เจาะลึกระบบแอดมิชชั่น ณ อังกฤษ! ระบบนี้ดีติดอันดับโลก

   
    สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เจอกับ พี่เป้ และ Q&A(broad) อยากเรียน
นอกจะบอกให้
อีกแล้ว!! และเหมือนจะมีน้องๆ หลายคนแอบติดตามกันอยู่ไม่น้อย
ใช่มั้ยคะ เพราะช่วงนี้พี่ได้อีเมล์สอบถามเรื่องเรียนนอกเยอะมากๆๆๆ ใจนึงก็ดีใจที่
มีน้องๆ ส่งคำถามมาเยอะ อีกใจก็เงิบเลย ตอบไม่ทัน 5555
    
  


     สำหรับคำถามที่มีน้องๆ ถามกันมาเยอะในช่วงนี้ ก็คือคำถามเกี่ยวกับการไป
เรียนปริญญาตรีที่อังกฤษค่ะ หลายคนอาจจะมองว่าก็ไม่เห็นน่าจะยากอะไรนี่
แค่สมัคร จ่ายเงินแล้วก็ไปเรียน แต่จริงๆ มันมีอะไรซับซ้อนกว่านั้น!


    

   

    ถามกันมาเยอะขนาดนี้ จะไม่เอามาตอบให้ก็คงจะใจร้ายเกินไป เพราะฉะนั้น
คำถามประจำสัปดาห์นี้ของ 
Q&A(broad) อยากเรียนนอกจะบอกให้ นั่นก็คือ..








      
     Question # 6 : อยากเข้าเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยใน
      อังกฤษ ต้องทำยังไง? เตรียมตัวยังไง? หาทุนได้จากไหน? 


 




     1. มหาวิทยาลัยของอังกฤษดีติดอันดับโลก สังเกตว่าหลายๆ มหาวิทยาลัยดังๆ ที่
เรารู้จักนั้น เป็นของอังกฤษไม่น้อยเลยค่ะ ทั้ง Oxford , Cambridge , King's College ของเค้าดีจริง

     2. ระบบการศึกษาอังกฤษเป็นต้นแบบของระบบการศึกษาหลายๆ ประเทศ
ซึ่งระบบการศึกษาที่ว่ามีชื่อว่า A-Level ค่ะ เป็นระบบการศึกษาช่วง Year 12-13 หรือก่อนเข้ามหาวิทยาลัยของเด็กอังกฤษ (อารมณ์มัธยมปลาย) มีหลายๆ ประเทศที่นำไปใช้ไม่น้อย
เช่น สิงคโปร์ อินเดีย หรือโรงเรียนนานาชาติในไทยบางแห่งก็มีสอนเหมือนกัน (คืออะไร? 
เดี๋ยวอธิบายอีกรอบแบบชัดๆ)

     3. มหาวิทยาลัยอังกฤษระดับปริญญาตรีส่วนมากใช้เวลาเรียนแค่ 3 ปีเท่านั้น
ว้าวววว แบบนี้ก็จบก่อนเพื่อน เรียนแป๊บเดียวเองก็ได้ใบปริญญามาครองแล้ว! (หรือ
ปริญญาโทก็เรียนแค่ปีเดียวเอง)

     4. มหาวิทยาลัยในอังกฤษมีทุนแจกให้เยอะมาก พี่กล้าพูดได้เลยว่ามหาวิทยาลัยในอังกฤษเป็นมหาวิทยาลัยที่มีทุนแจกให้มากที่สุดในโลกค่ะ ทั้งทุนค่าเล่าเรียนจำนวนเต็ม
รวมไปถึงทุนลดค่าเล่าเรียนที่แทบทุกๆ มหาวิทยาลัยจะมีแจกให้ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้
จ่ายเราไปได้เยอะมากทีเดียว ค่าเทอมส่วนมากตกปีละประมาณ 5 แสนบาท หากได้ทุน
ลดค่าเรียน 20% ก็เท่ากับว่าลดไปได้ตั้งแสนนึงแล้ว เยอะเหมือนกันนะ!



     ปกติเวลาเราจะสมัครเข้ามหาวิทยาลัย นั่นก็หมายความว่าเราต้องจบม.6 และเอาวุฒิที่จบไปยื่นสมัครใช่มั้ยคะ แต่ของอังกฤษนั้นบอกเลยว่าไม่ได้!!! ทำไมล่ะ??
 
     อย่างที่พี่เกริ่นไปแล้วข้างต้นค่ะว่า มัธยมปลายของอังกฤษนั้นจะจบที่ Year 13 ดังนั้นวุฒิมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของเมืองไทยยังไม่พอค่ะ! มหาวิทยาลัยที่อังกฤษจึงมีเงื่อนไขว่า เด็กที่จบม.6 จากไทย จะต้องไปเรียนปรับพื้นฐานก่อนเป็นเวลา 1 ปี
หรือที่เราเรียกว่า Foundation Course จากนั้นจึงจะเข้าเรียนปริญญาตรีที่
อังกฤษได้ค่ะ
     
     หลายคนอาจจะบอกว่า โห ต้องเสียเวลาเรียนปรับพื้นฐานอีกตั้งปีนึงแน่ะ ถึงจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่อย่างที่บอกไปแล้วค่ะว่า ปริญญาตรีอังกฤษเรียนแค่ 3 ปี +
เรียนปรับพื้นฐานก่อน 1 ปี = 4 ปี
ยังไงก็ไม่ได้เรียนจบช้ากว่าเพื่อนที่เมืองไทยแน่นอน^^
     
     แต่!!! หากน้องเรียนด้วยหลักสูตร A-Level มา ซึ่งในเมืองไทยจะมีสอนตามโรงเรียนนานาชาติ น้องก็สามารถเอาวุฒิ A-Level ไปยื่นสมัครเข้าเรียนได้เลย
โดยไม่ต้องเรียน Foundation Course อีกแล้วก็ได้ค่ะ




     เมื่อเด็กอังกฤษหรือเด็กในโรงเรียนนานาชาติที่เรียนมาถึง Year 12 พวกเขาจะต้องเรียนหลักสูตรที่ชื่อว่า A-Level เป็นหลักสูตรที่มีต้นกำเนิดจากอังกฤษ
คอนเซ็ปต์ของ A-Level คือ
"เรียนวิชาน้อยแต่เจาะลึก" สรุปง่ายๆ คือ ใน Year 12 เราต้องเลือกเรียน 4 วิชาที่มีเปิดสอนในโรงเรียน โดยเลือกได้อิสระ แต่ต้องพิจารณาด้วยว่า คณะหรือสาขาที่เราอยากเรียนในระดับมหาวิทยาลัยนั้นมันต้องใช้วิชาอะไรบ้าง??

     แล้วพอขึ้น Year 13 เด็กส่วนมากจะลดวิชาเรียนเหลือ 3 วิชา เลือกเฉพาะตัวที่ตั้งใจว่าจะเอาไปสอบและยื่นเข้ามหาวิทยาลัยจริงๆ เมื่อเรียนจบแล้วจะมีการสอบ
A-Level เป็นการสอบที่จัดขึ้นทั่วประเทศ(และทั่วโลกสำหรับโรงเรียนที่ใช้หลักสูตรนี้ในการเรียนการสอน) เกรดที่ออกมาจะมีตั้งแต่ A* A B C D E 

     น้องสามารถเข้าไปศึกษาหาข้อมูลเองได้จากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยที่อยากเข้าเลยค่ะ เค้าจะมีบอกว่า ถ้าอยากเรียนสาขานี้จะต้องมีคะแนน A-Level วิชาอะไร


     อย่างรูปข้างบนเป็นตัวอย่างจาก Imperial College of London ในสาขาวิศวกรรมเครื่องยนต์ กำหนดว่า ต้องมีคะแนน A-Level ในวิชาเลข โดยต้องได้เกรด A* , วิชาฟิสิกส์ โดยต้องได้เกรด A , และอีกหนึ่งวิชาอะไรก็ได้โดยต้องได้เกรด A ... พอเรารู้แบบนี้แล้วเราก็เลือกเรียน A-Level เลขกับฟิสิกส์ค่ะ ส่วนอีกวิชาจะเรียนอะไรก็ได้

     แต่ก็มีบางคณะหรือสาขาของบางมหาวิทยาลัยที่ใจดี๊ใจดี "ไม่บังคับว่าต้องใช้
A-Level วิชาอะไร"
คุณจะเรียนวิชาอะไรมาก็ได้ เพราะเชื่อว่าบางคนอาจจะเคยมีปัญหานี้ เช่น ตั้งใจอยากเข้าหมอมาก ปรากฏมาเรียน A-Level เคมี ชีวะ โห ทำไมมันยากแบบนี้ ไม่อยากเข้าหมอแล้ว เราก็สามารถไปมองหาได้ค่ะว่ามีสาขาอะไรของที่ไหนบ้างที่เค้า
อนุญาตให้ยื่น A-Level วิชาอะไรก็ได้ 
 
     
ดังนั้นส่วนตัวพี่คิดว่า ระบบ A-Level นั้นยังไม่ค่อยเหมาะกับเด็กไทย พูดตามตรงไม่โลกสวยเลยว่า เด็กไทยกว่า 50% ยังไม่รู้ว่าอนาคตอยากเป็นอะไร? อยากเข้าคณะอะไร?
หากต้องเลือกเรียนวิชาใน A-Levelคงจะเลือกกันไม่ถูกแน่ๆ ค่ะ จริงมั้ย?





     ย้อนกลับมาที่เด็กไทยอีกรอบ อย่างที่บอกไปแล้วว่า วุฒิม.6 จากไทยยังไม่พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่อังกฤษ เราจำเป็นต้องเรียนปรับพื้นฐานหรือ Foundation Course ก่อน 1 ปี ..... แล้วเราจะสมัครเข้าเรียน Foundation Course ยังไงดีล่ะ?

     ง่ายมากค่ะ! ปกติมหาวิทยาลัยในอังกฤษนั้นจะเปิดสอน Foundation Course เองอยู่แล้ว ดังนั้นหากน้องอยากเข้าปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย A น้องก็ไปสมัครเรียน Foundation Course ของมหาวิทยาลัย A ได้เลยค่ะ โดยการเรียนปรับพื้นฐานหรือ Foundation Course นั้น จะมีการแบ่งสายออกไปตามคณะหรือสาขา เช่น สายบริหารธุรกิจ สายมนุษยศาสตร์ สายวิทยาศาสตร์ สายสังคมศาสตร์ อะไรแบบนี้ และพอเราเรียน Foundation Course จบ และหากมีคะแนนผ่านเกณฑ์เพื่อเข้าปริญญาตรี 
ก็หมายความว่า ได้เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว!! 
   
     มาถึงการสมัครเข้าเรียนปริญญาตรีในอังกฤษนั้น จะสมัครผ่านระบบที่มีชื่อว่า UCAS (ยูแคส) ย่อมาจาก Universities and Colleges Admissions Service ที่เว็บไซต์ www.ucas.com โดยเราสามารถเลือกได้สูงสุด 5 อันดับ(คล้ายๆ แอดมิชชั่นบ้านเรา)
จากนั้นเราก็รอผลตอบรับหรือที่เรียกว่า Offer จากมหาวิทยาลัยค่ะ บางคนเก่งมาก สมัคร 5 ที่ ได้ตอบรับหมดเลยทั้งหมด ก็ต้องมานั่งเลือกว่าจะเอาที่ไหนดี

   
    สิ่งที่เราต้องเตรียมสำหรับการสมัครก็คือ Statement of Purpose หรือเรียงความที่
จะทำให้กรรมการผู้คัดใบสมัครรู้จักเรามากขึ้น (อ่านวิธีเขียนได้ที่นี่) รวมถึงคะแนนสอบ
ภาษาอังกฤษ TOEFL หรือ IELTS เท่านั้น สามารถเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งได้ค่ะ จากนั้นก็รอร๊อรอการตอบรับจากมหาวิทยาลัย
 
    ฟังดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่นนะคะ....แต่!!! มีบางมหาวิทยาลัยในอังกฤษโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่ดังมากกกกก อันได้แก่ University of Oxford , University of Cambrigde , London School of Economics เค้าจะไม่รับพิจารณา Foundation Course ค่ะ คือต่อให้เราจบม.6 แล้วไปเรียน Foundation Course เค้าก็ไม่แคร์!! เพราะเค้าจะเน้นรับเด็กที่จบ A-Level เท่านั้น!!! (โหดมาก) ดังนั้นเด็กไทยที่จบม.6 และเกิดอยากเข้าเรียนใน 3 มหาวิทยาลัยตัวแม่ที่ว่านี้ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปสมัครเข้าเรียน Year 12-13 ที่อังกฤษ เพื่อเรียน A-Level อารมณ์เหมือนซ้ำม.5-6 ใหม่อีกรอบค่ะ 


     การสมัครเข้าเรียนที่อังกฤษผ่าน UCAS มักปิดรับภายใน 15 มกราคมค่ะ แต่บางมหาวิทยาลัยจะกำหนดเดดไลน์ของตัวเอง เช่น 31 มีนาคม แต่ทาง UCAS ก็แนะนำมาว่าถ้าเป็นไปได้ก็ควรสมัครผ่าน 15 มกราคมไว้ก่อนจะดีกว่าค่ะ

     แต่จริงๆ มีอีกหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้เราสมัครกับมหาวิทยาลัยได้โดยตรงแบบไม่
ต้องผ่าน UCAS นั่นก็คือ เอเจนซี่หรือบริษัทส่งเด็กไปเรียนต่อนอก เค้าจะเชิญเจ้าหน้าที่จากมหาวิทยาลัยในอังกฤษบินมาไทย เพื่อมารับสมัครและสอบสัมภาษณ์นักเรียนไทยที่สนใจสมัครเรียนค่ะ เราก็สามารถเข้าไปที่บริษัทของเค้า เพื่อขอพูดคุยและสมัครเรียนกับ
เจ้าหน้าที่ได้เลยค่ะ เป็นอีกวิธีที่ง่ายและเด็กไทยหลายคนก็นิยมวิธีนี้ค่ะ พอคุยจบปุ๊บ รู้เลยสมัครเรียนผ่านหรือไม่ผ่าน โดยน้องๆ สามารถติดตามได้ที่ www.dek-d.com/activities ตรงหมวดเรียนต่อนอก จะมีเอเจนซี่มาโพสท์ไว้เรื่อยๆ ค่ะ

    อย่างที่เล่าไปแล้วข้างต้นว่ามหาวิทยาลัยในอังกฤษมีทุนแจกให้เยอะมากๆ ค่ะ ซึ่งวิธีการสมัครทุนของมหาวิทยาลัยในอังกฤษนั้นจะแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนคือ

1. สมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก่อน ก็คือการสมัครผ่าน UCAS อย่างที่เล่าไปแล้ว จากนั้น
รอเค้าตอบรับมา

2. หากมหาวิทยาลัยตอบรับมา เราจึงจะมีสิทธิ์สมัครทุนนั้นได้ค่ะ โดยในระเบียบการของทุนพวกนี้จะกำหนดว่า ผู้สมัครจะต้อง "holding an offer from university" หรือแปลได้ว่า
ได้รับข้อเสนอให้เข้าเรียนจากมหาวิทยาลัยแล้วนั่นเอง

    ดังนั้นหากใครยังไม่ได้สมัครเข้าเรียนกับมหาวิทยาลัย แล้วจะข้ามไปสมัครทุนเลยนั้น ไม่สามารถทำได้นะคะ ส่วนมากต้องทำข้อ 1 ก่อนแล้วค่อยมาเป็นข้อ 2 นะ จำไว้เลย
สำคัญมากค่ะ ส่วนใครที่อยากหาทุนล่ะก็ แนะนำโปรแกรมค้นหาทุนเรียนต่อนอกที่ www.dek-d.com/studyabroad/scholarship รวมทุนอังกฤษไว้เยอะมากกกกก 

เด็กดีดอทคอม :: 6 สิ่งต้องทำ!! หากอยากได้ทุนไปเรียนนอกฟรีๆ

มหาวิทยาลัยที่มีทุนแจกเยอะนั้น เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีหรือเปล่า?

     น้องบางคนอาจจะมองว่า ถ้ามหาวิทยาลัยดีจริง เค้าจะแจกทุนทำไมล่ะ ยังไงก็มีคนไปสมัครทุนเยอะอยู่แล้ว...?? ขอบอกว่าไม่เกี่ยวกันเลยค่ะ เรามาดูดีกว่าว่า ทำไม? ทำไม
มหาวิทยาลัยถึงแจกทุน

1. ตัวมหาวิทยาลัยเองได้รับเงินสนับสนุนมาเยอะมาก อาจจะเป็นจากศิษย์เก่าที่สร้างชื่อเสียง จากผู้ที่มาบริจาคเพื่อสนับสนุนมหาวิทยาลัย ดังนั้นมหาวิทยาลัยก็จะนำเงินตรงนั้นมาแจกเป็นทุนการศึกษาค่ะ ไม่ต้องไปมองถึงมหาวิทยาลัยเมืองนอกก็ได้ค่ะ แม้แต่บางคณะ
ในจุฬาฯ ก็มีทุนแจกให้นิสิตเยอะมากๆ ค่ะ ซึ่งเงินส่วนมากก็มาจากผู้บริจาคและศิษย์
เก่านั่นเองค่ะ

2. เป็นการโปรโมตประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยไปอีกทาง คงไม่ต้องอธิบายอะไร
มากค่ะ ขนาดสินค้าดังๆ ที่ดังอยู่แล้ว ใครๆ ก็รู้จัก เค้ายังต้องทำการตลาดหรือโฆษณาเรื่อยๆ เลย มหาวิทยาลัยก็ถือเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งเหมือนกันค่ะ เพราะฉะนั้นการแจกทุนก็ถือเป็นการประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยอีกทางหนึ่ง

3. ดึงดูดให้นักศึกษาต่างชาติเข้ามาเรียนเพิ่มมากขึ้น นั่นก็เป็นเพราะว่า หากที่ไหนมีนักศึกษาต่างชาติเพิ่มขึ้น ก็จะช่วยเพิ่มความเป็นนานาชาติหรือความเป็นสากลให้มากขึ้น
ซึ่งก็มีโอกาสจะทำให้ Ranking หรืออันดับมหาวิทยาลัยในระดับโลกขยับสูงขึ้นด้วย

     คำถามนี้คงไม่มีใครกล้าฟันธง :) เพราะถ้าทุกคนรู้อนาคต หมอดูคงตกงาน แต่สิ่งที่
น้องได้แน่ๆ ก็คือประสบการณ์หรือโอกาสค่ะ บางทีน้องอาจจะได้รู้จักเพื่อนฝรั่งที่มี
คุณพ่อทำงานใน google.com และช่วยแนะนำงานจาก google ให้เราก็ได้นะ

   

     ตอบให้ละเอียดยิบเลย หวังว่าน้องๆ คงพอจะเข้าใจระบบแอดมิชชั่นเข้า
ปริญญาตรีที่อังกฤษกันมากขึ้นนะึคะ สิ่งแรกที่ควรทำตอนนี้คือฟิตอังกฤษและไปสอบTOEFL หรือ IELTS ให้ได้เยอะๆ ก่อนเลย ถ้าทำได้ล่ะก็ ที่เหลือก็ไม่ยากแล้ว!! ส่วนใครมีำคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับการเรียนนอก และอยากให้
พี่เป้ ช่วยไขข้อ
ข้องใจให้ ก็อีเมล์มาได้ที่ pay@dek-d.com เลยค่ะ เดี๋ยวหยิบมาตอบให้แน่นอนจ้า



ย้อนอ่าน Q&A(broad) ตอนที่ผ่านมา


Q&A มาดู!! งานรับปริญญาในอเมริกา-อังกฤษ เหมือนต่างจากไทยมั้ย?


Q&A 6 สิ่งต้องทำ!! หากอยากได้ทุนไปเรียนนอกฟรีๆ


Q&A How to สมัครทุน Asean Scholarship ทุนในฝันของเด็กมัธยม

เด็กดีดอทคอม :: 28 วันใน
TWITTER @PAYDEKD
พี่เป้
พี่เป้ - Columnist มนุษย์บ้างานและบ้านวด ผู้ตกหลุมรักปลาแซลมอน การนอน และและออฟฟิศ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

28 ความคิดเห็น

พพพ 18 มี.ค. 56 12:28 น. 1
เราต้องสมัครเ้ข้ามหาวิทยาลัยก่อนแล้วค่อยเรียนปรับพื้นฐานหรือว่าเรียนก่อนแล้วค่อยสมัครค่ะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Kirino Member 18 มี.ค. 56 14:01 น. 3
เยี่ยมดีนะครับ เลือกเรียนแต่วิชาที่จะใช้จริงๆและชอบจริงๆ ใช้เวลาน้อย และได้ผลดีกับตัวผู้เรียน
ไม่ต้องมานั่ีงเีรียนไทย การงาน สังคม ศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์ วิชารายงาน วิชาห้องสมุด วิชาขัดห้องน้ำ วิชาทหาร วิชาคอมพิวเตอร์ วิชาพละ วิชาภาษาจีน วิชาอาเซียน วิชาประวัติศาสตร์ วิชาบลาๆๆๆๆ 
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
555 18 มี.ค. 56 15:08 น. 6
คือไมไ่ด้อะไรนะ แต่ถ้าประเทศไทยเอามาใช้นะ คงมีแต่คนเลือกเรียน ชีวะ+เคมีกับให้พรึ่บ อยากหมอกันเยอะ 555 ค่านิยมบ้านเขากับเรามันต่างกัน 55
0
กำลังโหลด
สงสัยค่ะ 18 มี.ค. 56 15:38 น. 7
สงสัยอ่ะค่ะ

ถ้าผ่านFoundation Courseมาแล้ว ก็สามารถสมัครเข้ามหาลัย ผ่านUCAS คือใช้แค่ Statement of Purpose กับคะแนนTOEFL หรือ IELTS โดยเลือกได้สูงสุด 5 อันดับจากนั้นเราก็รอ Offer จากมหาวิทยาลัย

ถ้าเราเลือกคณะแบบ บริหาร เศรษฐศาสตร์ แพทย์ วิศวะ หรือวิทยาศาสตร์ เขาก็พิจารณาStatement of PurposeกับคะแนนTOEFL หรือ IELTS เหมือนกันหรอค่ะ
0
กำลังโหลด
[ PaY ~ เป้ ] Member 18 มี.ค. 56 15:43 น. 8
^
^
ดูฟาวเดชั่นคอร์สด้วยค่ะ เลือกคณะแบบที่น้องว่าทำไม่ได้อยู่แล้วค่ะ เพราะบอกไปแล้วว่า ฟาวเดชั่นคอร์สก็มีเรียนแยกตามสายด้วย ถ้าน้องเรียนฟาวเดชั่นคอร์สสายบริหารธุรกิจ จะไปสมัครเข้าเรียนวิศวะหรือหมอก็ไม่น่าได้ค่ะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
menny 18 มี.ค. 56 22:32 น. 14
หนูก้อเป็นคนนึงที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร จะทำยังไงถึงจะรู้ใจตัวเองนะ เครียดมากๆๆคะ
0
กำลังโหลด
UCLA 18 มี.ค. 56 22:51 น. 15
การเข้ามหาลัยของอังกฤษกับอเมริกามันเหมือนกันมั้ยอะค่ะ? หนูอยากเข้าของอเมริกาอ่ะ อยากUCLA T^T
0
กำลังโหลด
Zenicorol Member 20 มี.ค. 56 03:07 น. 16
จริงๆแล้วสำหรับ International Student (คนต่างชาติที่อยู่อังกฤษไม่ถึง3ปี หรือ สถานะเด็กไทยไปเรียนนอก) เค้ารับจนถึงประมาณ เดือนมิถุนายน(จากปกติถึงมกรา) นะคะ

แต่ถ้าเอาชัวร์ๆก็ก่อน 15 มกรา นั่นแหละค่ะ Deadline ของพวก EU/UK student


ส่วนตัวเรียน IB จบมาแล้วค่ะ แล้วตอนนี้กำลังเรียน AS-level สองวิชา เพราะดรอป1ปีก่อนเข้ามหาลัยค่ะ (แต่ตอนนี้ได้ที่เรียนมหาลัยละ >_<)

IB นั้นยากมากรับรอง แต่ว่าเป็นหลักสูตรที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกค่ะ ส่วน A-level นั่น เรียนน้อยกว่าเยอะค่ะ สบายๆ เวลาว่างเยอะมาก (ถ้าเทียบกับหลักสูตรอื่นๆแล้วนะ)

UCASนั้น ขั้นตอนที่ใช้เวลานานที่สุด(สำหรับเรา)ก็ตรงการเขียน Personal statement แหละค่ะ (หรือ SoP นั่นแหละค่ะ) ทางUCASกำหนดให้เขียนไม่เกิน4000ตัวอักษร(ไม่ใช่4000คำนะ) เหมือนจะเยอะนะ แต่เขียนเข้าจริงๆแล้วมันน้อยมากค่ะ(แต่ใช้เวลานาน เราเขียนไปประมาน 5-6ดราฟกว่าจะได้ฉบับFinal)

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จหมดแล้วก็รอรับคำตอบจากทางมหาลัยได้เลยจ้า ^_^
จะมี 4คำตอบหลักๆ
1. Unconditional offer เดินเข้าได้เลย ไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติมแล้ว
2. Conditional offer รอรับเกรด ถ้าเกรดถึงแล้วถึงจะเข้าได้
3. Invitation เชิญมาสัมภาษณ์ แล้วรอฟังผลอีกทีว่าเค้าจะรับไหม (ข้อ1หรือ2)
4. Rejection (withdraw) ถูกปติเสธ


ลุ้นๆดี  แต่ระบบUCASของอังกฤษมันดีจริงๆค่ะ คอนเฟิร์ม




Edit แก้คำผิดและเว้นบรรทัดจ้ะ


แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 20 มีนาคม 2556 / 03:10
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 20 มีนาคม 2556 / 03:17
0
กำลังโหลด
shukron 22 มี.ค. 56 23:54 น. 17
ระบบ เค้าคล้ายๆกับระบบของมาเลเลยอ่ะ..เคยไปแลกเปลี่ยนที่มาเลมา ก้อเลยพอจารู้อไรคร่าวๆมาบ้าง...แต่ของมาเลจาเรียน SPM แทน o-level และ STPM แทน a-level...แต่ของมาเลก้อสามารถใช้สมัคเรียนได้ทุก ประเทศที่ใช้ระบบเหมือน UK
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
sss 4 พ.ค. 56 20:14 น. 19
กำลังจะไปเรียนปีหน้าแล้วค่าา หนููเสียเวลาปีหนึ่งเพราภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงต้องไปเรียนภาษาก่อนถึงจะเข้ามหาลัย TwT
0
กำลังโหลด
Harry 13 มิ.ย. 56 20:50 น. 20
UCAS เคยเจอและทำมาแบบนี้เลยครับ (direct experience^_^) ตอนนี้ได้ unconditional offer ป.ตรีมา 4 ที่แระ (Nottingham , Lancaster , York , Exeter) สุดท้ายเลือก York ไป ไม่รู้คิดถูกป่าว อิอิ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด