สวัสดีค่ะชาว Dek-D ทุกคน ใครๆ ก็ล้วนบอกนะคะว่าการเลือกคณะก็เหมือนเลือกแฟน จะคบกันไปนานๆ ตั้ง 4-5 ปี ก็ต้องดูให้ดีว่าใช่หรือไม่ใช่ ไม่งั้นคบกันไปแล้วเลิกกันก็คงเจ็บน่าดู วันนี้ก็เลยเอา 8 สัญญาณที่บ่งบอกว่าคณะที่เข้ามาเรียนนั้นเริ่มออกอาการร่อแร่ ได้เลิกแน่ แบบไม่แคร์สื่อ ลองไปเช็คกันดีกว่าว่าใครมีอาการเหล่านี้อยู่บ้าง
1.ไม่มีแรงบันดาลใจ เรียนไปวันๆ
ใครที่เรียนๆ ไปรู้สึกไฟหมดลงทุกวัน เห็นที่จะต้องถอยทัพแล้วล่ะค่ะ เพราะถ้าเราปล่อยให้ชีวิตก้าวเข้าสู่คำว่า "มาเรียนไปวันๆ" ก็คงจะไม่ดีต่อชีวิตของเราเป็นแน่ น้องๆ รู้มั้ย ? ว่ารากศัพท์ของคำว่าแรงบันดาลใจนั้น มาจากภาษาละตินคือคำว่า "ลมหายใจ" นั่นหมายถึง "การมีชีวิตอยู่" ดังนั้น หากเราอยู่แบบไม่มีแรงบันดาลใจ ก็เหมือนเราอยู่โดยไม่มีชีวิตอยู่จริงแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร หากมีอาการแบบนี้ พี่อาตู ว่าเรามองหาคณะที่ทำให้เรามีชีวิตชีวา และอยากพัฒนาตัวเองกว่านี้ดีกว่านะคะ
2.ไม่ได้ใช้ในอนาคตของเราแน่นอน
จริงอยู่ที่ในปัจจุบันคนที่เรียนจบทำงานแล้วมักออกมาบอกว่า เรียนไปก็ไม่ได้ใช้ จบมาก็ทำงานไม่ตรงสาย แต่ พี่อาตู ถามสักนิดว่า จะดีกว่ามั้ย? ถ้าหากว่าสิ่งที่เรียนมานั้นเราได้เอาไปใช้ในอนาคตของเราด้วย เพราะว่าเวลาตั้ง 4 ปี บางคณะ 5-6 ปี ไม่ใช่เวลาทีน้อยเลยนะคะ ก็ควรลงทุนเวลาเหล่านี้อย่างคุ้มค่าได้นำเอาไปใช้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้นลองถามตัวเองดูว่า ปลายทางของคณะนี้ที่ให้กับเรา มันใช่หรือเปล่า ? คณะนี้ได้ให้องค์ความรู้ที่เราต้องการหรือเปล่า ? ถ้ามันไม่ใช่ คำว่าเริ่มต้นใหม่ อาจจะใช่กว่าสำหรับเราก็ได้ค่ะ เพื่อให้เราได้ใช้เวลาหลายปีนี้ไปอย่างคุ้มค่า
3.ยิ่งเรียนยิ่งไม่เข้าใจ ไม่รู้สึกสนใจ หรือตื่นเต้นในสิ่งที่ได้เรียน
นักทฤษฏีคนนี้ก็ไม่รู้จัก เรียนเรื่องนี้มาก็ไม่ตื่นเต้น สัมมนาอะไรไม่น่าสนใจสักนิด ถ้าหากว่ามีความรู้สึกประมาณนี้อยู่แล้วล่ะก็ ต้องลองถามตัวเองอย่างจริงจังแล้วค่ะ ว่าเราจะอยู่ในสภาวะแบบนี้ต่อไปเหรอ ? ยิ่งเรียนยิ่งอึดอัด ยิ่งเรียนยิ่งไม่เข้าใจ ไม่รู้สึกสนใจ หรือตื่นเต้นในสิ่งที่ได้เรียน มันอาจจะทำให้เราไม่ได้ใช้การเรียนรู้ของตัวเองอย่างเต็มประสิทธิภาพ พี่อาตู ว่ามันน่าจะมีอย่างน้อยๆ ก็สักวิชาสองวิชาที่เรารู้สึกกระตือรือร้นอยากรู้หรืออยากเรียนบ้างนะ แต่ถ้ามันไม่มีความสุขเอาเสียเลยแล้วล่ะก็ แล้วจะอยู่คณะนี้ไปทำไม ?
4.ตกมีนตลอด เกรดย่ำแย่
ตกมีนตลอด เกรดย่ำแย่ ชีวิตยับเยิน พยายามเท่าไหร่ก็ไม่เกิดผล มีแต่ลดลงจนท้อแท้ นั่นแหละ! อาจจะถึงเวลาที่เราจะต้องมาทบทวนดูอีกทีว่าเราเหมาะสมกับคณะนี้จริงๆ หรือ? หรือเรามีสิ่งที่เราถนัดและทำได้ดีกว่า ข้อนี้เนี่ยคล้ายกับตอนน้องขึ้นม.ปลาย ต้องเลือกสายหรือแผนกที่เรียนเลยค่ะ ถ้าไม่ถนัดวิทย์ ไม่ไหวจริงๆ กับเลข ก็น่าจะอยู่สายศิลป์จะได้ไม่โดนกดเกรดจากวิชาที่ไม่ถนัดอย่าง ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ในระดับมหาวิทยาลัยก็เช่นกัน ตอนแรกเราอาจจะคิดไปว่ามันใช่ เรียนน่าจะง่าย จนได้มาเรียนจริงๆ ถึงรู้ว่ายากเกินไปหรือไม่ใช่ความถนัดเลย ยิ่งเรียนไปเกรด และคะแนนก็มีแต่แย่ลงๆ เป็นอย่างนี้ พี่อาตู ว่าเพื่อไม่ให้เสียสุขภาพจิต คิดทบทวนตัวเองใหม่ดีกว่านะ แต่ถ้าใครเจอคณะที่ใช่แล้วมันยากบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดา ขอให้พยายามให้มากขึ้น ทำให้เต็มที่!
5.เข้ากับเพื่อนในคณะไม่ได้เลย
ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่ก็เป็นปัญหาใหญ่เหมือนกัน เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมนะคะ ไม่มีใครสามารถเกิดมาแล้วอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว ยิ่งในสังคมของมหาวิทยาลัยด้วยแล้วเราจะเจอเพื่อนอีกเยอะแยะมากมายทั้งในคณะและนอกคณะ แล้วไม่ใช่แค่รู้จักเพียงอย่างเดียวยังต้องทำงานร่วมกันอีกด้วย ดังนั้น ถ้าหากว่าใครที่ประสบพบเจอกับปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเรื่องเพื่อนเนี่ย เช่น เราชอบกล้าแสดงออกแต่คนในคณะมองว่าแปลก หรือเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว ชอบอ่านแค่หนังสือ แต่อยู่คณะที่ต้องกิจกรรมเยอะมากก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งในการซิ่ว
คณะที่เราอยู่อาจจะใช่ แต่คนที่อยู่ด้วยไม่ใช่ ก็คงไม่สนุกแน่ ใครที่กำลังหัวเดียวกระเทียมลีบนี่มีอยู่สองทางค่ะคือ พิจารณาตัวเองว่าเรามีจุดผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่า กับอีกทางคือซิ่วไปหาคณะที่มีคนไลฟ์สไตล์หรือชอบอะไรเหมือนกับเรา เช่น ชอบการแสดงออก ชอบความคิดสร้างสรรค์ ก็อาจจะเหมาะกับคณะนิเทศศาสตร์ หรือศิลปกรรมศาสตร์ เป็นต้นค่ะ
6.มีคณะที่ใช่กว่า อยู่ในใจ
มันจะเป็นอาการที่แบบชัดเจนขึ้นมาเลยนะว่า เนี่ย! แบบนี้แหละที่อยากเรียน รู้งี้! เรียนคณะนี้ดีกว่า ความรู้สึกประมาณนี้แหละ ก็จะเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า เอ๊ะ! แล้วเราจะอยู่คณะนี้ต่อไปทำไมล่ะ ก็ไปคณะที่ใช่กว่าสิ! ส่วนใหญ่แล้วคนที่จะซิ่วมักมีเป้าหมายอยู่ในใจอยู่แล้วว่าอยากเข้าคณะอะไร อยากเรียนอะไรมากกว่า ดังนั้นใครที่มีเส้นทางที่จะไปแล้วนี่ไม่น่าเป็นห่วง เพราะว่าคนที่จะซิ่วนั้นต้องใช้พลังและกำลังใจมากมายในการเบนเข็มตัวเองไปสู่คณะที่ต้องการ เพราะฉะนั้นจะเตรียมตัวเป็นอย่างดี เรียกว่าพลาดไม่ได้อีกแล้วพี่อาตู จะห่วงก็แต่คนที่มีแต่ความรู้สึกว่าอยากซิ่ว แต่ไม่รู้ว่าจะซิ่วไปคณะไหน ชอบอะไรมากกว่า อย่างนี้ไม่ดีแน่ เพราะอาจจะเป็นการหนีปัญหาที่เกิดเพียงชั่วคราว
7.มั่นใจว่าการซิ่วคือการแก้ปัญหา ไม่ใช่ หนีปัญหา
บางคนอาจจะอยากซิ่ว เพราะเบื่อกับการบ้าน เซ็งการเรียนหนัก พี่อาตู บอกได้เลยว่าการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยนั้น ไม่มีคณะไหนสบายหรอก ทุกคนก็ต้องเรียนหนักขึ้นยากขึ้น อ่านหนังสือเยอะขึ้นด้วยกันทั้งนั้น บางคณะอาจจะเรียนสบายๆ แต่ตอนทำวิทยานิพนธ์เพื่อจบก็หนักเอาการเหมือนกัน ดังนั้นต้องแยกแยะให้ออกว่าการซิ่วของเราเป็นไปเพื่อแก้ปัญหา ว่าคณะที่อยู่มันไม่ใช่ ไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตของเรา ในอนาคตไม่ได้อยากเป็นหมออยากเป็นครู ไม่ได้อยากเป็นนักบัญชีอยากเป็นผู้กำกับ ก็ซิ่วไปเรียนสิ่งที่เราชอบซะ ไม่ใช่ซิ่วเพราะเรียนหนักไป การบ้านเยอะไป ไม่ชอบหน้าอาจารย์ อันนี้เขาเรียกว่าหนีปัญหานะ
8.ไม่เสียดายเวลา ถ้าจะต้องเริ่มใหม่
การซิ่วเรียกได้ว่าเป็นการวัดใจเลยว่า เรากล้าแลกเวลาที่เสียไปเพื่อได้สิ่งที่ใช่กลับมาหรือไม่? น้องรู้สึกเลยว่ามันคุ้มกว่าแน่นอน บางคนอาจจะเรียนไปแล้วหนึ่งเทอม หรือยิ่งกว่านั้นคือปีหรือสองปี ถ้าเรามีความรู้สึกมั่นใจอยู่แล้วล่ะก็ เราก็จะไม่มีความลังเลหรือเสียดายอยู่เลย เราจะมุ่งหน้าอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจเตรียมตัวสอบใหม่เป็นอย่างดี พี่อาตู เองก็เคยเรียนๆ ไปแล้วคิดว่าจะซิ่วเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซิ่วไป เพราะว่าไม่มั่นใจว่าจะสามารถทุ่มเทเพื่อสอบใหม่ได้อีกครั้ง และอยากเรียนจบเร็วๆ ให้พ่อแม่ได้ภูมิใจ ไม่อยากให้พ่อแม่ต้องรอนานไปอีกปี ส่วนใครที่คิดว่าซิ่วไปแล้วคุ้มค่าสำหรับตัวเองแล้วล่ะก็ อย่าโลเล แล้วลุยเลยค่ะ!
สุดท้ายนี้ พี่อาตู ก็อยากจะยกประโยคที่เคยบอกน้องๆ ในงาน Dek-D's Admission On Stage ของทาง www.dek-d.com มาบอกน้องๆ กันอีกสักครั้งว่า "คณะที่ใช่ก็เหมือนคนที่ใช่ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข" การซิ่วไม่ใช่สิ่งที่ผิด ไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย การที่เราค้นหาตัวเองเจอ แล้วได้ใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองเป็น นั่นนับว่าเป็นความคุ้มค่าอย่างหนึ่งแล้วในการเกิดมาบนโลกใบนี้ พี่อาตู ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนในการค้นหาตัวเอง แล้วมุ่งสู่จุดหมายปลายทางที่ต้องการ รวมถึงแสดงความยินดีกับคนที่ได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองรัก ถึงแม้จะเจอบททดสอบที่หนักหน่วงบ้าง แต่ด้วยความรักและมุ่งมั่นเราก็จะผ่านมันไปได้ พี่อาตู เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ
44 ความคิดเห็น
ข้อ 2 นี้มันเจ็บจริงไหรจริง
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ (ไว้เก็บไปคิด)
เรามีทุกข้อ ตอนนี้เรียนอย่างไม่มีความสุขสุดๆ !!!! อึดอัด !!!
มีความรู้สึกตามนั้น 5 ข้อ 1,2,3,7,8 อีก 2 ข้อ 5,6 คือกึ่ง ๆ
ซิ่วออกมาแล้วครับ เสียเวลาไปสองปี แต่ตอนนี้สบายใจเป็นที่สุด
เรียนหนักกว่าคณะเดิมเยอะ แต่รู้สึกว่ามีอะไรมากกว่า
ตอนแรกเรียนทางด้านดนตรีครับ ตอนเข้าก็แค่คิดว่าเรียนอะไรก็ได้ สนุก ๆ
เรียนจบไปก็หางานได้หมดแหละ ไม่คิดอะไร เรียนมาแล้วเกรดก็ไม่แย่ ~3.5 (เกรดมหาลัย)
เรียนไปเรียนมาก็เริ่มไม่สนุกละ หลายอย่างไม่ใช่ตัวเอง เป้าหมายไม่มี
กลับไปเรียนสายวิทย์เหมือนเดิม เหนื่อยกว่าแต่แฮปปี้กว่า มีเป้าหมายมากกว่า
ตอนนี้กำลังเป็นอยู่เลยค่ะ เราเรียนทางด้านประวัติศาสตร์ ตอนเข้าก็ไม่คิดอะไรเหมือนกันคิดว่าเดี๋ญวจบมาก็มีงานทำเองแหละ เกรดเราก็ไม่แย่ เรียนก็เรียนได้ แล้วก็ชอบอันที่เรียนด้วย แต่พอเริ่มเรียนไปนี่ขนาดแค่เทอมแรกเราก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว เรารู้สึกเรียนแล้วไม่มีเป้าหมาย คณะที่เรียนอยู่จบไปแล้วไม่มีอาชีพที่เราชอบเลยหรืออยากเป็นเลย เราอยากเรียนแบบมีเป้าหมายมากกว่า ตอนนี้เลยกำลังคิดว่าจะซิวแล้วค่ะ แต่ยังไม่ได้บอกพ่อแม่เลย ควรบอกยังไงดีคะ TT^TT
เราซิ่วแล้วอ่ะ ..เหตุผลก็คือเรียนแล้วมันไม่ใช่มันรู้สึกไม่รู้ดิบอกไม่ถูก เราชอบวาดรูปคิดนู่นนี่ไปเรื่อย ก็เลยเข้าสถาปัตย์แต่พอเรียนไปมันก็ชอบนะแต่ว่าไม่ใช่ เลยตัดสินใจซิ่วมาเรียนออกแบบผลิตภัณฑ์ และสาขานี้ต่อให้เราเรียนแล้วเหนื่อยหนักแต่ต้องเรียนให้จบ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นคือต้องเรียนให้จบ คนเราไม่ได้มีโอกาสหลายครั้งและนี่คือโอกาสครั้งแรกและครั้งเดียวของเรา
หลายๆคนที่คิดว่าคนที่ซิ่วได้ที่บ้านเข้าใจโชคดีจัง เชื่อไหมคะว่าต่อให้ที่บ้านเข้าใจแค่ไหนพวกเขาก็ผิดหวังอยู่ดี เพราะฉะนั้นจะตัดสินใจอะไรจะทำอะไร มั่นใจค่ะ และบอกกับตัวเองว่าต้องทำให้ได้ แต่ถ้ามันสุดๆแล้วก็ปล่อยมันไปค่ะ อย่าคิดมากเดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแตกนะ อย่าเครียดๆๆๆๆๆๆ
โอ๊ะ
ตรงทุกข้อเลยT^T