สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ยิ่งใกล้เข้าสู่อาเซียนก็ยิ่งเริ่มมีการพูดถึงชาติไทยกับชาติเพื่อนบ้านในอาเซียนมากขึ้น ซึ่งไม่พูดกันเปล่าๆ แต่ยังมีการเปรียบเทียบในด้านต่างๆ ให้เห็นกันอีกด้วยว่าใครพร้อมกว่าใคร ประเทศไหนได้เปรียบด้านไหน เป็นต้น
แต่ข้อมูลที่ทำเอาช็อคและสะเทือนใจมากที่สุดต้องบอกว่าเกี่ยวกับน้องๆ นักเรียนโดยตรงเลยค่ะ นั่นก็คือผลวิจัยเกี่ยวกับการศึกษาไทย ไม่ว่าจะเป็นผลทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ ผลทดสอบระดับนานาชาติ ที่คะแนนออกมาต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เช่น ผลการสอบ O-NET ทั้ง 8 วิชา เมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา ระดับชั้น ป.6 ค่าเฉลี่ยต่ำกว่า 50 คะแนนถึง 5 วิชา ส่วน ม.3 ค่าเฉลี่ยต่ำกว่า 50 คะแนน ถึง 6 วิชา และระดับชั้น ม.6 สูงที่สุดคือต่ำกว่าเกณฑ์ถึง 7 วิชา นอกจากนี้ผลคะแนน Pisa ซึ่งเป็นการสอบประเมินระดับนานาชาติเพื่อวัดระดับความสามารถการเรียนรู้ด้านการอ่าน คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของเด็กไทยก็อยู่รั้งท้ายอีกเช่นกัน
ยังไม่หมดนะคะน้องๆ นี่เป็นเพียงการประเมินส่วนหนึ่งด้วยการสอบเท่านั้น หากมองย้อนกลับมามองความจริงเรื่องการศึกษาของไทยเราจะพบว่าปัญหาที่หนักกว่าผลสอบยังมีอีกมาก หนึ่งในปัญหาเหล่านั้นก็คือ เด็กไทยเริ่มอ่านเขียนภาษาไทยไม่ออกเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่แค่ประถมศึกษาเท่านั้นนะคะ แต่ยังลามไปถึงระดับมัธยมศึกษาแล้ว โดยเฉพาะ ม.1 ที่เพิ่งเข้ามาเรียนใหม่ นอกจากนี้ยังพบว่าพฤติกรรมด้านการเรียนเปลี่ยนไป คือ ไม่ชอบเขียนบทความยาวๆ และไม่ชอบอ่านหนังสือ!!
พอพูดถึงประเด็นที่เด็กไทยไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ พี่มิ้นท์เลยหาข้อมูลต่อ พบว่าจากเดิมที่เคยมีสถิติพูดกรอกหูกันว่าคนไทยอ่านหนังสือปีละไม่เกิน 8 บรรทัด ตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว คือ เพิ่มเป็นอ่านเฉลี่ยปีละ 2-5 เล่ม(ข้อมูลจากสำนักสถิติแห่งชาติ) น้องๆ อาจจะมองว่านี่ก็เพิ่มขึ้นมาตั้งเยอะแล้ว ใครที่คิดแบบนี้ได้เวลามองโลกมุมใหม่แล้วนะ เพราะหลายๆ ชาติอาเซียนสร้างสถิติชวนให้คนไทยห่อเหี่ยวใจจริงๆ ในขณะที่เด็กไทยอ่านปีละ 2-5 เล่ม เยาวชนสิงคโปร์อ่านเฉลี่ยคนละ 50-60 เล่มต่อปี และเวียดนามอ่านเฉลี่ย 60 เล่มต่อปี เป็นตัวเลขที่สะท้อนคุณภาพของคนในชาติได้เป็นอย่างดี และเป็นคำถามที่น่าคิดมาตลอดว่าเพราะอะไร เด็กไทยถึงอ่านหนังสือน้อย ไม่รักการอ่าน? ไม่มีแรงจูงใจในการอ่าน? ไม่มีการส่งเสริมการอ่านกันอย่างจริงจัง หรือเด็กไทยไม่เห็นความสำคัญของการอ่านกันแน่
Read Singapore เป็นโครงการส่งเสริมการอ่านของประเทศสิงคโปร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
ถ้าพูดถึงเรื่องการส่งเสริมการอ่าน หลายประเทศทั่วโลกรณรงค์ให้คนในประเทศรักการอ่านตั้งแต่เด็ก อย่างประเทศสหรัฐอเมริกาเองส่งเสริมการอ่านจนกระทั่งอัตราคนที่อ่านออกเขียนได้ในประเทศเฉลี่ยสูงถึง 98% เลยทีเดียว ในแถบๆ อาเซียนอย่างมาเลเซียก็มีแผนส่งเสริมการอ่านที่น่าสนใจคือ ทำมุมพิเศษเพื่อจัดวางหนังสือบนรถไฟโดยสารและตามสถานีต่างๆ ส่วนสิงคโปร์ขึ้นชื่อว่าให้ความสำคัญกับการอ่านอยู่แล้ว ก็มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านอย่างต่อเนื่อง ทั้งห้องสมุดเคลื่อนที่ การสร้างชมรมนักอ่าน ทูตกิจกรรมการอ่าน เป็นต้น เห็นความตั้งใจของการส่งเสริมการอ่านในแต่ละประเทศแล้วก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมประเทศเหล่านั้นถึงพัฒนาอย่างรวดเร็ว
เห็นศักยภาพของประเทศเหล่านั้นแล้วก็ได้แต่หวังว่าประเทศไทยจะส่งเสริมการอ่านอย่างจริงจังบ้าง ยิ่งในปี 2556 นี้ กรุงเทพมหานครได้รับคัดเลือกให้เป็นเมืองหนังสือโลก (World Book Capital) ด้วย น่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการอ่านและการเรียนรู้เพิ่มเติมได้ และหวังว่าสถิติครั้งต่อไปเด็กไทยจะอ่านหนังสือได้หลักสิบเล่มกับเขาบ้าง ^^
ปิดท้ายพี่มิ้นท์มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับข้อเสนอแนะวิธีการรณรงค์ให้คนรักการอ่านหนังสือ จากการสำรวจการอ่านหนังสือของประชากรปี 2554 สำนักงานสถิติแห่งชาติ สอบถามจากประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีเป็นต้นไป โดยข้อเสนอแนะการรณรงค์ 10 อันดับ มีดังนี้
1. หนังสือควรมีราคาถูกลง 31%
2. หนังสือควรมีเนื้อหาสาระน่าสนใจ 21.5%
3. ควรมีห้องสมุดประจำหมู่บ้าน/ชุมชน 20.2%
4. ส่งเสริมให้พ่อแม่ปลูกฝังให้เด็กรักการอ่านหนังสือ 17.6%
5. รูปเล่มกะทัดรัด/ ปกสวยงามน่าอ่าน/ มีรูปภาพประกอบ 13.1%
6. ควรใช้ภาษาง่ายๆ ทุกคนสามารถเข้าใจ 13%
7. หาซื้อได้ง่าย 12%
8. จัดโครงการรณรงค์ร่วมกันอ่านหนังสือทั้งครอบครัว 10.04%
9. โรงเรียนควรมีมาตรการให้นักเรียนอ่านหนังสือนอกเวลาอย่างจริงจัง 9.2%
10. จัดให้มีมุมอ่านหนังสือ/ ห้องสมุดเคลื่อนที่ในย่านชุมชน/ ศูนย์การค้า 6.5%
โอ้โห..บอกเลยว่าเป็น 10 ข้อเสนอแนะที่โดนใจมาก โดยเฉพาะอยากให้หนังสือราคาถูกลง ถ้าทำได้พี่มิ้นท์ว่าช่วยให้คนไทยจะรักการอ่านมากขึ้น เพราะทุกวันนี้หนังสือดีๆ มีเยอะค่ะ เสียอย่างเดียวที่ราคาแพง คนจึงมองว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ลำพังน้องๆ จะซื้อหนังสือเล่มละ 200-300 บาททุกเดือนก็คงเดือดร้อนไม่ใช่น้อย... แล้วถ้าถามชาว Dek-D.com บ้าง น้องๆ จะเสนอวิธีใดเพื่อส่งเสริมการอ่านบ้างคะ??
ข้อขอบคุณข้อมูลข่าวจาก
สำนักงานสถิติแห่งชาติ,
www.manager.co.th, www.saharajlib.org/forum/topic-492.html
www.mcot.net/, http://www.komchadluek.net
http://scoga.org/read-singapore-closing-ceremony/,
www.edvantage.com.sg/content/60000-participants-read-singapore-year
61 ความคิดเห็น
ถ้าอยากให้ฝึกเริ่มอ่านจริงๆแนะนำให้เริ่มอ่านนิยาย ละครไปเลย ไม่ต้องมานั่งอ่านชีวิตบ้านป่า เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก สองแขนที่กอดโลก
แล้วดูหนังสืออ่านนอกเวลาเมืองนอก มีแต่เรื่องสนุกๆน่าอ่านทั้งนั้น ถ้าใครลองตั้งใจอ่านนะ ทั้งบทละครน้ำเน่า นิยายสืบสวนสอบสวนที่ทำให้เราลุ้นไปตามเรื่อง มันเลยอยากอ่าน
ไม่เหมือนไทย หนังสืออ่านนอกเวลามีแต่แบบคนแก่นั่งบ่น เพลีย
แต่การอ่านนี่ซิ
( อารมณ์ยาวไปไม่อ่าน ถ้าไม่ถึงแก่นจริงๆหลับคาที T T )
5555555555555
มันใช่เลยยย
ควรจะดันนิยายไม่ก็ข่าวในอินเตอร์เน็ต(เนื้อเพลงก็ได้)
แทนที่จะดันแต่ยัดความรู้ให้ลืมโลกมุมอื่น
แล้วสมัยนี้สาววายมันครองโลกแล้ว//เกี่ยวมั้ย คุณจะมากีดกันไม่ให้อ่านการ์ตูนวาย นิยายวายเป็นไปไม่ได้หรอก ต่อหน้าเค้าไม่อ่านคุณรู้ได้อย่างไรว่าลับหลัวเค้าก็จะไม่อ่าน ฉะนั้นอย่ากีดกันในสิ่งที่ลูกชอบ ในสิ่งที่ลูกเป็นเลยถ้าสิ่งนั้นไม่ทำให้เกิดความเสียหายอะไรแก่ใครก็ปล่อยเค้าไปเถอะ เค้าจะได้ไม่ต้องมาหลบๆซ่อน คอยระแวงคุณอยู่อย่างนี้//อันนี้เรื่องส่วนตัวล้วนๆ
ตรงๆไม่อ้อมค้อม ไม่ชอบอ่านหนังสือเพราะมันลายตา ไม่ชอบเขียนบทความเพราะเมื่อยจุงเบย-3-
หนูเชื่อว่า ถ้ามันเกิดขึ้น เด็กๆในโรงเรียนจะโวยวาย ด่าทอ ไม่สนใจ ตามสไตล์เด็กไทยอะค่ะ คือ ทุกวันนี้ คือผู้ใหญ่ทำิอะไรเด็กส่วนใหญ่ก็ค้านเสมอๆ ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่ ค้านไว้ก่อน บ่นไว้ก่อน ค้านไว้ก่ิิอน
1.ราคาแพง ขนาดหนังสือที่อ่านเพื่อความบันเทิงยังราคาเล่มละ 100 บาทขึ้นไป แล้วคนทั่วไปก็มีทัศนคติว่า "เปลืองเงิน100บาทไปซื้อหนังสือไร้สาระพวกนั้นทำไม เอาไปซื้อข้าวจาน 40 บาทได้ตั้ง2จานกับน้ำตั้ง2แก้ว เห็นมั้ย อิ่มไปตั้ง2มื้อ"
2.เสียเวลา คนทั่วไปเช่นนักเรียน พนักงานออฟฟิส หรือคนที่ต้องทำงานหาเช้ากินค่ำ ต่างก็ยุ่งกัน ทั้งนั้น และส่วนมากงานที่ว่ามาน้ันต่างๆ ถ้าละมาสักครู่เดียวก็สามารถทำให้เราเสียเวลาในการทำงาน(ทำเงิน)และยิ่งยุคปัจจุบันที่เราต้องเร่งรีบ และยุคของเงินคือพระเจ้าด้วยแล้วยิ่งแล้วใหญ่
3.อ่านไม่เข้าใจ/น่าเบื่อ หนังสือความรู้ในประเทศไทยส่วนมากจะเป็นประเภท วิชาการจ๋าาา อ่านแล้วน่าเบื่อ หรือไม่ก็ จืดชืดไร้รสชาติ ถ้าให้เปรียบเทียบหนังสือนิทาน ในประเทศไทยกับต่างประเทศ เด็กจะเลือกอะไร ระหว่าง นิทานเรื่อง หนูมาลี กับ ซินเดอเรลล่า
4.มีร้านหนังสือโดยเฉพาะ น้อยมาก ในบางจังหวัด จะหาหนังสือใด้เฉพาะในห้าง(se-ed book) และร้านเฉพาะก็เป็นร้านใหญ่ แต่ผมไม่ปฎิเสธว่าร้านเล็กๆ ก็มี แต่มีไม่ครบทุกประเภท เช่น ร้านขายของชำมีหนังสือพิมแต่ไม่มีนิยาย เซเว่นมีหนังสือหลากหลายแต่ไม่มีหนังสือวิชาการ ร้านข้างบ้านมีแต่หนังสือการ์ตูน นิยาย ไม่มีหนังสือเรียน ร้านอุปกรณ์การเรียนมีหนังสือเรียนแต่ไม่มีหนังสือสอนทำขนม
5.การบังคับ เด็กๆ มักโดนพูดกรอกหูจากครู หรือผู้ปกครองให้อ่านหนังสือ ทำให้ไม่อ่านเพราะเกิดอาการต่อต้าน เช่น ถ้านั่งอยู่แล้วโดนบอกว่า"ไปอ่านหนังสือไป๊" ก็ไม่อยากอ่านอยู่ดี แล้วก็การอ่านหนังสือ ควรเริ่มจากหนังสือที่ เด็กๆ ชอบ เช่น นิทาน การ์ตูน แต่การที่บังคับให้มาอ่านวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เด็ก จะทำให้เด็กไม่อยากอ่าน เพราะเข้าใจยาก น่าเบื่อ ไม่สนุก
6.การบันทึกการอ่าน เด็กมักโดน ครูบอกให้บันทึกการอ่านตั้งแต่เด็ก เพื่อให้ฝึกจับใจความ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดี แต่บางครั้งก็หนักเกินไป เช่น "ต้องทำให้ครบ 60 เรื่อง ในหนึ่งเทอมนะเด็กๆ" การบันทึกการอ่านควรทำโดย ความสมัครใจเป็นส่วนใหญ่มากกว่า
ถ้าจะหาวิธีแก้ก็อยากให้โรงเรียน 1. แจกหนังสืออะไรก็ได้ให้อ่านในคาบว่างก่อนเรียน 2. ไม่ก็แจกหนังสือเล่มเดียวกัน สั้นๆก็ได้ ให้อ่านจบภายในคาบ แล้วก็พูดคุยกันในชั้นเรียนว่าอ่านแล้วรู้สึกยังไง มีข้อคิดอะไรดีๆไหม โดยไม่ต้องเขียนใส่กระดาษสรุปเพราะนักเรียนในชั้นมีเยอะ คงไม่มีเวลามาไล่อ่านหรอก
โรงเรียนต่างชาติเขาให้อ่านแบบนี้กันค่ะ แถมหนังสือก็เป็นพวกวรรณคดีเรื่องสั้นที่น่าสนใจด้วย อยากให้คุณครูในโรงเรียนเอาไปใช้เป็นแบบอย่างบ้างนะคะ
บางเราตกใจกับข้อมูลสถิติว่า คนไทยอ่านหนังสือน้อยมากเกินไป ซึ่งเป็นตรรกะที่พอเข้าใจได้
คนฉลาด = คนมีความรู้ ความรู้=หนังสือ คนที่ไม่อ่านหนังสือ = โง่
แต่ว่าจริงอยู่ที่ในหนังสือมีความรู้ แต่หนังสือจำนวนเกินครึ่งเป็นเรื่องที่เป็นบันเทิงซะมากกว่า ความรู้บางอย่างก็ไม่มีในหนังสือ เช่นความเชี่ยวชาญวิชาชีพ ประสบการณ์ชีวิต ฯ
ดังนั้นความคิดเห็นส่วนตัว การที่เด็กขาดทักษะทางภาษาของชาติตัวเอง คงไม่ได้อยู่ที่คนเด็กอ่านหนังสือน้อยลง แต่ปัจจัยอื่นมีผลมากกว่า ไม่ว่าการเลี้ยงดู การเรียนการสอน หรือสังคม ที่ย้อนเเย้ง อยากให้เด็กเก่งภาษาอังกฤษ แต่ก็กลัวอ่านเขียนภาษาไทยไม่ถูกต้อง เกลียดคนที่พูดไทยคำอังกฤษคำ แต่บางครั้งต้องใช้ภาษาอังกฤษเพื่อแก้ปัญหาความเข้าใจไม่ตรงกัน
การอ่าน ต้องครอบครองหนังสือเอาไว้เป็นของตัวเองด้วย
ทำให้ส่วนของการมีห้องสมุดใกล้บ้าน ตกอันดับไป
จริงๆตัวผมเองก็เป็นเด็กบ้านนอกที่โรงเรียนมัธยมก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร
แต่สมัยเรียนก็เข้าไปอ่านหนังสือของห้องสมุดโรงเรียนบ่อยๆ
แม้จะไม่ได้อ่านเรื่องเรียนซักเท่าไรก็ตาม
พบว่าโรงเรียนก็มีหนังสือดีๆเยอะ
แต่สิ่งที่ขาดคือ...
"เวลาที่จะใช้อ่าน"
เพราะนอกจากยืมกลับบ้านแล้ว
ผมจะมีเวลาแค่ 30-35 นาที เท่านั้น หลังทานข้าวกลางวัน
ตกเย็นก็ห้องสมุดก็ปิดแล้ว
จริงๆโรงเรียนน่าจะต้องมีเวลาให้สำหรับค้นคว้าหรืออ่านเรื่องที่สนใจ
อย่างน้อยอาทิตย์ละสองชั่วโมงต่อเนื่องบ้าง
เพราะการอ่านเพื่อค้นคว้า เพื่อทำรายงานสั้นๆสรุปเนื้อหา
หรืออะไรก็ได้ที่เป็นประโยชน์หน่อย ไม่ไร้สาระอย่าง คัดลายมือ
หรือทำรายงานแบบ "กำหนด X หน้า"
แล้วอยู่ในการดูแลของอาจารย์ ให้เด็กอยู่ค้นคว้าในห้องสมุดร่วมกัน
จะทำให้พวกเขาได้อ่านมากขึ้น
ก็ตอบในมุมของนักเรียนนะครับ อดีตอันผ่านมานานแล้ว
ประเด็นก็คือ
หนังสือ ไม่ต้องซื้อ ก็อ่านได้ ถ้าใจมันอยากจะอ่าน
เพราะถ้าไม่ได้อยากจะอ่าน ซื้อมากองไว้ ก็รำคาญลูกตาเปล่าๆ