เงินเป็นปัจจัยที่สำคัญมากๆ ในการดำรงชีวิต ยิ่งมีเงินก็ยิ่งมีโอกาส และถ้ายิ่งลงทุนมากก็มีสิทธิได้รับผลตอบแทนมาก จึงไม่น่าแปลกใจเลยค่ะที่ช่วงนี้คนหันมาสนใจ ‘สายอาชีพทางการเงิน’ กันมากขึ้น แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จ เพราะการแข่งขันในตลาดแรงงานนี้สูงมากๆ เลยทีเดียว
ดังนั้นหลายคนที่เรียนจบหรือทำงานสายนี้ จึงเลือกสอบ “Chartered Financial Analyst" หรือ "CFA" ซึ่งเป็นข้อสอบทางการเงินที่ยากและได้รับการยอมรับโดยทั่วโลก ถ้าสอบผ่านแล้วการันตีเลยว่าโอกาสจะเข้ามารัวๆ เพราะได้ทั้งงาน เลื่อนขั้น แถมเงินเดือนก็อัปขึ้นหลายเท่าตัวอีกด้วย
เริ่มดูน่าสนใจแล้วใช่ไหมล่ะคะ? แต่กว่าจะได้มาก็ไม่ง่ายเลยล่ะ ถ้าอย่างนั้นเราไปรู้จักกับ CFA กันเลยดีกว่า!
……………
CFA คืออะไร?
สำหรับใครที่อยู่ในวงการนี้อาจจะคุ้นหูคุ้นตากับ ‘Chartered Financial Analyst’ หรือ CFA ซึ่งเป็นการสอบวิเคราะห์ด้านการเงินโดยเฉพาะ จัดโดยองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอย่าง CFA Institute ของสหรัฐอเมริกา ในการสอบ CFA จะแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ Level I, Level II และ Level III ค่ะ
เนื้อหาที่ครอบคลุมในการสอบ
- การจัดการและวิเคราะห์พอร์ตการลงทุน
- สินทรัพย์
- เครื่องมือบริหาร
- จริยธรรมวิชาชีพ
มองเผินๆ เหมือนเป็นการสอบวัดความรู้ทั่วไปของคนที่เรียนจบหรือทำงานสายการเงิน แต่ต้องบอกว่าจะเข้า CFA นี้ยากสุดๆ เลยค่ะ ขนาด Study International ยังจัดให้ว่าเป็นหนึ่งในการสอบสุดโหดของโลกใบนี้ อย่างในปี 2021 ที่ผ่านมา ก็มีอัตราผู้ที่สอบผ่านในระดับ 1 นั้นมีอยู่แค่ 25% เท่านั้น แถมยังมีคำแนะนำจากสถาบัน CFA ว่าจะสอบให้ผ่านระดับนึงควรอ่านถึง 300 ชั่วโมง และถ้าจะสอบให้ครบ 3 ระดับควรใช้เวลาราวๆ 4 ปี! (อันนี้เป็นรายงานจากทางสถาบันเองเลยนะคะ) เรียกว่านานพอๆ กับเรียนปริญญาตรี แถมใช้เวลามากกว่าเรียน MBA ซะอีก!
หลังจากที่เราสอบ CFA ผ่านจนถึง Level III และมีคุณสมบัติอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น ประสบการณ์ทำงาน การเข้าร่วมสมาคม CFA ฯลฯ จากนั้นเราจึงมีสิทธิ์ยื่นเรื่องเพื่อขอเป็น “CFA Charterholder” ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้ประวัติของเราได้เป็นอย่างดี
คุณสมบัติผู้สมัครสอบ
อย่างน้อยที่สุดเลยคือต้องมั่นใจว่าเราผ่านคุณสมบัติเบื้องต้นของการสอบ Level I ค่ะ เพราะหากผ่าน Level I แล้วก็จะสามารถสอบ Level II และ III ได้ตามลำดับขั้น
คุณสมบัติผู้สมัครสอบ CFA: Level I
- มีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
- มีวุฒิปริญญาตรี
- กำลังศึกษาปริญญาตรีปีสุดท้าย (อย่างน้อย 11 เดือนก่อนจบการศึกษา)
- ประสบการณ์การทำงานรวมมากกว่า 4,000 ชั่วโมง
- มีหนังสือเดินทาง
- อาศัยอยู่ในประเทศที่ CFA ทำงานด้วยได้ (ประเทศไทยสอบได้ค่ะ)
ความแตกต่างของ CFA แต่ละระดับ
Level I | Level II | Level III | |
คุณสมบัติผู้สอบ | ตามด้านบนของตาราง | ผ่าน CFA Level I | ผ่าน CFA Level II |
ลักษณะข้อสอบ | เลือกตอบ | บทความสั้นและเลือกตอบ | บทความและเขียนตอบ, บทความสั้นและเลือกตอบ |
ระยะเวลาประกาศผล | ภายใน 60 วันหลังสอบเสร็จ | ภายใน 60 วันหลังสอบเสร็จ | ภายใน 90 วันหลังสอบเสร็จ |
อัตราการสอบผ่าน ในช่วง 10 ที่ผ่านมา | 42% | 45% | 54% |
สอบ CFA แล้วคุ้มจริงไหม?
ยังคงเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ค่ะว่าการสอบ CFA คุ้มค่าจริงไหม เพราะแม้จะการันตีความรู้ด้านการเงิน แต่หลายคนมองว่าไม่คุ้มหากต้องทุ่มเวลาเตรียมตัวนานขนาดนั้น แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนค่ะ ว่าแล้วเราลองมาดูตัวอย่างความคิดเห็นในมุมมองของผู้เข้าสอบ CFA กันดีกว่าค่ะ
ข้อดี
- ความรู้ - การเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อเผชิญข้อสอบ CFA จะทำให้ผู้สอบเชี่ยวชาญและแข็งแกร่งขึ้นไปในตัว ความเยอะและยากของ CFA ทำให้เราต้องเตรียมตัวอย่างหนักก่อนสอบ กระบวนการนี้จะทำให้เราได้ความรู้และแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
- โอกาส - CFA เป็นวุฒิที่ใช้ได้ทั่วโลก และการันตีถึงความเจ๋งของผู้สอบ ดังนั้นจึงช่วยเรื่องโอกาสพิจารณางาน เงินเดือนเริ่มต้น และความก้าวหน้าในอาชีพสายการเงิน
- โอกาสเป็นผู้จัดการกองทุน - ในเมืองไทยมีกำหนดคุณสมบัติเบื้องต้นว่า “ผู้จัดการกองทุน” ต้องสอบ CFA ระดับ 3 ผ่าน (แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ผ่านจะได้เป็น)
- (อาจ)ประหยัดกว่าการเรียน MBA - การจะเรียนจบหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต หรือ Master of Bussiness Administration (MBA) เพื่อนำวุฒิไปสมัครงานสายธุรกิจหรือการเงิน อาจมีค่าใช้จ่ายหลายแสนเลยค่ะ แต่ถ้าเตรียมตัวแน่นๆ แล้วสอบผ่าน CFA ได้ในครั้งเดียว อาจจ่ายเพียงหลักหมื่นถึงแสนต้นๆ อย่างไรก็ตามราคาของ MBA รวมค่าเรียนด้วย แตกต่างจาก CFA ที่เป็นแค่การสอบอย่างเดียว
- คอนเนกชัน - หลังจากสอบผ่าน CFA แล้วจะสามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคม CFA ต่างๆ ได้ ซึ่งจะช่วยเสริมให้คอนเนกชันแข็งแกร่งขึ้น!
- นามสกุล CFA ต่อท้าย - หลังจากเป็น CFA Charterholder เราสามารถนำคำว่า CFA มาต่อท้ายชื่อได้
ข้อเสีย
- ใช้เวลาเตรียมตัวสอบนาน - ถึงจะมีข้อดีแค่ไหน แต่เมื่อพิจารณาจากเวลาที่ต้องเสียไปประมาณ 2-5 ปีเพื่อเตรียมตัวสอบแล้ว ก็อาจจะนานเกินไปสำหรับหลายคนได้
- ใช้กับสายอาชีพอื่นนอกจากการเงินไม่ได้ - ถึง CFA จะเป็นวุฒิชั้นนำระดับโลก แต่ก็เป็นวุฒิทางด้านการเงินที่หากไม่ได้ทำงานสายนี้ก็อาจจะไม่รู้จัก ถ้าเป้าหมายของเราไม่ใช่การทำงานได้สายการเงิน วุฒินี้อาจจะไม่ตอบโจทย์ค่ะ
- ไม่การันตีว่าจะได้งาน - แม้ CFA จะเพิ่มโอกาสการได้งาน แต่ไม่ได้หมายความว่านายจ้างจะต้องเลือกเราเสมอเพราะอาจมีปัจจัยอื่นๆ เช่น ผู้เข้าสมัครคนอื่นก็มีวุฒินี้เช่นกัน หรือบางคนถูกใจบริษัทมากกว่า
การเตรียมตัวสอบ
เมื่อชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียแล้วมั่นใจแล้วว่าจะสอบแน่ๆ ขั้นตอนต่อไปก็คือต้องเตรียมตัวค่ะ สถาบันแนะนำให้ใช้เวลาเตรียมตัวสอบราวๆ 300 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามยังมีคนที่ใช้เวลาเตรียมตัวน้อยกว่าด้วย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานและความสามารถในการเรียนรู้ของแต่ละคน
คำแนะนำก่อนสอบ
- ทักษะภาษาอังกฤษต้องแข็งแรง - เพื่อให้เข้าใจคำถามในข้อสอบ และถ่ายทอดความคิดของเราออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรได้
- ใช้เครื่องคิดเลขการเงิน (Finance Calculator) ให้คล่อง - เครื่องมือนี้จะช่วยทุ่นเวลาทำข้อสอบ และนำไปประยุกต์กับการทำงานจริงได้
- อย่าโฟกัสการคำนวณอย่างเดียว - ข้อสอบ CFA โดยเฉพาะในระดับ 1 จะเป็นเชิงแนวคิดหรือทฤษฎีค่อนข้างเยอะ ผู้สอบจึงควรให้ความสำคัญกับแนวคิด (Concept) ควบคู่กับฝึกฝนทักษะคณิตศาสตร์ด้วย
- ศึกษาโครงสร้างและรูปแบบข้อสอบ - ข้อสอบของแต่ละสถาบันจะมีโครงสร้างที่แตกต่างกันค่ะ ถ้าเราเข้าใจโครงสร้างอัตราส่วนของคะแนนในแต่ละเนื้อหา ก็จะวางแผนได้ถูกว่าควรจะเน้นที่จุดไหนมากที่สุด (ศึกษาโครงสร้างของ CFA Level I ที่นี่)
- จับเวลา & ฝึกทำข้อสอบจำลอง (Mock Exam) - อาจเป็นข้อสอบเก่า ข้อสอบจำลองฟรีที่พอจะหาได้ หรือ อาจเป็นข้อสอบที่มากับคอร์สเตรียมสอบ CFA
สอบ CFA แล้วไปทำอาชีพอะไรดี?
มาดูตัวอย่างกันว่าส่วนใหญ่ CFA Charterholder ประกอบอาชีพอะไรบ้าง (จริงๆ แล้วเรื่องอาชีพขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาจแนะนำครอบคลุมไม่ได้ทั้งหมด แต่อาจดูลิสต์นี้ประกอบเป็นไกด์ไลน์ได้ค่ะ)
- ผู้บริหารพอร์ตลงทุน (Portfolio Manager) - ตัดสินใจเกี่ยวกับจังหวะการซื้อขาย-ลงทุน และคิดค้นกลยุทธ์เพื่อช่วยเหลือลูกค้า
- นักวิเคราะห์ข้อมูล (Research Analyst) - แบ่งเป็น 2 สาย คือ นักวิเคราะห์สินเชื่อและนักวิเคราะห์หุ้น หลักๆ จะทำหน้าที่ประเมินมูลค่า รวบรวม และตีความข้อมูลในวงกว้าง เพื่อส่งต่อให้กับผู้บริหารพอร์ตลงทุนลุยต่อ
- ที่ปรึกษาการลงทุน (Investment Consultant) - เน้นให้คำปรึกษาลูกค้าเรื่องการลงทุนและจัดสรรสินทรัพย์ พร้อมกับ keep contact เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว
- นักวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านการเงิน (Financial Risk Analyst) - ลดแนวโน้มความเสี่ยงทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นจากผลกระทบต่างๆ เช่น ภัยธรรมชาติหรือปัญหาเชิงจรรยาบรรณ
………..
ต้องบอกเลยว่าเป็นการสอบที่ยากสมคำร่ำลือจริงๆ ค่ะ แต่เราเชื่อว่าหากทุกคนมีความตั้งใจและเตรียมตัวพร้อมแล้ว ยังไง CFA ก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน ขอให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เลือกนะคะ :)
0 ความคิดเห็น