"เรียนไปทำไม" เป็นคำถามปวดตับพอๆ กับ "เกิดมาทำไม" เลยนะคะ หลายคนต้องเคยนั่งคิดคำถามข้อนี้ระหว่างเรียนแน่ๆ ประมาณว่านั่งเรียนวิชานี้จนจบคอร์สแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันยังไง เช่น วิชาคณิตศาสตร์ บางคนเถียงจนคอปูดว่าทำมาหากินจริงๆ ใช้แค่บวกลบคูณหารก็พอ ไม่ต้องถึงกับมานั่งหาค่าฟังก์ชัน ตรีโกณต่างๆ นานา สุดท้ายเมื่อไม่รู้ว่าเรียนไปทำไม ก็เลยไม่เรียนซะเลย ง่ายดี!! คงมีเด็กไทยไม่น้อยที่เผลอไม่ตั้งใจเรียนเพราะหาคำตอบไม่ได้ว่า "เรียนไปทำไม"
หลักสูตรการเรียนของเมืองไทยทำให้เด็กไทยต้องเรียนหนักกว่าหลายประเทศ แถมเรียนหว่านครบทุกอย่าง เวลาพักก็น้อย กิจกรรมก็ไม่ค่อยโอเค สุดท้ายเด็กไทยเรียนหนักแต่ไม่ค่อยได้อะไรกลับไปใช้ในชีวิตจริง แต่ที่แย่กว่านั้นคือ "เรียนแทบตายแต่ไม่รู้ว่าเรียนไปทำไม" ลองมานั่งนึกๆ ดูแล้ว คำถามข้อนี้ อันตรายยิ่งกว่าขีปนาวุธในสงครามซะอีก เพราะสิ่งที่เราคิดมันจะสะท้อนออกมาเป็นการกระทำค่ะ เมื่อเบื้องลึกความคิดยังไม่รู้ว่าเราเรียนไปทำไม สมองก็จะเซไปเซมา ไม่มีจุดยืน ทำให้เราไม่สนใจเรียนไปโดยปริยาย อย่างนี้เมื่อไหร่เราจะเรียนเก่งซักทีล่ะคะ
ดังนั้นถ้าน้องๆ มีคำถามนี้ติดอยู่ในใจสักเสี้ยวเดียว ขอให้เปลี่ยนตัวเองใหม่เลยนะคะ เริ่มต้นง่ายๆ แค่นึกให้ออกว่าเราอยากทำอาชีพอะไรในอนาคต ถ้าตอบคำถามนี้ได้ คำถามที่ว่า "เรียนไปทำไม" ก็จะหมดลงทันที เพราะเราได้รู้แล้วว่าเราเรียนเพื่อที่จะทำให้สิ่งที่ตั้งใจไว้ และสิ่งที่จะมาแทนทีก็คือพลังกายและใจที่มาแบบเงียบๆ ค่ะ
ลองยกตัวอย่างมาให้สำหรับน้องๆ ที่ยังไม่เข้าใจ
สมมติเราวางแผนไว้ตั้งแต่ ม.ต้นแล้วว่า อยากเป็นเภสัชกร เป้าหมายของน้องๆ ก็จะโฟกัสไปที่ว่าทำยังไงถึงจะได้เป็นเภสัชกร? เริ่มตั้งแต่ต้องเรียนสายวิทย์ ต้องเก่งเคมี ต้องขยัน ฯลฯ ผลที่ออกมาคือ ระหว่างทาง 5-6 ปีนี้น้องๆ ก็จะเรียนอย่างมีเป้าหมาย
- เมื่ออยู่ ม.ต้น ก็จะตั้งใจเรียน ทำเกรดให้ดีๆ เพื่อต่อ ม.4 สายวิทย์ให้ได้
- พอเข้ามาอยู่ ม.4 แล้ว เริ่มติดตามเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัย คณะที่เราอยากเข้าต้องสอบอะไรบ้าง เริ่มเรียนพิเศษในส่วนที่จำเป็น ไม่ต้องเรียนหว่านทุกคอร์สให้หนักหัว
- วิชาวิทย์ต่างๆ ทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ที่เพื่อนๆ บ่นกันทุกวันหลังเวลาสามอาหารว่ายาก ไม่อยากเรียน แต่เรารู้ตัวดีว่าจะเข้าคณะเภสัชได้จะต้องเก่งวิชาพวกนี้ ดังนั้นทุกครั้งที่เข้าเรียนจะตั้งใจเรียน ไม่โดด ส่งการบ้านครบ ซึ่งเราจะทำโดยอัตโนมัติเลย และคงไม่ต้องมาถามอีกว่า "เรียนไปทำไม"
เปิดเทอมมาน้องๆ ลองสังเกตเพื่อนๆ ในห้องที่เรียนเก่งดูว่าเขาตั้งใจเรียนขนาดไหน ซึ่งพฤติกรรมการเรียนของคนที่มีเป้าหมายกับยังไม่มีเป้าหมายก็จะต่างกันแบบเห็นได้ชัด คนที่ยังไม่ได้วางแผนอนาคตไว้ก็คงไม่รู้ว่าแต่ละวิชาเรียนไปเพื่ออะไร ก็ได้แต่เรียนๆ เล่นๆ ตามใจตัวเอง ส่วนจะเอาความรู้ไปทำอะไรค่อยว่ากันอีกที
น้องๆ พอจะเห็นภาพแล้วใช่มั้ยคะว่า แค่คำถามเดียวว่า "เรียนไปทำไม" นอกจากจะส่งผลทำให้ไม่ตั้งใจเรียนในห้องเรียน เพราะขาดแรงจูงใจแล้ว ยังเป็นคำถามที่ย้อนกลับไปสะท้อนตัวเองได้อีกว่าเราไม่เคยวางแผนเรื่องการเรียนเลย ดังนั้น ถ้าไม่อยากมีอุปสรรคในการเรียนแบบนี้ลองตั้งเป้าหมายกับตัวเองดูให้ชัด แล้วน้องๆ จะรู้คำตอบเองค่ะว่าเราเรียนไปเพื่ออะไร และผลที่ตามมาคือ ผลการเรียนของน้องๆ จะดีขึ้นเองค่ะ คอนเฟิร์มมมม!!
28 ความคิดเห็น
คิดในสิ่งที่อยากเป็นได้ ทำให้เป็นไปได้นั้นยากกว่า
ตอนม.ต้น มีคณะในใจ ตอนม.4 เริ่มเปลี่ยน ม.5 เปลี่ยนอีก พอจะขึ้นม.6 นี่ตึ้บเลย แล้วนี่ตรูจะเรียนอะไรนี่
สุดท้ายก็เลยขาดกำลังใจ ขาดความมุ่งมั่นในการเรียนไปเลยค่ะ เพราะเหมือนกับเรารู้จุดหมายที่จะไปเเล้ว แต่กลับมีพายุมาขวางทำให้ไปไม่ถึงฝันซักที จึงต้องลอยคว้างในทะเล อะไรประมาณนั้น
ว่าอยากเข้าพวกบัญชี เศรษฐศาสตร์ บริหาร
แต่เราอยู่สายวิทย์เพราะตอนม.ต้น'คิด'ว่าตัวเองชอบทางด้านวิทย์ พวก ชีวะ เคมี
พอเรารู้ว่าตัวเองชอบด้านไหน ก็ไปดูว่าจะเข้าพวกนี้ต้องเก่งและเข้าใจในวิชาไหนเป็นพิเศษ
พอเราหารายละเอียดก็ตกใจว่ามันใช้อังกฤษกับคณิตเยอะมากไม่ใช่ว่าเฉพาะตอนสอบเข้า
แต่มันใช้เรียนในมหาวิทยาลัยด้วย พี่เลยหันมาดูวิชาเหล่านี้ในโรงเรียนก็
คณิต ....... พอไหวไม่เข้าใจเป็นบางเรื่อง
อังกฤษ ....... โง่งมบรมสุดฤทธิ์ ตกทุกครั้งที่สอบ T^T
เพราะตอนเรียนตั้งแต่เด็กเราคิดว่า" เรียนไปทำไมอังกฤษ ไม่ใช้ภาษาดั้งเดิมของเรา "
เลยทำให้เราแอนตี้ภาษาอังกฤษเป็นต้นมา แต่ทำไงล่ะในเมื่อสิ่งที่อยากเข้ามันต้องใช้
มันทำให้เราหันมาสนใจภาษาอังกฤษอย่างมาก เราทำทุกๆอย่างเพื่อให้เราเก่งมันให้ได้
ทั้งเรียน ทั้งอ่าน ทั้งท่อง หาซีรี่ย์ที่เป็นภาษาอังกฤษดู คอยอ่านป้ายต่างๆ ฝึกพูดกับเพื่อนบ้าง
พูดกับตัวเองคนเดียงบ้าง(ใกล้บ้า><) พอเราเปลี่ยนทรรศนะคติกับภาษาอังกฤษใหม่ทั้งหมด
มันเลยทำให้เราเข้าใจว่า "เห้ย!มันโคตรสำคัญนิหว่า มันไม่ใช่แค่วิชาในกระดาษแต่มันเป็นทักษะในชีวิต
ที่ใช้สื่อสารติดต่อกับคนอื่น"
แล้วผลงานที่เราพยายามทำมันก็ปรากฏ เราสอบได้ในคณะบัญชี มหาลัยรั้วชมพู คู่สยามได้
พล่ามมาซะยาว เราแค่จะบอกว่า "ลองเปิดใจให้กว้างกับวิชาที่เราไม่ชอบ ไม่เก่ง ตั้งสติดีๆแล้วพยายามให้สุดๆ
แต่ถ้าเราพยายามสุดๆแล้วมันไม่ได้ดี ก็....ทำใจ ยอมรับมัน ^^"
รู้แค่ว่า การลงมือทำอะไรบางอย่าง มันได้อะไรมากกว่า ไม่ทำ
เพื่อไปให้ถึงฝัน เราต้องทำอะไร ที่ไหน อย่างไร คำถามทั้งสามนี้ กลายเป็นยักษ์ไปเลยเมื่อเทียบกับประโยคที่ว่า "เรียนไปทำไม"
หลงอยู่ในวังวนมาหลายปีแล้ว
ปีนี้ก็จะขึ้น ม.5 แล้วแท้ๆ
เฮ้ออออออ