ชีวิตเด็กไทย...เซ็งแอดมิชชั่น สู้เพื่อฝันชิงทุนได้ไป "ฮ่องกง"


     สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com .... เจอกับ พี่เป้ และเล่าประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ ทุกวันพฤหัสเช่นเคยค่ะ ^^ สำหรับประสบการณ์เด็กนอกวันนี้มาจาก "เขตบริหารพิเศษ" ที่เรารู้จักกันดี นั่นก็คือ "ฮ่องกง" นั่นเองค่ะ โอ้วววว ไม่เคยอ่านประสบการณ์เด็กไทยในฮ่องกงเลยแฮะ วันนี้ถือเป็นโอกาสดีทีเดียว ขอบอกว่าห้ามพลาดเลยล่ะ เพราะเจ้าของเรื่องวันนี้ก็เคยมีชะตาชีวิตไม่ต่างจากน้องๆ ม.6 ที่ท้อกับแอดมิชชั่น สุดท้าย ตัดสินใจโกอินเตอร์มันซะเลย!


     “อึ่มกอย! คำง่ายๆ เป็นภาษากวางตุ้งสื่อความหมายได้ทั้งขอโทษและขอบคุณ คำเบื้องต้นสำหรับนักท่องเที่ยวที่ฮ่องกงควรรู้ไว้^^
   
     สวัสดีค่ะ "ปรางใส" นะคะ เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม(ฝ่ายมัธยมค่ะ) ตอนนี้เป็นนักศึกษาปีที่ 1 ที่ The Hong Kong Polytechnic University หรือตามที่คนฮ่องกงเรียกกันว่า PolyU นั่นเองค่ะ
     
    ฮ่องกงถือว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญอันดับต้นๆ ของเอเชียทั้งทางด้านประวัติศาสตร์แล้วเศรษฐกิจ เพราะเป็นเหมือนศูนย์กลางของความเจริญของภูมิภาค จะเห็นได้ว่าบริษัทใหญ่ๆ จากทั่วทุกมุมโลกต่างจะมีสำนักงานอยู่ที่ฮ่องกงทั้งนั้น อีกทั้งฮ่องกงยังมีเสน่ห์ทางด้านประวัติศาสตร์ เพราะเป็นท่าเรือที่สำคัญแห่งหนึ่งของจีนมาหลายร้อยปี ทำการติดต่อค้าขายกับประเทศตะวันตกมาอย่างยาวนาน จึงไม่น่าแปลกใจที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้แฝงไปด้วยส่วนผสมที่ลงตัวของทั้งตะวันออกและตะวันตก เรียกได้ว่าค้นหาอย่างไรก็ไม่รู้เบื่อ 
     ทางด้านภาษา คนฮ่องกงพูดได้ 3 ภาษาค่ะ แม้จะมีภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ แต่บ่อยครั้งก็จะได้ยินภาษาจีนกลาง(แมนดาริน) และ จีนกวางตุ้ง ปนอยู่ทั่วไปตามชีวิตประจำวัน ส่วนสกุลเงินของที่นี้เป็นเงินดอลล่าร์ฮ่องกงค่ะ 1 HKD = 4 บาทโดยประมาณค่ะ ค่าของชีพถือว่าสูงเหมือนกัน แพงกว่าเมืองไทย 3-4 เท่าตัวเชียวค่ะ ประมาณว่า ก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามตก 35HKD หรือประมาณ 140 บาท แต่ถ้าร้านทั่วไปตามข้างถนนก็ยังพอหาชามละ 60-70 ได้เหมือนกัน ถ้าไม่ออกไปข้างนอกบ่อยๆ เนี่ยก็เซฟเงินได้เยอะทีเดียวค่ะ แต่พอดีเราชอบออกไปข้างนอกมากกกก ฮ่าๆๆ 

     เราจะเปลืองเงินมากไปกับการกินค่ะ เพราะที่ฮ่องกงมีอาหารแทบทุกสัญชาติ เรียกว่าอยากกินอะไรจากมุมไหนของโลกก็มีให้กินแทบทุกอย่างค่ะ ส่วนมากเราจะหมดเงินไปกับของกินนี่แหละ สำหรับเพื่อนๆ ที่ชอบช้อปปิ้งเนี่ยซวยเลยนะ เพราะที่นี้มี SALE ทั้งปีค่ะ เรียกว่าจะฤดูไหน ช่วงไหน ห้างต่างๆ ก็จะลดราคาตลอดเวลา ถ้าเป็นโรค Shopaholic ละก็หมดตัวแน่ๆ เลยค่ะ ส่วนตัวเราใช้เงินหมดไปประมาณเดือนละ 20,000 บาทค่ะสำหรับการอยู่ที่นี่

     ถ้าถามว่าเราดีใจไหมที่ได้มาเรียนที่นี่ คงต้องบอกว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตเลยละค่ะ เพราะว่าตอนที่เราอยู่ม.หก ช่วงนั้นจะสิ้นเดือนมีนาแล้ว มันท้อมันเหนื่อย (เหมือนกับหลายๆ คนในตอนนี้) เหมือนกับเป้าหมายอะไรๆ ที่ตั้งเอาไว้ก็ไปไม่ถึงสักทีจนไม่กล้ารอ ADMISSION กลางแล้ว แล้วจู่ๆ ก็ไปเดินงานนิทรรศการการศึกษาต่อนอก แล้วก็เจอบู๊ทมหาลัย เลยคุยกันกับเอเจนซี่ที่เค้าเป็นตัวแทนแล้วก็สมัครเลย จากนั้นช่วงปลายเมษาผลก็ออกมาว่าสอบได้ทุน เลยตัดสินใจที่นี่ค่ะ

สำหรับการสมัคร เอกสารที่ต้องใช้ได้แก่
1. Transcript 6 เทอม (ภาษาอังกฤษ)
2. ผลการสอบ IELTS เท่ากับหรือมากกว่า 6.0 หรือ ผลการสอบ TOEFL IBT มากกว่าหรือเท่ากับ 80
3.ใบประกาศนียบัตร (ถ้ามี)
   
     ใครที่อยากเรียนที่นี่ ก็สามารถเข้าไปสมัครออนไลน์ในเว็บไซต์พร้อมดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www38.polyu.edu.hk/eAdmission/index.jsf พอยื่นใบสมัครแล้วจะต้องรอสักหน่อยค่ะ แล้วเค้าก็จะนัดสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์หรือ Skype ซึ่งใช้เวลาประมาณ 10 นาทีเท่านั้นค่ะ อาจจะมีให้เขียนเรียงความสดหลังจากสอบสัมภาษณ์เสร็จ ซึ่งเราต้องเขียนภายในเวลาที่กำหนดแล้วส่ง E-mail ตอบกลับไป ก็ถือว่าเสร็จเรียบร้อย แล้วก็รอฟังผลประมาณ 1 อาทิตย์ค่ะ อาจจะดูยุ่งยากไปนิด แต่เราสมัครผ่านเอเจนซี่อ่ะค่ะ หน้าที่เดียวที่ต้องทำคือเตรียมตัวสัมภาษณ์ ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลยค่ะ
 


   ขอแนะนำมหาลัยที่เราเรียนหน่อยละกัน ชื่อว่า The Hong Kong Polytechnic University ค่ะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะว่าเป็นสถาบันการช่างหรือเปล่า เมื่อก่อนใช่ค่ะ เป็นเหมือนโรงเรียนการช่างของที่นี่ แต่เมื่อปี 1994 ได้ยกระดับวิทยฐานะเป็นมหาลัยอย่าเต็มรูปแบบค่ะ และสาขาที่เปิดสอนมีดังนี้ค่ะ

o Faculty of Applied Science and Textiles

o Faculty of Business (อันดับ 61 ของโลก) 

o Faculty of Construction and Environment (อันดับ 3 ของโลก) 

o Faculty of Engineering (อันดับ 70 ของโลก) 

o Faculty of Health and Social Science

o Faculty of Humanities (อันดับ 30 ของเอเชีย) 

o School of Design (อันดับ 30 ของโลก) 

o School of Hotel and Tourism Management (อันดับ 6 ของโลก) 


   ที่ตั้งของสถาบันการศึกษาแห่งนี้ตั้งอยู่กลางในเมืองฮ่องกงค่ะ เป็นเพียงแค่ 1 ในไม่กี่ในมหาลัยที่ฮ่องกงที่มีทำเลกลางเมืองค่ะ เรียกได้ว่าเดินเพียงห้านาทีก็ถึงแหล่งช้อปปิ้งชื่อดังอย่างจิมซาจุ่ย(Tsim Sha Tsui)แล้ว ยิ่งมีสถานีรถไฟ MTR ติดมหาลัยอย่างนี้ไปไหนมาไหนก็สะดวกสุดๆ

     การเรียนการสอนทั้งหมดใช้ภาษาอังกฤษค่ะ แต่บางครั้งเค้าก็จะอธิบายเป็นภาษาจีนให้เพื่อนๆ คนจีนเข้าใจบ้าง แต่มีไม่ค่อยเยอะหรอกค่ะ เวลาเราคุยในห้องกับเพื่อนก็จะใช้ภาษาอังกฤษตลอด ส่วนเวลาสื่อสารข้างนอกเราก็หัดพูดจีนค่ะ ทั้งกวางตุ้งและแมนดาริน เรื่องเพื่อนๆ เราถือว่าตัวเองโชคดีมากค่ะที่ได้เจอแต่คนดีๆ เพื่อนก็จะมีหลายกลุ่มค่ะ ทั้งคนต่างชาติด้วยกัน คนจีนแผ่นดินใหญ่ และคนฮ่องกง ส่วนคนไทยนั้น น้อยมากค่ะ ถ้าไม่นัดกันจริงๆ ก็จะไม่ได้เจอกันเลย
 
    การอยู่อาศัย นักเรียนต่างชาติแทบทั้งหมดจะอยู่ในหอพักที่ทางมหาวิทยาลัยจัดไว้ให้ค่ะ คือไม่มีคนบ่นเรื่องนี้หรอกค่ะ เพราะหอพักเนี่ย วิวสวยมากๆ ไม่ไกลจากมหาลัย มีห้องฟิตเนส ห้องเปียโน ห้องเต้นรำ ห้องเล่นเกม ห้องสนุกเกอร์ พร้อม แถมถูกสุดๆ ค่าหอตกวันละ 200 บาทเท่านั้น รวมค่าน้ำค่าไฟแล้ว (O_o) เราว่ามันถูกกว่าเมืองไทยอีกนะเนี่ย

     เพื่อนแต่ละกลุ่มก็จะแตกต่างกันออกไปค่ะ กลุ่มคนต่างชาติก็มีเยอะค่ะ มีเพื่อนมาจากทั่วโลกเลยทำให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ผ่านมุมมองของคนอื่นบ้าง เป็นกลุ่มที่เวลาไปเที่ยวไหนก็จะชวนกันตลอด
อย่างกลุ่มคนจีนแผ่นดินใหญ่เนี่ย คือจะคุยกันแต่เรื่องการเรียนตลอดการเตรียมตัวก่อนสอบหรือติวหนังสือด้วยกัน เพราะกลุ่มนี้จะขยันเอาเป็นเอาตายค่ะ คือเขาต้องสอบเข้ามาที่นี่คือมันหินมากๆๆ มีแค่ความรู้อย่างเดียวไม่ได้ ที่บ้านต้องมีแรงสนับสนุนด้วย

     ซึ่งจะไม่เหมือนเด็กต่างชาติอย่างเราที่ทางมหาวิทยาลัยส่งเสริมอย่างแรง เพราะมหาลัยเค้าก็อยากให้มีต่างชาติมาเรียนเยอะๆ อย่างคนไทยเกินร้อยละ 80 ที่เรียนที่นี่คือเด็กทุนค่ะ อาจจะฟังดูเท่ แต่ต้องขอบอกว่าสิ่งที่ยากกว่าการได้เป็น”เด็กทุน”นี้คือ “เด็กที่รักษาทุน” ไว้ได้ค่ะ เพราะว่าการเรียนการสอนที่นี่เข้มข้นมาก ต้องขยันและใส่ใจการเรียนตลอดเวลาค่ะเพื่อจะรักษาทุนเอาไว้ เอาเป็นว่าเทอมแรกของเราเนี่ยเครียดจนร้องไห้แทบทุกวันเลยค่ะ แต่พอผ่านมาได้ ก็ทำให้เราแกร่งขึ้นค่ะ ส่วนเพื่อนคนฮ่องกงก็มีเยอะค่ะ แต่เนื่องด้วยคนฮ่องกงเค้าจะขี้อาย แล้วส่วนมากก็มีเพื่อนจากโรงเรียนเดิมอยู่แล้ว เราเลยไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่

     นอกจากการเรียนแล้วกิจกรรมที่นี่มีเยอะมากค่ะ แค่ชมรมต่างๆ ก็ปาไปครึ่งร้อยแล้ว เรียกได้ว่าชอบอะไรแบบไหนก็ต้องมีคนที่ชอบเหมือนกันกับเราอยู่แน่ๆ อย่างเราเองเป็นคนชอบพูดมากๆ เลยเข้าชมรม Toastmaster เป็นชมรมที่ไว้ฝึกการพูดสุนทรพจน์ เรามีความสุขมากที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ล่าสุดได้เป็นตัวแทนไปไปพูดสุนทรพจน์ที่สำนักงานใหญ่ธนาคาร HSBC ค่ะ ถึงแม้งานไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็ดีใจค่ะที่ได้รับโอกาส



 




  สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากการเรียนที่นี่กับเรียนที่ไทยคือ สิ่งแวดล้อม อย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่แล้วว่าฮ่องกงเป็นหนึ่งในสถานที่ประชากรหนาแน่นมากที่สุดในโลก เพราะที่ดินมีน้อยและคนมีเยอะ เพราะฉะนั้นการแข่งขันก็เลยสูงตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการกินการอยู่ คนที่นี่พูดเร็ว กินเร็ว แม้แต่เดินก็ยังเร็ว คนที่นี่พูดเร็ว กินเร็ว แม้แต่เดินก็ยังเร็ว วิถีชีวิตของคนฮ่องกงเป็นไปอย่างเร่งรีบ ทุกคนทำงานแข่งกับเวลา นอกจากนี้ทุกคนที่นี่ถูกฝึกใช้คุ้นชินกับการแข่งขัน จึงมีทักษะในการทำงานสูง 


   มีเพื่อนคนนึงเคยเปรียบไว้ว่า ถ้าโอกาสเหมือนกับเค้กหนึ่งก้อน เค้าไม่คิดว่าเค้าจะได้รับส่วนแบ่งมากหรือน้อย เพราะสิ่งที่แย่กว่าการได้เค้กชิ้นเล็กๆ คือการที่ไม่ได้รับส่วนแบ่งเลย เพราะโอกาสไม่ได้มีพร้อมให้ทุกๆ คน ถ้าอยากได้โอกาสต้องวิ่งเข้าหามันเอง อีกทั้งระบบการศึกษาก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หลังจากปี 1984 เป็นต้นมา รัฐบาลฮ่องกงมีมาตรการสนับสนุนการศึกษาอย่างจริงจัง งบประมาณมหาศาลได้ใช้ไปกับการพัฒนาบุคคลากรรุ่นใหม่ ทั้งนี้ทางคณะผู้บริหาร คณาจารย์ และนักเรียนจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเองอย่างมุ่งมั่นและจริงจัง จึงไม่น่าแปลกใจที่ฮ่องกงจะเป็นเมืองที่การศึกษามีคุณภาพสูงเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย


   จากวันที่ก้าวเท้าออกจากประเทศบ้านเกิด เราก็มีความรู้สึกว่าโลกใบนี้มันกว้างกว่าที่เราเคยรู้ มีอะไรหลายๆ อย่างที่เรายังต้องเรียนรู้อีกมาก จากคนที่เคยเรียนเก่งมากคนนึง พอมาอยู่ในโลกที่กว้างขึ้นมัน ทำให้เรารู้ว่าเราไม่ได้เก่งอะไรเลย คนที่เค้าเก่งกว่าเรามันมีอีกเยอะแยะ เราเป็นเหมือนกบที่ออกมาจากนอกกะลาแล้วเพิ่งรู้ความจริงอ่ะค่ะ การมาเรียนที่ต่างบ้านต่างเมืองมันสามารถสอนเราได้หลายๆ อย่างแบบที่ไม่มีหนังสือเล่มไหนเขียนเอาไว้ ต้องเจอเอง ต้องเรียนรู้ประสบการณ์เหล่านั้นด้วยตัวเอง เราเชื่อว่าคนที่กล้าจะเริ่มต้นก่อนก็จะสามารถไปได้ไกลกว่าคนที่ยังชักช้าลังเลใจอยู่นะคะ อยากให้ทุกคนคิดให้รอบคอบแล้วกล้าที่จะตัดสินใจทำอะไรที่แตกต่าง


    และถ้ามีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับ PolyU ก็ลองอีเมล์มาถามเราได้ที่ payun.prangsai@gmai.com อยากให้คนไทยมาเรียนเยอะๆ โชคดีค่ะ
   

   


    ถ้ามีเด็กม.6 มาอ่านเรื่องนี้ คงโดนใจอย่างแรง เพราะหลายๆ คนคงกำลังท้อกับแอดมิชชั่นกลางอยู่แน่ๆ T^T ถ้าใครสนใจไปฮ่องกงแบบนี้บ้าง
พี่เป้ เอาใจช่วยเต็มที่ค่ะ เพราะพี่เคยไปฮ่องกงบ่อยและเคยไปเดินเล่นตามมหาลัยในฮ่องกงอยู่เหมือนกัน ขอบอกว่าอินเตอร์สุดๆ คนต่างชาติเยอะมาก บรรยากาศน่าเรียนสุดๆ ระบบการศึกษาก็ดีติดอันดับโลกด้วยค่ะ สำหรับค่าเทอมนั้นในเว็บไซต์บอกว่าตกปีละ 4 แสนกว่าค่ะ แต่ถ้าใครมีผลการเรียนระดับมัธยมดีเริดเวอร์ๆ ทางมหาวิทยาลัยเค้าก็จะรับเข้าเรียนพร้อมให้ทุนด้วยค่ะ 
   
    ส่วนใครมีประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ อยากแบ่งปันแบบนี้ ก็รีบเขียนและส่งมาได้ที่ pay@dek-d.com ส่งมาไวๆ เลยนะ รออ่านอยู่จ้า



 


เปิดแล้ว!! Dek-D's โปรแกรมค้นหาทุนเรียนต่อนอกทั่วโลก 2013
      โปรแกรมแรกในเมืองไทยที่จะช่วยค้นหาทุนเรียนต่อต่างประเทศ ง่ายแค่คลิก! รวบรวมทุนฟรีๆ 
      ไว้แล้วกว่า 200 ทุน คลิกไปใช้กันได้ที่  www.dek-d.com/studyabroad/scholarship
     
พี่เป้
พี่เป้ - Columnist มนุษย์บ้างานและบ้านวด ผู้ตกหลุมรักปลาแซลมอน การนอน และและออฟฟิศ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

20 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
Detective_ME Member 21 ก.พ. 56 17:52 น. 2
เราก็เรียนที่นี่ เพื่อนเราเอง ถ้ามีใครอยากเข้าวิศวะ ถามเราได้นะเพราะเรียนอยู่วิศวะเครื่องกล
0
กำลังโหลด
น่าสนใจมากค่ะ 22 ก.พ. 56 05:07 น. 3
ถามจริง ถ้าไปเรียนแบบไม่ทุน ค่าเทอมแพงมั้ย
ปีๆนึงหรือเทอมนึง รวมค่ากินอยู่แล้ว คิดเป็นเงินไทยประมาณกี่บาทค่ะ

พอดีสนใจ ม นี้อยู่เบาๆ แต่อยากเรียนต่อ MBA
แต่ก็จะลองยื่นทุนดูนะ เผื่อฟลุค 55 ตอนนี้ก็ฟิตภาษาไปก่อน
0
กำลังโหลด
น่าสนใจมากค่ะ 22 ก.พ. 56 05:18 น. 4
อ้าวอ่านไม่ดีเอง ตกปีละ 400000 กว่า 55555
ขอโทษค่ะ T T

สี่แสนก็พอตัวนะเนี้ย เดี๋ยวต้องลองดูหลายๆที่ก่อน
แต่ทุนก็น่าสนใจนะ น่าจะประหยัดได้เยอะเลย

ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
wave125 5 Member 27 ก.พ. 56 19:05 น. 8
สูตรลับผอมทันใจ 7 วันลด 10 กิโล เร่งการเผาผลาญ ระเบิดไขมัน ปลอดภัยมีอย.รับรอง สวยใสสไตล์เกาหลีแน่นอน www.Beautyslimshape.net
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
smile 2 มี.ค. 56 00:11 น. 10
อยากไปเรียนต่อที่นี่อ่ะคะ เพราะเรียนอยู่ที่ฮ่องกงเดิมอยู่แล้ว ค่าเทอมประมาณกี่บาทหรอค่ะ
0
กำลังโหลด
Jacky9 Member 12 มี.ค. 56 00:13 น. 11
พี่ปรางใส ผมขอถามครับ ตอนที่เขาสัมภาษณ์ ภาษาจีนใช่ไมครับ ยากมากป่าวครับ ขอรบกวนหน่อยครับ
0
กำลังโหลด
ปรางใส 15 มี.ค. 56 17:03 น. 12
ตอนที่สัมภาษณ์ใช้ภาษาอังกฤษค่ะ คำถามไม่ยาก ประมาณว่าเราเป็นใคร ทำไมอยากมาเรียนที่นี่ พี่ว่าง่ายมากค่ะ คำถาม เราแค่ต้องเตรียมตัวสักนิดหน่อย
ส่วนภาษาจีนพี่กรอกไปเองว่าเป็นความสามารถพิเศษค่ะ เค้าก็ทดสอบมา แค่แนะนำตัว ชื่ออะไร อายุกี่ปี บ้านอยู่ไหน ประมาณนี้
ส่วนเรื่องค่าเรียนแนะนำให้ดูในเว็บของมหาวิทยาลัยนะค่ะ เพราะว่าแต่ละคณะจะมีค่าใช้จ่ายที่ไม่เท่ากันค่ะ
ขอให้โชคดีนะค่ะ
0
กำลังโหลด
พิมพิม 30 มี.ค. 56 19:52 น. 13
สอบถามนิดนึงค่ะ
ที่ขอทุนนี่ต้องมีโปรไฟล์ระดับไหนอ่าคะ เพราะว่าสนใจมาก แต่ยังไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่
แล้วต้องเตรียมพวก sop หรือ letter of recommendation มั้ยคะ
เพราะพวกนี้เตรียมนานอยู่
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด