สวัสดีน้องๆ ชาวเด็กดีทุกคนค่ะ ถ้าเราอยากไปเมืองนอก สิ่งสำคัญที่ต้องมีรองจากพาสปอร์ตคือ “วีซ่า” ใช่ไหมคะ แต่รู้หรือเปล่าคะว่าวีซ่าของประเทศอเมริกามีเป็นสิบๆ ประเภท ถ้าไม่มีใครขอให้เราแล้วเราต้องขอเอง เราจะต้องขอวีซ่าประเภทไหน วันนี้ “พี่น้อง” จะมาพูดถึงวีซ่า 3 ประเภทที่คนเรียนต่ออาจได้ขอค่ะ
วีซ่าสำหรับเข้าประเทศอเมริกานั้นมีหลายประเภทมาก โดยเรียกเป็นรหัสตั้งแต่ A, B, C ลากยาวไปถึง TD และยังมีตัวเลขกำกับแยกย่อยลงไปอีก แต่วีซ่าที่น้องๆ ชาวเรียนต่อนอกควรรู้จักมีอยู่ 3 กลุ่มค่ะ คือ F, M, J และมีตัวเลขห้อยท้าย 1, 2,3 โดยตัวเลขจะมีความหมายดังนี้
1 – ผู้ที่ไปเรียนต่อเป็นคนขอ
2 – สำหรับผู้ติดตามของประเภท 1 (คู่สมรส, เด็กอายุต่ำกว่า 21 ปีที่ยังไม่แต่งงาน)
3 – สำหรับผู้ที่อาศัยในเม็กซิโกหรือแคนาดาแล้วต้องข้ามแดนมาเรียนในอเมริกา
ที่เราต้องขอก็คือตัวที่ลงท้ายด้วย 1 มารู้จักแต่ละประเภทกันเลย
1 – ผู้ที่ไปเรียนต่อเป็นคนขอ
2 – สำหรับผู้ติดตามของประเภท 1 (คู่สมรส, เด็กอายุต่ำกว่า 21 ปีที่ยังไม่แต่งงาน)
3 – สำหรับผู้ที่อาศัยในเม็กซิโกหรือแคนาดาแล้วต้องข้ามแดนมาเรียนในอเมริกา
ที่เราต้องขอก็คือตัวที่ลงท้ายด้วย 1 มารู้จักแต่ละประเภทกันเลย
วีซ่า F-1
ใครขอ: คนที่จะไปเรียนต่อที่อเมริกาไม่ว่าจะสาขาใดก็ตาม หรือเรียนตามสถาบันสอนภาษาอังกฤษ เรียนเอาวุฒิจริงจัง ไม่ได้เป็นการแลกเปลี่ยนหรือขอทุนรัฐบาลไปเรียนชั่วคราว
ข้อดี: สามารถอยู่ในอเมริกาได้นานจนจบหลักสูตรที่ยื่นไว้ (แม้วีซ่าจะหมดอายุแล้วก็ยังอยู่ต่อได้)
ข้อเสีย: ผู้มีวีซ่า F-1 ทำงานในสถาบันที่เรียนอยู่ได้ไม่เกิน 20 ชม.ต่อสัปดาห์ ครบ 1 ปีจึงจะขออนุมัติทำงานนอกสถาบันได้
ข้อดี: สามารถอยู่ในอเมริกาได้นานจนจบหลักสูตรที่ยื่นไว้ (แม้วีซ่าจะหมดอายุแล้วก็ยังอยู่ต่อได้)
ข้อเสีย: ผู้มีวีซ่า F-1 ทำงานในสถาบันที่เรียนอยู่ได้ไม่เกิน 20 ชม.ต่อสัปดาห์ ครบ 1 ปีจึงจะขออนุมัติทำงานนอกสถาบันได้
วีซ่า M-1
ใครขอ: คนที่จะไปเรียนต่อในด้านอื่นที่ไม่ใช่หลักสูตรปริญญาปกติ เช่น สายอาชีพ สถาบันฝึกอาชีพโดยเฉพาะ วิทยาลัยชุมชน โดยต้องเรียนเต็มหลักสูตร (ไม่ต่ำกว่า 18 ชม. ต่อสัปดาห์)
ข้อดี: เหมือน F-1 คืออยู่ได้จนจบหลักสูตรแต่ต้องไม่เกิน 1 ปี
ข้อเสีย: ห้ามทำงานเลย และห้ามเลื่อนขั้นเปลี่ยนเป็นวีซ่า F-1
ข้อดี: เหมือน F-1 คืออยู่ได้จนจบหลักสูตรแต่ต้องไม่เกิน 1 ปี
ข้อเสีย: ห้ามทำงานเลย และห้ามเลื่อนขั้นเปลี่ยนเป็นวีซ่า F-1
วีซ่า J-1
ใครขอ: คนที่จะมาเรียนต่อแบบไม่ได้เอาวุฒิ แต่มาแลกเปลี่ยน โดยได้รับทุนจากรัฐบาลหรือภาคเอกชน มาฝึกงาน ดูงานระยะสั้นๆ เป็นครูชั่วคราวหรือ Au Pairs (โอแพร์) Work and Travel หรือจัดกิจกรรมค่ายแลกเปลี่ยนไม่เกิน 4 เดือน
ข้อดี: ของ่าย ใช้เวลาไม่นานเท่าแบบ H (เป็นวีซ่าสำหรับขอเข้ามาเพื่อทำงานโดยเฉพาะ) ทำงานได้แต่มีข้อจำกัดนิดหน่อย และสามารถอยู่จนจบโปรแกรมตามที่ขอไว้ได้แม้ว่าวีซ่าจะหมดอายุแล้ว
ข้อเสีย: ผู้ขอวีซ่า J-1 จะอยู่ภายใต้เงื่อนไข “ต้องกลับภูมิลำเนาเป็นเวลา 2 ปี (Two Year Home Residence Requirement HRR)”
ข้อดี: ของ่าย ใช้เวลาไม่นานเท่าแบบ H (เป็นวีซ่าสำหรับขอเข้ามาเพื่อทำงานโดยเฉพาะ) ทำงานได้แต่มีข้อจำกัดนิดหน่อย และสามารถอยู่จนจบโปรแกรมตามที่ขอไว้ได้แม้ว่าวีซ่าจะหมดอายุแล้ว
ข้อเสีย: ผู้ขอวีซ่า J-1 จะอยู่ภายใต้เงื่อนไข “ต้องกลับภูมิลำเนาเป็นเวลา 2 ปี (Two Year Home Residence Requirement HRR)”
น้องๆ ที่ได้ทุนมาแลกเปลี่ยนที่อเมริกา มา Work and Travel หรือทำกิจกรรมกับกลุ่มต่างๆ ส่วนใหญ่จะขอวีซ่าประเภท J-1 แต่มีข้อตกลงหนึ่งที่เราต้องทำตามนั่นคือ ผู้ขอวีซ่านี้หลังจบกิจกรรมแล้วต้องพำนักอยู่ในประเภทเดิมของตนเองเป็นเวลา 2 ปีก่อนจะมีโอกาสได้ขอวีซ่ากลับเข้ามาในอเมริกาใหม่ โดยผู้ที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขนี้คือคนที่
- ได้รับทุนแลกเปลี่ยนเต็มจำนานหรือบางส่วนจากรัฐบาลอเมริกา รัฐบาลของตัวเอง หรือองค์กรภาครัฐอื่นๆ เช่น ทุนฟูลไบรท์
- มาเรียนต่อในสาขาที่ถูกจัดว่าเป็นสาขาที่มีความต้องการในบ้านเกิดตัวเอง (บางประเทศจะมีรายชื่อสาขาให้ดู)
- มาเรียนต่อหรือฝึกงานด้านการแพทย์ที่ได้รับการสนับสนุนจาก ECFMG (Educational Commission for Foreign Medical Graduates)
ที่ต้องกำหนดแบบนี้เพราะอเมริกาเขาอยากให้นักเรียนที่มาเรียนต่อได้เอาความรู้กลับไปพัฒนาบ้านเกิดตัวเอง มากกว่าจะมาปักหลักที่อเมริกา ถ้าทุกคนที่มาเรียนต่อที่อเมริกาปักหลักอยู่ที่นี่หมด เดี๋ยวรัฐบาลประเทศอื่นจะหมั่นไส้ พาลไม่ส่งนักเรียนมาแลกเปลี่ยนอีก
รู้ครบ 3 แบบแล้ว ลองมาดูตัวอย่างที่เห็นได้บ่อยๆ กันนะคะ
เรื่องนี้รู้ไว้เผื่อวันหนึ่งเราต้องขอวีซ่าเอง และจะได้เข้าใจข้อตกลงหรือเงื่อนไขของคนที่ถือวีซ่าแต่ละประเภทด้วยนะคะ ว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ส่วนใครจำไม่ได้ไม่แน่ใจไม่ต้องห่วงค่ะ ที่สถานทูตจะมีเจ้าหน้าที่ไว้คอยให้คำแนะนำเราอยู่แล้ว ถามเขาได้เลยนะ ว่าถ้าเราจะไปเรียนต่อแบบนี้ควรขอวีซ่าแบบไหนดี ^__^
ขอบคุณข้อมูลจาก
oeadc.org
immigration-professor.com
bangkok.usembassy.gov
6 ความคิดเห็น
มีแยกเป็นประเภทด้วยเหรอเนี่ย? ไม่รู้เลย
จะไปW&A ปีหน้าแล้วววววว
แล้วถ้าขอทุนโดยตรงจากสถาบัน/มหาวิทยาลัยของอเมริกาล่ะคะ จะได้แบบ J-1 หรือ F-1
ขอยากมั้ยคะ