ย้อนกลับมาที่เด็กไทยอีกรอบ อย่างที่บอกไปแล้วว่า วุฒิม.6 จากไทยยังไม่พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่อังกฤษ เราจำเป็นต้องเรียนปรับพื้นฐานหรือ Foundation Course ก่อน 1 ปี ..... แล้วเราจะสมัครเข้าเรียน Foundation Course ยังไงดีล่ะ?
ง่ายมากค่ะ! ปกติมหาวิทยาลัยในอังกฤษนั้นจะเปิดสอน Foundation Course เองอยู่แล้ว ดังนั้นหากน้องอยากเข้าปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย A น้องก็ไปสมัครเรียน Foundation Course ของมหาวิทยาลัย A ได้เลยค่ะ โดยการเรียนปรับพื้นฐานหรือ Foundation Course นั้น จะมีการแบ่งสายออกไปตามคณะหรือสาขา เช่น สายบริหารธุรกิจ สายมนุษยศาสตร์ สายวิทยาศาสตร์ สายสังคมศาสตร์ อะไรแบบนี้ และพอเราเรียน Foundation Course จบ และหากมีคะแนนผ่านเกณฑ์เพื่อเข้าปริญญาตรี
ก็หมายความว่า ได้เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว!!
มาถึงการสมัครเข้าเรียนปริญญาตรีในอังกฤษนั้น จะสมัครผ่านระบบที่มีชื่อว่า
UCAS (ยูแคส) ย่อมาจาก Universities and Colleges Admissions Service ที่เว็บไซต์ www.ucas.com โดยเราสามารถเลือกได้สูงสุด 5 อันดับ(คล้ายๆ แอดมิชชั่นบ้านเรา)
จากนั้นเราก็รอผลตอบรับหรือที่เรียกว่า Offer จากมหาวิทยาลัยค่ะ บางคนเก่งมาก สมัคร 5 ที่ ได้ตอบรับหมดเลยทั้งหมด ก็ต้องมานั่งเลือกว่าจะเอาที่ไหนดี
สิ่งที่เราต้องเตรียมสำหรับการสมัครก็คือ
Statement of Purpose หรือเรียงความที่
จะทำให้กรรมการผู้คัดใบสมัครรู้จักเรามากขึ้น (
อ่านวิธีเขียนได้ที่นี่) รวมถึงคะแนนสอบ
ภาษาอังกฤษ TOEFL หรือ IELTS เท่านั้น สามารถเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งได้ค่ะ จากนั้นก็รอร๊อรอการตอบรับจากมหาวิทยาลัย
การสมัครเข้าเรียนที่อังกฤษผ่าน UCAS มักปิดรับภายใน 15 มกราคมค่ะ แต่บางมหาวิทยาลัยจะกำหนดเดดไลน์ของตัวเอง เช่น 31 มีนาคม แต่ทาง UCAS ก็แนะนำมาว่าถ้าเป็นไปได้ก็ควรสมัครผ่าน 15 มกราคมไว้ก่อนจะดีกว่าค่ะ
แต่จริงๆ มีอีกหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้เราสมัครกับมหาวิทยาลัยได้โดยตรงแบบไม่
ต้องผ่าน UCAS นั่นก็คือ
เอเจนซี่หรือบริษัทส่งเด็กไปเรียนต่อนอก เค้าจะเชิญเจ้าหน้าที่จากมหาวิทยาลัยในอังกฤษบินมาไทย เพื่อมารับสมัครและสอบสัมภาษณ์นักเรียนไทยที่สนใจสมัครเรียนค่ะ เราก็สามารถเข้าไปที่บริษัทของเค้า เพื่อขอพูดคุยและสมัครเรียนกับ
เจ้าหน้าที่ได้เลยค่ะ เป็นอีกวิธีที่ง่ายและเด็กไทยหลายคนก็นิยมวิธีนี้ค่ะ
พอคุยจบปุ๊บ รู้เลยสมัครเรียนผ่านหรือไม่ผ่าน โดยน้องๆ สามารถติดตามได้ที่
www.dek-d.com/activities ตรงหมวดเรียนต่อนอก จะมีเอเจนซี่มาโพสท์ไว้เรื่อยๆ ค่ะ
อย่างที่เล่าไปแล้วข้างต้นว่ามหาวิทยาลัยในอังกฤษมีทุนแจกให้เยอะมากๆ ค่ะ ซึ่งวิธีการสมัครทุนของมหาวิทยาลัยในอังกฤษนั้นจะแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนคือ
1. สมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก่อน ก็คือการสมัครผ่าน UCAS อย่างที่เล่าไปแล้ว จากนั้น
รอเค้าตอบรับมา
2. หากมหาวิทยาลัยตอบรับมา เราจึงจะมีสิทธิ์สมัครทุนนั้นได้ค่ะ โดยในระเบียบการของทุนพวกนี้จะกำหนดว่า ผู้สมัครจะต้อง "holding an offer from university" หรือแปลได้ว่า
ได้รับข้อเสนอให้เข้าเรียนจากมหาวิทยาลัยแล้วนั่นเอง
ดังนั้นหากใครยังไม่ได้สมัครเข้าเรียนกับมหาวิทยาลัย แล้วจะข้ามไปสมัครทุนเลยนั้น ไม่สามารถทำได้นะคะ ส่วนมากต้องทำข้อ 1 ก่อนแล้วค่อยมาเป็นข้อ 2 นะ จำไว้เลย
สำคัญมากค่ะ ส่วนใครที่อยากหาทุนล่ะก็
แนะนำโปรแกรมค้นหาทุนเรียนต่อนอกที่ www.dek-d.com/studyabroad/scholarship รวมทุนอังกฤษไว้เยอะมากกกกก
มหาวิทยาลัยที่มีทุนแจกเยอะนั้น เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีหรือเปล่า?
น้องบางคนอาจจะมองว่า ถ้ามหาวิทยาลัยดีจริง เค้าจะแจกทุนทำไมล่ะ ยังไงก็มีคนไปสมัครทุนเยอะอยู่แล้ว...?? ขอบอกว่าไม่เกี่ยวกันเลยค่ะ เรามาดูดีกว่าว่า ทำไม? ทำไม
มหาวิทยาลัยถึงแจกทุน
1. ตัวมหาวิทยาลัยเองได้รับเงินสนับสนุนมาเยอะมาก อาจจะเป็นจากศิษย์เก่าที่สร้างชื่อเสียง จากผู้ที่มาบริจาคเพื่อสนับสนุนมหาวิทยาลัย ดังนั้นมหาวิทยาลัยก็จะนำเงินตรงนั้นมาแจกเป็นทุนการศึกษาค่ะ ไม่ต้องไปมองถึงมหาวิทยาลัยเมืองนอกก็ได้ค่ะ แม้แต่บางคณะ
ในจุฬาฯ ก็มีทุนแจกให้นิสิตเยอะมากๆ ค่ะ ซึ่งเงินส่วนมากก็มาจากผู้บริจาคและศิษย์
เก่านั่นเองค่ะ
2. เป็นการโปรโมตประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยไปอีกทาง คงไม่ต้องอธิบายอะไร
มากค่ะ ขนาดสินค้าดังๆ ที่ดังอยู่แล้ว ใครๆ ก็รู้จัก เค้ายังต้องทำการตลาดหรือโฆษณาเรื่อยๆ เลย มหาวิทยาลัยก็ถือเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งเหมือนกันค่ะ เพราะฉะนั้นการแจกทุนก็ถือเป็นการประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยอีกทางหนึ่ง
3. ดึงดูดให้นักศึกษาต่างชาติเข้ามาเรียนเพิ่มมากขึ้น นั่นก็เป็นเพราะว่า หากที่ไหนมีนักศึกษาต่างชาติเพิ่มขึ้น ก็จะช่วยเพิ่มความเป็นนานาชาติหรือความเป็นสากลให้มากขึ้น
ซึ่งก็มีโอกาสจะทำให้ Ranking หรืออันดับมหาวิทยาลัยในระดับโลกขยับสูงขึ้นด้วย
คำถามนี้คงไม่มีใครกล้าฟันธง :) เพราะถ้าทุกคนรู้อนาคต หมอดูคงตกงาน แต่สิ่งที่
น้องได้แน่ๆ ก็คือประสบการณ์หรือโอกาสค่ะ บางทีน้องอาจจะได้รู้จักเพื่อนฝรั่งที่มี
คุณพ่อทำงานใน google.com และช่วยแนะนำงานจาก google ให้เราก็ได้นะ
28 ความคิดเห็น
ไม่ต้องมานั่ีงเีรียนไทย การงาน สังคม ศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์ วิชารายงาน วิชาห้องสมุด วิชาขัดห้องน้ำ วิชาทหาร วิชาคอมพิวเตอร์ วิชาพละ วิชาภาษาจีน วิชาอาเซียน วิชาประวัติศาสตร์ วิชาบลาๆๆๆๆ
ปล.นางแบบน่ารักมาก~
ถ้าผ่านFoundation Courseมาแล้ว ก็สามารถสมัครเข้ามหาลัย ผ่านUCAS คือใช้แค่ Statement of Purpose กับคะแนนTOEFL หรือ IELTS โดยเลือกได้สูงสุด 5 อันดับจากนั้นเราก็รอ Offer จากมหาวิทยาลัย
ถ้าเราเลือกคณะแบบ บริหาร เศรษฐศาสตร์ แพทย์ วิศวะ หรือวิทยาศาสตร์ เขาก็พิจารณาStatement of PurposeกับคะแนนTOEFL หรือ IELTS เหมือนกันหรอค่ะ
^
ดูฟาวเดชั่นคอร์สด้วยค่ะ เลือกคณะแบบที่น้องว่าทำไม่ได้อยู่แล้วค่ะ เพราะบอกไปแล้วว่า ฟาวเดชั่นคอร์สก็มีเรียนแยกตามสายด้วย ถ้าน้องเรียนฟาวเดชั่นคอร์สสายบริหารธุรกิจ จะไปสมัครเข้าเรียนวิศวะหรือหมอก็ไม่น่าได้ค่ะ
ขอบคุณมากๆต่ะ
แต่ถ้าเอาชัวร์ๆก็ก่อน 15 มกรา นั่นแหละค่ะ Deadline ของพวก EU/UK student
ส่วนตัวเรียน IB จบมาแล้วค่ะ แล้วตอนนี้กำลังเรียน AS-level สองวิชา เพราะดรอป1ปีก่อนเข้ามหาลัยค่ะ (แต่ตอนนี้ได้ที่เรียนมหาลัยละ >_<)
IB นั้นยากมากรับรอง แต่ว่าเป็นหลักสูตรที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกค่ะ ส่วน A-level นั่น เรียนน้อยกว่าเยอะค่ะ สบายๆ เวลาว่างเยอะมาก (ถ้าเทียบกับหลักสูตรอื่นๆแล้วนะ)
UCASนั้น ขั้นตอนที่ใช้เวลานานที่สุด(สำหรับเรา)ก็ตรงการเขียน Personal statement แหละค่ะ (หรือ SoP นั่นแหละค่ะ) ทางUCASกำหนดให้เขียนไม่เกิน4000ตัวอักษร(ไม่ใช่4000คำนะ) เหมือนจะเยอะนะ แต่เขียนเข้าจริงๆแล้วมันน้อยมากค่ะ(แต่ใช้เวลานาน เราเขียนไปประมาน 5-6ดราฟกว่าจะได้ฉบับFinal)
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จหมดแล้วก็รอรับคำตอบจากทางมหาลัยได้เลยจ้า ^_^
จะมี 4คำตอบหลักๆ
1. Unconditional offer เดินเข้าได้เลย ไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติมแล้ว
2. Conditional offer รอรับเกรด ถ้าเกรดถึงแล้วถึงจะเข้าได้
3. Invitation เชิญมาสัมภาษณ์ แล้วรอฟังผลอีกทีว่าเค้าจะรับไหม (ข้อ1หรือ2)
4. Rejection (withdraw) ถูกปติเสธ
ลุ้นๆดี แต่ระบบUCASของอังกฤษมันดีจริงๆค่ะ คอนเฟิร์ม
Edit แก้คำผิดและเว้นบรรทัดจ้ะ
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 20 มีนาคม 2556 / 03:10
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 20 มีนาคม 2556 / 03:17