ถามตัวเอง! 8 ความรู้สึกที่หากเกิดขึ้น คุณต้อง "ซิ่ว" แล้วล่ะ

            สวัสดีค่ะชาว Dek-D ทุกคน ใครๆ ก็ล้วนบอกนะคะว่าการเลือกคณะก็เหมือนเลือกแฟน จะคบกันไปนานๆ ตั้ง 4-5 ปี ก็ต้องดูให้ดีว่าใช่หรือไม่ใช่ ไม่งั้นคบกันไปแล้วเลิกกันก็คงเจ็บน่าดู วันนี้ก็เลยเอา 8 สัญญาณที่บ่งบอกว่าคณะที่เข้ามาเรียนนั้นเริ่มออกอาการร่อแร่ ได้เลิกแน่ แบบไม่แคร์สื่อ ลองไปเช็คกันดีกว่าว่าใครมีอาการเหล่านี้อยู่บ้าง
 


1.ไม่มีแรงบันดาลใจ เรียนไปวันๆ
           ใครที่เรียนๆ ไปรู้สึกไฟหมดลงทุกวัน เห็นที่จะต้องถอยทัพแล้วล่ะค่ะ เพราะถ้าเราปล่อยให้ชีวิตก้าวเข้าสู่คำว่า "มาเรียนไปวันๆ" ก็คงจะไม่ดีต่อชีวิตของเราเป็นแน่ น้องๆ รู้มั้ย ? ว่ารากศัพท์ของคำว่าแรงบันดาลใจนั้น มาจากภาษาละตินคือคำว่า "ลมหายใจ" นั่นหมายถึง "การมีชีวิตอยู่" ดังนั้น หากเราอยู่แบบไม่มีแรงบันดาลใจ ก็เหมือนเราอยู่โดยไม่มีชีวิตอยู่จริงแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร หากมีอาการแบบนี้ พี่อาตู ว่าเรามองหาคณะที่ทำให้เรามีชีวิตชีวา และอยากพัฒนาตัวเองกว่านี้ดีกว่านะคะ

2.ไม่ได้ใช้ในอนาคตของเราแน่นอน
            จริงอยู่ที่ในปัจจุบันคนที่เรียนจบทำงานแล้วมักออกมาบอกว่า เรียนไปก็ไม่ได้ใช้ จบมาก็ทำงานไม่ตรงสาย แต่ พี่อาตู ถามสักนิดว่า จะดีกว่ามั้ย? ถ้าหากว่าสิ่งที่เรียนมานั้นเราได้เอาไปใช้ในอนาคตของเราด้วย เพราะว่าเวลาตั้ง 4 ปี บางคณะ 5-6 ปี ไม่ใช่เวลาทีน้อยเลยนะคะ ก็ควรลงทุนเวลาเหล่านี้อย่างคุ้มค่าได้นำเอาไปใช้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้นลองถามตัวเองดูว่า ปลายทางของคณะนี้ที่ให้กับเรา มันใช่หรือเปล่า ? คณะนี้ได้ให้องค์ความรู้ที่เราต้องการหรือเปล่า ? ถ้ามันไม่ใช่ คำว่าเริ่มต้นใหม่ อาจจะใช่กว่าสำหรับเราก็ได้ค่ะ เพื่อให้เราได้ใช้เวลาหลายปีนี้ไปอย่างคุ้มค่า

3.ยิ่งเรียนยิ่งไม่เข้าใจ ไม่รู้สึกสนใจ หรือตื่นเต้นในสิ่งที่ได้เรียน
            นักทฤษฏีคนนี้ก็ไม่รู้จัก เรียนเรื่องนี้มาก็ไม่ตื่นเต้น สัมมนาอะไรไม่น่าสนใจสักนิด ถ้าหากว่ามีความรู้สึกประมาณนี้อยู่แล้วล่ะก็ ต้องลองถามตัวเองอย่างจริงจังแล้วค่ะ ว่าเราจะอยู่ในสภาวะแบบนี้ต่อไปเหรอ ? ยิ่งเรียนยิ่งอึดอัด ยิ่งเรียนยิ่งไม่เข้าใจ ไม่รู้สึกสนใจ หรือตื่นเต้นในสิ่งที่ได้เรียน มันอาจจะทำให้เราไม่ได้ใช้การเรียนรู้ของตัวเองอย่างเต็มประสิทธิภาพ พี่อาตู ว่ามันน่าจะมีอย่างน้อยๆ ก็สักวิชาสองวิชาที่เรารู้สึกกระตือรือร้นอยากรู้หรืออยากเรียนบ้างนะ แต่ถ้ามันไม่มีความสุขเอาเสียเลยแล้วล่ะก็ แล้วจะอยู่คณะนี้ไปทำไม ?

4.ตกมีนตลอด เกรดย่ำแย่
            ตกมีนตลอด เกรดย่ำแย่ ชีวิตยับเยิน พยายามเท่าไหร่ก็ไม่เกิดผล มีแต่ลดลงจนท้อแท้ นั่นแหละ! อาจจะถึงเวลาที่เราจะต้องมาทบทวนดูอีกทีว่าเราเหมาะสมกับคณะนี้จริงๆ หรือ? หรือเรามีสิ่งที่เราถนัดและทำได้ดีกว่า ข้อนี้เนี่ยคล้ายกับตอนน้องขึ้นม.ปลาย ต้องเลือกสายหรือแผนกที่เรียนเลยค่ะ ถ้าไม่ถนัดวิทย์ ไม่ไหวจริงๆ กับเลข ก็น่าจะอยู่สายศิลป์จะได้ไม่โดนกดเกรดจากวิชาที่ไม่ถนัดอย่าง ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ในระดับมหาวิทยาลัยก็เช่นกัน ตอนแรกเราอาจจะคิดไปว่ามันใช่ เรียนน่าจะง่าย จนได้มาเรียนจริงๆ ถึงรู้ว่ายากเกินไปหรือไม่ใช่ความถนัดเลย ยิ่งเรียนไปเกรด และคะแนนก็มีแต่แย่ลงๆ เป็นอย่างนี้ พี่อาตู ว่าเพื่อไม่ให้เสียสุขภาพจิต คิดทบทวนตัวเองใหม่ดีกว่านะ แต่ถ้าใครเจอคณะที่ใช่แล้วมันยากบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดา ขอให้พยายามให้มากขึ้น ทำให้เต็มที่!

5.เข้ากับเพื่อนในคณะไม่ได้เลย
            ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่ก็เป็นปัญหาใหญ่เหมือนกัน เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมนะคะ ไม่มีใครสามารถเกิดมาแล้วอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว ยิ่งในสังคมของมหาวิทยาลัยด้วยแล้วเราจะเจอเพื่อนอีกเยอะแยะมากมายทั้งในคณะและนอกคณะ แล้วไม่ใช่แค่รู้จักเพียงอย่างเดียวยังต้องทำงานร่วมกันอีกด้วย ดังนั้น ถ้าหากว่าใครที่ประสบพบเจอกับปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเรื่องเพื่อนเนี่ย เช่น เราชอบกล้าแสดงออกแต่คนในคณะมองว่าแปลก หรือเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว ชอบอ่านแค่หนังสือ แต่อยู่คณะที่ต้องกิจกรรมเยอะมากก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งในการซิ่ว

             คณะที่เราอยู่อาจจะใช่ แต่คนที่อยู่ด้วยไม่ใช่ ก็คงไม่สนุกแน่ ใครที่กำลังหัวเดียวกระเทียมลีบนี่มีอยู่สองทางค่ะคือ พิจารณาตัวเองว่าเรามีจุดผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่า กับอีกทางคือซิ่วไปหาคณะที่มีคนไลฟ์สไตล์หรือชอบอะไรเหมือนกับเรา เช่น ชอบการแสดงออก ชอบความคิดสร้างสรรค์ ก็อาจจะเหมาะกับคณะนิเทศศาสตร์ หรือศิลปกรรมศาสตร์ เป็นต้นค่ะ


6.มีคณะที่ใช่กว่า อยู่ในใจ
            มันจะเป็นอาการที่แบบชัดเจนขึ้นมาเลยนะว่า เนี่ย! แบบนี้แหละที่อยากเรียน รู้งี้! เรียนคณะนี้ดีกว่า ความรู้สึกประมาณนี้แหละ ก็จะเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า เอ๊ะ! แล้วเราจะอยู่คณะนี้ต่อไปทำไมล่ะ ก็ไปคณะที่ใช่กว่าสิ! ส่วนใหญ่แล้วคนที่จะซิ่วมักมีเป้าหมายอยู่ในใจอยู่แล้วว่าอยากเข้าคณะอะไร อยากเรียนอะไรมากกว่า ดังนั้นใครที่มีเส้นทางที่จะไปแล้วนี่ไม่น่าเป็นห่วง เพราะว่าคนที่จะซิ่วนั้นต้องใช้พลังและกำลังใจมากมายในการเบนเข็มตัวเองไปสู่คณะที่ต้องการ เพราะฉะนั้นจะเตรียมตัวเป็นอย่างดี เรียกว่าพลาดไม่ได้อีกแล้วพี่อาตู จะห่วงก็แต่คนที่มีแต่ความรู้สึกว่าอยากซิ่ว แต่ไม่รู้ว่าจะซิ่วไปคณะไหน ชอบอะไรมากกว่า อย่างนี้ไม่ดีแน่ เพราะอาจจะเป็นการหนีปัญหาที่เกิดเพียงชั่วคราว

7.มั่นใจว่าการซิ่วคือการแก้ปัญหา ไม่ใช่ หนีปัญหา
            บางคนอาจจะอยากซิ่ว เพราะเบื่อกับการบ้าน เซ็งการเรียนหนัก พี่อาตู บอกได้เลยว่าการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยนั้น ไม่มีคณะไหนสบายหรอก ทุกคนก็ต้องเรียนหนักขึ้นยากขึ้น อ่านหนังสือเยอะขึ้นด้วยกันทั้งนั้น บางคณะอาจจะเรียนสบายๆ แต่ตอนทำวิทยานิพนธ์เพื่อจบก็หนักเอาการเหมือนกัน ดังนั้นต้องแยกแยะให้ออกว่าการซิ่วของเราเป็นไปเพื่อแก้ปัญหา ว่าคณะที่อยู่มันไม่ใช่ ไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตของเรา ในอนาคตไม่ได้อยากเป็นหมออยากเป็นครู ไม่ได้อยากเป็นนักบัญชีอยากเป็นผู้กำกับ ก็ซิ่วไปเรียนสิ่งที่เราชอบซะ ไม่ใช่ซิ่วเพราะเรียนหนักไป การบ้านเยอะไป ไม่ชอบหน้าอาจารย์ อันนี้เขาเรียกว่าหนีปัญหานะ

8.ไม่เสียดายเวลา ถ้าจะต้องเริ่มใหม่ 
           การซิ่วเรียกได้ว่าเป็นการวัดใจเลยว่า เรากล้าแลกเวลาที่เสียไปเพื่อได้สิ่งที่ใช่กลับมาหรือไม่? น้องรู้สึกเลยว่ามันคุ้มกว่าแน่นอน บางคนอาจจะเรียนไปแล้วหนึ่งเทอม หรือยิ่งกว่านั้นคือปีหรือสองปี ถ้าเรามีความรู้สึกมั่นใจอยู่แล้วล่ะก็ เราก็จะไม่มีความลังเลหรือเสียดายอยู่เลย เราจะมุ่งหน้าอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจเตรียมตัวสอบใหม่เป็นอย่างดี พี่อาตู เองก็เคยเรียนๆ ไปแล้วคิดว่าจะซิ่วเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซิ่วไป เพราะว่าไม่มั่นใจว่าจะสามารถทุ่มเทเพื่อสอบใหม่ได้อีกครั้ง และอยากเรียนจบเร็วๆ ให้พ่อแม่ได้ภูมิใจ ไม่อยากให้พ่อแม่ต้องรอนานไปอีกปี ส่วนใครที่คิดว่าซิ่วไปแล้วคุ้มค่าสำหรับตัวเองแล้วล่ะก็ อย่าโลเล แล้วลุยเลยค่ะ!

            สุดท้ายนี้ พี่อาตู ก็อยากจะยกประโยคที่เคยบอกน้องๆ ในงาน
Dek-D's Admission On Stage ของทาง www.dek-d.com มาบอกน้องๆ กันอีกสักครั้งว่า "คณะที่ใช่ก็เหมือนคนที่ใช่ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข" การซิ่วไม่ใช่สิ่งที่ผิด ไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย การที่เราค้นหาตัวเองเจอ แล้วได้ใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองเป็น นั่นนับว่าเป็นความคุ้มค่าอย่างหนึ่งแล้วในการเกิดมาบนโลกใบนี้ พี่อาตู ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนในการค้นหาตัวเอง แล้วมุ่งสู่จุดหมายปลายทางที่ต้องการ รวมถึงแสดงความยินดีกับคนที่ได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองรัก ถึงแม้จะเจอบททดสอบที่หนักหน่วงบ้าง แต่ด้วยความรักและมุ่งมั่นเราก็จะผ่านมันไปได้ พี่อาตู เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ
พี่อาตู

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

ไม่ประสงค์ออกนาม 1 ธ.ค. 57 14:18 น. 4
ผมเองก็เป็นคนนึงที่อยากซิ่วนะ แต่ด้วยสถานะทางบ้าน ทำให้ผมมาได้แค่นี้ บางทีก็เจ็บใจ น้อยใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมฐานชีวิตของตัวเองถึงได้ด้อยกว่าคนอื่นเขา เคยไม่สอบแกทแพทใหม่ คะแนนก็พอเข้าคณะที่อยากไปได้ แต่ทางครอบครัวไม่อยากให้ไปเริ่มใหม่ บอกส่งให้ได้แค่นี้ เราก็เข้าใจนะ แต่เจ็บใจตัวเองมาตลอดเลย ทำไมไม่รู้ตัวให้เร็วกว่านี้ว่าอยากเรียนอะไร ร้องไห้มาตลอดเลย ทุกวันนี้ก็เรียนด้วยทำงานไปด้วย ดีหน่อยที่มีทุนของทางคณะเข้ามาอีก ทุกวันนี้เหนื่อยมากเวลาน้อย เพื่อนไปไหนก็ไม่ได้ไป ติดงาน แต่ก็ต้องอยู่ต่อไป ทำไงได้พ่อแม่ให้มาแค่นี้ อยากจัดการชีวิต แล้วใช้เรียนม.รามเป็นทางเลือกเสริมไป ได้แค่นั้นจริงๆครับ : (
2
มักเน่หมีที่รัก Member 7 ธ.ค. 57 12:59 น. 4-1
สู้ๆต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^ เรายังไม่ไ้เรียนม.อ่ะ ยังเรียนม.ห้าอยู่เลยค่ะ ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง แต่ว่ามันก็รู้สึกแย่นะ ไม่มากก็น้อยแหละ สู้ๆๆนะ เยี่ยมรักเลย ทำได้อยู่แล้วค่ะ เขิลจุง
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
บอสครัช 1 ธ.ค. 57 15:05 น. 10
เงินเนี่ยสิครับตัวปัญหา ผมก็อยากเรียนจะแย่ แต่พ่อแม่ไม่ได้ร่ำรวยขนาดนั้น ทำไงได้ ความคิดอะมันง่ายครับแต่พอเอาเข้าจริง โลกแห่งความเป็นจริงมันโหดร้าย เสียใจ
1
มักเน่หมีที่รัก Member 7 ธ.ค. 57 13:01 น. 10-1
เงินนี่แม่---ขัดทุกเรื่องเลยเนอะ เกิดมาไม่ได้ร่ำได้รวยก็เงี๊ยะ ต้องพยายามมากกว่าคนที่เขามีตังค์อ่ะ เสียใจ เป็นกำลังใจให้นะ สู้ๆค่ะ เราก็เป็นนะ เสียใจ
0
กำลังโหลด
Lost in Canberra 1 ธ.ค. 57 15:12 น. 11
เราเป็นอดีตเด็กซิ่วค่ะ ตอนแรกที่เข้ามหาวิทยาลัยเดิมได้ ไฟแรง ความมั่นใจเต็มเปี่ยม ช่วงเทอมแรกๆ แนวทฤษฎีเยอะก็โอเค ทำได้ไม่เลว แต่ปัญหาเริ่มเกิดเมื่อเจอฟิสิกส์กับแคลคูลัสเข้าไป ต้องดรอปทิ้งเพราะเป็นคนที่หัวคำนวณแย่มาก แคล 1 พยายามแล้วพยายามอีก เรียนพิเศษ ทำทุกอย่างแต่ก็ได้ D มา (ทุกคนบอกว่าตัวแรกนี่ง่ายสุดแล้ว เราก็หา! ยังเหลืออีกตั้งสองตัว จะรอดมั้ย) ก็ทนเรียนไปจนปีสาม เกรด 2.7 กว่าๆ ตัวไหนเรียนไม่ไหวก็ดรอปทิ้งค่อยไปเรียนใหม่หรือหาวิชาเทียบแทน แต่จนแล้วจนรอดเข้าปีสามแคลตัว 2 ก็ยังไม่ผ่าน แถมยังพ่วง F วิชาภาคที่หนักคำนวณมากมาด้วยอีกหนึ่งตัว ที่จริงเราบ่นกับแม่ตั้งแต่เทอมแรกแล้วว่าจะซิ่วดีมั้ย รู้สึกไม่ค่อยโอเคเลย แต่แม่อยากให้เรียนต่อ บอกว่าถ้าพยายามก็ทำได้ ก็เลยยอมแม่ตัดสินใจทำตาม แต่จนกระทั่งปีสามเริ่มรู้สึกไม่ไหวแล้ว คือไม่แน่ใจว่าถ้าอยู่ต่อนี่อาจจะไม่จบภายในสี่ปี (สูงสุดได้แปดปีแต่ดูสภาพแล้วคงไม่พอ) เผลอๆ อาจจะโดนรีไทร์ก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำไป ทุกวันที่นั่งเรียนไม่มีความสุขเลย จากที่ตอนแรกรู้สึกว่าอยากเรียนมาก จนตอนนั้นมันไม่เหลืออะไรแล้ว ร้องไห้แทบทุกวัน เลยตัดสินใจแอบแม่ไปสอบแกทแพท (ตอนแรกเราเป็นรุ่น O-NET, A-NET บ่งบอกอายุกันไป :P) ตอนนั้นแกทแพทปีแรกพอดี ตอนตัดสินใจซิ่วเหลือแค่รอบสามแล้วมีเวลาแค่สามเดือน ตอนแรกก็ยังงงๆ อยู่เลยว่าแกทเชื่อมโยงคืออะไร ซื้อหนังสือมาศึกษาเองบ้าง คือถ้าไม่สู้ตอนนั้นก็ตายแน่นอน สุดท้ายเราสอบเข้าคณะสีเทาที่มหาวิทยาลัยสีชมพูได้ ดีใจมากๆ เหมือนได้หลุดพ้นจากความทุกข์ (ถึงแม้ว่าสี่ปีในการเรียนในที่ใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเหมือนกัน) ตอนที่ตัดสินใจซิ่วก็มีคนหาว่าบ้าบ้าง ใจกล้าบ้าง ทั้งด่าทั้งชมปนๆ กันไป พอบอกแม่ว่าสอบเข้าได้แล้วแม่ก็ยอม เพราะคงรู้ว่าถ้าเราไม่ไหวจริงๆ คงไม่ตัดสินใจทำอะไรขนาดนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราตัดสินใจซิ่วคือคำพูดของเพื่อนเราคนหนึ่ง นั่นคือ "เสียเวลาอีกแค่สี่ปี ดีกว่าเสียเวลาไปกับอะไรที่ไม่ชอบไปทั้งชีวิตนะ" ส่วนที่ใหม่เพื่อนก็น่ารักค่ะ ตอนแรกเราก็แอบเนียนเข้าไปก่อนและไม่ได้บอกว่าเราซิ่วมา เพราะถ้าทุกคนรู้ตอนแรกอาจจะกลายเป็นว่าทำงานด้วยกันไม่สะดวก ด้วยความที่มีอายุและความอาวุโสเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ในเฟสนี่ตั้งใจเปิดอายุไว้เต็มที่เผื่อใครจะสังเกตเห็นแล้วให้ค่อยๆ ตามสืบกันไป จนตอนหลังทุกคนก็รู้กันปากต่อปากต่อไปเรื่อยๆ แต่ทุกคนก็ยังปฏิบัติกับเราเหมือนเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมค่ะ ซึ่งตรงนี้เราว่าสำคัญมากเหมือนกันในการที่จะปรับตัวให้เข้ากับที่ใหม่ได้ในฐานะเด็กซิ่ว ด้วยความที่เกรงใจแม่ที่จ่ายค่าเทอมให้ตอนเรียนที่เก่าเลยขอทุนของมหาวิทยาลัยเรียนจนจบค่ะ สุดท้ายเรียนจบป.ตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง ตอนนี้มาเรียนต่อป.โทอยู่ที่ออสเตรเลียในสาขาเดิมที่เกี่ยวข้องกับป.ตรี มีท้อบ้างบางครั้งแต่ด้วยความที่เป็นสายที่เราถนัดและชอบจริงๆ เลยทำให้เราสู้ต่อไปได้ และคาดว่าถ้าทำได้ดีมากพอ ตั้งใจว่าจะหาทุนเรียนต่อป.เอกที่นี่ค่ะ นึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าตัวเองไม่ตัดสินใจซิ่วแล้วยังเรียนต่อไปที่เดิมชีวิตในตอนนี้จะเป็นยังไง (ไม่กล้านึกภาพด้วยซ้ำไป) แต่ตอนนี้คือดีใจมากที่ตัดสินใจซิ่วตั้งแต่ตอนนั้น เพราะถึงปัจจุบันนี้จะเหนื่อยและเครียดเหมือนเดิม แต่ก็ยังได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองรัก มีเป้าหมายในอนาคตนว่าต้องการจะทำอะไร เราเข้าใจว่ากรณีของแต่ละคนแตกต่างกันไป แต่หลังจากที่คิดไตร่ตรองให้รอบคอบแล้ว เชื่อใจตัวเราเองดีที่สุดค่ะ เพราะเรารู้จักตัวเราเองที่สุด ว่าอะไรคือพอ อะไรคือไปต่อได้ และเมื่อตัดสินใจแล้วก็พยายามเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้นให้ได้ เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ ;)
1
กำลังโหลด
ลินดา 1 ธ.ค. 57 16:31 น. 15
ตอนนี่เรียนอยู๋มหาลัยอินเตอร์ชื่อดังอยู๋คะ ตอนแรกอยากไปทางออกแบบวาดรูปแต่เป็นห่วงอนาคตเลยเปลี่ยนให้สิ่งที่ชอบมาเป็นงานอดิเรกแทนแล้วเดินตามทางที่ตั้งใจในใจชอบเรียนภาษาอังกฤษคะแต่ไม่เก่งเลย รู้แค่ว่าชอบแล้วอยากทำให้ได้นี่คืเป้าหมาย แต่ที่บ้านบังคับให้เรียนภาษาที่สามเท่านั้นแล้วต้องภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น ขอเรียนจีนเพราะเคยเรียนมาตอนอนุบาลก็ไม่ให้ ด้วยความที่อยากลองดูแต่ไม่ชอบเลยนะคะแค่คิดว่าจะรอด แต่พอเริ่มเปิดเทอมรู้สึกตัวเองเลยคะว่านี่ไม่ใช่ทางเลยซักนิด มันรู้สึกเรียนไปวันๆจริงๆคะ แรงบัลดาลใจก็ไม่มี ถามว่าตั้งใจเรียนไหมพยายามคะพยายามทำเป็นตั้งใจถึงเวลาสอบก็อ่านหนังสือ แต่มันไม่มีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำจริงๆ มันอึดอัด กดดันมากกกกกกกที่สุดแบบไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วยิ่งพออยากจะซิ่ว.... เลยตัดสินใจบอกที่บ้านว่าเรียนไม่ไหว อยากเรียนแต่ภาษาอังกฤษก็โดนสวดยับเลยคะ โดนถามคะแนนเท่าไหร่ อะไรยังไงถามจนไปไม่ถูกคะเพราะคะแนนย่ำยีหัวใจมาก ประเด็นมันอยู๋ตรงที่บังคับก็แล้วแถมยังโดนคำพูดที่ปวดแสบปวดร้อนมา คือ "ทำไมไม่พยายาม ทำไมไม่พยายามให้เห็นว่าทำได้!" "ตอนแรกพี่ก็ไม่ได้ชอบนะแต่พี่คิดว่าจบมาแล้วเลี้ยงพ่อแม่เลี้ยงน้องได้" เจ็บสิคะก็นึกในใจว่าก็ทำไมเราต้องมาพยายามในความคิดตัดสินใจของคนอื่นด้วย เงินเดือนน้อยแต่ไม่ดูถูกเงินคนอื่นคะเราคิดนะ เงินเหมือนกันรู้จักรใช้ก็คงไม่จน เราแค่เชื่ออย่างนึงว่า คนเราต่อให้จะเรียนอะไรอาจจะดูแย่ในสายตาคนอื่น วันนึงเราก็ต้องดิ้นรนให้เราทำมันให้ได้มากขึ้น เพราะเรามีความสุขกับสิ่งที่เราได้ทำนะ ไม่มีใครยอมลำบากไปตลอดหรอกคะเชื่อว่าอย่างงี้นะ
0
กำลังโหลด

44 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
ไม่ประสงค์ออกนาม 1 ธ.ค. 57 14:18 น. 4
ผมเองก็เป็นคนนึงที่อยากซิ่วนะ แต่ด้วยสถานะทางบ้าน ทำให้ผมมาได้แค่นี้ บางทีก็เจ็บใจ น้อยใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมฐานชีวิตของตัวเองถึงได้ด้อยกว่าคนอื่นเขา เคยไม่สอบแกทแพทใหม่ คะแนนก็พอเข้าคณะที่อยากไปได้ แต่ทางครอบครัวไม่อยากให้ไปเริ่มใหม่ บอกส่งให้ได้แค่นี้ เราก็เข้าใจนะ แต่เจ็บใจตัวเองมาตลอดเลย ทำไมไม่รู้ตัวให้เร็วกว่านี้ว่าอยากเรียนอะไร ร้องไห้มาตลอดเลย ทุกวันนี้ก็เรียนด้วยทำงานไปด้วย ดีหน่อยที่มีทุนของทางคณะเข้ามาอีก ทุกวันนี้เหนื่อยมากเวลาน้อย เพื่อนไปไหนก็ไม่ได้ไป ติดงาน แต่ก็ต้องอยู่ต่อไป ทำไงได้พ่อแม่ให้มาแค่นี้ อยากจัดการชีวิต แล้วใช้เรียนม.รามเป็นทางเลือกเสริมไป ได้แค่นั้นจริงๆครับ : (
2
มักเน่หมีที่รัก Member 7 ธ.ค. 57 12:59 น. 4-1
สู้ๆต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^ เรายังไม่ไ้เรียนม.อ่ะ ยังเรียนม.ห้าอยู่เลยค่ะ ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง แต่ว่ามันก็รู้สึกแย่นะ ไม่มากก็น้อยแหละ สู้ๆๆนะ เยี่ยมรักเลย ทำได้อยู่แล้วค่ะ เขิลจุง
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Kuma 1 ธ.ค. 57 14:29 น. 6
เรื่องเพื่อนเลยค่ะ ตอนแรกคิดว่าจะไม่ซิ่วเพราะเรื่องแค่นี้ แต่พอมาอ่านกระทู้นี้ต้องคิดใหม่เลยค่ะ
0
กำลังโหลด
Sugasnoaz7 1 ธ.ค. 57 14:45 น. 7
เราคนนึ่งอ่ะที่ซิ่วแล้ว คณะก่อนหน้านี้เรียนไปเพราะที่บ้านอยากให้เรียนซึ่งเราไม่ได้ชอบเลย ก่อนจะซิ่วเราก็ปรึกษาครอบครัวนะตอนแรกทางครอบครัวก็ไม่ให้ แต่เราคุยกับพวกเขาด้วยเหตุผลจริงๆและบอกความรู้สึกไป ทางครอบครัวของเราเลยยอมเพราะถ้ายังทนเรียนไปแบบไม่มีความสุขตัวเราเองที่จะอึดอัด
0
กำลังโหลด
kungkung Member 1 ธ.ค. 57 14:51 น. 8

มีความรู้สึกตามนั้น 5 ข้อ 1,2,3,7,8 อีก 2 ข้อ 5,6 คือกึ่ง ๆ

ซิ่วออกมาแล้วครับ เสียเวลาไปสองปี แต่ตอนนี้สบายใจเป็นที่สุด

เรียนหนักกว่าคณะเดิมเยอะ แต่รู้สึกว่ามีอะไรมากกว่า

ตอนแรกเรียนทางด้านดนตรีครับ ตอนเข้าก็แค่คิดว่าเรียนอะไรก็ได้ สนุก ๆ

เรียนจบไปก็หางานได้หมดแหละ ไม่คิดอะไร เรียนมาแล้วเกรดก็ไม่แย่ ~3.5 (เกรดมหาลัย)

เรียนไปเรียนมาก็เริ่มไม่สนุกละ หลายอย่างไม่ใช่ตัวเอง เป้าหมายไม่มี

กลับไปเรียนสายวิทย์เหมือนเดิม เหนื่อยกว่าแต่แฮปปี้กว่า มีเป้าหมายมากกว่า

เยี่ยม

1
Ohhayou Member 12 ม.ค. 61 20:49 น. 8-1

ตอนนี้กำลังเป็นอยู่เลยค่ะ เราเรียนทางด้านประวัติศาสตร์ ตอนเข้าก็ไม่คิดอะไรเหมือนกันคิดว่าเดี๋ญวจบมาก็มีงานทำเองแหละ เกรดเราก็ไม่แย่ เรียนก็เรียนได้ แล้วก็ชอบอันที่เรียนด้วย แต่พอเริ่มเรียนไปนี่ขนาดแค่เทอมแรกเราก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว เรารู้สึกเรียนแล้วไม่มีเป้าหมาย คณะที่เรียนอยู่จบไปแล้วไม่มีอาชีพที่เราชอบเลยหรืออยากเป็นเลย เราอยากเรียนแบบมีเป้าหมายมากกว่า ตอนนี้เลยกำลังคิดว่าจะซิวแล้วค่ะ แต่ยังไม่ได้บอกพ่อแม่เลย ควรบอกยังไงดีคะ TT^TT

0
กำลังโหลด
SeSeSe Member 1 ธ.ค. 57 14:58 น. 9

เราซิ่วแล้วอ่ะ ..เหตุผลก็คือเรียนแล้วมันไม่ใช่มันรู้สึกไม่รู้ดิบอกไม่ถูก เราชอบวาดรูปคิดนู่นนี่ไปเรื่อย ก็เลยเข้าสถาปัตย์แต่พอเรียนไปมันก็ชอบนะแต่ว่าไม่ใช่ เลยตัดสินใจซิ่วมาเรียนออกแบบผลิตภัณฑ์ และสาขานี้ต่อให้เราเรียนแล้วเหนื่อยหนักแต่ต้องเรียนให้จบ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นคือต้องเรียนให้จบ คนเราไม่ได้มีโอกาสหลายครั้งและนี่คือโอกาสครั้งแรกและครั้งเดียวของเรา 

หลายๆคนที่คิดว่าคนที่ซิ่วได้ที่บ้านเข้าใจโชคดีจัง เชื่อไหมคะว่าต่อให้ที่บ้านเข้าใจแค่ไหนพวกเขาก็ผิดหวังอยู่ดี เพราะฉะนั้นจะตัดสินใจอะไรจะทำอะไร มั่นใจค่ะ และบอกกับตัวเองว่าต้องทำให้ได้ แต่ถ้ามันสุดๆแล้วก็ปล่อยมันไปค่ะ อย่าคิดมากเดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแตกนะ อย่าเครียดๆๆๆๆๆๆ

สู้สู้

0
กำลังโหลด
บอสครัช 1 ธ.ค. 57 15:05 น. 10
เงินเนี่ยสิครับตัวปัญหา ผมก็อยากเรียนจะแย่ แต่พ่อแม่ไม่ได้ร่ำรวยขนาดนั้น ทำไงได้ ความคิดอะมันง่ายครับแต่พอเอาเข้าจริง โลกแห่งความเป็นจริงมันโหดร้าย เสียใจ
1
มักเน่หมีที่รัก Member 7 ธ.ค. 57 13:01 น. 10-1
เงินนี่แม่---ขัดทุกเรื่องเลยเนอะ เกิดมาไม่ได้ร่ำได้รวยก็เงี๊ยะ ต้องพยายามมากกว่าคนที่เขามีตังค์อ่ะ เสียใจ เป็นกำลังใจให้นะ สู้ๆค่ะ เราก็เป็นนะ เสียใจ
0
กำลังโหลด
Lost in Canberra 1 ธ.ค. 57 15:12 น. 11
เราเป็นอดีตเด็กซิ่วค่ะ ตอนแรกที่เข้ามหาวิทยาลัยเดิมได้ ไฟแรง ความมั่นใจเต็มเปี่ยม ช่วงเทอมแรกๆ แนวทฤษฎีเยอะก็โอเค ทำได้ไม่เลว แต่ปัญหาเริ่มเกิดเมื่อเจอฟิสิกส์กับแคลคูลัสเข้าไป ต้องดรอปทิ้งเพราะเป็นคนที่หัวคำนวณแย่มาก แคล 1 พยายามแล้วพยายามอีก เรียนพิเศษ ทำทุกอย่างแต่ก็ได้ D มา (ทุกคนบอกว่าตัวแรกนี่ง่ายสุดแล้ว เราก็หา! ยังเหลืออีกตั้งสองตัว จะรอดมั้ย) ก็ทนเรียนไปจนปีสาม เกรด 2.7 กว่าๆ ตัวไหนเรียนไม่ไหวก็ดรอปทิ้งค่อยไปเรียนใหม่หรือหาวิชาเทียบแทน แต่จนแล้วจนรอดเข้าปีสามแคลตัว 2 ก็ยังไม่ผ่าน แถมยังพ่วง F วิชาภาคที่หนักคำนวณมากมาด้วยอีกหนึ่งตัว ที่จริงเราบ่นกับแม่ตั้งแต่เทอมแรกแล้วว่าจะซิ่วดีมั้ย รู้สึกไม่ค่อยโอเคเลย แต่แม่อยากให้เรียนต่อ บอกว่าถ้าพยายามก็ทำได้ ก็เลยยอมแม่ตัดสินใจทำตาม แต่จนกระทั่งปีสามเริ่มรู้สึกไม่ไหวแล้ว คือไม่แน่ใจว่าถ้าอยู่ต่อนี่อาจจะไม่จบภายในสี่ปี (สูงสุดได้แปดปีแต่ดูสภาพแล้วคงไม่พอ) เผลอๆ อาจจะโดนรีไทร์ก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำไป ทุกวันที่นั่งเรียนไม่มีความสุขเลย จากที่ตอนแรกรู้สึกว่าอยากเรียนมาก จนตอนนั้นมันไม่เหลืออะไรแล้ว ร้องไห้แทบทุกวัน เลยตัดสินใจแอบแม่ไปสอบแกทแพท (ตอนแรกเราเป็นรุ่น O-NET, A-NET บ่งบอกอายุกันไป :P) ตอนนั้นแกทแพทปีแรกพอดี ตอนตัดสินใจซิ่วเหลือแค่รอบสามแล้วมีเวลาแค่สามเดือน ตอนแรกก็ยังงงๆ อยู่เลยว่าแกทเชื่อมโยงคืออะไร ซื้อหนังสือมาศึกษาเองบ้าง คือถ้าไม่สู้ตอนนั้นก็ตายแน่นอน สุดท้ายเราสอบเข้าคณะสีเทาที่มหาวิทยาลัยสีชมพูได้ ดีใจมากๆ เหมือนได้หลุดพ้นจากความทุกข์ (ถึงแม้ว่าสี่ปีในการเรียนในที่ใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเหมือนกัน) ตอนที่ตัดสินใจซิ่วก็มีคนหาว่าบ้าบ้าง ใจกล้าบ้าง ทั้งด่าทั้งชมปนๆ กันไป พอบอกแม่ว่าสอบเข้าได้แล้วแม่ก็ยอม เพราะคงรู้ว่าถ้าเราไม่ไหวจริงๆ คงไม่ตัดสินใจทำอะไรขนาดนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราตัดสินใจซิ่วคือคำพูดของเพื่อนเราคนหนึ่ง นั่นคือ "เสียเวลาอีกแค่สี่ปี ดีกว่าเสียเวลาไปกับอะไรที่ไม่ชอบไปทั้งชีวิตนะ" ส่วนที่ใหม่เพื่อนก็น่ารักค่ะ ตอนแรกเราก็แอบเนียนเข้าไปก่อนและไม่ได้บอกว่าเราซิ่วมา เพราะถ้าทุกคนรู้ตอนแรกอาจจะกลายเป็นว่าทำงานด้วยกันไม่สะดวก ด้วยความที่มีอายุและความอาวุโสเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ในเฟสนี่ตั้งใจเปิดอายุไว้เต็มที่เผื่อใครจะสังเกตเห็นแล้วให้ค่อยๆ ตามสืบกันไป จนตอนหลังทุกคนก็รู้กันปากต่อปากต่อไปเรื่อยๆ แต่ทุกคนก็ยังปฏิบัติกับเราเหมือนเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมค่ะ ซึ่งตรงนี้เราว่าสำคัญมากเหมือนกันในการที่จะปรับตัวให้เข้ากับที่ใหม่ได้ในฐานะเด็กซิ่ว ด้วยความที่เกรงใจแม่ที่จ่ายค่าเทอมให้ตอนเรียนที่เก่าเลยขอทุนของมหาวิทยาลัยเรียนจนจบค่ะ สุดท้ายเรียนจบป.ตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง ตอนนี้มาเรียนต่อป.โทอยู่ที่ออสเตรเลียในสาขาเดิมที่เกี่ยวข้องกับป.ตรี มีท้อบ้างบางครั้งแต่ด้วยความที่เป็นสายที่เราถนัดและชอบจริงๆ เลยทำให้เราสู้ต่อไปได้ และคาดว่าถ้าทำได้ดีมากพอ ตั้งใจว่าจะหาทุนเรียนต่อป.เอกที่นี่ค่ะ นึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าตัวเองไม่ตัดสินใจซิ่วแล้วยังเรียนต่อไปที่เดิมชีวิตในตอนนี้จะเป็นยังไง (ไม่กล้านึกภาพด้วยซ้ำไป) แต่ตอนนี้คือดีใจมากที่ตัดสินใจซิ่วตั้งแต่ตอนนั้น เพราะถึงปัจจุบันนี้จะเหนื่อยและเครียดเหมือนเดิม แต่ก็ยังได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองรัก มีเป้าหมายในอนาคตนว่าต้องการจะทำอะไร เราเข้าใจว่ากรณีของแต่ละคนแตกต่างกันไป แต่หลังจากที่คิดไตร่ตรองให้รอบคอบแล้ว เชื่อใจตัวเราเองดีที่สุดค่ะ เพราะเรารู้จักตัวเราเองที่สุด ว่าอะไรคือพอ อะไรคือไปต่อได้ และเมื่อตัดสินใจแล้วก็พยายามเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้นให้ได้ เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ ;)
1
กำลังโหลด
กำลังโหลด
หลอน 1 ธ.ค. 57 16:08 น. 13
ไม่มีเพื่อน ไปไหนคนเดียว เพื่อนที่ทำงานกลุ่มด้วยกันกัน ก็จะซิ่วจะย้ายสาขาหมด แต่เราชอบสาขาที่เราเรียนมากนะ เรารู้สึกมีความสุขที่เลือกเรียนสาขานี้ เพื่อนมหาลัยนี่หายากจัง เราตัวคนเดียวเราเคยท้อ แทบร้องไห้ที่นี่เราไม่มีใครเลยจริงๆ เราไม่รู้จะเอาไงจริง
0
กำลังโหลด
ppk 1 ธ.ค. 57 16:21 น. 14
ไม่รู้ว่าอยากเป็นอะไร ควรต้องทำยังไงถึงจะรู้ว่าชีวิตเราควรเป็นอะไรทำอะไรผมไม่รู้ว่าควรจะซิ้วไปคณะไหน
0
กำลังโหลด
ลินดา 1 ธ.ค. 57 16:31 น. 15
ตอนนี่เรียนอยู๋มหาลัยอินเตอร์ชื่อดังอยู๋คะ ตอนแรกอยากไปทางออกแบบวาดรูปแต่เป็นห่วงอนาคตเลยเปลี่ยนให้สิ่งที่ชอบมาเป็นงานอดิเรกแทนแล้วเดินตามทางที่ตั้งใจในใจชอบเรียนภาษาอังกฤษคะแต่ไม่เก่งเลย รู้แค่ว่าชอบแล้วอยากทำให้ได้นี่คืเป้าหมาย แต่ที่บ้านบังคับให้เรียนภาษาที่สามเท่านั้นแล้วต้องภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น ขอเรียนจีนเพราะเคยเรียนมาตอนอนุบาลก็ไม่ให้ ด้วยความที่อยากลองดูแต่ไม่ชอบเลยนะคะแค่คิดว่าจะรอด แต่พอเริ่มเปิดเทอมรู้สึกตัวเองเลยคะว่านี่ไม่ใช่ทางเลยซักนิด มันรู้สึกเรียนไปวันๆจริงๆคะ แรงบัลดาลใจก็ไม่มี ถามว่าตั้งใจเรียนไหมพยายามคะพยายามทำเป็นตั้งใจถึงเวลาสอบก็อ่านหนังสือ แต่มันไม่มีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำจริงๆ มันอึดอัด กดดันมากกกกกกกที่สุดแบบไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วยิ่งพออยากจะซิ่ว.... เลยตัดสินใจบอกที่บ้านว่าเรียนไม่ไหว อยากเรียนแต่ภาษาอังกฤษก็โดนสวดยับเลยคะ โดนถามคะแนนเท่าไหร่ อะไรยังไงถามจนไปไม่ถูกคะเพราะคะแนนย่ำยีหัวใจมาก ประเด็นมันอยู๋ตรงที่บังคับก็แล้วแถมยังโดนคำพูดที่ปวดแสบปวดร้อนมา คือ "ทำไมไม่พยายาม ทำไมไม่พยายามให้เห็นว่าทำได้!" "ตอนแรกพี่ก็ไม่ได้ชอบนะแต่พี่คิดว่าจบมาแล้วเลี้ยงพ่อแม่เลี้ยงน้องได้" เจ็บสิคะก็นึกในใจว่าก็ทำไมเราต้องมาพยายามในความคิดตัดสินใจของคนอื่นด้วย เงินเดือนน้อยแต่ไม่ดูถูกเงินคนอื่นคะเราคิดนะ เงินเหมือนกันรู้จักรใช้ก็คงไม่จน เราแค่เชื่ออย่างนึงว่า คนเราต่อให้จะเรียนอะไรอาจจะดูแย่ในสายตาคนอื่น วันนึงเราก็ต้องดิ้นรนให้เราทำมันให้ได้มากขึ้น เพราะเรามีความสุขกับสิ่งที่เราได้ทำนะ ไม่มีใครยอมลำบากไปตลอดหรอกคะเชื่อว่าอย่างงี้นะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
ใครคนนึง 1 ธ.ค. 57 19:01 น. 17
เรานี่ซิ!! แกทแพทรุ่นแรกเลย ปี53 สอบไปมั่วๆเหมือนกันไม่ค่อยรู้ แต่คะแนนออกมาฟลุคเลยล่ะ จนadmissionที่เกษตรศาสตร์คณะวิศวะไฟฟ้าได้ดีใจมากๆ เป็นคณะที่ใฝ่ฝันอยากเรียนเราตั้งใจมาตั้งแต่ ม.1ยังไงเราก็จะเป็นวิศวกรให้ได้ แต่แล้วด้วยฐานะทางบ้านตอนนั้นพ่อต้องเปลี่ยนที่ทำงานพ่อบอกถ้าอยากเรียนจริงๆให้เรียนที่บ้าน เราก็เลยได้เรียนที่ราชมงคลคณะวิศวกรรมไฟฟ้าเหมือนกันถึงค่าเทอมที่นี่จะถูกกว่าเกษตรศาสตร์ก้อจริง แต่ค่าใช้จ่ายก้อเยอะอยู่ดีสุดท้ายเราต้องดรอปกลางคันทั้งที่ยังไม่จบปี 1 (จะกู้ก็ไม่ทันแล้ว)สงสารพ่อแม่มาก เราเลยต้องลาออกมาทำงาน พอผ่านไปช่วง 1 ปีก้อเลยสมัครเรียน ปวส.ตอนนี้จบแร้วแล้วตอนนี้ก้อเรียนรามด้วย รัฐศาสตร์จริงๆอยากเรียนวิศวะเหมือนเดิม แต่ถ้าเรียนเวลาคงไม่พอแน่ๆเลยต้องตัดสินใจเรียนไป เฮ้ออออ!!คิดแล้วก้อเศร้าไม่ชอบเอาซ่ะเลยรัฐศาสตร์
0
กำลังโหลด
CNJ 1 ธ.ค. 57 19:31 น. 18
เป็นอยู่ทุกข้อเลย ณ จุดๆ นี้ แต่ก็ต้องก้าวต่อไป เพราะยังไม่รู้ว่าที่สุดแล้วชีวิตตัวเองต้องการอะไร บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราในตอนนี้ แต่อนาคตที่รออยู่เราไม่รู้หรอกว่าเป็นยังไง ทำปัจจุบันให้ดี เราต้องได้ประโยชน์จากมันอยู่แล้ว อนาคตค่อยว่ากัน ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตเถอะ (ปัจจุบันจะเอาตัวไม่รอดละ) 555555555 ร้องไห้ร้องไห้ร้องไห้
0
กำลังโหลด
พิกุลทองโรยจากปากมารดา 1 ธ.ค. 57 19:37 น. 19
นี่สำหรับใครที่ยังไม่รู้ทางว่าชอบอะไรเราแนะนำว่าให้ระลึกชาติค่ะ ระลึกชาติที่ว่าไม่ได้หมายความว่าไปนั่งสมาธิงี้นะแต่ใครจะทำก็ได้นะมันได้ผลเหมือนกัน การระลึกที่ว่านี้เราหมายถึงให้นึกถึงตอนตัวเองยังเป็นเด็กเอาเลย ตอนเป็นเด็กคุณชอบทำอะไรหรอ แต่ถ้ายังไม่รู้ทางเราแนะนำว่าให้ถามแบบทดสอบความถนัดทางวิชาชีพเอาก็ได้ของนักจิตวิทยาชื่อดังมีตั้งเยอะแยะ เลือกให้ได้ก่อนจะสายไปนะ ของเราน่ะเราถนัดออกแบบตั้งแต่เล็กๆแล้ว รู้ตัวเองว่ามีพรสวรรค์ด้านนี้ รักด้านนี้มันเป็นอะไรที่เราชอบทำเวลาเราเผลอๆ เราชอบออกแบบบ้านนะ ถึงบางทีจะมีออกแบบอย่างอื่นด้วยเช่นเสื้อผ้าอะไรงี้ แต่พอลองเอาหนังสือเรื่องนี้มาอ่านถึงได้รู้ว่าเราไม่รัก เคยคิดจะไปเรียนคอมด้วยซ้ำเพราะเข้าใจว่าเราชอบคอมที่ไหนได้ เราก็แค่ชอบออกแบบบ้านในคอมพิวเตอร์ เลยพยายามฝึกใช่โปรแกรมต่างๆในคอมให้คล่อง แต่พอต้องเลือกสายต่อ ม.ปลาย แม่เราอยากให้เราเรียนสายอาชีพอาหารเพราะเราทำอาหารเก่งด้วย แต่เราไม่รักอ่ะ พอจบ ปวช.3 ถึงได้ตัดสินใจเลือกสายสถาปัตย์ เราเลือกได้ 5555555 ตอนแรกพ่อคัดค้านแต่พอเราเอาเกรดทุกเทอมของเราตั้งแต่เรียนสายอาชีพให้พ่อดูพ่อถึงได้ยอม เพราะเราทำเกรดได้เกรดเกือบ 4.00 ทุกเทอมอ่ะสอบได้ที่ 1 ทุกเทอมด้วย เราขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะอยากซิ่วก็ซิ่วเลย ถ้ามั่นใจว่าเก่งจริงอย่าซิ่วบ่อยศึกษาให้มากหาหนังสือมาอ่านเยอะๆ เพราะสิ่งที่คุณคิดว่าใช่อาจจะไม่ใช่ก็ได้ อย่าคิดว่าใช่ก็ไปเลยแต่ให้ลองศึกษาเรื่องนั้นดูก่อน
0
กำลังโหลด
เอาจิงๆนะ 1 ธ.ค. 57 20:35 น. 20
เรียนมหาลัยมันจะเอาให้มีความสุขขนาดนั้นมันก็เปนไปไม่ได้ปะ คณะอะไรมันก้เรียนหนักทั้งนั้น ละนี่ถ้ามัวแต่เห๊ยอันนี้ก็ไม่ใช่ อันโน้นก้ไม่ได้ มันก็ไม่ไหวปะมะไหร่จะเรียนจบ? จริงๆไม่ควรตั้งกระทู้แบบนี้อ่ะ มันเหมือนทำให้คนหมดความอดทนและพยายามมีความคิดจะไปซิ่วมากกว่าอะพูดจิงๆ ทุกวันนี้เรียนหมออยุปีสามแล้ว บอกเลยไม่ได้ชอบขนาดนั้นแต่เรียนได้ ถ้าจะให้เรียนที่ชอบจิงๆนะจบมาไม่มีไรกินพอดี เลือกแต่คณะที่มีความสุขตอนเรียน แล้วอนาคตหละคิดมั้ยว่าจะมีงานทำป่าว?
1
Pumpkinn Member 2 ธ.ค. 57 02:02 น. 20-1
ก็อาจจะใช่นะครับที่เรียนที่ใช่แล้วมันอาจจะทำมาหากินไรไม่ได้ แต่อยากให้มองมุมคนที่เรียนไม่ได้เลยจริงๆ "ทำไมเราจะต้องมาต่อสู้ในสิ่งที่เราไม่รู้จะสู้ไปเพื่ออะไร" อารมณ์มันประมานนี้อะ และผมเชื่อว่าถ้าทำในสิ่งที่ชอบละมันต้องออกมาดี มันต้องมีทางไปของมัน แน่ๆ เยี่ยม
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด