พี่แนน : ใช่เลยค่ะอาจารย์ เริ่มจากสิ่งที่ตัวเองชอบดีที่สุด ! แล้วอาจารย์ว่าเรื่องไหนบ้าง ที่เป็นจุดอ่อนของเด็กไทย กับภาษาอังกฤษ ในปัจจุบันนี้คะ |
อ.สงวน: เรื่องความกล้ามีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนแน่นอน อย่างเมื่อ 10 ปีก่อนเด็กมีข้อสอบไวยากรณ์ พูดได้ว่าสมัยก่อนไม่ต้องทำอะไรเลย ทำข้อสอบ ไวยากรณ์เข้ามหาวิทยาลัย ท่องแต่ไวยากรณ์ ข้อสอบไวยากรณ์ออก 60 ข้อ การอ่านออกสัก 30 ข้อ แล้วอาจจะเป็นเรียงความแต่งประโยค 10 คะแนน แล้วจู่ๆ ข้อสอบก็เกิดเปลี่ยนกลับหลัง เปลี่ยนเป็น O-NET A-NET ครูจะไม่ค่อยสอนเน้นเหมือนเมื่อก่อน เด็กก็จะอ่อนตรงนี้ จริงๆไวยากรณ์มันมีความสำคัญ เพราะเกียวกับโครงสร้าง ประโยค ถ้าเราจะอ่านให้รู้เรื่อง จะต้องมีองค์ประกอบ คือ เราต้องรู้ศัพท์ สองเราต้องรู้โครงสร้างของประโยค การเขียนหนังสือให้ดี ก็ต้องมาจากความเข้าใจเรื่องของ โครงสร้างของไวยากรณ์ โครงสร้างของประโยค การอ่านหนังสือเมื่อมันสูงขึ้น มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ก็ต้องรู้โครงสร้างประโยค พอเราไม่เรียน เด็กช่วงหลัง ไวยากรณ์ก็ต่ำ แต่ปัจจุบันก็เริ่มดีขึ้น อย่าง O-NET GAT ก็เริ่มมีเรืองของไวยากรณ์กลับมาบ้าง
|
พี่แนน : จากประสบการณ์การสอนมานานถึง 45 ปีของอาจารย์ อยากทราบว่าอาจารย์มีเรื่องประทับใจอะไรบ้างคะเกี่ยวกับการสอน? |
อ.สงวน: แต่ก่อนเคยเอาฝรั่งมาสอน แล้วมีครั้งหนึ่ง ฝรั่งสอนคำว่า Absurd แล้วฝรั่งเค้าก็แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Ridiculus เค้าก็จะแปลเป็นภาษาไทยว่า น่าหัวเราะเยาะ ไม่สมเหตุผล แต่ฝรั่งนึกไงไม่รู้เกิดพูดภาษาไทยก็พูดว่า “ทูเรศ” แล้วเด็กคนหนึ่งก็บอกว่า สอนมาได้ยังไง แปลว่า To Late แปลว่าสายเกินไป แต่ผมฟังแล้วก็เข้าใจ บอกไปว่าเค้าบอกว่า “ทุเรศ” แล้วที่ยังประทับใจอยู่อีกเรื่องคือ ยังมีนักศึกษาคนหนึ่ง มาเรียน เป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นทนาย เรียนตั้งแต่สวนกุหลาบ ทุกวันนี้ก็ยังเรียนอยู่ วันๆก็มานั่งอยู่ที่นี่ หมดอายุแล้วก็ขอต่อคอร์ส ๆ จนต้องบอกเจ้าหน้าที่ว่าถ้าเค้ามาต่ออย่าเก็บตังค์ ให้เป็น VIP ไปตลอดชีวิต เพราะเค้ารักภาษามาก เลิกงานไม่รู้ไปไหนก็ขอมาทีนี่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประทับใจมาก เห็นทีไรก็อยากจะเข้าไปกอด แต่จะไม่ ประทับใจเลยถ้าสมัครเรียนแล้วไม่มาเรียน จะไม่ดีใจกับ เงินตรงนั้นเลย ผมจะดีใจกับส่งที่นักศึกษาได้ประโยชน์ไป
|
พี่แนน : ถ้าอย่างนั้นขอถามถึงข้อสอบแอดมิชชั่นปีนี้สักนิดค่ะ อาจารย์มองว่ามีแนวโน้มอย่างไรบ้างคะ |
อ.สงวน: ตอนนี้ผมเองก็ได้ออกข้อสอบ GAT มาฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นแนวข้อสอบ เป็นโครงการร่วมกับสถาบันกวดวิชาเจี๋ย เพื่อติวเข้มสอนเด็กนักเรียนให้เข้าใจการทำข้อสอบ GAT ก่อนสอบจริง ซึ่งจะนำรายได้จากการสอนทั้งหมดร่วมบริจาคในโครงการ “ร่วมแบ่งบันสร้างโรงเรียนในฝันให้น้อง” ที่ทางสถาบันของ อ.เจี๋ยได้จัดขึ้น ซึ่งแนวโน้มข้อสอบก็ยังไม่เปลี่ยนแต่ออกกำกวม อย่างบทสนทนาที่ออกมา เป็นภาษาที่เค้าไม่พูดกันแบบนี้ คนสอนก็ต้องมานั่งเดาว่าคนออก ข้อสอบต้องการยังไง ซึ่งในความเห็นคือข้อสอบพยายามปรับ คือพยายามใช้มาตรฐานอเมริกัน มีการออกข้อสอบในแบบที่เรียกว่า Odd Man out ก็คือเห็นตัวประหลาดตัวหนึ่งที่ไม่เหมือนอีก 3 หรือไม่เหมือนตัวที่เหลือ อย่างมีคำ 3 คำที่ใกล้กัน อีกคำก็เป็น คำตรงกันข้าม หรือไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งมันก็เป็นแนวของเด็กอเมริกัน เค้าเรียนกันมาอย่างนั้น ซึ่งตรงนี้ก็มองว่าดี แต่อยากเห็นอะไร มากกว่านี้
ข้อสอบเป็นตัวที่มี ความสำคัญมหาศาลต่อการเรียนรู้ของเด็ก ถ้าข้อสอบออกดีก็ทำให้ครูจะต้องสอนไปตามแนวนั้น เด็กก็ต้องเรียน ไปตามนั้น เด็กก็จะได้การเรียนรู้ที่ดี อยากเห็นข้อสอบเป็นไปใน ทางที่เสริมสร้างเด็ก เช่น ข้อสอบแอดมิชชั่นอาจจะมีคำศัพท์ 1,000 คำในมหาวิทยาลัยที่ควรรู้ อาจจะสูงไปบ้าง แต่เป็นศัพท์ที่ดี ใครๆก็ยอมรับ ใครๆก็เขียน ถ้าข้อสอบออกมาอย่างนี้ เด็กก็จะต้อง เรียนรู้ ก็จะได้ความรู้ไปโดยปริยาย อย่างบางปีข้อสอบออก สำนวนการพูดบางประโยค ไปเปิดเว็บไซต์ฝรั่งยังถามว่า สำนวนนี้มายังไง ใช้ยังไง บางเรื่องก็ออกมาเป็นภาษาไม่ธรรมชาติ ควรจำกำหนดภาษาพูดดีๆ ออกข้อสอบมาเป็นสิ่งที่เด็กต้องใช้ เช่น Let's call it a day เราเรียกมันว่า 1 วัน อย่างคนทำงานเลิก 5 โมง ก็บอกว่าLet's call it a day พอแล้ววันนี้เลิกแล้ว 1 วัน หรือบางคนเป็นแฟนกัน แล้วบอกว่า Let's call it a day ก็หมายความว่า เราเลิกกันนะหรือ Let's call it a night ดึกแล้วกลับบ้านนอน หรือเวลาไปกินข้าว แล้วพูดว่า “dig in” คือ ขุดเลย สำนวนก็คือ กินเลย หรือ “care for some...” นั่นนี่ อยากรับนี่หน่อยไหม ถ้าเราอยากได้ ภาษาพูดก็บอกว่า “don't mind if I do” คือ เอาสิๆ ถ้าข้อสอบออกแบบนี้ คือใช้ในชีวิตประจำวัน น่าออกมากกว่า
|
พี่แนน : ว้าว ได้สำนวนๆใหม่มาใช้ด้วย ขอบคุณอาจารย์มากเลยค่ะ สุดท้ายนี้ อยากให้อาจารย์ฝากอะไรถึงชาวเด็กดีสักนิดค่ะ |
อ.สงวน: การเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย น้องจะสอบเข้าได้หรือไม่ได้ มันเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เพราะคนสอบเยอะมาก แต่การรับเข้าไปไม่มาก แต่ไม่ได้หมายความว่าการเขั้ามหาวิทยาลัยได้จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความสำเร็จ หรือการเข้ามหาวิทยาลัยได้จะได้นำความรู้ตรงนั้นมาใช้จริงๆ คนที่จบมา แต่ละคนก็ไม่ได้ใช้ตามวิชาที่เรียนมา อย่างผมเองจบการฑูตการต่างประเทศ ก็ไม่ได้ทำงานด้านฑูต การต่างประทเศ ดังนั้นน้องคนไหนก็ตาม ให้ใช้ความ พยายามอย่างเต็มที่ แต่ก็ต้องใช้ให้ถูกจุดให้ถูกต้องด้วย ต้องรู้ว่าเตรียมตัวยังไง คนไหนสอนเก่ง ตำราไหนดี จะได้ประหยัดเวลาเรา ไม่ต้องงมโข่ง แล้วถ้าเรา เข้าไม่ได้ ก็อย่าคิดว่าชีวิตนี้หมดหวังหรือสิ้นหวัง คนเยอะแยะเข้ามหาวิทยาลัย แล้วออกกลางครัน เพราะได้รู้ว่าไม่ใช้สิ่งที่หวัง เราสามารถประสบความสำเร็จ ในส่วนอื่นได้ เราอาจจะทำอะไรก็ได้ เรียนอะไรก็ได้ ให้ได้ปริญญา เพราะสังคม ต้องการอย่างนั้น แล้วเราหาจุดที่เป็นตัวของเราเอง สิ่งที่เราชอบ สิ่งที่ให้ ความสุขกับเรา แล้วเราก็ทำสิ่งนั้นที่เป็นส่งเดียวให้ได้ดี เราก็อาจจะประสบความ สำเร็จได้
น้องเองก็เหมือนกัน ถ้าพบว่าถนัดอะไรบ้างอย่าง เช่น บางคนชอบร้องเพลง ก็ร้องไปเลยให้ได้ดี บางคนชอบแสดงหนังก็แสดงไปเลย ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ให้โดดเด่นไปเลย ก็จะสำเร็จได้ ไม่จำเป็นว่าเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วจะสำเร็จ พอสอบเข้าไม่ได้แล้วโลกมันพังทะลาย ไม่ถึงกับเป็นเช่นนั้น ก็ขอเป็นกำลังใจให้ แต่ไม่ใช่ว่าไม่ดูหนังสือ ให้ตั้งใจ เตรียมตัวให้ดีครับ... |
|
|
20 ความคิดเห็น
ครูสอนพิเศษเราก็เคยเรียนนะ อาจารย์ดูเด็กและวัยรุ่นตลอดเวลา ไปเรียนกันเยอะๆนะ ใกล้เสาชิงช้ามาก เบื่อๆเดินไปสนามหลวงก็ได้แล้วค่อยกลับมาเรียนใหม่
ไม่ได้โปรโมตนะ
แต่เราขอบคุนเค้าจิงๆที่ทำให้เรามีทุกวันนี้
ทุกๆสิ่งที่เค้าสอนเรามามันยังอยู่ในหัวอยู่เลย
ไปสอบที่ไหนก้เจอแต่ศัพท์ที่เราเคยเรียนกับเค้า
เค้าจาสอนให้ทำโจทย์
แล้วศัพท์จะมีอภิมหาเยอะมาก
แต่เรียนแล้วคุ้ม
ขึ้นอยู่กับความอึด รับประกัน
ผมเรียนคอร์สเอ็นท์ โอ้!แม่เจ้า สุดๆ ใครอยากเก่งไปนั่งเรียนตั้งแต่ 7 โมง ยัน สามทุ่ม ทุกวัน คุ้มสุดๆ แต่ผมไปบ้างไม่ไปบ้าง
คำศัพท์แต่ละคำมหามหามหาๆๆๆๆเทพมาก
ยอมรับครับว่าอาจารย์สอนดี ศัพท์เยอะ
แต่ผมคิดวาอาจารย์อาจจะแก่เกินไปแล้วก็ได้
บ้างครั้งก็สอนผิดๆถูกๆ สะกดผิดบ้าง พูดผิดบ้าง
มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจเลิกเรียน
และอีกเหตุผลหนึ่งคือ คิดว่า
อาจารย์ไม่เหมาะกับแนวเอ็นท์
สอนไม่ตรงแนว
อาจารย์ท่านอื่นสอนได้ตรงกว่า
และเสียเวลาครับ ไม่มีเวลาเตรียมวิชาอื่น เพราะตอนนี้ต้องเตรียมสอบทุกวิชาจะมาทุ่มให้เฉพาะภาษาอังกฤษไม่ได้
ป.ล.ความคิดเห็นเฉพาะบุคคลนะครับ ถ้าจะเรียนเอาเฉพาะศัพท์อย่างเดียวจริงๆก็แนะนำครับ
เรียนอ.สงวนเหมือนกันจ้า คอร์สเอนท์
ขอบอกว่าอาจารย์สุดยอดจริงๆ
เรียนแล้วรู้สึกได้เลยว่านี่แหละ...."อาจารย์"ภาษาอังกฤษจริงๆ
รู้จริงรู้ลึก รู้สึกว่าจะเป็นอาจารย์ที่คนทำงานด้านการแปล/ภาษาก็ยอมรับว่าสุดยอด**นะ
ขอบอกว่าหนังสือเรียนเยอะมากๆเรียนไปเรียนมาจะเจอศัพท์ซ้ำๆจนเราจำได้เลย
แล้วอาจารย์สอนแบบไม่สักแต่ว่าเอาไปสอบแล้วจบไป แต่มันสามารถเอาไปใช้ได้อีกเยอะแยะ นี่แหละคือจุดที่เราชอบ
ข้อสอบมันจะเอาตรงไหนมาออกก็ได้ ศัพท์มีตั้งกี่พันคำ ใครจะไปรู้ เอาเป็นว่าเรารู้เยอะๆไว้ก็ดี ไม่มีในข้อสอบมันก็ต้องเจอเข้าสักวัน
เราว่าอาจารย์สอนดีมากๆๆๆๆๆๆๆ คือศัพท์เยอะมากกกก
แต่ที่บอกว่าสอนไม่ตรงแนวอ่ะ..มันก็มีส่วนอ่ะนะ
แต่เราว่าเอนท์อ่ะขอให้มีศัพท์เยอะก็พอ...แล้วก็ไปฝึกทำโจทย์เองดีกว่า
ถ้าเราเอาแต่เรียนแล้วเราไม่ทวนมันก็ท่ากับว่ามันไม่ได้อะไรเลยจากการที่เราเรียนมา
ถ้าใครอยู่ใกล้ๆเสาชิงช้า ก็ไปลงเรียนเถอะ คุ้มมากๆๆๆ
ไปเรียนที่นี่ ได้พัฒนาคำศัพจริงๆๆ ยืนยันเลย
เราเรียนมาทุกที่ งูๆปลาๆตลอด จำจำลืมๆๆ
เรียนที่นี่แค่ไม่นาน คำศัพท์อั๊พเกรดสุดๆๆ
คำศัพท์ที่อาจารย์สอน เจอในแกทแพทหมด เห็นปุ๊บตอบได้เลย
วันนึงไม่ต้องๆเคร่งเครียดมาก ใครเรียนได้แค่ไหนก็เอาเท่านั้น ไม่ใช่เรียนนาน ง่วงนอนหลับ
อยู่ทั้งวันก็ไม่ได้อะไรแต่ถ้าตั้งใจจริงๆ ไม่ต้องนาน เห็นผล ชัววววววว!!!
เพราะเราก็เป็นคนนึงที่ไม่ชอบภาษาเลย เรา ไปเรียนก็อยู่ไม่นาน ไม่ได้ทั้งวันเหมือนคนอื่นๆ
อาศัยไปทุกวัน วันละนิด อย่างที่อาจารย์บอก ทำเป็นกิจวัต เราก็จะได้เอง พอมาสอบอีกทีก็จะเห็นความแตกต่าง
อ่านออก อ่านเข้าใจหมด เหมือนเจอศัพท์ยากจนชิน ข้อสอบONET กลายเป็นศัพท์ง่ายไปเลย รับประกันค่ะ=)
^_________^
เพราะคอร์สเร่งรัด toefl ของทีนั่นเรียนกัน แปดเก้าโมงถึงสองสามทุ่ม
โอ้ววว อยากหงายหลังง
แต่พนักงานที่สาขามารวย ไม่ไหวๆ
เขามึนๆ 555
*-*
นู๋ได้ดีทุกวันนี้เพราะอาจารย์ ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ
ให้กำลังใจอาจารย์ค่ะ เด็กรุ่นใหม่ อาจจะชอบความสนุกสนานเฮฮา ไปวันๆ
แต่นู๋ชอบความปึ้ก ที่อาจาย์สอนค่ะ
สอนจนผม จากที่ไม่รู้อะไรเลยจนเขียนภาษาอังกฤษได้ดีถึงขั้นฝรั่งชม
ขอบคุณอาจารย์มากๆนะครับ