สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com .... มาๆๆๆ เจอกับ พี่เป้ และคอลัมน์เล่าประสบการณ์เด็กนอกเช่นเคยทุกๆ วันพฤหัส :D สำหรับเรื่องราวที่นำมาฝากในวันนี้ บอกได้เลยว่าเป็นอีกหนึ่งดินแดนในฝันแห่งยุโรปที่โรแมนติกมากกกก นั่นก็คือ "สวิตเซอร์แลนด์" นั่นเองค่ะ แค่เกริ่นชื่อประเทศแค่นี้ก็น่าสนใจแล้วใช่มั้ยล่ะ งั้นไม่รอช้าค่ะ เรามาอ่านเรื่องประสบการณ์ประจำสัปดาห์นี้ดีกว่า ขอบอกเลยว่า มีครบทุกรส !

           GreutziMitternand ! เริ่มแรกก็ขอกล่าวทักทายแบบชาวสวิสกันเสียหน่อย : ) แนะนำตัวเองก่อนเลย ผมชื่อ "แทน-นนท์ปวิธ แสงเทียนประไพ" เพิ่งจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 มาหมาดๆ จากโรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร สายศิลป์-ภาษาญี่ปุ่น และภาพประกอบทั้งหมดของเรื่องนี้มาจากกล้องถ่ายวีดีโอคู่ใจ, Facebook และจาก Photobook ที่ครอบครัวอุปถัมภ์ของผมทำไว้ให้ก่อนเดินทางกลับ จึงขออนุญาตนำมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้ชมกันครับ

            เมื่อปี 2009 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมโครงการเอเอฟเอส ระยะ 1 ปี รุ่นที่ 48 ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมเพื่อนคนไทยที่เดินทางไปด้วยอีก 7 คน หลายคนคงคิดว่า “เอ๊ะ  เรียนศิลป์ญี่ปุ่นแต่ทำไมเลือกมาประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมันล่ะ?” อันที่จริงก็อยากไปญี่ปุ่นอยู่ครับ แต่ผมคิดว่า คนเลือกญี่ปุ่นเยอะแน่ๆ เราไม่เก่งขนาดนั้นคงได้ยาก ก็เลยเล็งประเทศแปลกๆ ที่น่าสนใจไว้ก่อน ตอนแรกอยากไปฟินแลนด์ที่สุดครับ (แปลกใช่ป่าว?)  แต่เหมือนโชคไม่เข้าข้างเลยเสียจริงๆ จึงจับพลัดจับผลูมาอยู่ประเทศนี้แทน (ตกลงมันคือโชคร้ายใช่ไหมเนี่ย?  ฮ่าๆๆ)

            ผมได้ไปอยู่ ณ เมืองทางตอนเหนือของประเทศที่ชื่อว่า Schaffhausen หากแปลเป็นภาษาไทยแบบตรงๆ คือ “เมืองบ้านแกะ” (มันมีแกะจริงๆ ด้วยนะ ไม่ได้โม้!!!) ที่นี่ค่อนข้างเงียบ ออกแนวกึ่งเมืองกึ่งชนบท มีห้างตึกแถวเล็กๆ ไม่กี่ห้างและแค่2ทุ่มก็ปิดแล้ว ทั้งเมืองจะสงัดสุดๆ  ยิ่งวันอาทิตย์ไม่ต้องพูดถึงเลย นึกว่าอยู่ป่าช้าเลยทีเดียว ความสำคัญของเมืองนี้คือมีน้ำตกไรน์ (Rheinfall) ซึ่งเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรปตั้งอยู่ด้วยล่ะครับ

            ประชากรส่วนใหญ่ในเมืองที่ผมไปอยู่นั้นสื่อสารกันด้วยภาษาเยอรมัน ก็ยังไม่แปลกเท่าไหร่ใช่ไหมล่ะครับ? แต่ภาษาเยอรมันที่ชาวสวิสใช้กันนั้นเรียกว่า Schwiizertüütsch (อ่านออกเสียงว่า “ชวีเซอร์ดุ๊ยทช์”) ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ของผมในระยะแรกที่มาที่นี้เลยก็ว่าได้ เพราะภาษาเยอรมันที่ผมได้เรียนในเบื้องต้นก่อนจะมาที่นี่นั้น สุดแสนจะแตกต่างราวฟ้ากับเหวกับภาษาเยอรมันที่คนสวิสใช้พูดกันจริงๆ แถมยังแตกต่างในพื้นฐานของการออกเสียงในแต่ละท้องถิ่นอีก ยกตัวอย่างเช่นคำว่า KeineAhnung ในภาษาเยอรมันมาตรฐานที่แปลว่า “ไม่มีความเห็น” หรือ “ไม่รู้”  ชาวสวิสจะพูดว่า "Kei Ahnig" แต่แค่ก้าวพ้นไปเมืองติดกัน ก็อาจจะพูดว่า "Ko Oanig" ได้ด้วย!! ซึ่งผมกล้ารับประกันเลยว่า “ยากที่จะเดา  หากไม่มีความรู้มาก่อน” สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่อยากเรียน Schwiizertüütsch ก็คลิกที่นี่ได้เลยครับ http://www.eldrid.ch/swgerman.htm

            มาพูดเรื่องโฮสท์แฟมิลี่บ้าง ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ก่อนเดินทางไม่ถึงเดือน ก็มีอีเมลที่ไม่คุ้น เขียนหัวจดหมายว่า “from FamilyGodenzi” ยอมรับว่าตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ เพราะไม่เคยมีฝรั่งส่งอีเมลมาหาเราเลย เราจึงเปิดอ่านอย่างใจร้อนและตอบกลับไปพร้อมถามคำถามสารพัด (เยอะม๊ากกกจริงๆ ครับ ก็คนมันสงสัยนี่หน่า) หลังจากนั้นก็รออีเมลตอบรับอยู่หลายวัน มีแต่....เงียบ...ไร้การตอบรับ =*= “ เราก็เริ่มรู้สึกใจไม่ดีแล้ว กลัวว่าเขาไม่พอใจอะไรเราหรือเปล่า  แต่เราก็เข้าใจในภายหลังเพราะเขาเปิดคลินิกรักษาสัตว์ ทำงานไม่เป็นเวลา หากมี case ผ่าตัดตอนดึกบางทีก็ต้องอยู่จนถึงเช้า ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีเวลาว่างมาตอบเมล

            ครอบครัวอุปถัมภ์ชาวสวิสของผมมีทั้งหมด 5 คน คือมีพ่อ แม่ พี่สาว 2 คน และน้องชาย ทั้งบ้านเลี้ยงสัตว์ไว้เยอะมาก ผมจึงได้มีโอกาสจับงูเหลือมที่เขาเลี้ยงไว้ด้วยล่ะ O_o” ในตอนแรกเขามีกำหนดรับอุปถัมภ์เราแค่ 3 เดือน แต่อยู่ได้สักระยะหนึ่ง เขาก็ถามเราว่าอยากอยู่กับเขาต่อหรือเปล่า ตัวผมเองก็คิดอยู่สักพัก และตัดสินใจว่าไม่อยากย้ายไปไหนแล้ว อยู่ต่อไปก็ได้ เพราะเขาก็ดูอบอุ่นและใจดี ผมจึงอยู่กับพวกเขาม้วนเดียวจบแบบไม่มีปัญหา

            สำหรับเรื่องการเรียนนั้น ไม่ใช่ว่าเมื่อมาถึงที่นี่แล้วผมจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนทันที  เพราะนักเรียนทุกคนต้องเข้าเรียนภาษาเยอรมันพื้นฐานที่ KlubschuleMigros เป็นเวลา 80 ชั่วโมงก่อน  โดยผมและเพื่อนคนไทยอีก 3 คนมาเรียนที่เมืองซูริค ซึ่งถ้าหากใครยังไม่มีพื้นฐานภาษาเยอรมัน เมื่อเรียนจบคอร์สที่นี่แล้ว ยังไงก็ต้องพูดได้-อ่านได้-เขียนได้อย่างแน่นอน ต่อมาผมได้เข้าเรียนที่ Kantonsschule Schaffhausen หรือที่คนแถวนั้นเรียกสั้นๆ ว่า “Kanti” เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ มีอายุราวๆ 200 ปีเห็นจะได้ แถมอยู่ใกล้บ้านมากๆ เดินเท้าเพียง 5 นาทีก็ถึงแล้ว โรงเรียนจะเริ่มเรียนคาบแรก 7.40น. (เช้ามาก) และเลิกเรียนครึ่งวันหรือถึง 3 โมงเย็น ระบบการเรียนที่นี่แบ่งออกได้ 4 สายคือ ...

3 สายแรกอยู่ใน Maturitätsschule หรือสายสามัญ ได้แก่ 
- สาย m หรือ Musisch-sprachlich (ดนตรีและศิลปะ) 
-
สาย n หรือ Naturwissenschaftlich-mathematisch (วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์) 
-
สาย s หรือ Sprachlich-altsprachlich (ภาษาโบราณ)
ส่วนอีก 1 สายที่เหลือคือ สาย f หรือ Fachmittelschule ซึ่งเกี่ยวข้องกับสายวิชาชีพ (เหมือนเทคนิคพาณิชยการของประเทศไทยนั่นแหละ)

           ตัวผมอยู่ห้อง 1mc  ซึ่งเป็นแผนการเรียนดนตรีและศิลปะ และเป็นชั้นเรียนแรกของที่นี่ (เปรียบได้กับ ม.3 ของประเทศไทย) ทีแรกก็นึกว่าจะหนีพ้นการเรียนเลขและวิทยาศาสตร์ แต่พอเห็นตารางสอนน้ำตาแทบไหล เพราะเนื่องจากเป็นวิชาบังคับพื้นฐานของทุกสายที่จะต้องเรียนเลข 3 คาบต่อสัปดาห์ และวิทยาศาสตร์ 5 คาบต่อสัปดาห์ มันทำให้ผมหนักใจสุดๆ (ทุกสิ่งยังตามหลอกหลอนจริงๆ) เรียนได้สักระยะก็ต้องคุยกับอาจารย์ว่าเราเรียนไม่ไหวจริงๆ (อธิบายเป็นภาษาไทยยังบื้อ แล้วนี่ภาษาเยอรมันจะไม่ช็อคน้ำลายฟูมปากเลยรึไง) เขาก็เข้าใจ และยอมให้เราเลิกเรียนเร็วกว่าเพื่อนในบางวันอีกด้วย ฮี่ฮี่ พอถึงช่วงกลางปีก็ได้เลื่อนไปอยู่ชั้นปีที่ 2 ซึ่งต้องเริ่มเรียนวิชาเลือกเพิ่มเติม โดยผมเลือกภาษาอิตาเลียนเพราะคิดว่ามันท้าทายดี และด้วยความที่ทึกทักไปเองว่าทุกคนต้องเริ่มจากศูนย์เหมือนกัน  แต่ที่ไหนได้...ทุกคนในชั้นเรียนล้วนมีทักษะภาษาอิตาเลียนมาก่อนอยู่แล้ว  ทั้งๆ ที่ตัวเรายังท่องตัวอักษรอิตาเลียนไม่ได้เลยสักนิด -*- แต่บางคนกลับสปีคไฟแลบแล้ว แต่สุดท้ายก็เรียนจบอย่างลากเลือดเลยทีเดียว

            ปัญหาที่ผมเจอเมื่อมาที่นี่คือ การที่ผมไม่ใช่นักเรียนแลกเปลี่ยนคนเดียวของบ้าน เพราะโฮสท์ยังรับอุปถัมภ์เด็กอีกคนหนึ่งชื่อ Marcos เป็นชาวคอสตาริกา ตอนแรกทราบข้อมูลจากอีเมลที่โฮสท์ส่งมาเหมือนกันครับว่าจะมีคนมาอยู่ในบ้านด้วยอีกคน แต่ไม่ทราบว่าเราต้องนอนห้องเดียวกัน! ยอมรับว่ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเพราะผมคุ้นชินกับการนอนคนเดียวมาตลอด แต่ก็ต้องทำใจ เพราะถ้าเราเรื่องมาก เขาก็อาจจะไม่พอใจเราได้ แรกๆ Marcos ก็ดูเหมือนจะเรียบร้อย แต่อยู่ได้สัก 2-3 เดือนลายชักออก !! คุย Skypeกับเพื่อนแหกปากเสียงดัง ทั้งๆ ที่เราก็อยู่ในห้องด้วย แถมมีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาพาเพื่อนชาวละตินมานอนที่บ้าน (แล้วโฮสท์ก็อนุญาตอีกแน่ะ) ส่งเสียงอึกทึกเสียงดังจนผมนอนไม่หลับ เราก็เลยแสดงความไม่พอใจแบบผู้ดีด้วยการคลุมโปง+  เอา ear plug มาอุดหู (ให้รู้ไปเลยว่าไม่พอใจนะท่าน) ซึ่งยังดีที่เขายังมีจิตสำนึกและพาเพื่อนออกจากห้องนอน แต่สุดท้ายเขากับผมก็เข้ากันได้ดี เวลาผมมีปัญหาในเรื่องการบ้าน เขาก็ยินดีช่วยเหลือผมอย่างเต็มใจ สรุปว่าแฮปปี้ดีครับ^^”

           อีกเรื่องที่ไม่พูดไม่ได้คือ ของที่นี่แพงมากกกกก ด้วยความที่สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีค่าครองชีพสูง แพงไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นค่ารถไฟ ค่าอาหารการกิน แม้แต่เข้าห้องน้ำก็ยังต้องเสีย  (1 ฟรังก์สำหรับธุระเบา และ 2 ฟรังก์สำหรับธุระหนัก ) และด้วยความงกเข้าเลือดก็เป็นเรื่องจนได้ เมื่อครั้งที่ผมไปเมืองบาเซิลl เลยแอบขึ้นรถรางโดยไม่ซื้อตั๋ว แหะๆ  สักพักก็มีผู้ชาย 2 คนแต่งตัวเหมือนคนทั่วไปขึ้นมาบนรถ และประกาศว่า “ขอตรวจตั๋วทุกคน!” ผมคิดตอนนั้น “ตายแน่ๆ นนท์ปวิธเอ๋ย” ผมก็อาศัยจังหวะเนียนๆ ลุกไปกดกริ่ง แต่เขาดันไหล่ผมให้ลงไปนั่ง แล้วผมก็ตายจริงๆ ครับ เมื่อผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ทำหน้าซีด ผลกรรมครั้งนั้นคือโดนปรับไป 100 ฟรังก์ถ้วน (ประมาณ 3,200บาท) จึงเป็นข้อคิดเตือนใจให้ทุกคนว่า อย่าลองดี กรรมมันสนองติดจรวดจริงๆ T-T

สำหรับนิสัยและวัฒนธรรมแบบสวิสที่ได้พบเห็นก็พอสรุปได้ดังนี้ครับ

- เพื่อน...เห่อระยะโปรโมชั่น :  วันแรกที่เข้าไปเรียน เพื่อนในห้องตื่นเต้นมาก (ราวกับเจอสัตว์ประหลาด!!)  มองหน้าผมจนแทบไม่มีสมาธิเรียนเลย  เดินมาคุยและถามเราสัพเพเหระ แต่ก็แค่ระยะแรกจริงๆ เพราะสักพักก็ไม่เห่อเราเหมือนแต่ก่อน คนที่นี่เป็นประเภทว่า ... ถ้าเราอยู่เงียบๆ เขาก็จะเงียบกับคุณ ผมจึงต้องงัดความสามารถพิเศษด้วยการเขียนชื่อภาษาไทยและพูดภาษาไทยให้เขาฟัง แต่ก็ตามเคยครับ สักพักก็ไม่สนใจแล้ว สรุปต้องเป็นตัวเราที่ต้องปรับตัวเข้าหาพวกเขาเองอยู่ตลอดเวลา

- มารยาทสุดเนี้ยบ : ไม่รู้ว่าเป็นเฉพาะครอบครัวรึเปล่า ตัวอย่างเช่น เวลาทานข้าวทุกคนต้องเป๊ะ ใครมานั่งโต๊ะทานข้าวไม่ทันเวลาจะต้องกล่าวขอโทษแบบรู้สึกผิดมากๆ (ทั้งที่คนอื่นอาจไม่คิดอะไร) นอกจากนี้ไม่ควร “เรอ” แบบไม่เกรงใจ เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่หยาบคาย (พี่สาวคนกลางของผมโดนว่าเรื่องนี้บ่อยมาก :P)

- ดื่มดุ : ชาวสวิสนิสัยคล้ายๆ ชาวเยอรมันในเรื่องการดื่มเบียร์ และคิดว่าเผลอๆ “ดื่มดุ” กว่าชาวเยอรมันด้วยซ้ำ ที่นี่เด็กอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปสามารถซื้อบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเข้าผับเข้าบาร์ได้แล้ว (เกณฑ์กำหนดอายุของรัฐ Schaffhausen) ตามสถานีรถไฟเราจะเห็นวัยรุ่นสวิสไม่หลับไม่นอน ยืนตั้งก๊งเบียร์ หรือสูบบุหรี่ควันโขมงหรือตะโกนส่งเสียงดัง หรือไม่ก็นอนเมาแอ๋บนพื้นถนน สำหรับตัวผมเองไม่ใช่ Party lover จึงไม่สันทัดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่

- ตรงต่อเวลา...สำคัญสุโค่ย“นัดใครไว้กี่โมง ต้องไปถึงที่นัดหมายก่อน 10-15นาที”  นี่ถือเป็นเรื่องมารยาทสุดเนี้ยบอย่างหนึ่งที่สำคัญมาก  หากรู้ว่าตัวเองต้องไปถึงสาย ต้องโทรก่อนล่วงหน้าและไม่ควรให้เขาเป็นฝ่ายคอย เรื่องพวกนี้ใช้ได้เฉพาะกับผู้อาวุโสครับ เพราะวัยรุ่นก็แอบสายกันเป็นเรื่องปกติ ฮ่าๆ อีกเรื่องหนึ่งคือการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ รถบัส หรือรถรางของที่นี่ตรงเวลามาก ออก 9 โมงเช้า ก็คือ 9.00 น.จริงๆ (“ตรง” จนแอบท้อ ฮ่าๆ) ฉะนั้นระวังในเรื่องนี้ด้วยครับ

- กิน "ชีส" ทั้งวัน : ถ้าอยากได้อารมณ์สวิสแท้ๆ ก็ต้องจัดไปเลย “ชีส” ครับ  คนสวิสเขากินกันเป็นบ้าเป็นหลังจริงๆ จะต้องมีชีสในอาหารทุกประเภทไม่ว่าจะคาวหรือหวาน แถมมีให้เลือกหลายประเภทมากๆ ที่ขึ้นชื่อเลยคือชีส Gruyère และ  Emmentaler อาหารที่ขึ้นชื่อมากและหารับประทานได้ทั่วไปในสวิตเซอร์แลนด์คือ Rösti (เส้นมันฝรั่งทอดให้กลมและมีสีเหลืองทอง) รับประทานคู่กับไส้กรอก Cervelat และเมนูอื่นๆ อีกมากมาย ส่วนเนื้อแปลกๆ ก็พบได้ปกติครับ เนื้อกวาง เนื้อกระต่าย อะไรอย่างนี้ บางทีนั่งกินไปก็นึกสังเวชในใจไปก็มี  :S

            และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเรื่องเที่ยวครับ พลาดไม่ได้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเมืองใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียงอย่าง Bern, Basel , Lucano, Lausanne, Genève, Luzern หรือ Interlaken เป็นต้น ส่วนนอกประเทศไม่ค่อยได้ออกจริงๆ เพราะงบที่จำกัดและค่าใช้จ่ายที่สูง จึงมีโอกาสได้ไปเที่ยวแค่เมืองชายขอบอย่าง Konstanz ของเยอรมนีเท่านั้น  แต่ที่ประทับใจสุดก็คือการได้ไปกรุงโรม ประเทศอิตาลี  เราไปทั้งครอบครัวด้วย...รถยนต์ครับ  ใช้เวลาเดินทางจากสวิตเซอร์แลนด์ข้ามพรมแดนมายังอิตาลี สิริเวลารวมก็แค่ 16 ชั่วโมงเท่านั้นเอง  =*= “ เมื่อได้มาเที่ยวจริงๆ ก็พบว่าโรมเป็นเมืองที่สวยงามจริงๆ  ผมได้มีโอกาสเข้าไปใน Colosseum อันเป็นสนามกีฬาของชาวโรมันในอดีต ได้ชมน้ำพุ Trevi ที่เชื่อกันว่าหากโยนเหรียญลงไปในน้ำพุ ก็จะได้มีโอกาสกลับมายังอิตาลีอีกครั้ง (มีหรือที่ผมจะพลาด!) และที่เป็นไฮไลท์สุดคือ การได้เข้าไปในนครรัฐวาติกันเพื่อขึ้นชมวิวของกรุงโรมบนยอดโดมของวิหาร St. Peter’s Basilica และเข้าไปชมสุสานใต้ดินของเหล่าบรรดาอดีตพระสันตปาปาแห่งโรมันคาทอลิก ซึ่งต้องบอกว่าขลังและสุดยอดจริงๆ ครับ

            นี่เป็นเพียงเรื่องราวเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิตในต่างแดนของผมเองครับ แม้ว่าเหตุการณ์ต่างๆ จะผ่านไปล่วงเลยไปได้ 2 ปีแล้ว แต่ภาพความทรงจำอับแสนอบอุ่นยังคงอยู่ในใจเสมอ  อาจจะมีบางภาพในนี้ที่เบลอๆ ไม่ชัดเจนก็ต้องขออภัยด้วยเพราะถ่ายจากกล้องวีดีโอ แถมภาพบางส่วนก็หายไปพร้อมกับไวรัส จึงต้องใช้รูปที่มีเหลืออยู่ใน facebook มาลงแทน T-T  และหากเพื่อนๆ น้องๆ คนไหนอยากเข้าร่วมเป็นหนึ่งในครอบครัว AFS เหมือนผมแล้วล่ะก็ ติดตามข้อมูลได้ที่ www.afsthailand.org เลยครับ สำหรับตอนนี้ต้องกล่าวลาทุกคนด้วยคำว่า Tschau!

            โอ้โห เป็นเรื่องที่ พี่เป้ อ่านแล้วชอบมากๆ แต่ตอนที่น้องแทนเล่าว่าโดนปรับค่ารถรางนั้น ทำไมพี่อ่านแล้วแอบขำก็ไม่รู้อะ 5555 แต่โดยรวมแล้ว ถือเป็นประเทศที่น่าอยู่จริงๆ ค่ะ เพราะเงียบสงบและธรรมชาติสวยมากๆ ใครได้ไปแลกเปลี่ยนนี่โชคดีจริงๆ เลยเนาะ ^^ ส่วนใครมีประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ อยากแบ่งปันเพื่อนๆ ก็ส่งมาได้เหมือนเดิมที่ pay@dek-d.com แล้วเจอกันค่ะ

เด็กดีดอทคอม :: 3 ประเทศที่มีสงกรานต์เหมือนเมืองไทย; tags: holi, tomatina, สี, อินเดีย, โปแลนด์, สเปน, เทศกาล, ประเพณี, สงกรานต์

 

 


ถึงเป็นแค่ช่วงสั้นๆ ... แต่ก็มันส์ใน "เพิร์ธ"

บุกไปเรียนภาษา ณ แดนจิงโจ้
แอบเม้าท์คนออส ทั้งเรื่องน่ารักและเรื่องรับไม่ได้ !

 Available on Dek-D.com, Study Abroad
Thursday 12 May 20110

 

พี่เป้
พี่เป้ - Columnist มนุษย์บ้างานและบ้านวด ผู้ตกหลุมรักปลาแซลมอน การนอน และและออฟฟิศ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

36 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
False Member 5 พ.ค. 54 07:05 น. 2
สวิตเซอร์แลนด์..ก็ดูดีนะ แต่สิ่งที่เราชอบมากที่สุดคืออากาศ ฮ่าๆๆ
ลูกพี่ลูกน้องเราก็อยู่ประเทศนี้ แต่อยู่ที่เมือง Bern จ้า :)

ปล.รออ่านของวีคหน้าต่อไป เย้ๆ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Tan_noiZ Member 5 พ.ค. 54 20:47 น. 16
บทความได้ฤกษ์คลอดเสียที เย้!! ป.ล. กำลังเวิ่นเว้อกับการประกาศผลแอด อ๊ากกกกก ดีใจ

แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 5 พฤษภาคม 2554 / 21:48
0
กำลังโหลด
Nü©hìí Member 5 พ.ค. 54 23:43 น. 17
 
WOW ! ขอบคุณมากค่ะที่มาแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง

อ่านแล้วเพลินๆ อิอิ

สวิตเซอร์แลนด์ ,, เป็นประเทศในฝันเลยยยยอ่า

อยากไปมากกกกกกกๆๆๆๆๆ 

แต่คงไม่ไปเรียนอ่ะค่ะ ไม่ไหวเรื่องภาษา แหะๆ

คงจะเที่ยวอย่างเดียว แต่ต้องเก็บตังค์อีกกีสิบปีก็ไม่รู้ ~

ทุกอย่าง ณ ที่นั่นยิ่งแพ๊ง แพงงงงงงงงง ^^'
0
กำลังโหลด
W@OI Member 6 พ.ค. 54 00:12 น. 18
เนี๊ยบจริงอะไรจริง ถ้าสังเกตดีๆ ห้องน้ำที่สวิตเซอร์เเลนด์สะอาดมาก ถึงมากที่สุด
ถนนหนทางก็ได้รับการดูเเลอย่างดี ขยะเเทบไม่มี การคมนาคมก็ราบรื่น ไม่มีที่ใหนที่รถเมย์ไปไม่ถึง

เอิ๊ก

อยู่เเถวๆชาฟเฮาเซ่นหรอค่ะ เราอยู่ซูริคน๊า เเถวๆสนามบินโคเต็นเเหละจ๋า

ป.ล ของเราว่าไม่ค่อยเเพง ภาษีกับประกันชีวิตเเพงกว่า ยิ่งตอนนี้มีการขึ้นค่ารถเมย์ของเยาวชนด้วย กำลังจะเเย่กันเเล้วจ้า ไม่รู้ว่าบุ๊นเด็ชร๊าจเค้าคิดอะไรกันอยู่
0
กำลังโหลด
Lena 8 พ.ค. 54 15:56 น. 19
Swiss สวยจิง ๆ ๆ ๆน้ะ พูดได้ว่เป็นเมืองผู้ดีที่สุดในยุโรปเลยก้อว่าได้ เพื่อน ๆที่นั่นพูดกับเราเพราะมาก มีความสุขมาก เเต่งตัวได้ตามสบาย ไม่มีคนมาด่าว่าเเรดเหมือนในเมืองไทยด้วย ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ บอกได้เเค่ว่า สวิสดีสุดๆ ๆ ๆ ๆ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด