สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ช่วงนี้ พี่พิซซ่า ยังคงคอนเซ็ปต์รักษ์โลกอยู่เช่นเคย 555 มีน้องๆ ถามมาว่าอยากไปเที่ยวเมืองนอก แต่ขอเมืองที่สะอาด สวย ไร้มลพิษ แต่ไม่ชนบท พี่ก็เลยรวบรวมเมืองสีเขียว หรือเมืองที่มีการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนมาให้ดูค่ะ ที่แม้จะอยู่กันคนละมุมโลก แต่ชาวเมืองนั้นๆ ก็ยังร่วมมือร่วมใจกัน ดำเนินชีวิตแบบสร้างภาระต่อโลกน้อยที่สุด ซึ่งทุกเมืองก็ยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวหัวใจสีเขียว และพร้อมให้ความรู้ในด้านนี้ค่ะ
1. Reykjavik ประเทศไอซ์แลนด์
เมืองเรจาวิกนำพลังงานความร้อนใต้พิภพมาเปลี่ยนเป็นพลังงานสะอาด เพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยปัจจุบันเหลืออัตราการใช้น้ำมันเพียง 0.1% เท่านั้น ซึ่งไอซ์แลนด์เองก็วางแผนที่จะให้ทั้งประเทศปลอดการใช้น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติภายในปี 2050 ซึ่งก็มีแนวโน้มว่าจะต้องประสบความสำเร็จแน่นอน เพราะปัจจุบันเกือบทั้งประเทศก็เปลี่ยนมาใช้พลังงานน้ำและความร้อนใต้พิภพแล้ว ซึ่งพลังงานทั้งสองประเภทนี้สามารถมีทดแทนได้เรื่อยๆ และไม่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกอีกด้วย
2. San Francisco รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
แม้จะดูเหมือนตื่นตัวช้ากว่าคนอื่น เพราะซานฟรานซิสโกเพิ่งแบนการใช้ถุงพลาสติกไปเมื่อปี 2007 (แต่ก็เป็นเมืองใหญ่เมืองแรกในสหรัฐที่เริ่มทำนะ) ซานฟรานซิสโกสามารถลดการใช้ถุงพลาสติกได้มากถึง 100 ล้านใบต่อปี และเมื่อปี 2009 ก็เริ่มรณรงค์การรีไซเคิลอย่างจริงจัง ทำให้ปริมาณขยะของเมืองลดลงถึง 77% อีกด้วย ซานฟรานซิสโกจึงสมควรอย่างยิ่งกับอันดับ 2 ปัจจุบันซานฟรานซิสโกก็ยังร่วมมือกันทุกด้านทั้งลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง ออกแบบสิ่งก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงการขนส่งสาธารณะ รวมไปถึงลดปริมาณมลพิษทั้งในน้ำและอากาศ
3. Malmö ประเทศสวีเดน
เมืองมาลโม แม้จะเป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ของสวีเดน แต่ก็เป็นผู้นำด้านการหมุนเวียนพลังงาน และการเพิ่มพื้นที่สีเขียวของประเทศ นอกจากนี้ยังมีกังหันพลังงานลมที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกอีกด้วย ซึ่งทางเมืองก็คาดว่าจะสามารถนำพลังงานลมมาใช้เป็นพลังงานหลักของเมืองได้ภายในปี 2020 ซึ่งโอกาสประสบความสำเร็จก็มีสูงมาก เพราะชุมชน Western Harbour ของเมืองนี้ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ ลม และน้ำล้วนๆ 100% แล้ว อาคารบ้านเรือนต่างๆ ในเมืองก็ใช้วัสดุที่ไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อม และออกแบบให้ประหยัดพลังงานมากที่สุด ทางเท้าก็เรียบ สะอาด น่าเดิน มีเลนจักรยานทั่วเมือง ประชาชน 40% เลือกใช้ขนส่งสาธารณะ และ 30% ปั่นจักรยานส่วนตัว ใครใช้รถยนต์ส่วนตัวใในเมืองนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เท่เลย
4. Vancouver ประเทศแคนาดา
เมืองแวนคูเวอร์ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องเป็นเมืองสีเขียวอันดับ 1 ของโลกให้ได้ภายในปี 2020 ที่นี่ถือเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาดของโลก เช่น เครื่องอัดขยะพลังงานแสงอาทิตย์ที่ตั้งไว้รอบเมือง (ขนาดเท่าถังขยะทั่วไป แต่จุได้มากกว่า 5 เท่า ทำให้ลดพื้นที่โลก และลดจำนวนครั้งในการขนถ่ายขยะ) เป็นต้น นอกจากนี้ยังรณรงค์ลดการปล่อยคาร์บอน และเพิ่มการใช้พลังงานทดแทนได้มากถึง 90% โดยส่วนมาเป็นไฟฟ้าพลังน้ำ รวมไปถึงพื้นที่สีเขียวของเมือง ที่มีสวนสาธารณะมากกว่า 200 แห่ง
5. Portland รัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา
พอร์ตแลนด์เป็นเมืองแรกในสหรัฐที่จริงจังกับปัญหาสภาพอากาศโลก และยังเป็นเมืองที่มีสิ่งก่อสร้างที่ได้รับใบรับรองการออกแบบอาคารสีเขียว (LEED) มากที่สุดสหรัฐ นอกจากนี้ยังมีกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการที่ดินอย่างเคร่งครัด เช่นกฎหมายเรื่องที่ดินเพื่อการเกษตรทั้งในเขตตัวเมืองและชานเมือง 25% ของวัยทำงานในเมือง เลือกใช้ขนส่งสาธารณะ หรือจักรยานในการเดินทางมาทำงาน และนโยบายที่ดีอีกอย่างก็คือ มีจุดชาร์จไฟฟรีกระจายทั่วเมือง สำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์พลังไฟฟ้า
6. Curitiba ประเทศบราซิล
แม้คูริติบาจะไม่ใช่เมืองหลวงของบราซิล แต่ก็เป็นเมืองหลวงในด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติของประเทศ เพราะมีสวนสาธารณะ 16 แห่ง ป่า 14 แห่ง และพื้นที่สีเขียวสำหรับประชาชนทำกิจกรรมทั่วไปอีกกว่า 1,000 แห่ง รวมไปถึงกฎหมายควบคุมสิ่งแวดล้อมที่จริงจังมากๆ ขยะกว่า 70% สามารถนำมารีไซเคิลได้ และทางการก็เพิ่งปลูกต้นไม้กว่า 1.5 ล้านต้นข้างทางหลวง ทางด่วน และถนนท้องถิ่น นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังอนุญาตให้ชาวไร่พาฝูงแกะของตนเข้าไปกินหญ้าตามสวนสาธารณะต่างๆ ได้อีกด้วย เพื่อให้แกะเล็มหญ้าอยู่เสมอจนหญ้าไม่รก
7. Copenhagen ประเทศเดนมาร์ก
1 ใน 3 ของชาวเมืองโคเปนเฮเกนใช้จักรยนเป็นพาหนะหลัก แต่ทางการก็ยังรณรงค์ให้คนหันมาใช้จักรยานมากขึ้นจนถึง 50% ของจำนวนประชากรในเมืองภายในปี 2015 นี้ นอกจากนี้ตามชายฝั่งรอบเมืองยังเต็มไปด้วยกังหันลม ที่ช่วยผลิตกระแสไฟฟ้าจำนวนมาก และเมืองโคเปนเฮเกนเองก็เป็นผู้นำของโลกในการต่อสู้กับปัญหาสภาพอากาศที่ทั่วโลกกำลังประสบอยู่
8. Stockholm ประเทศสวีเดน
สตอกโฮล์มได้รางวัลเมืองหลวงสีเขียวแห่งยุโรปในปี 2010 เพราะมีการอนุรักษ์อย่างยั่งยืนมาโดยตลอด พื้นที่ 40% ของเมืองเป็นพื้นที่สีเขียว และทางการเองก็ทำทุกวิถีทางที่จะปกป้องและรักษาพื้นที่สีเขียวเหล่านั้นเอาไว้ นอกจากนี้สตอกโฮล์มยังเริ่มทำความสะอาดระบบขนส่งน้ำมาตั้งแต่ช่วงปี 1960 และยังคงทำอยู่ในปัจจุบัน ทำให้มั่นใจได้ว่าแม้จะไม่ใช่น้ำประปาก็สะอาดตามธรรมชาติสุดๆ ปลาแซลมอนที่จับได้ในแหล่งน้ำใจกลางเมืองก็สามารถนำมาทานได้อย่างปลอดภัย อัตราการปล่อยคาร์บอนของชาวเมืองสตอกโฮล์มอยู่ที่ 3.4 ตันต่อคน ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของชาวยุโรปทั้งทวีปอยู่ที่ 10 ตันต่อคน
9. Hamburg ประเทศเยอรมนี
เมืองฮัมบูร์กได้รางวัลเมืองหลวงสีเขียวแห่งยุโรปในปี 2011 เพราะฮัมบูร์กพัฒนาใจกลางเมืองหลายๆ ด้านให้สอดคล้องกับหลักการความยั่งยืน เช่น เมืองใหม่ HafenCity Hamburg ที่เป็นเขตโครงการพัฒนาเมืองใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ได้เปลี่ยนจากเขตอุตสาหกรรมเก่าเป็นชุมชนผู้อยู่อาศัยที่มีทั้งบ้าน ร้านค้า และสวนสาธารณะ แม้ฮัมบูร์กจะเป็นหนึ่งในเมืองท่าอุตสาหกรรมสำคัญที่สุดในยุโรป แต่ฮัมบูร์กก็กำลังวางแผนพัฒนาตัวเองให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยกำลังจะเปลี่ยนไปใช้แท็กซี่คอนเทนเนอร์ ที่สามารถขนส่งหนึ่งครั้งได้เท่าใช้รถบรรทุก 60 คัน เพื่อลดมลพิษ
10. Bogotá ประเทศโคลอมเบีย
หลายคนอาจจะจำภาพเมืองโบโกตา เมืองหลวงของประเทศโคลอมเบีย ในฐานะศูนย์รวมอาชญากรรม มาเฟีย สลัม และความยากจนข้นแค้น แต่ปัจจุบันโบโกตาเปลี่ยนไปมากแล้ว กลายเป็นหนึ่งในเมืองสีเขียวของแถบละตินอเมริกา มีดัชนีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูงกว่ามาตรฐานเยอะมาก โบโกตามีระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ เส้นทางปั่นจักรยานกว่าร้อยสาย และพื้นที่สีเขียวในใจกลางเมืองอีกกว่า 1,200 แห่ง และในช่วงปี 2008 - 2011 ที่ผ่านมา แม้จะไม่นานนัก แต่โบโกตาก็พัฒนาคุณภาพอากาศ น้ำ และเพิ่มจำนวนต้นไม้ในตัวเมือง รวมไปถึงลดการลักลอบค้าสัตว์ป่าได้อย่างไม่น่าเชื่อ
หลายคนอาจจะสงสัยว่าไม่มีเมืองที่ใกล้ๆ ไทยบ้างหรอ จริงแล้วอันดับรองๆ ลงมาก็มีอีกหลายเมืองจากจีน และออสเตรเลียด้วยนะคะ เช่นเมือง Tianjin และ Dongtan ประเทศจีน และเมือง Melbourne ประเทศออสเตรเลียค่ะ ซึ่งการได้ตำแหน่งเมืองสีเขียวนี้ต้องดูทั้งในแง่ของการลดการใช้น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ เพิ่มจำนวนต้นไม้ นิสัยการรีไซเคิลของคนในชุมชน และการออกแบบภายในเมืองให้เป็นมิตรกับธรรมชาติและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
สำหรับบ้านเรานั้น ไม่ต้องโทษกันไปมาว่าเพราะโน่นนี่ที่ทำให้เราไม่สามารถอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ซะที จริงๆ เริ่มที่ตัวเราก่อน เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เสียสละความสะดวกสบายกันคนละนิด คัดแยกขยะทุกครั้ง และลดการใช้น้ำ ใช้ไฟฟ้า ไม่ต้องคาดหวังให้บ้านเราติดอันดับก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาโลกใบนี้เอาไว้ อย่าให้มันแย่ไปมากกว่าเดิมเลยเนอะ
TWITTER: @PiZZaDekD
ข้อมูล
www.greenuptown.com/get-acquainted-with-the-top-10-greenest-cities-in-the-world
sustainablefutures.info/2013/03/21/greenest-cities-on-earth
en.wikipedia.org/wiki/Sustainable_cities
ภาพประกอบ
www.orangesmile.com, www.disfrutasanfrancisco.com
travelafterkids.blogspot.com, www.websitesvancouver.com
www.oregontravelcenter.com, thegoodblood.blogspot.com
www.cntraveller.com, www.tripadvisor.com
www.flickriver.com
8 ความคิดเห็น
คหสต.