ระหว่างเรียน 4 ปีมีความประทับใจอะไรเกิดขึ้นในเอกบรรณาธิการศึกษาบ้างคะ ?
เวลาเรียนเอกนี้จะพิเศษมากเลยค่ะ ไม่ใช่แค่เรียนในห้อง แต่มีไปนั่งเรียนในสวน เรียนที่สำนักพิมพ์ผีเสื้อ ที่สำคัญยังได้เรียนกับนักเขียน นักแปล บรรณาธิการหลายท่านเลยค่ะ อาทิ ครูสุชาติ สวัสดิ์ศรี, ครูเวียง วชิระ บัวสนธ์, ครูเรืองเดช จันทรคีรี, ครูจินดา จำเริญ นักเขียนก็มี ่น เดือนวาด พิมวนา, ประกาย ปรัชญา, บัญชา อ่อนดี ฯลฯ และได้ออกไปศึกษางานในสถานที่จริงด้วยค่ะ ทั้งที่ร้านทำเพลท โรงพิมพ์ สำนักพิมพ์ ร้านสายส่งหนังสือ ฯลฯ
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะบรรณาธิการต้องรอบรู้ในทุกกระบวนการก่อนได้มาซึ่งหนังสือสักหนึ่งเล่ม การได้ศึกษาในสถานที่จริงเราจะเห็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม ได้ทดลองปฏิบัติจริง รู้ว่าเพลทคืออะไร วิธีการทำเพลท การยิงเพลท วัสดุที่ใช้ทำ วิธีการพิมพ์ การผสมสี วิธีทำงานของเครื่องพิมพ์ซึ่งมีตั้งแต่สีเดียว จนไปถึงเครื่องพิมพ์หลายสี ได้เรียนรู้วิธีเย็บกี่ ไสสันทากาว เข้าเล่ม ได้ลงมือห่อหนังสือจริงๆ จนกระบวนการไปสิ้นสุดที่บริษัทสายส่ง เราก็ต้องไปเรียนรู้ว่าขั้นตอนการทำงานที่นั่นเป็นยังไง ซึ่งในช่วงเวลานี้มีเรื่องประทับใจมากเลยค่ะ ต่อให้บรรยายเท่าไรก็คงไม่สู้ลองไปเรียนดูเองนะคะ ^__^
แต่เอาเป็นว่าพี่ขอเล่าเรื่องประทับใจพอเป็นน้ำจิ้มสักนิดละกันค่ะ คือวันแรกที่ได้เข้าเรียนวิชาบรรณาธิการกับครูมกุฏ คำสั่งแรกที่ต้องทำคือ คัดพยัญชนะไทยตัวเต็มบรรทัด และเขียนเรื่องราวชีวิตของตัวเอง 10 หน้ากระดาษ ต้องคัดจริงๆ นะ ทั้งตัวเต็มบรรทัด ครึ่งบรรทัด แล้วถ้าลายมือไม่สวย ไม่ผ่านก็ต้องคัดใหม่ เคยมีกรณีของรุ่นพี่เขาไม่ถนัดคัดลายมือสักเท่าไหร่ รู้ไหมคะ ครูสั่งให้ไปซื้อสมุดก.ไก่ ที่มีเส้นประไว้สำหรับเด็กอนุบาลคัดตัวอักษร อันนั้นล่ะค่ะ พี่เขาต้องคัดแบบนั้นไปส่ง :) และเวลาคัดจะต้องใช้ปากกาหมึกซึม หรือปากกาปากเป็ดเท่านั้น พี่เรียกว่าปากกาผู้บริหารค่ะ และห้ามใช้ปากกาลูกลื่นในการเรียนวิชานี้เด็ดขาด เพราะการใช้ปากกาลูกลื่นจะทำให้ลายมือไม่สวย อนุญาติให้ใช้ดินสอไม้ได้ ครูจะสอนวิธีเหลาดินสอ ตอนรุ่นแรกที่เรียนต้องสอบการเหลาดินสอด้วยนะ แต่สำหรับพี่ จนแล้วจนรอดก็ยังแอบใช้ดินสอกดอยู่ดี ^^
อีกเรื่องที่ประทับใจ เป็นช่วงทำโครงการวิจัยระบบหนังสือหมุนเวียนของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ระบบหนังสือหมุนเวียนนี้มีแนวคิดคือ อยากให้เด็กได้อ่านหนังสือดีๆ เมื่อมีหนังสือดีเขาก็จะรู้สึกรักการอ่าน ในระบบนี้จะมีผู้พิจารณาหนังสือแต่ละเล่มว่าเหมาะกับเด็กไหม และไม่รับหนังสือบริจาค เพราะหนังสือที่บริจาคนั้นอาจไม่เหมาะกับเด็ก อาจเป็นหนังสือที่ไม่ดี ไม่มีสาระ ไม่สวยงาม อีกนัยหนึ่งคือเป็นของที่ไม่ต้องการแล้วนั่นเอง (ไม่ได้อคติกับการบริจาคนะคะ แต่ถ้าจะบริจาคก็ควรนึกถึงผู้รับ นึกถึงใจเขาใจเรา)
ซึ่งความสำคัญของระบบนี้คือการแลกเปลี่ยน เรามีหนังสือกองใหญ่หนึ่งกอง แบ่งเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน เมื่อครบ 3 เดือนจะมีกิจกรรมหมุนเวียนหนังสือเพื่อที่โรงเรียนต่อไปจะได้อ่านหนังสือในส่วนที่เหลือ หมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ เมื่อจบการวิจัยก็เท่ากับว่านักเรียนได้อ่านหนังสือกองโต โดยที่เราใช้งบประมาณเท่าเดิม นอกจากจะมีการหมุนเวียนแล้ว ยังมีกิจกรรมเพื่อสร้างแรงจูงใจในการอ่านด้วย เช่น การเล่นเกมคำศัพท์ การเล่านิทานให้น้องฟัง และมีการประกวดบันทึกการอ่าน ใครจดบันทึกได้มากที่สุด อ่านหนังสือมากที่สุด ลายมือสวยที่สุดก็จะมีรางวัลตอบแทนความตั้งใจ
คำถามยอดฮิตเลย "บรรณาธิการ" ต่างจาก "นักเขียน" ยังไงบ้างเหรอคะ ?
เอาแบบเข้าใจง่ายๆ นะคะ หน้าที่สำคัญของบรรณาธิการคือตรวจทานและปรับปรุงต้นฉบับจากนักเขียนให้ถูกต้องสมบูรณ์ เป็นผู้มองภาพรวมหนังสือทั้งหมด คิดให้ลึก มองให้กว้างทั้งรูปเล่ม สีที่ใช้ ปกหน้า ปกหลัง คำโปรย ฟอนต์ ภาพประกอบ ทุกองค์ประกอบในหนังสือจะต้องพิจารณาทั้งสิ้น แต่ก็มีความเหมือนในความต่างนั้นด้วย เช่นว่า นักเขียนก็สามารถทำหน้าที่บรรณาธิการงานเขียนของตัวเองไปในตัว เพราะ บรรณาธิการแยกจากนักเขียนไม่ได้ฉันใด นักเขียนก็แยกจากบรรณาธิการไม่ได้ฉันนั้น
หลายคนชอบมองว่า คนที่จะทำงานด้านบรรณาธิการ ไม่จำเป็นต้องเรียนด้านนี้โดยตรงก็ทำได้ คิดยังไงกับตรงนี้บ้างคะ ?
ทุกวันนี้เรียกว่าขาดแคลนบรรณาธิการจริงๆ ก็ได้นะคะ ส่วนมากที่เห็นกันจะเป็นบรรณาธิการที่วัยวุฒิน้อย คุณวุฒิก็ยังไม่ถึงขั้นจะเป็นบรรณาธิการได้ แต่ขึ้นมานั่งตำแหน่ง ปัจจัยหนึ่งอาจเป็นเพราะปัจจุบันมีการลงทุนธุรกิจนี้มากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มบันเทิง มองๆ ไป ทุกวันนี้บรรณาธิการก็เป็นได้ง่ายเสียเหลือเกิน แค่เอาตำแหน่งวางไว้ท้ายชื่อก็ได้เป็นแล้ว ไม่ได้มีความรู้ความสามารถหรือประสบการณ์มากพอ จึงทำให้มีสิ่งตีพิมพ์ทั้งดีไม่ดีเกลื่อนกันไปหมด ที่พูดตรงนี้ไม่ได้เหมารวมว่าบรรณาธิการจะเป็นเช่นนี้กันทุกคนนะคะ และไม่ได้คิดว่าจะต้องเรียนบรรณาธิการเท่านั้นจึงจะเป็นบรรณาธิการได้ สมัยก่อนบรรณาธิการถูกเทรนมาจากการตรวจปรู๊ฟ การเรียนรู้ทุกกระบวนการในการทำหนังสืออย่างแท้จริง เข้าใจอย่างถี่ถ้วน และสั่งสมประสบการณ์มานานถึงจะมาเป็นบรรณาธิการ แต่ปัจจุบันหาเช่นนั้นได้ยากเต็มที
แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเรียนบรรณาธิการโดยตรงก็เป็นบรรณาธิการได้ เพียงแต่ต้องรักในการเป็นบรรณาธิการที่ดี รักในการทำหนังสือ เพราะแม้ตอนนี้พี่เองจะมีคำต่อท้ายตำแหน่งว่าบรรณาธิการ แต่ก็ยังไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นบรรณาธิการได้ เพราะประสบการณ์ยังน้อยมาก และสิ่งเรียกว่า ประสบการณ์ ก็เป็นหัวใจสำคัญของบรรณาธิการเลยล่ะ
คุณสมบัติของคนที่จะเป็นบรรณาธิการที่ดีมีอะไรบ้างคะ ?
ครูมกุฏ เคยกล่าวไว้ว่า คนทำหนังสือไม่ใช่คนปกติ เพราะคนทำหนังสือต้องก้าวเหนือกว่าคนอื่นหนึ่งก้าวเสมอ อยู่สูงกว่าคนอื่นหนึ่งชั้น เป็นบุคคลซึ่งต้องรับผิดชอบคนอื่น นั่นแสดงให้เห็นว่าคุณสมบัติเด่นของบรรณาธิการจะต้องเป็นผู้ที่รักการอ่านหนังสือมากถึงมากที่สุด ต้องมีความละเอียดรอบคอบ ซึ่งสำคัญมากเพราะการปรู๊ฟอักษร แต่ละวรรค แต่ละบรรทัดจะต้องถูกต้องทั้งเนื้อหาและรูปประโยค และรู้ลึก หมายถึง ลงลึกไปในศาสตร์อย่างชัดเจน ไม่ใช่รู้มาอย่างผิดๆ ถูกๆ
น้องๆ ที่อยากเป็นบรรณาธิการ ควรเริ่มต้นยังไง ควรฝึกฝนด้านไหนบ้างคะที่พอจะทำได้ในช่วงวัยนี้ ?
เริ่มจากการอ่านตั้งแต่วันนี้เลยนะคะ เริ่มจากอ่านหนังสือที่ชอบ อาจเป็นการ์ตูน นิยาย เรื่องสั้น ฯลฯ แล้วค่อยเพิ่มระดับการอ่านขึ้นทีละนิดๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอ่านด้วยหัวใจรักการอ่าน อ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ เช่น คำนี้แท้จริงแล้วสะกดอย่างไร และสิ่งสำคัญคือจดบันทึกการอ่าน วันนี้อ่านเรื่องอะไร เนื้อเรื่องแบบไหน ประทับใจตอนไหน คำศัพท์ต่างๆ ฯลฯ พี่เชื่อว่าทุกอย่างไม่ยากเกินไปสำหรับน้องๆ หรอกค่ะ ขอเพียงมีความกล้าที่จะเริ่มเท่านั้น
สุดท้ายแล้ว อยากให้ฝากถึงน้องๆ ที่สนใจด้านนี้ค่ะ
สำหรับน้องๆ ที่สนใจงานบรรณาธิการ อยากเป็นส่วนหนึ่งในการทำหนังสือ พี่ขอให้น้องเริ่มรักหนังสือ รักตัวอักษร รักการอ่าน เริ่มรักทีละนิดๆ แล้ววันนึงความรักเหล่านั้นจะตอบแทนน้องอย่างคาดไม่ถึง ไม่ได้แนะให้หวังผลนะคะ แต่ถ้าน้องมีโอกาสทำหนังสือสักเล่ม มีคนอ่าน มีคนชอบในสิ่งที่เราเขียน สนับสนุนในสิ่งที่เราคิด รู้ไหมว่ามันเป็นความรู้สึกที่บรรยายเท่าไรก็ไม่หมด และถ้าหนังสือที่ทำนั้นดี มีคุณค่า วันหนึ่งน้องๆ อาจเห็นหนังสือของตัวเองแปลเป็นภาษาต่างๆ อาจได้จารึกลงในประวัติศาสตร์ หรือมากกว่านั้นอาจถึงขั้นสร้างสรรค์สังคมจนดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ก็ได้นะจ๊ะ
การทำหนังสือ ควรมีความรักปูเป็นพื้น และซ้อนทับด้วยความรักหลายๆ ชั้น
รักฅนอ่าน รักฅนเขียน รักฅนแปล รักฅนทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ
ตั้งแต่หัวแถวชั้นต่ำไปจนถึงท้ายแถวชั้นสูง ฅนทำความสะอาดสำนักพิมพ์
ฅนรับส่งเอกสาร ฅนเรียงพิมพ์ต้นฉบับ ตรวจทาน ช่างแท่น ช่างพิมพ์ ช่างพับ
ฅนเย็บกี่ไสกาว ฅนออกแบบปก ฅนวาดรูปประกอบ ฅนขายสายส่ง ฅนซื้อฅนอ่าน ฯลฯ
ต้องระลึกนึกถึงทุกฅนด้วยความกตัญญูรู้คุณ รักด้วยความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลแท้จริง
ไม่ใช่รักอย่างเอารัดเอาเปรียบ รักหนเดียวตอนนึกถึงผลประโยชน์
(ส่วนหนึ่งจากบทความ ฝากสำหรับฅนทำหนังสือ - มกุฏ อรฤดี)
ภาพจาก ปริญญา ชาวสมุน หนึ่งในนิสิตบรรณาธิการรุ่น 2
21 ความคิดเห็น
ขอบคุณล่วงหน้านะค้ะ
บ.ก.คนแรกของพี่ เป็นนักแปลมาก่อน แล้วขึ้นมาเป็นบ.ก.
บางคนที่รู้จัก ก็เป็นนักพรูฟมาก่อน แล้วก้าวขึ้นมาเป็นบ.ก.
ส่วนจำเป็นต้องรู้ภาษาที่สามที่สี่ไหม ขึ้นอยู่กับหนังสือที่ทำ ถ้าเป็นหนังสือแปลจากภาษาต่างประเทศ ก็ควรต้องรู้ภาษาที่สามที่สี่ค่ะ
ตอนนี้ได้มีโอกาสทำวารสาร
ของสภานักเรียนอยู่
ได้มาอ่านแล้ว มันเป็นการเริ่มต้น
ที่ดีมากๆเลยค่ะ
จะทำให้สุดฝีมือเลยค่ะ ^_^
จะเข้ามหาลัยนี้กับคณะนี้ให้ได้
มันคือความฝันเลย บอกตรงๆ ตอนนี้ไม่ทันแล้ว เพราะจบป.ตรีแล้ว ได้อ่านบทความนี้ยิ่งทำให้รู้ว่าอยากเรียนเอกมาก ถ้าจะต่อป.โท อยากทราบว่ามีมหาวิทยาลัยไหนเปิด สาขานี้บ้าง
ประทับใจเกี่ยวกับคอลัมนี้มากค่ะ เป็นการสื่อมาใจมากค่ะ ทำให้สนใจเกี่ยวกับการเป็นบรรณาธิการเลยค่ะ
อยากเป็นบรรณาธิการค่ะ อยากทำงานกับหนังสือ อยู่กับหนังสือ แต่ไม่รู้จะคุยกับที่บ้านยังไงดี TOT
นอกเหนือจากเรื่องหนังสือแล้ว
ยังมีอีกเรื่องคือต้องพร้อมรับมือกับปัญหา รู้วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า บางครั้งต้องอดตาหลับขับตานอนทำงาน ไม่ใช่งานแบบตอกบัตรเข้าเช้าออกเย็นตรงเวลา (ทั้งที่ความจริงแล้วการบริหารงานให้เสร็จภายในเวลาเป็นเรื่องสำคัญนะ) แต่ก็ไม่เห็นสนพ.ไหนจะทำได้สักที แบบไม่ต้องโต้รุ่งเป็นผีช่วงานหนังสือเนี่ย พูดแล้วมันก็เหนื่อยนะครับ
กรี๊ดดดดดด!! พี่ค่ะ หนูชอบคณะนี้มากๆๆๆๆเลยค่ะ และกำลังจะสมัครเข้าม.บูรด้วยคะ จะพยายามให้ดีที่สุดเลยค่ะ ><!!!
เอิ่ม= =;
สนใจแต่ตอนนี้เรียนถาปัตงะ!!