สวัสดีค่ะน้องๆ... หน้าฝนปีนี้นอกจากเสื้อจะเปียกปอนจากน้ำฝนแล้ว เด็ก ม.6 ยังต้องเปียกโชกไปด้วยเหงื่อจากการเตรียมตัวสอบรับตรงทั้งเรียนพิเศษ ทั้งอ่านหนังสือ ไม่รู้ว่าชาว Dek-D.com ที่สมัครสอบไปแล้วเตรียมตัวถึงไหนกันบ้าง เพราะวันสอบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วนะคะ
ในเดือนหน้ายังมีรับตรงอีกหลายมหาวิทยาลัยเริ่มเปิดรับสมัคร เช่น รับตรงแพทย์ ม.ขอนแก่น ส่วน มศว ก็ยังเปิดรับสมัครจนถึงเกือบสิ้นเดือน และยังมีอีกหลายมหาวิทยาลัยที่รอออกกำหนดการมาให้ดูกันเรื่อยๆ เรียกว่ามีรับตรงเปิดตลอดปีเลยค่ะ เชื่อว่าหลายคนกำลังมีคำถามอยู่ว่ารับตรงมีข้อดีอย่างไร วันนี้พี่มิ้นท์มีคำตอบค่ะ ใครที่เมินรับตรงแล้วรอแอดมิชชั่นกลางอย่างเดียว อ่านจบยังเปลี่ยนใจได้นะคะ ไม่อยากให้โอกาสหลุดลอยไป^^
ข้อดีที่ 1 : บางคณะไม่มีรอบแอดมิชชั่น
บางคณะใช้วิธีรับตรง 100% เช่น สถาปัตย์ ม.ลาดกระบัง, มัณฑนศิลป์ ม.ศิลปากร, คณะแพทย์ ทุกสถาบัน ฯลฯ ถ้าเกิดอยากเรียนคณะเหล่านี้แต่ไม่พร้อมในรอบรับตรง แล้วหวังไปลุ้นในรอบแอดมิชชั่นอาจช็อคได้ เพราะเปิดระเบียบการแล้วไม่มีรายชื่อคณะเหล่านี้ให้เลือก!! ดังนั้นจะเข้าคณะไหนควรหาข้อมูลคณะนั้นๆ เอาไว้ด้วยว่ารับช่องทางไหนบ้าง ถ้ามีรับตรงจะรับผ่านกี่โครงการ หากไม่รับรอบแอดมิชชั่นจะได้มีเวลาเตรียมตัวสอบรับตรงค่ะ
ข้อดีที่ 2 : หากสอบติด อุ่นใจมีที่เรียนแน่
เด็กแอดฯ ทุกคนต่างก็อยู่ในสภาวะเครียดด้วยกันทั้งนั้น ไหนจะพ่อแม่แล้วยังมีญาติที่คอยติดตามแบบเรียลลิตี้ว่าเราสอบติดที่ไหนบ้าง (ป้าบ้านข้างๆ ที่ไม่เกี่ยวอะไรด้วยก็อยากรู้เลย) น้องบางคนไม่ได้สอบรับตรงเลยก็ต้องทนตอบคำถามทั้งปี บางทีในฐานะเด็กแอดฯ ก็คงอึดอัดพิลึกนะคะ
แต่ถ้าน้องๆ ได้สอบรับตรงและติดรับตรงขึ้นมา ข้อดีที่เกิดขึ้นโดยตรงอาจไม่ใช่การตอบคำถามผู้ใหญ่หรอกค่ะ แต่การสอบติดทำให้เราได้มีที่เรียนก่อนคนอื่น คิดดูว่าตัวเองจะรู้สึกสบายแค่ไหน น้องๆ อาจทุ่มเทเวลา 1-2 เดือนเพื่อมุ่งมั่นสอบให้ติดในคณะที่หวัง หลังจากนั้นอีก 7-8 เดือนเราเรียนอย่างสบายใจแน่นอนค่ะ (ก็ใช่น่ะสิ มีที่เรียนแล้วนี่) ในทางกลับกันหากรอเวลาแอดมิชชั่นอย่างเดียว ต้องพาลเครียดตลอดทั้งปีเลยนะคะ ทั้งต้องอ่านหนังสือสอบที่โรงเรียน การบ้านที่โรงเรียน แล้วยังต้องตามข่าวแอดมิชชั่นอีก
ข้อดีที่ 3 : ที่นั่งรอบรับตรงเยอะขึ้น
เท่าที่สังเกตมาทุกปี ในแต่ละสถาบันรับนักศึกษาผ่านการรับตรงเกือบทุกคณะ และรับจำนวนไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว มศว ปีนี้รับรวมถึง 2,901 ที่นั่ง รับตรงจุฬาฯ ปีที่แล้วก็รับ 2,000 กว่าที่นั่ง(แค่คณะวิศวะฯ ก็ปาเข้าไป 800 คนแล้ว) ลองคิดดูว่าถ้าทุกสถาบันปล่อยที่นั่งรับตรงเฉลี่ย 1,000 ที่นั่ง/ปี ก็เท่ากับว่ารอบรับตรงมีที่นั่งให้น้องๆ เข้าไปเรียนเป็นหลักหมื่นคนเลยค่ะ โดยตัวเลขคนสอบติดรับตรงจาก ทปอ.เมื่อปีที่แล้วมีสูงถึง 43,000 กว่าคน ดังนั้นโอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เล็งคณะที่ชอบแล้วรีบส่งใบสมัครไปเลยค่ะ
ข้อดีที่ 4 : คู่แข่งน้อยกว่ารอบแอดมิชชั่นกลาง
รับตรงบางโครงการเปิดรับเป็นโควตา คือ มีการกำหนดคุณสมบัติพิเศษขึ้นมา ทำให้ตัดคู่แข่งไปได้เยอะ เช่น โควตาพื้นที่ที่มักกำหนดภูมิลำเนาหรือโรงเรียนว่าต้องอยู่ในพื้นที่นั้นๆ โควตาแบบนี้คนที่อยู่ภูมิภาคอื่นไม่สามารถสมัครได้ ถือเป็นโอกาสทองของน้องๆ ที่ต้องการเรียนในมหาวิทยาลัยประจำภูมิภาค เช่น โควตา 14 จังหวัดภาคใต้ ม.สงขลานครนครินทร์, โควตา 21 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ม.ขอนแก่น เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีโควตาพิเศษอื่นๆ เช่น โควตานักกีฬา โควตาผู้มีความสามารถด้านวิชาการ โควตาเรียนดี ฯลฯ แน่นอนว่าแต่ละคนไม่ได้มีคุณสมบัติด้านความสามารถพิเศษทุกคน ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คู่แข่งของเราจะไม่เยอะมากค่ะ ถ้าเทียบกับรอบแอดมิชชั่นกลางแล้ว รอบนั้นเราต้องแข่งกับเพื่อนๆ ทั่วประเทศอย่างเท่าเทียม อย่างไรก็ตามจะสมัครโควตาเหล่านี้ได้ คุณสมบัติของเราก็ต้องครบด้วยนะคะ
ข้อดีที่ 5 : ผลงานเยอะได้เปรียบ
การสัมภาษณ์ในรอบรับตรงจะมีการพิจารณา portfolio ร่วมด้วย หากตอนเรียนเป็นคนที่ทำกิจกรรมต่างๆ อยู่เสมอ ประโยชน์ของการทำกิจกรรมจะตอบแทนในวันที่เราได้เข้าสัมภาษณ์รับตรงค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเกียรติบัตร หรือรูปภาพการร่วมกิจกรรมจะยิ่งช่วยสร้างโพรไฟล์ที่ดีให้กับเราได้ เพราะเป็นการยืนยันมาว่าเรามีความสามารถในด้านต่างๆ โดยเฉพาะในสายที่ต้องแสดงผลงานอาจารย์บางท่านก็รับนักเรียนคนนั้นเข้าเพราะ portfolio เลยทีเดียว ซึ่งต่างจากการสัมภาษณ์ในรอบแอดมิชชั่นกลาง อาจารย์จะไม่ค่อยดูพอร์ตเราเท่าไหร่ค่ะ
ส่วนน้องๆ ที่ไม่มี portfolio ไม่ต้องเครียดไปนะคะ รีบทำกิจกรรมตั้งแต่วันนี้ก็ยังไม่สายค่ะ
ข้อดีที่ 6 : ไม่ต้องเครียดกับการสอบอื่นๆ
สนามสอบสำคัญๆ ของ ม.6 มี GAT PAT, 7 วิชาสามัญ และ O-NET หากน้องๆ สอบติดรับตรงตั้งแต่เนิ่นๆ และยืนยันมั่นใจว่าจะเรียนแน่ๆ ก็สบายใจหายห่วงเรื่องการสอบ GAT PAT รอบหลังๆ ไปได้เลย บางคนลงสอบแบบชิวๆ ไม่ต้องมาเครียดตอนสอบ นั่งจิตตกคนเดียวเพราะกลัวคะแนนจะไม่ดี หรือจะไม่สอบเลยก็ได้ ประหยัดเงินไปได้หลายร้อยเลยค่ะ แต่ถ้าเรารอรอบแอดมิชชั่นกลาง คะแนนสอบ GAT PAT สำคัญมาก เรียกว่าถึงวันสอบเครียดทุกที
ข้อดีที่ 7 : เกรดไม่มีผล ความสามารถล้วนๆ
ในรอบแอดมิชชั่นกลาง "เกรด" เป็นองค์ประกอบในการคัดเลือกโดยมีน้ำหนักถึง 20% ใครเกรดไม่ดี คะแนนรวมก็พลอยต่ำไปด้วย ซึ่งตรงนี้มีน้องหลายโรงเรียนแอบน้อยใจว่าโรงเรียนตัวเองกดเกรด เสียเปรียบคนอื่น แนะนำให้มาสอบตรงเลยค่ะ เพราะรับตรงส่วนใหญ่ไม่ใช้เกรดในการคิดคะแนน คะแนนมาจากการทำข้อสอบล้วนๆ หรือใช้คะแนน GAT PAT รอบแรก ดังนั้นใครเก่ง ใครพร้อมวัดกันที่ข้อสอบเลย
อย่างไรก็ตาม อาจจะมีบ้างบางโครงการที่กำหนดขั้นต่ำในการสมัคร ซึ่งก็ไม่ได้ใช้คำนวณเป็นคะแนนอยู่ดี ยกเว้นรับตรงโครงการที่ใช้เกรดโดยตรงอาจใช้เกรดมาคำนวณเป็นคะแนนด้วย แต่ก็น้อยมากค่ะ
ข้อดีที่ 8 : ตัวจริงสละสิทธิ์ มีสิทธิ์เรียกตัวสำรอง
ปกติแล้วเมื่อมีการประกาศผลรับตรง ทางคณะ/มหาวิทยาลัยจะประกาศตัวสำรองมาด้วย ดังนั้นต่อให้น้องๆ ไม่ติดรายชื่อตัวจริง แต่ถ้าตัวจริงทำเรื่องสละสิทธ์ ทำให้ทางคณะได้นักเรียนเข้าเรียนไม่ครบ น้องๆ ก็ยังมีโอกาสได้เข้าเรียนในคณะนั้นๆ เพราะทางคณะมีสิทธิ์ที่จะเรียกตัวสำรองขึ้นมาแทน แต่สำหรับแอดมิชชั่นแล้ว ไม่มีการเรียนตัวสำรองค่ะ
ข้อดีที่ 9 : สอบไม่ติดก็ยังได้ประสบการณ์
8 ข้อที่ผ่านมาส่วนใหญ่พูดถึงข้อดีถ้าสอบติดรับตรง แต่ข้อสุดท้ายพี่มิ้นท์อยากจะบอกว่าถึงแม้เราจะสอบไม่ติดรอบรับตรงก็ยังมีข้อดีแฝงอยู่ในนั้น เพราะสนามสอบรับตรงถือเป็นสนามสอบระดับประเทศ สอบจริง เจอเด็กแอดฯ รุ่นเดียวกันจริงๆ เจอบรรยากาศจริง ตื่นเต้นจริง กดดันจริง ความรู้สึกแบบนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ถ้าไม่ได้สอบด้วยตัวเอง น้องๆ จะคุ้นเคยกับสนามสอบและบรรยากาศการสอบ หากไปสอบที่อื่นจะช่วยลดความตื่นเต้นและกดดันลงได้ค่ะ ยิ่งถ้ารับตรงนั้นสอบก่อน GAT PAT เวลาเราไปสอบ GAT PAT ก็จะลดอาการประหม่าลงได้เยอะทีเดียว เหมือนสโลแกนที่ว่า "ยิ่งสอบเยอะ ยิ่งเลอะประสบการณ์" (เอ๊ะ! นี่มันสโลแกนผงซักฟอกนี่)
นี่ก็คือ 9 ข้อดีของการสอบรับตรง แต่จะให้ดียิ่งขึ้น รีบหาตัวเองให้เจอว่าอยากเรียนคณะอะไร และตามข่าวการสอบคณะนั้นอย่างสม่ำเสมอ เมื่อสมัครสอบไปแล้วต้องเตรียมตัวให้พร้อมและทำข้อสอบให้เต็มที่ด้วยนะคะ อย่าสักแต่ว่าสอบไปงั้นๆ เพราะการสอบแต่ละครั้งต้องใช้เงินคุณพ่อคุณแม่มาจ่าย มีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นจะเสียทั้งเวลา ทั้งเงิน หากไม่ติดขึ้นมาก็ต้องเสียใจอีกด้วย ส่วนน้องๆ ที่ตั้งใจเต็มที่ทุกการสอบ ขอให้ติดรับตรงที่สมัครไว้ทุกที่ทุกคนเลยนะค้า
เด็กแอดมิชชั่น 57 สมัครรับข่าวแอดมิชชั่นผ่าน SMS ได้แล้ววันนี้ !!
แจ้งน้องๆ ที่สมัครรับข่าวแอดฯผ่าน SMS ในเดือน พ.ค.-มิ.ย. นี้ รอพบ SMS เด็ดๆ ดังนี้
- เกาะติดผลแอดมิชชั่น 57 ของเด็ก ม.6 ทั้งประเทศ
- อัพเดทไว!! ข่าวรับตรงหลังแอดมิชชั่น 57 ของทุกสถาบัน
- ตามติดข่าววงใน ทุกเหตุการณ์เรื่องสอบตรง และแอดมิชชั่นที่เด็กรุ่น 57 ต้องรู้!!
- รวมงานติวฟรีของทุกคณะ ทุกมหาวิทยาลัย ที่เด็ก ม.6 ไม่ควรพลาด
(อยากรับข่าว SMS บ้าง มาอ่านวิธีสมัคร คลิกที่นี่ เลย)
28 ความคิดเห็น
มี 2 3 คณะเอง ที่ไม่กำหนด
กูจะสอบตรง แอดกลางมันเรื่องไรวะ จะชี้นำหาอะไรไม่ทราบครับ
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 16 มิถุนายน 2556 / 16:45
แต่ความรู้ต่ำเรี่ยดินเหลือเกิน
ตอนนี้ก็พยายามอ่านไปทีละเรื่องๆ
เวลา2เดือนครึ่งก่อนสอบจริง(รับตรงมข.)
ก็ไม่ได้หวังติดหรอก รู้ตัวเองดี
อยากไปลองสนามสอบ 55
แต่...ก็ไม่อยากไปแบบไม่มีไรในหัวเลย
เหมือนเสียเงิน(ค่าสมัคร+ที่พัก)ทิ้ง
มันก็ต้องลองอ่านหนังสือหนักๆกันซักตั้ง
อย่างน้อยเราก็ได้พยายาม^^
จะได้ไม่มานั่งเสียใจทีหลัง
ตั้งปณิธานไว้ว่า
จะพยายามสอบติดรอบตรง
ให้ได้ภายในปีนี้ค่าาาาาาาาา สู้ตาย !!!
อักษรศาสตร์ ศิลปากร
รัฐศาสตร์ กตปท. มธ.