ทุกครั้งที่เจอคนเรียนเก่งมากๆ เราจะมีคำถามนี้อยู่ในหัวเสมอ ... "เรียนเก่งแบบนี้ กินอะไรเป็นอาหาร" ความจริงแล้ว พวกเค้าก็กินข้าวเหมือนที่พวกเรากินนี่แหละค่ะ เป็นอาหารที่เราเคยๆ กินกันมาแล้ว ไม่ได้กินในโรงแรมสิบห้าดาวทุกมื้อ แต่สิ่งที่แตกต่างคงเป็นเรื่องพฤติกรรมการกินต่างหาก ที่จะช่วยพัฒนาสมองของเราได้
เพราะเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่! หมายถึงว่า การกินเป็นเรื่องสำคัญค่ะ อาหารแต่ละมื้อ กินเข้าไปแล้วก็จะถูกดูดซึมและไปพัฒนาส่วนต่างๆ ถ้าเราไม่กินข้าว หรือ กินอะไรที่ไร้ประโยชน์ตลอดเวลา ร่างกายก็ได้ประโยชน์ไม่เต็มที่แถมได้โรคมากเพิ่มด้วย ดังนั้นวันนี้พี่มิ้นท์ก็เลยขอโฟกัสที่เรื่องกินสักหน่อย มาดูกันว่าถ้าอยากสมองดี หัวไว หัวแล่น ต้องกินยังไง
เพราะเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่! หมายถึงว่า การกินเป็นเรื่องสำคัญค่ะ อาหารแต่ละมื้อ กินเข้าไปแล้วก็จะถูกดูดซึมและไปพัฒนาส่วนต่างๆ ถ้าเราไม่กินข้าว หรือ กินอะไรที่ไร้ประโยชน์ตลอดเวลา ร่างกายก็ได้ประโยชน์ไม่เต็มที่แถมได้โรคมากเพิ่มด้วย ดังนั้นวันนี้พี่มิ้นท์ก็เลยขอโฟกัสที่เรื่องกินสักหน่อย มาดูกันว่าถ้าอยากสมองดี หัวไว หัวแล่น ต้องกินยังไง
1. กิน กิน และกินข้าวเช้า
ตามทฤษฎีแล้ว อาหารเช้าต้องเป็นมื้อที่กินหนักที่สุด อิ่มสุด ส่วนมื้อเย็นต้องเป็นมื้อที่กินน้อยสุด แต่อย่างว่าค่ะ นี่มันทฤษฎี ส่วนชีวิตจริงกราฟหันคนละทางเหมือนหนังคนละม้วน
แต่ไม่ว่าจะกินเยอะกินน้อย ก็ยังดีเพราะถือว่าได้ "กิน" ค่ะ น้องๆ ควรกินข้าวเช้าทุกวัน เพื่อให้สมองได้รับสารอาหารและใช้เรียนรู้ในช่วงเช้า คนที่ไม่กินจะรู้สึกว่าขาดเรี่ยวแรง สมองช้า เรียนอะไรก็ไม่เข้าใจ รู้สึกเอ๋อๆ ไปชั่วขณะ และเคยมีการวิจัยมาแล้วว่าคนที่กินข้าวเช้าจะขาดโรงเรียนและขาดงานน้อยกว่าคนที่ไม่กิน (แต่ถ้ากินและยังขาดงานอยู่ แสดงว่าขี้เกียจ!!) ดังนั้นถ้าไม่อยากทำร้ายสมอง กินข้าวเช้าเถอะค่ะ
2. กินน้ำสะอาดบ่อยๆ
ร่างกายประกอบไปด้วยน้ำ 70% เลยทีเดียว และในเนื้อสมองของเราก็มีน้ำถึง 85% และสมองยังใช้เลือดมาหล่อเลี้ยงถึง 5% ของเลือดในร่างกายทั้งหมด ถ้าร่างกายขาดน้ำ สมองเราก็ขาดไปด้วย จะคิดจะทำอะไรก็ช้า เพราะความสามารถในการคิดวิเคราะห์ลดลง การดื่มน้ำสะอาดจึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่ดูแลสมองของเราได้ค่ะ แล้วยังทำให้ร่างกายสดชื่นด้วย อย่ามัวแต่กินน้ำอัดลมน้ำหวานอยู่เลย น้ำเปล่าราคาถูกหากินง่าย อยู่ใกล้ตัวนี่แหละ ประโยชน์เยอะที่สุดแล้ว
3. ไม่ต้องพึ่งวิตามินเสมอไป
ตอนนี้วิตามิน อาหารเสริมเกลื่อนตลาด อยากบำรุงอะไรมีหมด หน้าสวยหน้าใสก็มี แม้แต่บำรุงสมองก็ยังมี พี่มิ้นท์เชื่อว่าพ่อแม่ของน้องๆ หลายคนหาวิตามินมาเสริมให้น้องๆ กินกับเกือบทุกวัน ตอนเช้ามาละ 3 เม็ด เย็นอีก 5 เม็ด กินเยอะไม่ได้ห่วงตับตัวเองเลยก็มี
ความจริงวิตามินพวกนี้ก็ดีค่ะ ให้วิตามินนั้นๆ ต่อร่างกายโดยตรง แต่อาหารบ้านเราก็ไม่ได้ขาดแคลนวิตามินขนาดนั้นนะคะ อาหารรอบๆ ตัวหลายอย่างเป็นแหล่งวิตามินเลย อย่างสารอาหารที่บำรุงสมอง ก็มีทั้งปลา แปะก๊วย ผักโขม ไข่ ฯลฯ ขอแค่เลือกกินของที่มีประโยชน์ เราก็จะได้สารอาหารครบถ้วน โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อวิตามินแพงๆ มากินเลย เห็นมั้ย..ของดีๆ ราคาไม่แพง แต่ประโยชน์เยอะจนคาดไม่ถึง
4. เมื่อเครียดก็บำบัดด้วยของกิน
เรียนหนัก อ่านหนังสือจนเบลอ สมองก็เริ่มล้าเพราะความเครียด เราสามารถคลายความเครียดได้ด้วยการกินค่ะ น้องๆ หลายคนมีคติว่า เครียดก็ต้องหาของหวานๆ กิน ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาแห่ไปกินเค้ก กินฮันนี่โทส น้ำชงหวานๆ โอ้โห ถ้าเครียดบ่อยนี่มีหวังเปลี่ยนไซส์แน่จ้า
แล้วกินอะไรได้บ้างล่ะ? ถ้าพูดถึงของหวานที่เป็นที่ยอมรับว่าคลายเครียดได้ดีที่สุด คือ ช็อคโกแลตค่ะ แต่จริงๆ ควรเป็นดาร์คช็อคโกแลตหรือหวานน้อย ก็จะหายเครียดแบบไม่อ้วนด้วย และที่แนะนำที่สุดคือ บรรดาผลไม้ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกล้วย ส้ม ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ รวมทั้งถั่วต่างๆ ก็มีประโยชน์มีสารป้องกันความเครียดด้วยจ้า ขออย่างเดียว อย่ากินเพลินจนหมดกระป๋องไปในคราวเดียวก็พอ
5. ไม่ติดกาแฟจนเกินไป
พูดก็พูดเถอะ ที่พวกเราอ่านหนังสือโต้รุ่งกันมาได้ ก็เพราะบุญคุณของกาแฟเลยทีเดียว เหมือนทหารผู้จงรักภักดี อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ รบจนถึงวันชนะ แต่กินทุกวันๆ ก็เกิดผลเสียค่ะ เพราะจะทำให้เราเป็นโรคติดกาแฟ ไม่กินจะยิ่งอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง และถ้าหากกินช่วงบ่ายๆ เย็นๆ อาจจะทำให้นอนไม่หลับ เมื่อพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะส่งผลเสียต่อไปเรื่อยๆ อีกค่ะ
6. กินให้หลากหลาย แต่อย่าตามใจปาก
หลากหลายในที่นี้ ก็คล้ายๆ กับการกินให้ครบ 5 หมู่นั่นเอง และทุกๆ มื้อก็ต้องพยายามสับเปลี่ยนเมนูให้มีความหลากหลาย อย่ากินอะไรซ้ำซากจำเจเป็นเวลานานๆ ค่ะ หลักง่ายๆ ในการกินแต่ละมื้อคือ พยายามแบ่งอาหารให้เป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน ระหว่างข้าว โปรตีน ผัก และผลไม้ ยกตัวอย่าง ถ้ามื้อเช้ารีบๆ หน่อย ก็ทานขนมปังง ไข่ดาว และผลไม้หน้าโรงเรียน เป็นต้น
7. หวานไปเป็นโทษ
กินหวาน ทำให้อ้วน คงรู้กันถ้วนหน้าแล้ว แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่ากินหวานมากๆ ก็เป็นอันตรายกับสมองด้วย เพราะการกินหวานจัดๆ จนติดนิสัย จะทำให้ความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายเสีย และทำให้กรดอะมิโนทริปโตฟานถูกเร่งเข้าสู่สมองมากเกินไป จนเสียสมดุลฮอร์โมนในสมอง เราก็จะรู้สึกเหนื่อย เซื่องซึม เรียนไม่รู้เรื่องนั่นเองค่ะ ถ้าไม่อยากอ้วนและมึนในเวลาเดียวกัน ก็ลดความหวานในอาหารแต่ละมื้อลงหน่อยแล้วกันนะคะ
7 ข้อง่ายๆ ที่อยากให้น้องๆ ชาว Dek-D.com เปลี่ยนแปลงวิถีการกินตั้งแต่ตอนนี้ ประโยชน์ที่ได้ไม่ใช่แค่สุขภาพดี หุ่นดี แข็งแรง แต่ถ้ากินดีๆ ก็บำรุงสมองของเราได้เหมือนกันนะ ก็เหมือนประโยคที่ว่า You are what you eat. นั่นแหละจ้า
15 ความคิดเห็น
ป๋มเป็นโรคกระเพาะกินอะไรไม่ค่อยลงยิ่งความจำถดถอยอยู่ด้วย
อ่านแค่หัวข้อ
ก็คิดได้ว่า
.
.
.
"สมองดีไม่มีขาย สมองหายเจ๊เองจ้า"
ขอโทษพี่เว็ปและสาระดีๆมา ณ จุดนี้555555555555555