9 สถานที่ตามรอยพระบาทในหลวงรัชกาลที่ 9 ในต่างแดน

     สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com วันนี้ พี่พิซซ่า รวบรวมสถานที่สำหรับตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 9 ในต่างแดนมาฝากค่ะ ใครวางแผนจะไปเที่ยวต่างประเทศแต่ยังไม่รู้จะไปไหนบ้างดี ลองมาเดินทางตามรอยพระองค์ก็น่าสนใจดีนะคะ


     อย่างที่ทุกคนทราบกันดีค่ะว่าในช่วงที่ยังทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นเวลาหลายปี แม้จะมีบางช่วงที่เสด็จนิวัตประเทศไทยบ้างแต่ก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะเสด็จกลับไปศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ค่ะ

     ส่วนหลังทรงขึ้นครองราชย์แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ กว่า 30 ครั้ง รวม 29 ประเทศ เพื่อเป็นการเจริญพระราชไมตรี ฉะนั้นถ้าจะให้แนะนำสถานที่ตามรอยจากทุกการเสด็จพระราชดำเนินด้วยแล้ว ก็คงจะไม่ไหวค่ะ พี่ก็เลยเลือกมาเฉพาะสถานที่ที่โดดเด่น ยังคงเป็นสถานที่เดิมอยู่ในปัจจุบันไม่ได้ทุบทิ้งหรือเปลี่ยนเป็นอาคารอย่างอื่น และเป็นสถานที่ที่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตแต่ก็สามารถชื่นชมได้ค่ะ


Mount Auburn Hospital



Photo Credit: www.mountauburnhospital.org

     พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชสมภพ ณ โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น (ขณะนั้นชื่อโรงพยาบาลเคมบริดจ์) ตั้งอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา โรงพยาบาลแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นหลังจบช่วงสงครามกลางเมืองได้ไม่นาน โดยตั้งใจจะให้เป็นโรงพยาบาลที่จะมาพัฒนาสุขภาพของชาวเมืองเคมบริดจ์และเมืองข้างเคียงโดยเฉพาะ เพราะตอนนั้นในเมืองนี้ไม่มีโรงพยาบาลเลยค่ะ ปัจจุบันโรงพยาบาลนี้เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลสำหรับแพทย์ฝึกหัดจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด


Photo Credit: ktbf.blogspot.com

     ด้วยความที่สถานที่นี้เป็นโรงพยาบาล หากน้องๆ ต้องการเข้าไปถ่ายภาพภายในโรงพยาบาลก็อย่ารบกวนการทำงานของแพทย์รวมถึงรบกวนผู้มาใช้บริการด้วยนะคะ (มีพระบรมฉายาลักษณ์ประดิษฐานอยู่บนชั้น 5) หลังเก็บภาพความประทับใจกับโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว นั่งรถเมล์สั้นๆ หรือเดินประมาณ 20 นาทีมาทาง Harvard Kennedy School ก็จะเจอกับจัตุรัสภูมิพลอดุลยเดชหรือ King Bhumibol Adulyadej Square เป็นจัตุรัสที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงในหลวงโดยเฉพาะค่ะ


Ecole Nouvelle de la Suisse Romande



     โรงเรียนเอกอล นูเวล เดอ ลา สวิส โรมองด์ เป็นโรงเรียนมัธยมที่ในหลวงรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 เคยทรงศึกษาสมัยยังทรงพระเยาว์ค่ะ โรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เปิดสอนทั้งแบบไปเช้าเย็นกลับและแบบอยู่หอพักค่ะ นอกจากนี้ยังเปิดสอน 2 หลักสูตรด้วยคือหลักสูตรมัธยมแบบสวิส และหลักสูตรมัธยมนานาชาติแบบ IB

     ที่น่ารักมากๆ เลยก็คือในโรงเรียนมีการเก็บสิ่งของที่ระลึกที่เกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ไว้ด้วยค่ะ ใครสนใจอยากเห็นภาพภายในโรงเรียนเต็มๆ สามารถตามไปอ่านต่อได้ที่ www.dek-d.com/studyabroad/47154/ เลยนะคะ เพราะถ้าไปเที่ยวเองจริงๆ จะไม่สามารถบุ่มบ่ามเข้าไปภายในโรงเรียนได้ค่ะ จะสามารถชมได้แค่จากข้างนอกเท่านั้น


University of Lausanne


มหาวิทยาลัยโลซาน มหาวิทยาลัยชื่อดังในสวิตเซอร์แลนด์ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเคยศึกษา
Photo Credit: www.unil.ch

     มหาวิทยาลัยโลซานเป็นมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งมาเกือบ 500 ปีแล้วค่ะ และถือเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากของโลกด้วย ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเคยศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาวิทยาศาสตร์ค่ะ แต่หลังทรงขึ้นครองราชย์แล้วก็กลับไปศึกษาต่อโดยเปลี่ยนเป็นสาขาด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์แทนค่ะ

     มหาวิทยาลัยโลซานสอนด้วยภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก ใครสนใจอยากเรียนต่อที่นี่ก็ต้องฟิตภาษาฝรั่งเศสมาให้ดีเลยนะคะ วิทยาเขตบรรยากาศดีมากๆ มีน้องแกะเดินเล่นในทุ่งหญ้าของมหาวิทยาลัยมากมาย แต่อาคารเรียนและสื่อต่างๆ ทันสมัยมากๆ เลยค่ะ ใครสนใจสามารถทำความรู้จักกับมหาวิทยาลัยแห่งนี้ต่อได้ที่ www.dek-d.com/studyabroad/43245/ เลยนะคะ


Arosa Kulm Hotel & Alpin Spa



Photo Credit: www.arosakulm.ch/en

     โรงแรมอโรซาคุล์มตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์ ในเมืองอโรซา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โรงแรมแห่งนี้เป็นจุดหมายที่นิยมในเรื่องกีฬาฤดูหนาวค่ะ เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ ราชสกุลมหิดลเสด็จพระราชดำเนินมาประทับมากกว่า 10 ครั้ง ทั้ง 2 พระองค์ทรงสกีและกีฬาฤดูหนาวอีกหลายประเภทที่นี่ด้วยค่ะ

     ภายในโรงแรมประดับพระบรมฉายาลักษณ์ของราชสกุลมหิดลมากมาย โดยเฉพาะที่ห้อง 427 ซึ่งเป็นห้องที่ราชสกุลมหิดลเลือกประทับเป็นประจำก็ยังถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีพร้อมมีพระบรมฉายาลักษณ์ของราชสกุลมหิดลประดับในห้องเป็นจำนวนมาก และที่น่ารักมากๆ เลยก็คือทางโรงแรมอนุญาตให้ชาวไทยเข้าชมห้องพักได้โดยไม่จำเป็นต้องเปิดห้องพักกับทางโรงแรมค่ะ


สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส


     เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงศึกษาอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ พระองค์เสด็จเยือนกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส บ่อยครั้งค่ะ และพระองค์ก็ทรงพำนักที่สถานเอกอัครราชทูตไทยอยู่บ่อยครั้งด้วย ทำให้พระองค์ได้ใกล้ชิดและเรียนรู้ซึ่งกันและกันกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ซึ่งเป็นธิดาของเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส หลายเหตุการณ์ประทับใจก็เกิดขึ้นที่นี่เช่นกันค่ะ เช่นเหตุการณ์ตอนที่พระองค์ทรงถ่ายภาพหมู่คณะบุคคลที่เข้าเฝ้าฯ แล้วทรงพบว่าหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ยืนอยู่ด้านหลังและเห็นหน้าไม่ชัด พระองค์จึงรับสั่งว่า "ยู้ฮู! คนข้างหลังโผล่หน้ามาหน่อยสิ"

     ภาพนี้ถือเป็นภาพฝีพระหัตถ์ภาพแรกที่ทรงถ่ายหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ และกลายเป็นภาพสำคัญครั้งพระองค์ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนต้องเข้าโรงพยาบาล เมื่อทรงฟื้นคืนสติก็ทรงหยิบรูปนั้นที่ตัดเฉพาะหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ออกมาถวายสมเด็จพระราชชนนีพร้อมรับสั่งว่า "แม่... เรียกสิริมาที" โดยที่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ไม่ทราบมาก่อนเลยว่าทรงเก็บภาพของตนเองไว้


Victoria station


     สถานีรถไฟวิคตอเรียในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก็เป็นอีกสถานที่น่าสนใจในการตามรอยค่ะ เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศอังกฤษ ระหว่างวันที่ 19 - 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2503 หลังพระราชดำเนินถึงสนามบินแกตวิกแล้วก็เสด็จพระราชดำเนินโดยรถไฟมายังสถานีรถไฟวิคตอเรีย ที่ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พร้อมพระราชสวามีทรงรอให้การต้อนรับอยู่ ถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญจริงๆ ค่ะ ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวอังกฤษมารอรับอย่างเนืองแน่น

     ปัจจุบันสถานีวิคตอเรียเป็นทั้งสถานีรถไฟและรถไฟใต้ดิน เป็นสถานีขนาดใหญ่และเป็นสถานีชุมทางด้วยค่ะ มีผู้โดยสารกว่า 170 ล้านคนในแต่ละปี แต่ก็พยายามพัฒนาภายในสถานีอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับจำนวนผู้ใช้บริการที่ดูจะเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลาด้วยค่ะ


Akasaka Palace


     พระตำหนักอะกะซะกะ เป็นทำเนียบรับรองการมาเยือนอย่างเป็นทางการของอาคันตุกะระดับสูงของรัฐบาลญี่ปุ่นค่ะ ตั้งอยู่ในแขวงมินาโตะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อครั้งที่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 และพระราชินีเสด็จเยือนญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 27 พฤษภาคม - 5 มิถุนายน พ.ศ. 2506 ก็ทรงพำนักที่นี่เช่นกันค่ะ ปัจจุบันพระตำหนักนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติของญี่ปุ่น และเปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าชมได้แล้วเป็นช่วงๆ ไป ผู้ที่สนใจเข้าชมสามารถดูวันเวลาที่เปิดให้เข้าชม และวันเวลาที่ต้องยื่นใบสมัครขอเข้าชมได้ที่ www8.cao.go.jp/geihinkan/koukai_e.html (ต้องยื่นใบสมัครให้ตรงกำหนดเวลา ถ้าได้รับเลือกให้เข้าชมจะได้รับจดหมายตอบกลับ) แต่สำหรับสวนรอบๆ พระตำหนักสามารถเข้าชมได้ฟรีโดยไม่ต้องยื่นใบสมัครค่ะ

     ที่เลือกพระตำหนักนี้มาแนะนำเพราะค่อนข้างจะเข้าชมได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ค่ะ ส่วนสถานที่อื่นๆ ที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินในครั้งนี้ด้วยนั้นมักเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ตอนนี้เรารู้จักกันดีอยู่แล้วอย่างสวนนาราที่มีกวาง วัดโทไดจิ หรือวัดนิทไทจิค่ะ


Tomb of the Unknown Soldier



     สุสานของทหารนิรนามมีหลายแห่งทั่วโลกเลยค่ะ ที่มีเยอะหน่อยก็สหราชอาณาจักรกับฝรั่งเศส ส่วนที่ดังๆ ก็ต้องเป็นที่สหรัฐอเมริกาค่ะ แต่ที่พี่แนะนำคราวนี้คือสุสานทหารนิรนามในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม สุสานนี้ตั้งอยู่ที่ฐานของอนุสาวรีย์คองเกรส (Congress Column) ที่เป็นที่ระลึกถึงการกำเนิดรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภาของเบลเยียมค่ะ ส่วนที่ต้องแนะนำก็เพราะว่าเมื่อครั้งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จเยือนประเทศเบลเยียมในระหว่างวันที่ 5 - 7 ตุลาคม พ.ศ. 2503 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปยังสุสานนี้ด้วยค่ะ

     ที่จริงแล้วทริปที่เสด็จเยือนเบลเยียมถือว่ามีแต่เรื่องน่าประทับใจตลอดทั้งทริปค่ะ เพราะสมเด็จพระราชาธิบดีโบดวง ผู้เป็นพระมหากษัตริย์ของเบลเยียมในเวลานั้นเป็นพระสหายกับในหลวงตั้งแต่สมัยที่ยังทรงศึกษาอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์แล้วค่ะ เรียกได้ว่าตั้งแต่เครื่องบินพระที่นั่งเริ่มเข้าพรมแดนของเบลเยียม สมเด็จพระราชาธิบดีโบดวงก็ทรงเตรียมเครื่องบินของกองทัพ 6 ลำไว้บินขนาบข้างเพื่อถวายความต้อนรับตั้งแต่วินาทีนั้นเลย เมื่อในหลวงและพระราชินีเสด็จฯ ถึงสนามบิน สมเด็จพระราชาธิบดีโบดวงก็ทรงรอรับด้วยพระองค์เองอยู่แล้ว ประชาชนชาวเบลเยียมเองก็ชื่นชมทั้งสองพระองค์มากๆ หนังสือพิมพ์ก็ลงภาพข่าวบนหน้าหนึ่งทุกวัน ส่วนพิธีต้อนรับต่างๆ ก็ถือว่ายิ่งใหญ่สุดๆ ค่ะ


Singen (Hohentwiel) station


     สถานีรถไฟ Singen ตั้งอยู่ที่เมือง Singen ซึ่งเป็นเมืองทางใต้ของเยอรมนีที่อยู่ติดกับชายแดนสวิตเซอร์แลนด์ค่ะ เมื่อครั้งเสด็จเยือนประเทศเยอรมนีระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม พ.ศ. 2503 และกำลังจะเสด็จกลับสวิตเซอร์แลนด์โดยรถไฟ เมื่อถึงสถานีสุดท้ายของชายแดนเยอรมนีซึ่งก็คือสถานี Singen นั้น เจ้าหน้าที่ชาวเยอรมันทั้งหมดทูลล่าพระองค์ด้วยน้ำตา ทั้งยังพยายามก้มลงกราบเพราะเห็นคนไทยทำก่อนที่จำต้องลงจากรถไฟ ที่สถานีเองก็มีประชาชนทั้งชาวไทยและเยอรมันมารอส่งเสด็จจนแน่นขนัดล้นสถานี ชาวเยอรมันที่ลงไปยืนส่งเสด็จข้างล่างถึงกับร้องเพลง Auf Wiedersehen ซึ่งเป็นเพลงที่ใช้ในการลาของชาวเยอรมัน ร้องกันจนเสียงกระหึ่มไปหมด รถไฟจำเป็นต้องจอดสนิทนานหลายนาทีเลยค่ะ

     แม้จะเป็นสถานีเล็กๆ และทั้งสองพระองค์เสด็จมาแล้วหลายประเทศ แต่ก็ต้องบอกเลยว่าครั้งนี้ถือเป็นการอำลาที่ซึ้งมากที่สุดเลยค่ะ ชาวเยอรมันเองดูจะรักและชื่นชมทั้งสองพระองค์มากเช่นกัน เพราะดูจะไม่อยากให้ทั้งสองพระองค์เสด็จกลับเลยค่ะ


     มีใครไปตามรอยที่ไหนมาแล้วบ้างมั้ย มาแชร์ภาพและเรื่องราวดีๆ รวมถึงการเดินทางกันค่ะ เพื่อนๆ จะได้ตามไปบ้างได้ถูก จริงๆ มีสถานที่อีกมากมายยยยยยยยยเลยนะคะที่พระองค์เคยเสด็จพระราชดำเนินไป ใครสนใจสถานที่อื่นๆ อีก พี่แนะนำให้ค้นข้อมูลไปทีละประเทศที่เคยเสด็จเยือนเลยค่ะ แล้วจะตกใจในความเยอะของข้อมูลเลยแหละ


ที่มาและภาพประกอบ
www.cambridgeusa.org
www.mountauburnhospital.org
ktbf.blogspot.com, www.thaiembassy.fr
chillchilljapan.com, www8.cao.go.jp
www.krobkruakao.com, www.arosakulm.ch/en
www.thairath.co.th, 3king.lib.kmutt.ac.th
www.chaoprayanews.com, www.britishpathe.com
หนังสือ 70 ปี รักแท้ของในหลวงและราชินี โดย สุวิสุทธิ์
หนังสือตามเสด็จฯ ต่างประเทศ โดย ท่านผู้หญิงพึงจิตต์ ศุภมิตร
Dek-D Team ทีมคอลัมนิสต์ Dek-D

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น