หนึ่งปีชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยน ณ เยอรมัน ย้ายบ้านมาแล้ว 5 หลัง!!

        สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เจอกับ พี่เป้ และเล่าประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ ทุกวันพฤหัส สำหรับเรื่องที่นำมาฝากวันนี้ มาจากอีกประเทศยอดฮิตที่มีน้องๆ เขียนส่งมาบ่อยมาก นั่นก็คือดินแดนไส้กรอกอร่อย "เยอรมัน" นั่นเอง แทบจะตั้งเป็นสมาคมนักเรียนแลกเปลี่ยนไทย-เยอรมันแห่ง Dek-D ได้แล้ว 5555+

         ไฮไลต์ของเรื่องวันนี้คือ "การย้ายโฮสท์แฟมิลี่" นั่นเองค่ะ จริงๆ เป็นเรื่องที่เกิดได้กับทุกคน แต่กับน้องคนนี้เค้าย้ายถึง 5 บ้าน !!!! โอวววจะเยอะไปไหนเนี่ย เกิดอะไร?? ทำไมต้องย้าย ?? ลองหาคำตอบไปพร้อมๆ กันจากประสบการณ์เด็กนอกเรื่องนี้ได้เลยค่ะ

        สวัสดีค่ะ ชื่อ “แตงโม” เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนโครงการ AFS รุ่นที่ 50 ภาคพื้นทวีปใต้ ประเทศเยอรมัน สำหรับเหตุผลที่เลือกไปเยอรมันเพราะว่า เลือกทำตามความฝันสมัยเด็กค่ะ ตอนประมาณอยู่ป.2 เคยคุยเล่นกับคุณพ่อว่าอยากเรียนภาษาเยอรมัน หลังจากนั้นก็เลยเริ่มหลงใหลในประเทศเยอรมัน ต่อมาประมาณอยู่ป.4 ได้ของขวัญวันเกิดจากเพื่อนแม่เป็นหนังสือเรื่อง "ประเทศเยอรมัน" หลังจากนั้นมาก็เลยตั้งใจไว้ตลอดว่าชีวิตนี้จะต้องไป "เหยียบ" เยอรมันให้ได้สักครั้ง

        สำหรับที่ไปเยอรมันครั้งนี้ เราย้ายบ้านทั้งหมดห้าครั้ง รวมๆ ก็ห้าโฮสท์แฟมิลี่ด้วยกัน ตอนแรกอยู่เมือง Wandlitz และ Bernau bei Berlin เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ติดกับกรุงเบอร์ลินในรัฐบรานเดนบวร์ก จากนั้นก็ย้ายเข้าไปอยู่ในกรุงเบอร์ลิน (Berlin) ซึ่งเป็นเมืองหลวง และสุดท้ายก็ย้ายไปอยู่ที่เมืองโคโลญ (Cologne) ซึ่งเหตุผลที่ต้องย้าย ไม่ได้เกิดจากตัวเราเลย เลยพยายามมองในแง่ดีว่า คงเพราะชะตาอยากให้เรารู้จักประเทศเยอรมันให้ดีขึ้นล่ะมั้ง คุณแม่จากบ้านที่สี่เคยปลอบใจว่า ถ้ายิ่งย้ายบ้านเยอะ ก็จะมีแต่คนรักเรามากขึ้น คุณแม่จากบ้านที่สองก็คอยบอกเสมอว่าอย่าไปกลัว เพราะที่ไหนก็มีแต่คนดีทั้งนั้นแหละ ให้เปรียบว่าเหมือนกับขึ้นภูเขา เพราะกว่าจะขึ้นไปนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่สุดท้ายมันก็คุ้ม เพราะจากบนยอดนั้นเราก็ได้เห็นวิวสวยๆ จากข้างบนนั่นเอง

         เริ่มจากตอนแรก เราบินไปเยอรมันโดยที่แทบไม่ได้รับการติดต่อจากโฮสท์เลย ได้อีเมลมาฉบับเดียว นอกนั้นก็เป็นแค่ข้อความบรรทัดเดียวในเฟสบุ๊คประมาณ 2-3 ครั้ง  ครั้งหลังเขียนอีเมล์ไปก็ไม่ตอบ รูปก็ไม่ได้เห็นเลย พอถึงเบอร์ลินแล้วลงรถไฟไป โฮสท์ก็ไม่ได้มารอรับ เพื่อนๆ ก็กลับบ้านกันไปหมด เหลือเรากับเพื่อนอีกคนนึงที่ต้องยืนรอกับเจ้าหน้าที่เอเอฟเอส รอนานเหมือนกันกว่าโฮสท์จะมารับ

        อยู่บ้านโฮสท์แรกค่อนข้างปรับตัวยาก โฮสท์มีลูกชายสองคน อายุ 17 กับ 15  นอกจากจะชอบเข้มงวดเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารแล้ว ยังคาดหวังสูงว่าเราจะต้องได้ภาษาเยอรมันเร็วๆ ต้องเรียนภาษาเยอรมันด้วยตัวเองอย่างน้อย 1 ชั่วโมงทุกวัน เพราะแถวบ้านไม่มีโรงเรียนภาษาเลย หลังจากไปอยู่ได้สองวันก็ต้องไปโรงเรียน ต้องขี่จักรยานวันละห้ากิโลไป-กลับโรงเรียนเกือบทุกวันท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ รวมกันก็วันละสิบกิโล เราเรียนห้องเดียวกับน้องชาย ต่อมาน้องชายพูดจาไม่ดีทั้งบ้านและที่โรงเรียน ...... อยู่มาวันหนึ่ง เราเห็นป้ายประกาศหาบ้านให้เราติดที่บอร์ดโรงเรียน!! เพื่อนๆ ทุกคนในห้องรู้กันหมดแล้วว่าเราต้องย้าย แต่เราเพิ่งมารู้คนสุดท้าย = =" พอสองอาทิตย์ถัดมา พ่อกับแม่จึงคุยด้วยและบอกว่า ที่ต้องย้ายเพราะว่าเขาไม่มีเวลาให้ และเขารู้ดีถึงพฤติกรรมลูกชายคนเล็กด้วย เพราะลูกเขาอิจฉาเรานั่นเอง ดังนั้นเราจึงต้องย้าย รวมเวลาทั้งหมด 6 สัปดาห์ในบ้านหลังนี้

         บ้านที่สอง เป็นบ้านของเพื่อนผู้หญิงในห้องคนหนึ่ง มีน้องสาวอีกหนึ่งคนอายุเก้าขวบ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก วันแรกไปถึง นึกว่าโฮสท์แฟมิลี่ของเราเป็นโฮสท์แม่กับโฮสท์ตา เพราะพ่ออายุห่างกับแม่เป็นทศวรรษอยู่ !! ถึงโฮสท์พ่อกับแม่จะชอบทะเลาะกันเสียงดังทุกวัน แต่ก็ยังโอเคและมีความสุขมาก เพราะโฮสท์ที่สองเอาใจใส่ดี ทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นคนสำคัญในครอบครัวของเขา ขอแค่อย่างน้อยเขาไม่ทะเลาะกับเราก็เป็นพอ 555+ แม่เป็นคนที่อบอุ่นและเอาใจใส่กับสิ่งรอบตัวมาก ก่อนนอนก็จะกอดทุกคืน เป็นแนวร่วมกรีนพีซ พ่อเป็นคนเฮฮามุขตลกร้าย และชอบเล่าเรื่องให้ฟัง ไปไหนก็พูดคุยกัน พ่อเคยให้เราสอนธรรมะ เขาหวังว่าเราจะช่วยแนะทางเปลี่ยนชีวิตเขาได้ เลยงานเข้าเลย เพราะต้องฟื้นความรู้วิชาจริยธรรม 555!
 
         ส่วนน้องสาวคนเล็กเป็นเด็กที่มีจิตใจดีและไม่ยอมกินเนื้อสัตว์เลย ชอบหยิบสารพัดตุ๊กตาสัตว์ออกมานั่งชี้สอนเราว่าแต่ละตัวเรียกว่าอะไรบ้าง อยู่บ้านนี้เราก็หมั่นคุยกับโฮสท์ ช่วงนั้นทักษะภาษาเลยพัฒนาเร็วเป็นเท่าตัว กว่าจะสื่อความได้จริงๆ ใช้เวลาทั้งสิ้นสองเดือนครึ่ง อยากแนะนำว่า ถ้าอยากเก่งเร็วให้เป็นคนช่างพูด ช่างซักช่างถาม เราจะได้คำศัพท์ใหม่มากขึ้น จนตอนหลังโฮสท์พ่อทั้งบ่นทั้งชมเลยว่าเราพูดคล่องเหมือนน้ำตก

         ปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ก็คือ เรากับเพื่อนผู้หญิงคนนั้นช่วงแรกก็ดีอยู่ยังคุยกันเล่นกันบ้าง แต่พักหลังไปโรงเรียนก็แทบไม่ได้คุยด้วยกันเลย เจอหน้ากันเราทักก็ไม่ทักตอบ พอไปค่ายก็บอกเพื่อนๆ บนโต๊ะอาหารต่อหน้าเราว่า การมีเด็กแลกเปลี่ยนนั้นเปลืองตังค์ ต้องคอยลำบากทำนู่นทำนี่ให้ตลอด ปิดเทอมไปเที่ยวกับครอบครัว เราเลยทำตัวติดอยู่แต่กับน้องสาวคนเล็ก เพราะเพื่อนจะหงุดหงิดตลอดเวลา แต่ที่เป็นปัญหาคือ โฮสท์แแรกยังตามมารังควาญ ออกจากบ้านแรกมาตั้งนานแล้วแล้ว ลูกโฮสท์เก่าก็ยังรังควาญไม่หยุด ชอบนินทาเราลับหลังให้คนอื่นเกลียดเรา จนเพื่อนร่วมห้องเอือมระอากับนิสัยของเขา สุดท้ายเขาก็มาขอโทษ เลยให้อภัยเขาไป วันนั้นเลยมีความสุขสดชื่นมากๆ

         พอตอนปิดเทอมก็ไปเข้าค่ายสนุกมาก แต่หลังจากกลับมาก็พบว่าต้องย้ายโฮสท์ เพราะโฮสท์ที่สองมีปัญหาเรื่องเงิน รวมเวลาในบ้านที่สอง 4 เดือนด้วยกัน เป็นบ้านที่อยู่นานที่สุดและผูกพันมากที่สุด จากนั้นก็ย้ายไปอยู่บ้านของเจ้าหน้าที่ AFS ในเบอร์ลิน 4 วัน ถือเป็นโฮสท์ที่สาม พวกเราเด็กไทยในขณะนั้นชอบเรียกเขาว่า "ป้าซูซาน’’  เป็นช่วงเวลาสี่วันที่มีความสุขมาก อากาศแจ่มใส ป้าพาไปนั่งเรือ พาไปเดินเล่น ระหว่างนั้นคนรู้จักก็ช่วยหาบ้านให้ พอได้บ้านแล้ว ก็ย้ายอีกรอบ

        บ้านต่อมาหรือโฮสท์ที่สี่ มีโฮสท์ยายคนเดียว อายุหกสิบกว่าๆ แล้ว คุณยายเป็นนักแปลภาษารัสเซีย พูดอังกฤษไม่ได้ อาศัยอยู่คนเดียวในคอนโดเล็กๆ ไปวันแรกค่อนข้างตกใจเพราะบ้านเล็กมาก เราต้องนอนเตียงซึ่งเป็นโซฟาที่พับได้ คุณยายน่ารัก ใจดีมากคอยเทคแคร์ตลอด ขาดเหลืออะไรบอกได้ทุกอย่าง อยากทำอะไรก็ให้ทำ กินข้าวหน้าทีวีทุกวันก็ได้ ทุกเย็นวันพุธก็จะไปเข้าชมรมเยาวชนที่โบสถ์ใกล้ๆ บ้านถึงสามทุ่ม กิจกรรมก็แค่นั่งพูดคุยกัน ดูหนัง เล่นเกม เลยได้เพื่อนต่างชาติจากชมรมเยอะเลย ทุกเสาร์อาทิตย์คุณยายจะขับรถพาไปเที่ยวไกลๆ ไปดูคอนเสิร์ต  ระหว่างนั้นไปเข้าค่ายสามอาทิตย์กับ AFS พอกลับมาถึงบ้านก็ต้องย้ายอีกแล้ว เพราะยายมีปัญหาทางด้านการเงิน และต้องไปธุระบ่อยๆ และเขาไม่อยากให้เราต้องอยู่บ้านคนเดียว

         บ้านต่อมาอยู่ในเบอร์ลิน ก็บ้านของป้าซูซานนั่นแหละ  5555 สรุปคือย้ายกลับมาโฮสท์ที่สามอีกรอบ นึกไม่ถึงว่าในที่สุดป้าเขากลายเป็นโฮสท์แม่เราจริงๆ  โฮสท์นี้เป็นโฮสท์ชั่วคราว ตั้งใจจะรับแค่ระยะสั้นๆ บ้านนี้มีแม่(ป้าซูซาน) พ่อ มีพี่สาวอายุ 27 พี่ชายอายุ 23 และ 21 และน้องชายอายุ 15 แต่พี่สาวกับพี่ชายคนโตย้ายออกไปแล้ว เหลือแต่พี่อีกคนและน้องชาย

         พอไปถึงปุ๊บ สามวันต่อมาโฮสท์พ่อก็ป่วยเป็นลิ่มเลือดอุดตันในปอด ถ้าไปหาหมอช้ากว่านี้อีกนิดก็คงไม่รอด เลยต้องนอนพักอยู่โรงพยาบาลหลายวัน ทางบ้านก็ค่อนข้างวุ่นวาย เราก็กลัวมากว่าโฮสท์พ่อจะไม่รอด ระหว่างนั้นปิดเทอมพอดี เลยไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่โคโลญ เลยได้เล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง พ่อแม่ของเพื่อนก็ชวนมาอยู่ด้วยกัน เรารู้สึกแปลกๆ เลยบอกเขาว่า ขอคิดดูก่อน เพราะส่วนหนึ่งก็รู้สึกสังหรณ์ใจและรู้สึกประทับใจโฮสท์แม่หรือป้าซูซานมากด้วย ซึ่งโฮสท์แม่ในขณะนั้นก็เข้าใจดี แต่บ้านป้าซูซานนั้นอยู่นานไม่ได้ เพราะทางบ้านรับเด็กแลกเปลี่ยนมาติดต่อกันห้าปีทั้งระยะสั้นระยะยาว รวมเกือบยี่สิบคนก็ว่าได้ และเด็กแลกเปลี่ยนคนสุดท้ายก่อนหน้าเราคนนึงเคยทำตัวไม่ดี ลูกๆ และพ่อเลยเข็ด ไม่อยากรับเด็กแลกเปลี่ยนอีก สุดท้ายเราก็ต้องย้ายไปอยู่โฮสท์ที่ห้า รวมเวลาที่อยู่กับป้าซูซาน 7 สัปดาห์

         ตอนย้ายไปบ้านที่ห้าเป็นช่วงที่ทำใจยากที่สุด เพราะต้องลาทุกๆ คนที่รู้จักกันตั้งแต่ต้นเลย ตอนที่ป้าซูซานไปส่งขึ้นสถานีรถไฟเบอร์ลิน จู่ๆ ก็หันมาตาแดงจะร้องไห้ เพราะจริงๆ แล้วเขาก็ไม่อยากให้เราต้องย้ายเลย ที่เขานิ่งเฉยเพราะเขารู้และอยากยื้อเวลาให้เราอยู่กับเขาให้นานที่สุด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แล้ว เพราะลูกๆ ของเค้าเริ่มทวงสัญญาที่แม่เคยให้ไว้ว่าจะไม่รับเด็กแลกเปลี่ยนมาอีก

        มาถึงโฮสท์บ้านที่ห้า มีลูกสาวสามคน คนโตอายุ 16 แลกเปลี่ยนอยู่ที่ชิลี คนรองอายุ 14 และคนเล็กอายุ 12 เป็นบ้านที่อยู่แล้วตื่นเต้นที่สุด เรียกว่า "โหด มันส์ ฮา" เพราะโฮสท์แม่เป็นศิลปินเจ้าอารมณ์และอ่อนไหวง่าย แม่เป็นช่างทอง เก่งเรื่องศิลปะและงานฝีมือมาก นอกจากนี้ยังทำอาหารเก่งและเล่นดนตรีได้เก่งอย่างน่าทึ่งอีกด้วย แต่ยามโกรธจะน่ากลัวเหมือนแม่มด ยามใจดีก็จะดีประดุจนางฟ้า ลุ้นทุกวันกับกับเพื่อนว่าวันนี้แม่จะมาอารมณ์ไหน 5555  ตอนที่อยู่นั่นก็มีบ้างที่ยากที่จะปรับตัวเข้ากับโฮสท์แม่ เพราะส่วนใหญ่เขาชอบวางแผนจัดการสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง ตัวเองจะถูกเสมอ คนอื่นต้องมีเหตุผลเพียงพอที่จะไม่ทำตาม ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นสิ่งที่ผิด และอาจทำให้เขาฉุนได้

         เช่น ตอนอาทิตย์แรก เราบอกว่าอยากไปหาหมอเพราะเป็นหอบหืด แต่โฮสท์แม่ไม่อยากพาไป เขาก็บอกว่าเราเป็นเด็กที่มั่นใจในตัวเอง คิดเองก็เป็น ทำไมจะต้องให้หมอมาคอยสั่งด้วยว่าต้องทำอะไรบ้าง = =" เราก็เลยแย้งว่าเราเป็นคนมั่นใจในตัวเองก็จริง แต่เราก็อยากรับฟังคำแนะนำจากหมอ ระหว่างนั้น เขาเหลือบไปเห็นว่าเราไม่ได้ทำความสะอาดห้องในวิธีที่เขาบอกไว้ เลยโดนเล่นงานหนักเลย เรายอมรับว่าเราตกใจกลัวจนตัวสั่น มือเย็น หน้าซีด น้ำตาไหลไม่หยุดไปซักพักใหญ่ๆ วันนั้นเลยรู้จักความกลัวอย่างแท้จริงตั้งแต่เกิดมา โฮสท์แม่เห็นเลยต้องหยุดเพื่อนั่งโอ๋ๆ ให้เราหาย

         จริงๆ มีอีกหลายเรื่องที่เคยเกิดขึ้น แต่ก็ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระที่เกิดจากอารมณ์ทั้งสิ้น แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเช่นกัน เช่น ช่วงวันคริสต์มาส ช่วงนั้นโฮสท์แม่อารมณ์ดีมาก นอกจากได้กินอาหารอร่อยๆ แล้วยังรู้สึกสดชื่นกว่าปกติอีกด้วย หรือว่าจะเป็นช่วงปีใหม่ที่ได้ไปฉลองอย่างครื้นเครง หรือจะเป็นตอนที่เรานั่งรถไปกับโฮสท์แม่สองคนเพื่อไปชมวิวหุบเขา ซึ่งนั่นมันก็เป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน เลยขอเลือกจำแต่สิ่งที่ดีมากกว่า สุดท้ายก่อนกลับไทย โฮสท์แม่คนนี้ก็เขียนจดหมายยาวเหยียดให้ไปอ่านบนเครื่องบิน เนื้อความส่วนหนึ่งเขียนไว้ว่าจริงๆ แล้วในส่วนลึกเขาก็ชอบเราเหมือนกัน ก็เลยเหมือนกับผ่านไปได้ด้วยดี ปีที่ไปแลกเปลี่ยนเลยจบลงอย่างสวยงาม

         งานนี้ต้องขอขอบคุณเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนร่วมบ้านที่คอยฟังเราบ่นอย่างไม่เหนื่อยหน่าย 555+ จริงอยู่ว่าคนทุกคนนั้นแตกต่างกัน พอได้รู้จักคนเยอะก็ยิ่งบอกไม่ได้ใหญ่ว่า จริงๆ แล้วคนเยอรมันนิสัยอย่างไรกันแน่ แต่สิ่งที่เห็นได้บ่อยๆ และน่าประทับใจในคนเยอรมันนั้นคือ การที่ทุกคนมีอิสระในความคิดของตนเองสูง มีการให้โอกาสในการแสดงออกและเคารพความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างแท้จริง คนทุกคนจะถูกผลักดันให้แสดงความคิดเห็นของตนเองต่อสิ่งรอบตัว เด็กๆ จะถูกปลูกฝังให้เรียนรู้จากความเป็นเหตุเป็นผล ทำให้เกิดเป็นเป็นจิตสำนึกของคนที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เลยทำให้ประเทศเค้าพัฒนามาได้ไกลทั้งๆ ที่ผ่านสงครามโลกครั้งที่สองมาไม่นาน

         ถึงจะย้ายห้าบ้านก็ดีไปอีกแบบ เพราะทำให้ได้เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น ทั้งชีวิตของตนเองและทุกๆ คนที่มีโอกาสได้รู้จัก ว่าแล้วก็ต้องปรับตัวให้ได้ในทุกๆ อย่าง เป็นการเรียนรู้ที่จะแสดงความเป็นตัวของตัวของตัวเองต่อผู้อื่นเพราะเราต้องเข้ากับเพื่อนใหม่ๆ โฮสท์ใหม่ๆ ให้ได้ บางคนอาจลังเลใจเรื่องการไปแลกเปลี่ยน ว่าไปแล้วดีไหม หรือไปแล้วคุ้มไหม จากตรงนี้ก็ยืนยันได้ว่าคุ้มค่ะ  การเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนนั้นลำบาก แต่สุดท้ายก็คุ้ม ถึงจะได้ภาษา แต่ภาษาไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ที่สำคัญจริงๆ คือประสบการณ์ต่างหาก เพราะภาษาถ้าไม่ได้ใช้เราก็ลืม แต่ประสบการณ์นั้นจะเป็นสิ่งที่ติดตัวเราไปตลอดเหมือนกับว่าเรามีต้นทุนชีวิตมากกว่าคนอื่น

         สุดท้ายขอบคุณเพื่อนๆ ที่อ่านจบ หวังว่าเพื่อน ๆคงจะได้แง่คิดจากประสบการณ์ตรงนี้ ถึงดราม่าไปนิด ยาวไปหน่อยก็อย่าว่ากันเลย 555+ ใครอยากคุยหรือปรึกษาขอคำแนะนำเรื่องการไปแลกเปลี่ยนก็ส่งอีเมล์มาคุยกับเราได้ที่ tangmo.idea@gmail.com เป็นกำลังใจให้นักเรียนแลกเปลี่ยนทุกๆ คนนะคะ : )

         อ่านแล้วเหนื่อยแทนน้องแตงโมจริงๆ เปลี่ยนบ้านบ่อยมากจริงๆ แต่ก็ต้องนับถือในความอดทนเลยค่ะ เพราะต้องคอยปรับตัวให้เข้ากับคนนั้นคนนี้ตลอดเวลา ลำพังไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองก็ลำบากแล้ว ต้องปวดหัวเพราะเปลี่ยนบ้านเปลี่ยนคนอีก แต่เชื่อว่า น้องคงได้รับประสบการณ์และข้อคิดจากการไปแลกเปลี่ยนครั้งนี้เพียบเลยล่ะเนาะ ^^ ส่วนน้องๆ คนไหนมีประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ อยากแบ่งปันเพื่อนๆ แบบนี้ ก็เขียนส่งมาได้ที่ pay@dek-d.com แล้วเจอกัน !!

และห้ามพลาด !!! หนังสือเล่มใหม่จาก Dek-D.com กับ "คู่มือเรียนต่อนอกฟรีๆฉบับม.ปลาย" เอาใจน้องๆ ที่อยากโกอินเตอร์ จัดเต็มกับทุนนักเรียนแลกเปลี่ยน ทุนเรียนฟรี ข้อมูลประเทศน่าเรียน 10 ประเทศพร้อมแนะนำโรงเรียนที่น่าสนใจ การเตรียมตัวก่อนไปเมืองนอกแบบละเอียด พร้อมทั้งประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ ตั้ง10 เรื่อง !!!! เหมาะกับน้องๆ ม.1-5 ที่อยากไปเรียนนอก โอ้ววว น่าสนใจล่ะสิ  ราคา 125 บาทเท่านั้น !! หนา 270 หน้า ใครอยากดูสารบัญคร่าวๆ คลิกที่นี่

วางขายแล้วตามร้านซีเอ็ดและร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ

เด็กดีดอทคอม :: AFS รุ่นที่ 52 เตรียมเปิดรับสมัครแล้ว คลิกอ่านระเบียบการด่วน !

เด็กดีดอทคอม :: 28 วันใน
TWITTER @PAYDEKD

พี่เป้
พี่เป้ - Columnist มนุษย์บ้างานและบ้านวด ผู้ตกหลุมรักปลาแซลมอน การนอน และและออฟฟิศ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

24 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Sirisobhakya Member 31 พ.ค. 55 16:47 น. 6
เพื่อนผมคนหนึ่งไปอเมริกา เปลี่ยน 7 โฮสต์

ส่วนผม เยอรมัน โฮสต์เดียว ทนอยู่ถึงโฮสต์แม่จะแปลกๆ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
mai_hb Member 31 พ.ค. 55 18:50 น. 9
 เพื่อนหนูต้องไปเยอรมัน เดือนสิงหาคมนี้ ไม่รู้มันจะเป็นยังไง 5555 แต่หวังว่าจะไม่ต้องเปลี่ยนโฮสทฺ์เยอะขนาดนี้นะ 
0
กำลังโหลด
kkk 31 พ.ค. 55 19:40 น. 10
 5 โฮส ใน 1 ปี 
แต่ปีเดียวกันรุ่น 50 นี่แหละ จำไม่ได้แล้วว่าประเทศไหน เปลี่ยนโฮส 7 ครั้งนะถ้าจำไม่ผิด
เกือบทำลายสถิติ AFS ที่เคยมีคนเปลี่ยนโฮสมาแล้ว 8 ครั้ง ในหนึ่งปี
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
แตงโม 2 มิ.ย. 55 20:12 น. 15
5555555+ จริงๆแล้วบ้านที่สองต้องย้ายเพราะน้ำท่วมกระทันหัน กลับจากค่ายถึงบ้านแล้วก็อึ้ง โฮสขนของหนีน้ำออกมาหมดเลย ห้องนอนใต้ดินผนังชื้นมาก เรื่องเงินก็เกี่ยวด้วย แต่เรื่องน้ำท่วมนี่คือปัญหาหลัก เรื่องย้ายบ้านอ่ะมันอยู่ที่"ดวง"อย่างเดียวจริงๆ :-)
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Woonsen@UT Member 4 มิ.ย. 55 15:13 น. 20
 โหวๆๆ เปลี่ยนมา ตั้ง 5 โฮสต์ เจ๋งนะ เราก็คิดว่า การเปลี่ยนไม่ได้ แย่อย่างที่คิดนะ มันอาจจะทำให้เราได้ รู้จักคนอื่นมากขึ้น เพราะบ้านทุกบ้านไม่เหมือนกันนิเนอะ เราไปเเลกเปลี่ยนเมกา ปีนี้จร้า ยังไม่ได้บิน แต่ได้โฮสต์แล้ว ไม่รู้ว่าจะต้องเปลี่ยนไหม? 5555 
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด