วัสดีค่ะน้องๆ^^ เพื่อไม่ให้เสียเวลาอ่านหนังสือ ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกันเนอะ วันนี้พี่มิ้นท์จะพาน้องๆ ไปรู้จักตัวตนของข้อสอบ GAT พาร์ทภาษาอังกฤษ จะได้รู้ว่าวิชานี้มีอะไร ข้อสอบเป็นยังไง และควรจะทำคะแนนในส่วนไหนดี แต่สำหรับใครที่รู้แล้วก็อ่านให้เข้าใจย้ำความจำให้หนักๆ ไปเลยก็แล้วกัน^^
            GAT ภาษาอังกฤษ มีทั้งหมด 60 ข้อ คะแนนเต็ม 150 คะแนนนะคะ ซึ่งข้อสอบ GAT จะมี 2 ฉบับ ฉบับแรกจะเป็นพาร์ทเชื่อมโยง แบ่งเวลาออกจากกันชัดเจน พาร์ทละ 1 ชั่วโมงครึ่ง ดังนั้นต้องรีบทำฉบับแรกให้เสร็จค่ะ ไม่เช่นนั้นเค้าจะเก็บข้อสอบทันที และไปลุยภาษาอังกฤษต่อในอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่งสุดท้าย ข้อสอบแบ่งออกเป็น 4 พาร์ทใหญ่ๆ น่าลุ้น ดังนี้

 

     พาร์ทแรก Speaking 


           พาร์ทนี้ มีข้อสอบทั้งหมด 15 ข้อ ข้อละ 2.5 คะแนน รวม 37.5 คะแนนค่ะ ประกอบไปด้วยบทสนทนาที่มีทั้งสั้นๆ โต้ตอบกันสองประโยค ไปจนถึงบทสนทนาที่เป็น Dialog

Conversation แบบสั้น

 

Conversation แบบยาว ตอบหลายข้อ

           พาร์ทนี้จะวัดทักษะการสื่อสารว่าน้องๆ เข้าใจบทสนทนาและสามารถโต้ตอบได้ถูกต้องหรือไม่ ทั้งในเรื่องของการเลือกใช้ประโยค, Idioms หรือสำนวนที่ใช้ในการสื่อสารจริงๆ จะทำพาร์ทนี้ให้ได้คะแนนดี แนะนำว่าลองดูภาพยนตร์ ฟังเพลง หรืออ่านหนังสือเยอะๆ รวมทั้งสังเกตสำนวนต่างๆ ที่เจ้าของภาษาเค้าใช้กัน รับรองว่าเก็บเต็มๆ 37.5 คะแนน

 

                                         พาร์ทสอง Vocabulary


           ชื่อพาร์ทก็บอกอยู่แล้วว่าวัดคำศัพท์ เพราะฉะนั้นก็วัดศัพท์ล้วนๆ ค่ะ เป็นพาร์ทที่ยาก แต่โชคยังเข้าข้างอยู่บ้าง ที่มีเพียง 12 ข้อ น้อยกว่าพาร์ทอื่นๆ  ลักษณะข้อสอบในพาร์ทนี้แบ่งเป็นอีก 3 อย่าง คะแนนก็แตกต่างกันไป ลองไปดูกันว่าจะยากง่ายแค่ไหน 

           1) Odd one out ให้เลือกคำศัพท์ที่ต่างจากพวก มีทั้งหมด 4 ข้อ ข้อละ 1.5 คะแนน เป็นพาร์ทที่คะแนนน้อยที่สุด แต่คำศัพท์นี่หินเรียกพี่ยังน้อยไป เพราะไม่ค่อยจะได้เจอในชีวิตประจำวันซักเท่าไหร่ จะทำพาร์ทนี้ให้ได้คะแนนดีต้องเข้าใจคำศัพท์ทั้งหมด หรือไม่ก็รู้ให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถือว่าเป็นพาร์ทที่แล้วแต่บุญแต่กรรมกันล่ะ ว่าชีวิตนี้เคยเจอคำศัพท์นั้นรึป่าว


           2) Meaning Recognition ในพาร์ทนี้น้องๆ จะต้องดูความหมายของคำที่ขีดเส้นใต้ในโจทย์ว่ามีความหมายว่าอะไร เพราะคำคำนึงสามารถมีได้หลายความหมาย และต้องเลือกช้อยข้อที่มีความหมายเหมือนกับความหมายในโจทย์ ซึ่งจะต้องอาศัยความแม่นยำในเรื่องของความหมาย และการแปลความ พาร์ทนี้มี 4 ข้อ ข้อละ 2.5 คะแนน ทั้งหมด 10 คะแนนค่ะ


           3) Meaning in Context ต้องเลือกคำที่ถูกต้องลงในช่องว่าง และต้องให้ถูกทั้งสองคำค่ะ เป็นพาร์ทที่ยากทีเดียว ดังนั้นจึงฟาดไปเต็มๆ ข้อละ 3.5 คะแนน มีทั้งหมด 4 ข้อ ทั้งหมด 10 คะแนนค่ะ

 

                                            พาร์ทสาม Reading 


          เมื่อเทียบกับพาร์ทอื่นๆ พาร์ทนี้มีจำนวนข้อมากที่สุด ถึง 18 ข้อ บางคนอาจจะสนุกกับพาร์ทนี้ แต่บางคนที่มีปัญหาเรื่องการแปล อาจจะเครียด นั่งทึ้งหัวก็เป็นได้ โดยทุกข้อจะมีคะแนน 2.5 ทั้งหมด ลักษณะข้อสอบสามารถแบ่งย่อยได้อีก คือ


          1) อ่านป้ายประกาศ/ การ์ตูน/ โฆษณา/ รับสมัครงาน/ ใบปลิว/ รายงานสภาพอากาศ ฯลฯ แล้วตอบคำถาม โดยจะเป็นกรอบเล็กๆ ที่สามารถจับใจความได้ง่าย มีคำตอบอยู่ในนั้นอยู่แล้ว ถือเป็นส่วนรีดดิ้งที่ง่ายที่สุด แต่ต้องอาศัยความไว เพราะรูปหนึ่งรูปตอบคำถามแค่ข้อเดียว ดังนั้นจึงอย่าไปเสียเวลากับมันมาก ใช้วิธีการอ่านแบบ Skimming หรือ Scanning ก็พอค่ะ 

ข้อนี้เป็นแบบการ์ตูน ดูแล้วสรุปได้ว่าอะไร??


          2) บทความขนาดยาว เรียกได้ว่ายาวปานกลางหรือยาวมาก โดยจะต้องตอบคำถามท้ายบทความอีกประมาณ 5 ข้อ มีทั้งหมดประมาณ 3 บทความ เป็นพาร์ทที่เสียเวลามากที่สุด หากทักษะในการอ่านและการแปลความไม่ดีพอ ดังนั้นน้องๆ ต้องฝึกทักษะการอ่าน และการจับใจความให้มากๆ จะได้อ่านให้เร็วขึ้น เพราะต้องแข่งกับเวลามากๆ

 

                              พาร์ทที่สี่ Structure and Writing

           ไม่ต้องตกใจค่ะ ข้อสอบเป็นปรนัยทั้งหมด ไม่มีให้เขียนเรียงความแน่นอน แต่จะเป็น
การวัดแกรมม่าของน้องๆ ชวนให้มึนได้ดีที่เดียว พาร์ทนี้คะแนนข้อละ 2.5 เช่นกัน มีทั้งหมด 15 ข้อค่ะ ถ้าใครแม่นแกรมม่า ฟาดคะแนนมาให้เรียบเลยนะ อิอิ ลักษณะของข้อสอบ มีดังนี้ 


           1) Error test มีมาตั้งแต่สมัย A-Net โน่นเลย เป็นข้อสอบที่วัดความเป็นเทพด้านไวยากรณ์ล้วนๆ ตั้งแต่ เรื่องคำ ความหมาย หน้าที่ของคำ รวมไปถึงเทนส์ต่างๆ เอาเป็นว่าเรียนภาษาอังกฤษมานับสิบปี ต้องงัดเอามาใช้ให้หมด ถือได้ว่าเป็นพาร์ทที่สนุกแต่ก็ปวดหัวที่สุดด้วยเหมือนกัน

          วิธีทำพาร์ทนี้ให้เร็ว พี่มิ้นท์แนะนำว่าเราสามารถดูแค่โครงสร้างของประโยคก็พอ  เพราะภาษาอังกฤษมีโครงสร้าง หลักการใช้ รวมถึงเทนส์ที่ค่อนข้างตายตัว แค่สังเกตบริบทของประโยคก็สามารถตอบได้โดยไม่ต้องแปล ประหยัดเวลาได้เยอะค่ะ แต่ยังไงก็ต้องอาศัยประสบการณ์พอสมควรนะคะ  


           2) เติมประโยคให้สมบูรณ์ จะมีประโยคมาให้ และช้อยก็จะเป็นคำต่างๆ โดยจะวัดแกรมม่าเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะวัดเรื่องหน้าที่ของคำ, การผันกริยาในแต่ละเทนส์ รวมทั้งบุพบทต่างๆ ฝึกบ่อยๆ แล้วจะคล่องค่ะ

 


           3) เรียงประโยค พาร์ทนี้ถือว่ายากค่ะ บางทีแค่ภาษาไทยยังเรียงประโยคถูกๆ ผิดๆ แต่นี่เป็นภาษาอังกฤษ แถมยังมีตัวหลอกอีกด้วย  ลองไปดูตัวอย่าง

           พาร์ทนี้เสี่ยงดวงมากๆ ถ้าเรียงถูกหมดก็โชคดีไป ได้คะแนนไปเต็มๆ แต่ถ้าผิดอันใดอันหนึ่งอาจจะต้องผิดยกแผงเหมือนลูกโซ่ ดังนั้นน้องๆ ต้องพยายามแปลความให้เป๊ะซะก่อน ดูความเป็นเหตุเป็นผลว่ามันต่อเนื่องกันมั้ย แล้วค่อยตอบนะคะ

 

            แม้ว่าภาษาอังกฤษจะเป็นพาร์ทที่น้องๆ เหนื่อยหน่ายและกลัวมากที่สุด แต่ถ้าน้องๆ รู้จักกับลักษณะข้อสอบ รู้จุดที่ต้องทำคะแนนและประเมินว่าตัวเองควรทำคะแนนอันไหนให้ดีๆ เหมือนที่พี่มิ้นท์แนะนำมานี้  เชื่อเถอะว่าให้โชคร้ายที่สุดก็สามารถเก็บคะแนนได้แล้วครึ่งนึง ส่วนอีกครึ่งที่เหลือขอให้เป็นคะแนนที่มาจากความตั้งใจ ประสบการณ์และความรอบคอบของน้องๆ แล้วกันนะคะ

           ก่อนจบพี่มิ้นท์จัดหนักเอาข้อสอบ GAT พาร์ทภาษาอังกฤษ ย้อนหลัง 3 ฉบับ มาให้น้องๆ ลองโหลดไปทำ อยากโหลดอันไหนก็กดบอมบอมเลยจ้า

 

 

          ก.ค. 53                    ต.ค.53                     มี.ค.54

         

 

พี่มิ้นท์
พี่มิ้นท์ - Columnist พี่สาวใจเย็น ผู้เกิดมาในแอดมิชชั่นยุคแรก แต่เข้าใจ TCAS มากกว่า

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

55 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
PARFAIT Member 3 ก.ย. 54 20:05 น. 13
 ขอบคุณมากค่ะพี่มิ้นท์ มีประโยชน์มากเลย เอาไปแชร์ให้เพื่อนๆ เพื่อนๆก็ชอบใจมากค่ะ ขอบคุณอีกครั้งค่า ^^
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด