สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com เวลาเราเห็นภาพข่าวนักบินอวกาศที่ใช้ชีวิตอยู่ทามกลางสภาวะไร้น้ำหนัก เราก็ได้แต่นึกชื่นชมและทึ่งในความเก่งของพี่ๆ นักบินอวกาศที่ตั้งใจไปทำภารกิจ แต่พอลองมานึกดูดีๆ นอกเหนือจากภารกิจที่ต้องไปทำแล้ว การใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาวะไร้น้ำหนักก็ท้าทายไม่แพ้กันเลยนะคะ โดยเฉพาะเรื่อง "การกิน" ซึ่งสำคัญมาก เพราะต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์หรืออาจเป็นเดือนๆ
คำถามที่ผุดขึ้นมาก่อนเลยคือ "เขากินอาหารกันยังไง" เพราะถ้าเทใส่จานเหมือนปกติ อาหารก็จะออกมาลอยเคว้งคว้างไปมา แต่สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในสภาวะอย่างนั้น นักบินอวกาศเขากินอะไรกัน จะกินก๋วยเตี๋ยวเหมือนอย่างเราได้มั้ย แล้วในยานอวกาศมีไมโครเวฟ มีเตาแก๊สหรือเปล่า หรือว่าเมื่อยานลงจอด ก็ลงไปปลูกมันฝรั่งเหมือนกับหนังเรื่อง Martion ยิ่งคิดยิ่งงงค่ะ เอาเป็นว่าพี่มิ้นท์มีความเป็นมาและวิวัฒนาการของ "อาหารอวกาศ" มาฝากกัน
อาหารที่นักบินอวกาศได้ทานนั้น คงไม่ใช่อาหารปรุงสดแบบที่คนบนพื้นโลกทานแน่นอนค่ะ รวมถึงกรรมวิธีการถนอมอาหารเพื่อนำไปทานบนอวกาศก็ต่างจากการถนอมอาหารบนพื้นโลก เพราะต้องมีกระบวนการพิเศษในการเตรียมอาหาร การออกแบบบรรจุภัณฑ์ และการเก็บรักษา เพราะการอยู่ในอวกาศมีข้อจำกัดค่อนข้างมากค่ะ
โครงการเมอร์คิวรี
ในยุคแรกของการท่องอวกาศ คงจะไม่พูดถึงโครงการเมอร์คิวรีไม่ได้ โครการนี้เป็นการทดสอบการบินในยุคแรกๆ รวมถึงเป็นโครงการที่ใช้ทดสอบสรีรวิทยาในเรื่องการกินของมนุษย์เมื่อต้องไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็น การเคี้ยว ดื่ม กิน
อาหารของนักบินอวกาศ จะมาในรูปแบบของอาหารที่บดมาจนมีสภาพกึ่งเหลว บรรจุในหลอดอะลูมิเนียมคล้ายกับหลอดยาสีฟัน ซึ่งบรรจุภัณฑ์ชนิดนี้จะมีความพิเศษ สามารถป้องกันการก่อตัวของแก๊สไฮโดรเจนซึ่งเป็นปฏิกิริยาระหว่างผิวโลหะกับอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด แต่หลอดชนิดนี้มีข้อเสียตรงที่น้ำหนักมากกว่าอาหารซะอีกค่ะ สุดท้ายเลยต้องเปลี่ยนมาเป็นหลอดพลาสติก เพื่อให้น้ำหนักเบาขึ้น วิธีทานก็คือ บีบใส่ปากทานกันแบบนั้นเลย
แต่รูปแบบของอาหารก็มีการปรับปรุงและพัฒนาไปเรื่อยๆ ค่ะ จนในที่สุดก็ปรับให้เป็นอาหารแห้งและอัดเป็นก้อนๆ สี่เหลี่ยมพอดีคำ และฉาบด้วยวุ้นเพื่อไม่ให้แตกเป็นชิ้นๆ (นึกถึงอาหารแมวเลย) เพราะถ้าเกิดอาหารแตกขึ้นมา เศษอาหารอาจจะไปอุดตามอุปกรณ์ต่างๆ บนยานอวกาศได้ค่ะ
โครงการเจมินี - โครงการอะพอลโล
แวดวงวิทยาศาสตร์ไม่มีทางหยุดนิ่งอยู่แล้ว เรื่องอาหารของนักบินอวกาศก็เช่นกันค่ะ โครงการเจมินีพัฒนาไปค่อนข้างมากเลยทีเดียว ทั้งความหลากหลายและบรรจุภัณฑ์ อาหารในยุคนี้จะเริ่มใกล้เคียงกับอาหารสดทั้งสีและรสชาติ โดยมีกระบวนการขจัดน้ำออกจากอาหาร วิธีการก็คือ แล่อาหารเป็นชิ้นบางๆ และหั่นเป็นก้อนเล็กๆ ปรุงเสร็จจะแช่แข็งทันทีและไปเก็บไว้ในห้องสุญญากาศที่มีการลดความดันอากาศลง และเพิ่มอุณหภูมิด้วยแผ่นความร้อน กรรมวิธีนี้อาหารที่ได้จะยังมีรสชาติเช่นเดิมค่ะ แต่ว่าก่อนการกินนักบินจะต้องฉีดน้ำเข้าไปผสมก่อนนะคะ เมื่ออาหารได้รับน้ำ ปากถุงจะเปิดออกถึงจะทานได้นั่นเอง
โครงการอะพอลโลมีรูปแบบการบรรจุอาหารแบบเดียวกับโครงการเจมินีค่ะ แต่ชนิดของอาหารหลากหลายกว่า และก็เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์โดยไม่ต้องเติมน้ำเหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะมีน้ำบรรจุอยู่แล้ว ซึ่งจะมีทั้งแบบที่เป็นถุงพลาสติกหุ้มด้วยแผ่นอะลูมิเนียม และอาหารกระป๋องคล้ายๆ กับที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ค่ะ
ในยุคนี้นักบินอวกาศจะได้ทานอาหารที่อร่อยและให้ความรู้สึกเหมือนคนปกติได้ทานกัน เพราะทั้งเห็นและได้กลิ่นอาหาร และยังใช้ช้อนทานอาหารได้ด้วย เป็นครั้งแรกของการทานอวกาศบนยานอวกาศเลยล่ะค่ะ
โครงการสกายแล็บ - สถานีอวกาศนานาชาติ
ถัดมาในยุคของสกายแล็บ เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยค่ะ เพราะในสถานีอวกาศสกายแล็บมีตู้เย็น เครื่องแช่แข็ง ถาดอาหารและโต๊ะ ก็จะให้ความรู้สึกคล้ายกินข้าวที่บ้าน แต่อาจจะได้บรรยากาศแบบไร้แรงโน้มถ่วงค่ะ สำหรับบรรจุภัณฑ์ก็จะออกแบบมาเป็นพิเศษ ก่อนทานนักบินต้องอุ่นอาหารก่อน ที่สำคัญเมนูอาหารก็จะออกแบบสำหรับนักบินแต่ละคนโดยเฉพาะ ซึ่งจะคำนวณตามนักบินแต่ละคนเลยทั้งเรื่องของอายุ น้ำหนักตัว และหน้าที่บนยานอวกาศ
credit : www.nasa.gov/audience/formedia/presskits/spacefood/gallery_jsc2003e63872.html
ต่อมาในยุคของกระสวยอวกาศ นักบินบนกระสวยอวกาศมีเมนูให้เลือกถึง 74 ชนิด เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีเครื่องดื่มอีก 20 ประเภท เพราะว่านักบินที่เดินทางไปนั้นมีจำนวนมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งนักบินแต่ละคนจะเลือกมื้ออาหารได้เองด้วยค่ะ การเตรียมอาหารบนกระสวยอวกาศจะทำภายในห้องครัว มีเตาอบ และมีท่อน้ำที่จ่ายทั้งน้ำร้อน น้ำอุ่น และน้ำเย็นได้ เวลานักบินจะรับประทานจะต้องคาดเข็มขัดผูกติดกับที่นั่ง และใช้มีด ช้อน ส้อม ทานเหมือนบนโลกเลยค่ะ
credit : https://en.wikipedia.org/wiki/Space_food#/media/File:S73-20236.jpg
จนกระทั่งมาในยุคของสถานีอวกาศนานาชาติ พลังงานไฟฟ้าถูกสร้างขึ้นจากแผงเซลล์สุริยะ จึงไม่มีน้ำเกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ค่ะ ดังนั้นอาหารบนสถานีอวกาศจึงมาในรูปแบบของอาหารแช่แข็ง และไม่จำเป็นต้องผสมน้ำก่อนทานด้วย
น้องๆ หลายคนอ่านถึงตรงนี้ อาจจะคิดว่าเทคโนโลยีต่างๆ ก็ทำให้นักบินอวกาศได้ทานอะไรที่เหมือนคนบนโลกทาน ก็ดูไม่น่าจะลำบากอะไร แต่ความเป็นจริงแล้ว นักบินจะต้องคุมอาหารให้ได้พลังงานเฉลี่ย 3,000 กิโลแคลอรี่ ซึ่งถือว่าเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงค่ะ เพราะว่าเมื่ออยู่ในสภาวะไร้น้ำหนัก จะต้องใช้พลังงานมากกว่าปกติ เช่น จะก้มลงใส่รองเท้า ตัวก็อาจจะตีลังกาตามไปด้วยนั่นเอง
นอกจากนี้อาหารยังช่วยชดเชยการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อต้องมาอยู่ในอวกาศด้วย ไม่ว่าจะเป็น กล้ามเนื้อเสื่อมถอย การสูญเสียแคลเซียม เป็นต้น
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
www.zmescience.com/science/domestic-science/food-space-923422/,
http://thaiastro.nectec.or.th/library/spacefood/spacefood.html,
www.nasa.gov,
www.nasa.gov/audience/forstudents/postsecondary/features/F_Food_for_Space_Flight.html
12 ความคิดเห็น
เม้นแรกกกกกกกกกกกกก
น่าสนใจมากค่ะ อยากลองกิน~//เม้นต์2~~~
อยากรู้อะว่ารสชาติเป็นยังไง???
หากมนุษย์ต้องออกไปนอกอวกาศจริงๆ แค่คิดว่าต้องอยู่ในสภาพไร้น้ำหนักนานๆ
มันก็อดที่จะกลัวไม่ได้
รสชาติอยากถามว่าอร่อยไหมจัง
อยากลองชิมบ้างง่ะ
อยากรู้จังครับว่าอาหารที่นักบินอวกาศจะรสชาติเป็นอย่างไง เคยอ่านเจอเรื่องเกี่ยวกับอาหารเหมือนกันเเต่ ไม่นึกว่าปัจจุบันจะมีเมนูให้เลือกถึง 74 ชนิด
อยากกินบ้างจัง