล้ว ใกล้มากๆ...แต่ทุกอย่างก็ผิดพลาด พวกเธอน่าจะรู้กันดี โศกนาฏกรรมที่พรากชีวิตคนสำคัญของวอทช์ซิตี้ไป”
“ศาสตราจารย์โรเบิร์ต...” เสียงเด็กสาวใกล้ๆ กับแฟรงค์เอ่ยเสียงแผ่ว “เพื่อนสนิทที่พูดถึงก็คือศาสตราจารย์โรเบิร์ตสินะคะ”
“ใช่แล้วไดน่า...หลังจากเหตุการณ์ระเบิดของเครื่องย้อนเวลาในครั้งนั้น ศาสตราจารย์โรเบิร์ตก็หายสาบสูญ...”
“ไม่ได้หายสาบสูญซะหน่อย!”
เสียงตะโกนดังลั่งมาจากทางมุมซ้ายของห้อง แต่ไม่ใช่เสียงของแฟรงค์ เป็นเสียงที่ฟังดูห้าวกว่ามาก เด็กหนุ่มร่างสูงลุกขึ้นยืนทันที เขาพูดให้ทุกคนในห้องได้ยินด้วยเสียงดังฟังชัด
“ผมบอกทุกคนไปหลายรอบแล้วนะ ว่ากระแสพลังงานที่เครื่องนั่นปล่อยออกมาต่างหากที่ฆ่าพ่อของผม แต่ที่ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เพราะว่าตอนนั้น...”
“รีส เรนัล ไทมส์” เสียงแข็งจากศาสตราจารย์ทอร์นประกาศด้วยชื่อเต็ม เป็นสัญญาณที่ไม่ดีสำหรับนักศึกษาทุกคน “ครูว่าครูเองก็บอกเธอไปหลายครั้งแล้วนะ ว่าถ้าเธอยังหาข้อเท็จจริง หรือว่าหลักฐานทางวิทยาศาตร์ที่ช่วยเสริมคำพูดเพ้อฝันของตัวเองไม่ได้ ก็หยุดพูดเรื่องนี้สักที!”
“แต่ว่าผม...”
รีสชะงักเพราะมีคนกระตุกแขนเสื้ออย่างแรง “ไม่เอาน่ะเพื่อน!” แฟรงค์กระซิบ“ฉันไม่อยากช่วยนายทำรายงานเป็นสิบๆ หน้าอีกแล้วนะ!”
“ฉันด้วย...” เสียงเด็กสาวที่ชื่อไดน่ามาพร้อมฝ่ามือเรียวบางที่กระตุกแขนเสื้อรีสอีกข้าง “ให้นั่งพิมพ์งานทั้งคืนแบบนั้นไม่เอาด้วยแล้วนะ” น้ำเสียงของเธอเหมือนกับจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“เออๆ ก็ได้” รีสยอมจำนน เขาค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งแต่โดยดี
“เฮ้อ...” ทอร์นถอนหายใจยาว “คิดจะเรียนคณะนี้ คิดจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ ก็ต้องคุยกันด้วยเหตุและผล หลักการและหลักฐาน ครูเข้าใจว่าเธอคือคนที่สูญเสียมากที่สุดในวันนั้น แต่อย่าเอาความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการคิดวิเคราะห์สิ เข้าใจไหม?”
“...ครับ”
“ดี ขอให้ครั้งนี้เข้าใจจริงๆ เถอะ”
เมื่อเห็นว่ารีสยอมรามือ ทอร์นก็กดปุ่มบนรีโมตอีกครั้ง ภาพโฮโลแกรมที่เป็นใบหน้าของไอน์สไตน์จางหายไปอย่างช้าๆ ผ้าม่านทางด้านหลังห้องที่ปิดอยู่ก็เคลื่อนออก ปล่อยแสงสว่างสาดส่องเข้ามาในห้อง เผยให้เห็นใบหน้าของนักศึกษายี่สิบคน รวมไปถึงใบหน้าสะสวยของธอร์นผู้มีผมบลอนด์ซอยสั้น ทั้งๆ ที่เจ้าตัวเป็นผู้ชายร่างสูงโปร่งและมีอายุเกือบสี่สิบปีแล้ว อีกทั้งสายตาที่เริ่มยาวทำให้เขาต้องสวมแว่นกรอบบางเอาไว้
“เอาล่ะ เนื่องจากว่าวันนี้มีงานนิทรรศการวิทยาศาสตร์ประจำปี ครูก็เลยจะปล่อยให้พวกเธอไปทำอะไรน่าเบื่ออย่างการเฝ้าซุ้มที่น่าภาคภูมิใจของตัวเอง” มุขเล็กๆ ของทอร์นเรียกเสียงหัวเราะได้เบาบาง “ขอให้ทุกคนตั้งใจทำให้ดี ไว้เราค่อยมาต่อกันพรุ่งนี้”
เมื่อทอร์นก้าวเดินออกจากห้องเรียนไป เสียงพูดคุยอื้ออึงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่พูดถึงงานนิทรรศการวิทยาศาสตร์ประจำปี ซึ่งจัดขึ้นเพื่อให้ทุกคนในวอทช์ซิตี้ออกมาแสดงผลงานและสิ่งประดิษฐ์ของตน ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือคนสูงอายุ หากจองซุ้มของตัวเองไว้แล้วก็สามารถไปร่วมงานได้ที่ศูนย์วิจัยวอทช์ซิตี้ โดยงานจะจัดยาวถึงหนึ่งสัปดาห์เลยทีเดียว
“เฮ้อ...เกือบไปแล้วสิ” เสียงเล็กๆ ดังมาจากเด็กหนุ่มที่ชื่อแฟรงค์ เขานั่งอยู่ทางขวามือของรีส แฟรงค์เป็นคนตัวเตี้ยและผอมบาง สวมเสื้อยืดแขนยาวตัวใหญ่พร้อมลายสัตว์ประหลาดจากการ์ตูน ผมสีดำที่ถูกหวีจนเนี๊ยบกับแว่นกรอบกลมหนาๆ ทำให้ทุกคนที่เห็นรู้ได้เลยว่าแฟรงค์เป็นเด็กเนิร์ด*
“นี่รีส...เพิ่งเริ่มเทอมสองได้ครึ่งวันนายก็หาเรื่องมาให้เลยนะ จริงๆ แล้วฉันก็คำนวณเอาไว้แหละว่าน่าจะมีโอกาสประมาณเจ็ดสิบเก้าจุดแปดสี่เปอร์เซ็นต์ที่นายจะทะเลาะกับศาสตราจารย์ทอร์น แต่ฉันก็ยังหวังว่าอีกยี่สิบจุดหนึ่งหกเปอร์เซ็นต์นายจะ...”
“ที่แฟรงค์พยายามจะบอกก็คือ...” ไดน่าขัดขึ้น เธอนั่งอยู่ทางซ้ายมือของรีส ไดน่าเป็นเด็กสาวร่างบาง ใบหน้าสะสวยน่ารัก มีผมยาวสลวยสีชมพู สวมสเวตเตอร์และกระโปรงสีชมพู กระเป๋าถือสีชมพู ปากกาสีชมพู สมุดจดสีชมพู...ทุกอย่างของไดน่าต้องเป็นสีชมพูเท่านั้น
“ฉันรู้แล้ว...รู้แล้วน่ะว่าจะพูดอะไรกัน” รีสโบกมือไปมาด้วยความรำคาญ เขายกมือเสยผมสีขาวโพลนอย่างเหนื่อยหน่าย “แต่พวกนายก็เชื่อไม่ใช่เหรอว่ามิติกาลเวลามีจริงๆ แล้วโปรเจ็คที่พวกเราทำมาด้วยกันจนถึงตอนนี้ก็เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นไม่ใช่เหรอ?”
“เอ่อ คืองี้นะรีส” แฟรงค์ยกมือขึ้นแตะบ่าเพื่อน “พวกเราเชื่อนาย แล้วก็เชื่อในแนวคิดของนายเรื่องมิติกาลเวลา แต่ว่านะเพื่อน ไอ้ที่นายเอามาให้พวกเราดูแล้วก็ทดลองกันมาตลอดเนี่ย มันเป็นแค่งานวิจัยเก่าของศาสตราจารย์โรเบิร์ตกับศาสตราจารย์ทอร์นนะ แล้วพอทำออกมาก็ได้แค่เครื่องจำลองเปล่าๆ ใช้งานไม่ได้จริงๆ สักหน่อย”
“ใช่...แล้วศาสตราจารย์ทอร์นก็บอกว่าต้องเอาโปรเจ็คที่ใช้งานได้จริงไปแสดงเท่านั้น” ไดน่าเกาะแขนรีสแน่น “ไม่งั้นก็จะไม่ได้คะแนน แล้วก็ต้องมานั่งทำราย...งาน...” ดวงตากลมโตที่ใส่คอนแท็กเลนส์สีชมพูมีน้ำตาปริ่มออกมา แต่แล้วไดน่าก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรออก “อ้ะ แต่ที่จริงฉันให้เพื่อนช่วยทำงานวิจัยสำรองเอาไว้แล้วล่ะ เพราะรู้ว่างานของรีสคงเอาไปแสดงไม่ได้แน่ๆ ก็เลย...”
“เธอก็ด้วยเหรอ!” เสียงเล็กของแฟรงค์ตะโกนลั่น “อันที่จริงฉันเองก็ทำงานวิจัยสำรองเอาไว้แล้วเหมือนกันนะ เพราะรู้อยู่แล้วไงว่ามีโอกาสถึงเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าเปอร์เซ็นต์ที่งานของรีสจะ...”
“เฮ้อออออ!” รีสถอนหายใจเสียงดัง เป็นสัญญาณคล้ายกับระฆังหมดยก เพื่อนรักของเขาทั้งสองคนหยุดชะงัก “เอาเป็นว่าพักเรื่องงานวิจัยของฉันเอาไว้ก่อนแล้วกัน ส่วนเรื่องที่ว่าจะเอางานของใครไปแสดงค่อยว่ากันอีกที เพราะว่าตอนนี้...”
รีสล้วงมือเข้าไปใต้อกเสื้อฮู้ดสีเทา ก่อนจะควักนาฬิกาพกสีเงินที่เขาใส่คล้องกับโซ่เส้นเล็กจนกลายเป็นสร้อยคอออกมา เมื่อเปิดก็จะพบกับรูปครอบครัวของพ่อ แม่ และลูกชายตัวน้อยซึ่งแปะอยู่ด้านหลังฝาเปิด ส่วนเข็มเวลาทั้งสามกำลังบ่งบอกว่าใกล้เที่ยงแล้ว ซึ่งพิธีเปิดงานนิทรรศการวิทยาศาสตร์ประจำปีก็คือ
เที่ยงตรง...
“สายแล้ว!”
ทั้งสามตะโกนพร้อมกันก่อนจะวิ่งแจ้นไปจากห้องเรียน
วอทช์ซิตี้เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเล เต็มไปด้วยตึกสูงใหญ่ดูทันสมัย โรงงานที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด รถยนต์ที่ใช้พลังงานแม่เหล็กและจักรยานไฟฟ้า ผสมผสานไปด้วยสวนสาธารณะเขียวขจี ต้นไม้ที่ปลูกบนเกาะกลางถนนและสวนดอกไม้บนดาดฟ้า นับว่าเป็นเมืองแห่งเทคโนลียีที่ผสมผสานกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว
ทว่าผู้คนที่ใช้รถหรือจักรยานกลับมีให้เห็นอยู่บางตา ส่วนใหญ่แล้วผู้คนในวอทช์ซิตี้จะเดินทางด้วยรถไฟลอยฟ้า ซึ่งเชื่อมต่อกับสถานที่สำคัญทุกแห่งในเมือง เช่น มหาวิทยาลัยวอทช์, หอสมุดวอทช์, ธนาคารวอทช์ซิตี้,ศูนย์วิจัยวอทช์ซิตี้ และอื่นๆ อีกมากมาย
รีส แฟรงค์ และไดน่ากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมหนาในรถไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่โอ่อ่ากว้างขวาง รถไฟฟ้าของวอทช์ซิตี้ไม่มีราวยืนหรือห่วงเกาะให้ห้อยโหน แต่จะแบ่งเป็นที่นั่งฝั่งละสองที่เรียงยาวไปหลายร้อยเมตร แฟรงค์นั่งคู่กับไดน่าและกำลังถกเถียงกันว่าจะใช้งานวิจัยของใครออกแสดง ส่วนรีสนั่งอยู่คนเดียวที่ริมหน้าต่างอีกฝั่งหนึ่ง เหม่อมองไปเหนือวอทช์ซิตี้อันสวยงาม ทว่าในใจของเขากลับร้อนรน โดยจะสังเกตได้ชัดจากขาขวาที่กระตุกขึ้นลงตลอดเวลา เนื่องจากรีสไม่ชอบไปไหนสาย เขามักจะไปถึงก่อนเวลาเสมอ เป็นเพราะคำสั่งเสียที่พ่อทิ้งไว้ให้ตั้งแต่ยังเด็ก
‘เข้มแข็งเอาไว้ ลูกพ่อ’ เสียงอ่อนโยนยังดังก้องในหู ภาพน้ำตาของพ่อที่ไหลอาบแก้มยังติดตรึงตา ‘และจงใช้ทุกวินาทีต่อจากนี้ ให้คุ้มค่า...’
“ท่านผู้โดยสารทุกท่าน ขณะนี้เรากำลังเข้าสู่สถานีศูนย์วิจัยวอทช์ซิตี้ แล้วค่ะ”
เสียงผู้ประกาศทำให้รีสหลุดจากภวังค์ เขารีบลุกขึ้นยืนขณะที่รถไฟฟ้าค่อยๆ หยุดลงช้าๆ อย่างนุ่มนวล ผู้คนลุกออกจากที่นั่งเพื่อมายืนรอคิวกันบนทางเดินตรงกลาง รีสก้าวไปหาเพื่อนทั้งสอง ซึ่งยังคงเถียงกันไม่หยุดว่าจะเอางานวิจัยของใครออกแสดงดี เพราะยิ่งได้รับความนิยมจากผู้เข้าชมในงานมากเท่าไหร่ คะแนนที่ศาสตราจารย์ทอร์นจะให้ก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น อีกทั้งสองคนนี้ยังชื่นชอบศาสตราจารย์ทอร์นเอามากๆ จึงแข่งขันกันเพิ่มคะแนนความนิยมส่วนตัวมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถามในชั้นเรียน หรือเรื่องการสอบย่อยต่างๆ
“ต้องหุ่นยนต์ต่อสู้ของฉันสิเจ๋งสุด!” แฟรงค์ตะโกนโหวกเหวกโดยไม่สนใจคนมากมายรอบข้างที่เดินออกมาจากรถไฟฟ้า “งานวิจัยของฉันเนี่ยแหละที่จะมาทดแทนหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยรุ่นเก่าของศาสตราจารย์โบร์!”
“ตะ ต้องของฉันสิ!” แม้ไดน่าจะดูแหยๆ แต่ก็พยายามขึ้นเสียงเต็มที่ “น้ำยาเปลี่ยนสีทุกอย่างตามใจชอบนี่แหละที่จะมาปฎิวัติวงการแฟชั่น! สิ่งประดิษฐ์ของฉันจะต้องล้มผ้าเปลี่ยนขนาดของศาสตราจารย์ดูบัวร์ได้แน่!” เธอตะโกนเสียงดัง พอรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปก็รีบก้มตัวขอโทษคนรอบข้างทันที “ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ! จริงๆ แล้วฉันไม่ได้คิดแบบนั้นนะคะ ไม่ได้ตั้งใจที่จะดูหมิ่นงานของท่านดูบัวร์หรอกนะคะ!”
“เฮ้ออออ!” เสียงระฆังหมดยกดังมาจากเด็กหนุ่มผมขาวที่กำลังยกมือขึ้นกุมศีรษะ “เอาเป็นว่าใช้ทั้งสองอย่างนั่นแหละ เอามารวมกันซะเลยเป็นไง ไอเดียดีใช่ไหมล่ะ หุ่นยนต์ต่อสู้ที่สามารถเปลี่ยนสีได้ เข้าท่าใช่ไหม งั้นเอาตามนั้นนะ เอาตามนั้น!”
“ไม่ตกลง!”
แฟรงค์และไดน่าตะโกนพร้อมกัน ทว่ายังไม่ทันที่เพื่อนทั้งสองคนจะได้เถียงกลับ รีสก็วิ่งหายไปจากสถานีแล้ว เป็นเพราะเขาอยากไปให้ทันการพูดเปิดงานของทอร์น ซึ่งได้รับเกียรติเพราะเป็นนักวิจัยชื่อดังรองลงมาจากโรเบิร์ตผู้ล่วงลับ แม้รีสจะอยู่ตรงซุ้มทางเข้างานซึ่งประดับประดาไปด้วยดอกไม้และลูกโป่งหลากสี พร้อมทั้งผู้คนมากมายที่กำลังเดินเบียดเสียดกัน แต่ก็ยังได้ยินเสียงของทอร์นจากลำโพงของเครื่องขยายเสียงที่ตั้งอยู่รอบงาน
“...ซึ่งผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้กล่าวต้อนรับทุกท่านเข้าสู่นิทรรศการวิทยาศาสตร์แห่งวอทช์ซิตี้ครั้งที่ยี่สิบ!” เสียงของทอร์นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น รีสที่กำลังฝ่าฝูงชนเห็นเขาได้จากไกลๆ บนเวทีกลางของนิทรรศการ “ผมหวังว่าปีนี้จะได้เห็นงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจจากประชาชนทุกคน สิ่งประดิษฐ์ที่จะช่วยให้เมืองของเราดีขึ้น มั่นคงขึ้น และน่าอยู่ขึ้น ตามความตั้งใจของศาสตราจารย์โรเบิร์ตผู้ล่วงลับ ผู้ซึ่งสละชีพให้แก่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และสุดท้ายนี้ ผมขอให้ทุกคน สนุกกับงานครับ!”
แล้วเสียงพลุก็ดังลั่นไปทั่วบริเวณ พลุที่ส่องแสงสวยงามกระจายอยู่บนท้องฟ้าเป็นรูปสัตว์และสิ่งของต่างๆ พวกมันเห็นได้ชัดบนแม้จะเป็นกลางแจ้งยามเที่ยงตรง เสียงโห่ร้องยินดีดังไปทั่วสารทิศ รีสเองก็ร่วมดีใจไปด้วย
“เจอ ตัว แล้ว…”
ไม่ทันไรสีหน้าของรีสก็ซีดเผือด เมื่อเพื่อนรักสองคนจับแขนของเขาเอาไว้คนละข้าง ก่อนจะลากตัวฝ่าฝูงชนออกมาเพื่อไปหาซุ้มของตนที่จัดอยู่ไม่ไกลจากเวทีกลางเท่าไหร่นัก
“พวกนายดูนั่นสิ!”
แฟรงค์ตะโกนด้วยความตื่นเต้นจนเผลอปล่อยแขนรีส ไดน่าก็เช่นกัน ทั้งสองเดินผ่านซุ้มสิ่งประดิษฐ์แปลกๆ มากมายด้วยความสนุกสนานจนดูเหมือนเด็กๆ ซุ้มเหล่านั้นมีทั้งรองเท้าลอยได้ที่ผู้ทดลองสวมเกือบจะหกคะเมนตะลังกา เครื่องวัดความเหม็นของกลิ่นปากที่ผู้ทดลองจะต้องกินของเหม็นๆ แล้วลองพ่นดูจนคนข้างๆ ถึงกับถอยหนี แม้กระทั่งของทั่วไปอย่างเนยทาขนมปังซึ่งถูกประดิษฐ์ออกมาให้เหมือนกับหลอดลิปสติก ทำให้สามารถหมุนออกมาใช้ทาได้ง่ายๆ
แล้วช่วงเวลาแห่งความสนุกของทั้งสามก็หยุดลง
“อ้าวนั่น...รีสนี่นา?”
เสียงหวานอันคุ้นหูดังมาจากด้านหลัง เสียงที่ทำให้รีสถึงกับสะดุ้ง เขาไม่คิดเลยว่าเธอจะมางานนี้ด้วย
“อ้าว...หวัดดีเธีย”
รีสหันไปโบกมือให้กับเด็กสาวที่ชื่อเธียโดยไม่สบสายตา เธียเป็นเด็กสาวหน้าตาดี หุ่นดี ผิวขาว ผมสีบลอนด์ทองรวบไว้อย่างเรียบร้อย นัยน์ตาสีเขียวมรกตชวนหลงใหล สวมเสื้อผ้าทันสมัย เสื้อเปิดไหล่ กางเกงยีนส์ขาสั้น พร้อมกระเป๋าถือแบรนด์เนมชื่อดัง ‘ชานูล’ ยี่ห้อที่ขายดีที่สุดในวอทช์ซิตี้
“ไอ้หงอกนี่ใครเธีย เธอรู้จักมันด้วยเหรอ?” เสียงห้าวดังมาจากชายร่างสูงใหญ่ข้างๆ เธีย กล้ามเป็นมัดๆ ของเขาแทบจะทะลุออกมาให้เห็นผ่านเสื้อยืดฟิตๆ “หัวขาวอย่างกับคนแก่”
“อย่าพูดแบบนั้นสิแจ็ค นี่เพื่อนสมัยเด็กของฉันเอง รีส” เธียหันไปอธิบายอย่างร่าเริงโดยไม่ได้รู้สึกถึงสายตาของหนุ่มๆ ที่กำลังเขม่นใส่กันเลยแม้แต่น้อย “พ่อของเราสองคนเป็นเพื่อนสนิทกันน่ะ ตอนเด็กๆ พวกเราเลยเล่นด้วยกันบ่อยๆ เธอน่าจะรู้จักนะแจ็ค คุณพ่อของรีส ศาสตราจารย์โรเบิร์ตน่ะ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังคนนั้นไง”
“อ้อ...” แจ็คแสยะยิ้ม มองด้วยสายตาเหยียดหยาม “ไอ้พวกเด็กเนิร์ดนี่เอง”
“พูดแบบนี้มาเจอกันสักตั้งดิ๊!” แฟรงค์ตะโกน ทำท่าจะพุ่งเข้าใส่ แต่ไดน่ากับรีสฉุดตัวเอาไว้ได้ทัน แน่นอน ทั้งสองคนไม่ได้กลัวว่าแฟรงค์จะเข้าไปทำร้ายแจ็คเลยสักนิด แต่กลัวว่าตัวเองจะได้ไปนั่งเฝ้าหนุ่มแว่นคนนี้ที่โรงพยาบาลมากกว่า
“ใจเย็นก่อนสิ ทั้งสองคนเลย!” เธียพูดปราม ส่งสายตาดุๆ ให้กับแจ็ค “เธอไปเดินเล่นทางโน้นก่อนก็แล้วกัน ขอให้ฉันคุยกับเพื่อนๆ หน่อย”
“เออ ได้” แจ็คยอมถอย เขาหันไปพูดกับเธีย “ห้านาทีเท่านั้นนะ”
ทันทีที่ชายร่างสูงใหญ่เดินหายลับไป แฟรงค์ก็พูดขึ้นทันที “นี่เธีย ตั้งแต่ที่เธอย้ายจากคณะเราไป...ดูเธอเปลี่ยนไปมากเลยนะ ไม่คิดว่าเธอจะไปคบกับไอ้ยักษ์ถ่อยแบบนั้นด้วย”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ แจ็คเค้าก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรขนาดนั้นหรอก” เธียยิ้มกว้างอย่างร่าเริง “ว่าแต่พวกเธอเป็นยังไงบ้างล่ะ มีซุ้มงานวิจัยของพวกเธอด้วยใช่ไหม บอกทีสิว่าอยู่ตรงไหน เดี๋ยวพวกฉันแวะไป”
“ไม่ต้อง” รีสที่นิ่งเงียบอยู่นานพูดเสียงแข็ง “เธอไปเดินกับแฟนของเธอเถอะ พวกเราจะไปแล้ว”
เด็กหนุ่มหันหลังให้ เขาเดินหนีไปได้ไม่ไกลฝ่ามือเรียวบางก็มาฉุดแขนเอาไว้
“เดี๋ยวสิรีส คุยกันก่อน” น้ำเสียงของเธียจริงจัง ไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป “ตั้งแต่วันที่พ่อของเธอจากไป ฉันก็พยายามช่วยเหลือเธอมาตลอด แต่ทำไมเธอต้องคอยหนีหน้า หลบสายตา...ทำไมเขาถึงทำแบบนี้? เขาไม่อยากรับความช่วยเหลือจากฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?...พอคิดได้อย่างนั้นฉันก็เลยย้ายคณะ ฉันไม่อยากไล่ตามเธอไปในที่ๆ เธอไม่ยอมให้ฉันตามไปด้วยอีกแล้ว เธอก็รู้นี่ว่าจริงๆ แล้วฉันเกลียดวิทยาศาสตร์ ฉันไม่ได้อยากเป็นเหมือนพ่อเลยสักนิด แต่ฉันก็ทำเพื่อเธอมาโดยตลอด แล้วทำไมเธอถึง...!”
รีสกลั้นหายใจ แล้วเสียงของเธียก็หายไป แทนที่ด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ของเด็กหนุ่ม
“เพราะฉันไม่อยากให้เธอตามมา...ฉันรู้ดีว่าเส้นทางที่ฉันจะไปมันเป็นยังไง เธอไม่ได้อยู่ด้วยในคืนนั้น เธอไม่ได้เห็นสิ่งที่ฉันเห็น ไม่มีใครเห็น ฉันต้องรู้ให้ได้ว่ามันคืออะไร สิ่งที่เอาชีวิตพ่อของฉันไป และฉันจะไม่มีเวลาให้เธอ ไม่มีเวลาให้ความรัก ไม่มีเวลาให้กับใครหรืออะไรทังนั้น จนกว่าจะเจอสาเหตุที่แท้จริง!”
รีสหยุด เขาเริ่มหมดลม จึงตัดสินใจใช้เวลาที่เหลือจ้องมองใบหน้าเศร้าสร้อยอันแน่นิ่งของเธีย รีสหันไปมองรอบกาย ทุกอย่างหยุดนิ่ง เหมือนทุกครั้งที่เขากลั้นหายใจ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รีสสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ใจต้องการ เขาอยากจะกอดเธีย อยากจะบอกทุกสิ่งให้รู้ แต่เขาทำไม่ได้ เธียคงไม่เชื่อ และมันก็อันตรายเกินกว่าที่จะลากเธอเข้ามาเกี่ยวด้วย
แล้วเสียงปรบมือก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันของเวลาที่หยุดนิ่ง
“เป็นการพูดที่ซึ้งกินใจจริงๆ”
เสียงทุ้มที่ผ่านเครื่องเปลี่ยนเสียงจนฟังไม่ชัดดังขึ้นจากด้านหลัง รีสหันกลับไปมองด้วยความตกใจ ชายผมบลอนด์ในชุดสีดำสนิทพร้อมด้วยหน้ากากสีขาวปรากฎกายขึ้น ในโลกที่ทุกสิ่งหยุดนิ่ง เป็นไปได้ยังไง? คำถามเดิมดังก้องในสมองของรีสซ้ำไปซ้ำมา ในขณะที่ชายผู้นั้นก้าวเข้ามาใกล้ รีสก็เผลอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ทุกสิ่งกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง บุรุษหน้ากากขาวเอนตัวเข้ามาใกล้ เขากระซิบ
“ในที่สุดก็เจอตัว เด็กหนุ่มผู้หยุดเวลาได้!”
*เด็กเนิร์ด – กลุ่มคนที่มีระดับสติปัญญาสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน และชื่นชอบในเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจ เช่น เรื่องวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.myfirstbrain.com/main_view.aspx?ID=65885
Timestopable - คนหยุดเวลา
ผู้แต่ง : Rayndeer
| ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
| 1 | Chapter 1: วันที่เวลาหยุดเดิน | 25 ม.ค. 59 |
| 2 | Chapter 2: เด็กหนุ่มผู้หยุดเวลา | 08 มี.ค. 59 |
| 3 | Chapter 3: ชายผู้เร่งอายุขัย | 14 มี.ค. 59 |
| 4 | Chapter 4: เด็กหนุ่มผู้ย้อนเวลา | 21 มี.ค. 59 |
| 5 | Chapter 5: วันที่เวลาย้อนกลับ | 30 มี.ค. 59 |



สวัสดีค่ะ
อืม จบอีเวนท์แรกแล้วเนอะ กะจังหวะปิดและเปิดตัวละครใหม่ได้พอดีๆ เลย ตัวละครใหม่ก็เปิดได้น่าสนใจ :D
ที่จริงยังสงสัยการย้อนเวลาของตัวเอกอยู่นิดหน่อย คือย้อนแล้ว ตัวในอดีต ณ เวลานั้นก็หายไปด้วยใช่ไหม คือจะไม่มีกรณีรีสสองคนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน
สู้ๆ เน้อ
ลวิตร์