สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เจอกับ พี่เป้ และเล่าประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ ทุกวันพฤหัสเช่นเคย^^ ช่วงนี้มีน้องๆ หลายคนถามถึงโครงการ Work&Travel มาเยอะมากๆ เลยล่ะค่ะ เพราะเป็นช่วงที่เริ่มรับสมัครกันแล้ว วันนี้จึงมีประสบการณ์ Work&Travel สนุกๆ มาฝาก^^ จากรุ่นน้องที่คณะของพี่เอง 5555 น่ารักมากๆ เลยล่ะอยากอวด อิอิ



 
    สวัสดีค่ะ พี่ๆ น้องๆ ชาวเด็กดีทุกคน เราชื่อ 'บ๊วย' ค่ะ บ๊วยที่เป็นขนมเม็ดๆ นี่แหละ 555 ตอนนี้ศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 คณะรัฐศาสตร์ ภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  วันนี้บ๊วยจะมาเล่าถึงประสบการณ์ Work and Travel ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เพิ่งไปมาเมื่อปี 2013 สดๆ นี่เองค่ะ ถ้าพร้อมกันแล้วเตรียมตัวอ่านกันได้เลยจ้าา :D


    อย่างแรกต้องขอเท้าความก่อนเลย ว่าทำไมถึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการนี้ จำได้ว่ารู้จักโครงการ Work and Travel เป็นครั้งแรกจากรุ่นพี่ที่เคยทำงานร่วมกันในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ปี 2555 ตอนนั้นรุ่นพี่คนนั้นเพิ่งกลับมาจากอเมริกา ก็เลยนั่งเม้าท์มอยกัน พี่เค้าก็เล่าให้ฟังว่าชีวิตในอเมริกาเป็นยังไงมั่ง

   
    พอบ๊วยฟังแล้วก็สนใจมากเลย เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบทำงาน ชอบหางานพิเศษทำ เช่น รับสอนพิเศษ ขายหนังสือในบู๊ทนิยายแจ่มใส เป็นต้น เพราะบ๊วยคิดว่ามันเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ดี แถมยังทำให้เราได้พบเพื่อนใหม่ เจอคนกลุ่มใหม่ๆ เปิดโลกกว้างมากกว่าการเรียนหนังสือ แถมยังได้ค่าขนมอีกด้วย
      
 
     แต่แม้จะสนใจแค่ไหน ก็ยังไม่ตัดสินใจสมัครทันที เพราะยังต้องรอเบื้องบนอนุมัติ 5555 ระหว่างนั้นก็หาข้อมูลไปเรื่อยๆ เริ่มจากการหาเอเจนซี่ ซึ่งคิดว่าเป็นประเด็นที่เด็กที่อยากไปเวิร์คส่วนใหญ่หนักใจ เพราะไม่รู้จะไปกะเจ้าไหนดี กลัวจะโดนลอยแพ กลัวได้งานไม่ดีบ้าง เกี่ยวกับเรื่องนี้ส่วนตัวแล้วบ๊วยคิดว่า ไปกับที่ไหนก็เหมือนกันหมด อันนี้ตัดสินจากประสบการณ์ตรงของตัวเองและคนอื่นเลยค่ะ เพราะหลังจากไปถึงอเมริกาแล้ว เรื่องทุกอย่างคนที่จัดการเองคือตัวเรา บอกเลยว่าการไปเวิร์คคือการไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง ดังนั้น! อย่าไปหวังพึ่งคนอื่นหรือเอเจนซี่ค่ะ ให้ลองเลือกเมือง เลือกงานที่สนใจ และสุดท้ายถ้าอยากจะเซฟหน่อย ก็ดูค่าโครงการค่ะ ซึ่งแต่ละเจ้าก็ไม่แตกต่างกันมากหรอก เลือกราคาที่รับได้ก็พอจ้า


   
     โอเคค่ะ แล้วบ๊วยก็ผ่านด่านสำคัญในการขอคุณพ่อคุณแม่มาเวิร์คสำเร็จ บ๊วยเลือกไปกับ Higher Education  เป็นการตัดสินใจด้วยตัวเอง แบบไม่ได้ตามใครเลย เหตุผลง่ายๆ ในตอนนั้นคือบ๊วยสมัครช้าคะ 555 เอเจนซี่อื่นปิดรับสมัครแทบหมด งานก็เต็มเกือบหมดแล้ว บ๊วยมัวช้าไง 5555 แต่ก็ไม่เคยคิดเสียดายเลยค่ะ เพราะแฮปปี้กับเอเจนซี่นี้มาก (ไม่ได้ค่าโฆษณาอะไรทั้งนั้น 555) 
   

     งานที่ยังเหลืออยู่ และบ๊วยพอจะเลือกได้ คืองานสวนสนุก Six Flags งานอะไรอีกงานจำไม่ได้ และสุดท้ายคืองานซุปเปอร์มาเก็ต Winn Dixie ค่ะ (เหลืองานน้อยมากจริงๆ 555) ตอนนั้นเลือก Winn Dixie อันดับ 1 เลยค่ะ เพราะที่ทำงานอยู่ที่ฟลอริด้าซึ่งส่วนตัวคิดว่าเป็นรัฐที่น่าไปมากกกก เป็นสถานที่ท่องเที่ยว อากาศดี และที่สำคัญ Outlet เยอะ 55555 (เชื่อว่าหลายๆ คนที่ไปฟลอริด้าคงคิดเหมือนกัน อิอิ)
     



     และแล้วก็ไม่ผิดหวัง ประกาศผลมาได้งานนี้จริงๆ เพราะเหมือนจะเป็นงานท้ายๆ ที่คนไม่ค่อยเลือกนะคะ 55555 แอบเฟลๆ  หลังจากได้งานแล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของการสัมภาษณ์งานที่หลายๆ คนกลัวนักกลัวหนา แต่บ๊วยกลับรู้สึกชิลล์มากกก 5555 การสัมภาษณ์จะเป็นการสัมภาษณ์กับเอเจนซี่ของทางอเมริกาคะ คำถามที่เขาสัมภาษณ์ก็ไม่น่ากลัวอะไรเลย แค่ให้แนะนำตัวเอง แล้วก็ถามคำถามทั่วไปว่าเรียนอะไร ทำไมอยากไป จะมียากมากหน่อยก็อาจจะเป็นการลองเชิง ถามว่ามีความรู้เกี่ยวกับประเทศอเมริกาแค่ไหน ก็ตอบไปตามความเป็นจริงค่ะ อย่าไปเกร็ง ไม่มีอะไรที่เราตอบไม่ได้หรอกคะ และเค้าก็ไม่ได้ถามอะไรยากมากมาย ไม่มีการ discuss เรื่องการเมืองอะไรแบบนั้นแน่ๆ วางใจได้ค่ะ

      *ทริคในการสัมภาษณ์งาน พูดให้เสียงดังฟังชัดเข้าไว้ค่ะ มีสติให้มากๆ อย่าลน ถ้าไม่เข้าใจคำถาม อย่ามั่วคำตอบ ให้ถามเค้าใหม่ ใช้ประโยคง่ายๆ เช่น "Pardon me?" "Could you say it again?" แต่ถ้าถามแล้วยังฟังศัพท์ไม่ออกจริงๆ ก็บอกตรงๆไปเลยค่ะ ว่า I'm sorry, I don't understand. เค้าก็จะเปลี่ยนคำถามให้เราเอง ไม่มีอะไรยากสำหรับการสัมภาษณ์ค่ะ ^^

         
   
    มาถึงขั้นตอนสำคัญแล้วค่ะ หลังจากได้งาน ส่งเอกสาร ได้วีซ่า ตั๋วเครื่องบิน รู้กำหนดการเดินทางเรียบร้อย ก็จะมาเริ่มจัดกระเป๋ากันค่ะ อันนี้คือกระเป๋าเดินทางบ๊วยเอง อิอิ จากภาพจะเห็นได้ว่าจัดเต็มกับมาม่ามาก 5555
       

      การจัดกระเป๋า ก่อนจัดให้ลิสต์รายการของไว้ก่อน แล้วค่อยไปซื้อของ ของใช้ที่จำเป็นที่ขาดไม่ได้ก็ได้แก่ ยารักษาโรค อาหารแห้ง เครื่องปรุงรส เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม (เอาแต่ชุดที่คิดว่าได้ใช้ก็พอ เสื้อผ้าแฟชั่นพับเก็บไปเลย ยังไงก็ได้ซื้อใหม่ 55) ของใช้ส่วนตัว ถ้าไม่อยากขนของใช้ส่วนตัวไปเยอะๆ ก็ลองเข้าไปเช็คราคาของในอเมริกาก็ได้ค่ะ บ๊วยชอบเช็คจากเว็บไซต์ของ walmart เพราะเป็นห้างค้าปลีกที่ราคาถูก และหาง่ายที่สุดในอเมริกา ย้ำว่าหาง่ายจริงๆ ค่ะ มีเกือบทุกที่ในอเมริกาเลย
     

     เสร็จจากพวกของกิน ของใช้ ก็จะเป็นพวกเอกสาร พาสปอร์ต บัตรประจำตัวประชาชน ข้อมูลสถานที่ทำงาน Job offer เอกสารต่างๆ ที่เอเจนซี่กำชับให้เอาไป ห้ามลืมค่ะ! ที่สำคัญถ่ายสำเนาไปเยอะๆ ค่ะ บ๊วยถ่ายอย่างละ 5 ชุดเลย เผื่อหาย กันไว้ดีกว่าแก้นะคะ

     
     หลังจากการรอคอยที่แสนนาน ในที่สุดก็ต้องเดินทางค่ะ ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เด็กเวิร์คอ่อนไหวมากที่สุด เพราะหนึ่งคือกลัว กังวล ไม่รู้จะไปเจออะไรข้างหน้า แต่อารมณ์ที่ปะปนกับความกลัวคือตื่นเต้นค่ะ 555 บ๊วยนี่ตื่นเต้นมาก นอนไม่หลับนั่งจัดของทั้งคืน 555 และอีกอารมณ์คือเศร้า ต้องจากครอบครัว จากเพื่อนไปสามเดือน มันต้องมีคิดถึงกันบ้างแหละ ฉะนั้นก่อนจะไปก็ให้ไปลาคนที่เรารักให้เรียบร้อย กอดๆ หอมๆ ตุนไว้ เดี๋ยวไปถึงแล้วจะคิดถึงนะ คิคิ 
         
     เอาล่ะค่ะ มาถึงอเมริกาแล้วจ้าาา พอกันที่การเดินทาง 2 วันเต็ม ในที่สุดก็มาถึง >< อยากจะบอกว่าตอนมาถึง LA กำลังจะนั่งเครื่องบินต่อไปไมอามี่ บ๊วยตกเครื่องค่ะ! ฟังไม่ผิดค่ะ ตกเครื่องบิน ขึ้นเครื่องไม่ทัน เพราะขาเข้า LA ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองตรวจเคร่งมากๆ พอวิ่งมาถึงเกทเครื่องก็ออกพอดี ดีว่าทางสายการบินเปลี่ยนไฟลท์ให้แบบฟรีเลยค่ะ ก็เลยได้ขึ้นไฟลท์ถัดไป ถือว่าโชคดีมากๆ 
   

     ถ้าใครตกเครื่อง อย่างแรกเลย ให้ตั้งสติ แล้วไปคุยกับเจ้าหน้าที่สายการบิน บางครั้งก็สามารถเปลี่ยนตั๋วได้ฟรี แต่บางทีก็อาจจะต้องเสียเงิน ซึ่งเป็นเงินจำนวนมากเลยทีเดียวนะคะ ดังนั้นถ้าเลี่ยงได้อย่าตกเครื่องจะดีที่สุดค่ะ  พอได้ตั๋วใหม่ไปถึงที่ไมอามี่ ก็นั่งรถต่อไปยังสถานที่อบรมเลยค่า!!
          

 

     ก่อนการทำงาน ก็จะมีการจัดปฐมนิเทศของงาน Winn Dixie ซึ่งจะมีทั้งหมด 4สาขา ได้แก่ Tavernier, Big Pine Keys, Key West และสาขาสุดท้าย Marco Island ซึ่งเป็นสาขาของบ๊วยเองค่ะ ^^  การอบรมจัดขึ้น 3 วัน ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากเลยค่ะ แค่อธิบายสัญญาต่างๆ ค่าแรง ชม.ทำงาน และมีการตรวจสารเสพติด แต่ก็นับว่า 3 วันที่มาอบรมร่วมกับเพื่อนสาขาอื่นๆ อีก 20 กว่าชีวิต เป็นอะไรที่สนุกมาก เพราะได้ทำความรู้จักเพื่อนใหม่ ช่วงนี้บ๊วยอยากย้ายสาขามากๆ เพราะไปสนิทกับพี่ๆ สาขาอื่น แต่หาคนแลกด้วยไม่ได้ ก็เลยอดไป แต่พอมาคิดอีกทีคิดว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้มา Marco Island เพราะอะไร? ...จะเล่าให้ฟังค่ะ ^^
 
 
     พอมาถึง Marco Island บอกเลย คำเดียว 'ตกหลุมรัก' ค่ะ พูดเลยว่าที่นี่คือสถานที่ในฝันบ๊วยเลย เป็นเมืองที่สวยมากๆ ผู้คนน่ารัก อากาศดี สงบ ร่มเย็น ปลอดภัย โอ๊ยย บรรยายไม่หมดค่ะ รักตั้งแต่วันแรกมาถึง แฮปปี้มากๆ ตอนนั้นคือมั่นใจว่าตัวเองสามารถใช้ชีวิต 3 เดือนในเมืองนี้ได้แน่นอน

   

      มาถึงเรื่องงานกันบ้างค่ะ งานที่บ๊วยต้องทำเป็นงานในตำแหน่งแคชเชียร์ ซึ่งบอกเลยว่าหนักมากกกก เหนื่อยมากกก โดยเฉพาะช่วงแรกๆ ที่ไปถึง ซึ่งถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของอเมริกัน ตอนนั้นถึงกับต้องยืนมากกว่า 10 ชม. ต่อวัน เพราะลูกค้าเยอะมากๆ ยืนคิดเงินทั้งวัน ให้เวลาพักทานข้าวแค่ 30 นาที 
   

     ตอนนั้นรู้สึกแย่มากก ไม่ชอบงานเลย เพราะคิดว่าเค้าใช้เราหนักเกินไป ขอกลับบ้านก่อนก็ไม่ได้เพราะคนมันเยอะ แล้วเรามาใหม่ๆ ยังมึนๆ ต้องจำหน่วยเงินของอเมริกาไม่พอ ยังต้องจำรหัสของผักผลไม้เพื่อใช้ในการคิดเงิน ขอบอกว่าส่วนนี้โหดจริง เพราะการจะคิดเงินผักผลไม้ได้ เราต้องกดรหัสบนแป้นพิมพ์ ไม่สามารถสแกนได้เหมือนสินค้าทั่วไป และหากเราจำโค้ดผิด ก็จะคิดเงินผิด ความผิดทุกอย่างอยู่กับเรา แต่หลังจากทำงานไปได้ไม่นาน ทุกอย่างก็เริ่มลงตัวขึ้น จนตอนนี้ขอโม้ว่าแคชเชียร์คนไทยเผลอๆ คิดเงินไวกว่าฝรั่งอีก เพราะได้ชม.ทำงานเยอะกว่านั่นเอง 5555
     

     อีกสิ่งหนึ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือเพื่อนร่วมบ้าน ที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมบ้าน เพื่อนร่วมงาน และคนในครอบครัว  บ๊วยเป็นน้องเล็กของบ้าน เลยได้พี่ๆ เพิ่มมาอีก 6 คน หญิง 4 คน ชาย 2 คน ซึ่งเป็นพี่ที่บ๊วยรักมากๆ บ้านของเราเป็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ ตั้งอยู่ในซอย Yellowbird ทุกคนห่วงใยดูแลกัน ทำให้บ้านนี้เป็นบ้านที่อบอุ่นที่สุดและเป็นประสบการณ์ที่ดีที่่สุดตลอดการอยู่ในประเทศนี้ ช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันมันมีเหตุการณ์ที่ทำร่วมกันเยอะจริงๆ ค่ะ ด้วยความที่แต่ละคนทำงานกันคนละเวลา ถ้าวันไหนมีผู้หญิงเลิกงาน 5 ทุ่ม พี่ผู้ชายก็จะปั่นจักรยานไปรับค่ะ



      ลืมบอกไป ว่าไม่ได้อยู่กันแค่ 7 คนแค่นี้ค่ะ เพราะเมื่อไปถึงมาร์โค วันแรกเลยก็ได้เจอคนไทยค่ะ ซึ่งก็คือเด็กที่ไปฝึกงานในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งในเกาะ ที่สนิทกับบ้านบ๊วยจริงๆ มี 3 คน เป็นผู้ชายทั้งสาม ซึ่งขอบอกว่าสนิทกันจริงๆ ประหนึ่งอยู่บ้านเดียวกัน 555 กิจกรรมที่ทำในบ้านส่วนใหญ่คือนั่งคุยกัน ดูโทรทัศน์ ทำอาหาร  หลายๆ คนที่มาเวิร์คอยากอยู่คนเดียว เพราะไม่อยากพูดภาษาไทย อยากจะมาฝึกภาษา แต่สำหรับบ๊วยนะ บ๊วยว่าอยู่กันเป็นกลุ่มดีกว่าค่ะ นอกจากจะไม่เหงาแล้ว เวลามีอะไรก็ยังพึ่งพากันได้ตลอด กลับไทยมาก็ยังสนิทกันเหมือนเดิมอีก คุ้มกว่าตัวคนเดียวเห็นๆ จ้า
     

      แน่นอนว่าการมาอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศใหญ่ๆ อย่างประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากๆ ตอนมาแรกๆ บ๊วยก็ปรับตัวไม่ค่อยได้เหมือนกัน และเรื่องที่เห็นจะเป็นปัญหามากที่สุดตอนมาแรกๆ ของบ๊วยคือ อาการที่เรียกว่า 'Jetlag' ค่ะ อาการนี้คืออาการที่ร่างกายเราปรับตัวตามเวลาไม่ทัน ทำให้ยังเคยชินอยู่กับกิจวัตรประจำวันเดิมๆที่ร่างกายชอบทำในเวลานั้นๆ จำได้ว่าบ๊วยเคยหลับตอนบ่ายโมง และตื่นมาอีกทีตอนตีสาม หลับยาวถึง 14 ชม. เลยทีเดียว 5555 ถ้าใครเกิดอาการนี้ก็ไม่ต้องแปลกใจ ปล่อยไปตามธรรมชาติ ร่างกายของเราจะปรับเข้าสู่สภาพแวดล้อมปัจจุบันเองค่ะ
   


     มาพูดต่อถึงเหตุการณ์ที่ประทับใจในอเมริกา บ๊วยชอบคนค่ะ ใช่ค่ะ คนอเมริกันนี่แหละ เชื่อว่าหลายๆ คนคงมีทัศนคติไม่ค่อยดีกับคนอเมริกันแท้ๆ เพราะได้ยินมาว่าคนพวกนี้ชอบเหยียดผิว บ๊วยก็เป็นนะคะ ฟังมาเยอะ มาแรกๆ ก็กลัวจะโดนแกล้ง โดนเหยียดผิว แต่เอาเข้าจริงไม่เจอเลยค่ะ อาจจะเป็นที่เมืองบ๊วยที่เดียวที่มีแต่คนน่ารักๆ ก็ได้ คนที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุค่ะ และเค้าจะเอ็นดูพวกเรามากกก อาจจะเพราะเห็นว่าเราเป็นนักเรียน พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยคล่องเลยเอ็นดู 5555 บ๊วยชอบมากๆ เวลาปั่นจักรยานเล่น เราสามารถเซย์ไฮ ยิ้มให้ทุกคนที่เดินผ่านเลย 5555 ทุกคนเฟรนด์ลี่มากๆ ยิ้มตอบตลอด มันทำให้เราสบายใจ และปรับตัวได้เร็วขึ้น
   

     เวลาทำงานเหมือนกันค่ะ บ๊วยชอบยิ้ม ชอบคุยกับลูกค้า บางทีคิดเงินยุ่งๆ แถวยาวๆ ลูกค้าที่ต่อคิวก็จะหงุดหงิด แต่พอเห็นเรายิ้มทักทายเขา เขาก็จะเย็นลง และยิ้มตอบเรา :D มีหลายๆ ครั้งที่ลูกค้า และเพื่อนร่วมงานถามบ๊วยว่าทำไมเราถึงยิ้มทั้งวันเลย ไม่เคยอารมณ์เสียอะไรเลยเหรอ พอฟังแล้วก็ชื่นใจนะคะ บ๊วยว่านี่แหละคือสเน่ห์ของเด็กไทย จะดีร้ายขอแค่ Smile ไว้ก่อน แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง


     จากย่อหน้าที่แล้วพูดถึงรอยยิ้มมหาสเน่ห์ของเด็กไทย เรื่องต่อไปที่จะพูดต่อ ไม่พูดไม่ได้ก็คงเป็นเรื่องความฮอตของเด็กไทยค่ะ 5555 อย่างที่เราทราบกัน ว่าสาวไทยนี่สเป็คฝรั่งสุดๆ ตอนแรกบ๊วยก็เฉยๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นสเป็คฝรั่ง เพราะบ๊วยผิวค่อนข้างขาว แถมจมูกโด่ง ดูแล้วไม่น่าจะเด่น แต่ปรากฏว่ามีคนมาชอบหลายคนเลย 5555


     ส่วนใหญ่ก็คือเพื่อนร่วมงานนี่แหละ จำได้ว่าเค้าชวนไปเดท แต่บ๊วยไม่เข้าใจว่าเค้าชวนไปเที่ยวข้างนอก คือเขาใช้ศัพท์ว่า Going Out บ๊วยก็ไม่ทันคิด แปลตรงๆ ตัวแล้วนึกว่าพาไปเที่ยวข้างนอก ก็ Say yes เลย 5555 ดีว่ากลับบ้านมาถามเพื่อน พอได้เขามาชวนอีกทีก็ปฏิเสธไป ไม่ใช่แค่บ๊วย แต่สาวไทยทุกคนต่างมีหนุ่มๆ มาขายขนมจีบกีนถ้วนหน้า บางคนก็ที่เข้ามาก็น่ารัก น่าหยิก แต่บางคนก็น่ากลัวววว มีประเภทที่ไม่จีบ ขอเป็นแฟนเลยก็มี ก็ต้องคอยดูแลกันดีๆ 
 

     เรื่องที่อยากจะเตือนเด็กเวิร์คสาวๆ คือ อย่าไปเชื่อคำพูด หรือหลงคารมของหนุ่มอเมริกันมากนัก เพราะพวกนี้ส่วนใหญ่เขาเห็นเราเป็นของแปลกใหม่ อาจจะจริงที่เขาชอบเราจริงๆ แต่อย่าลืมว่าเรามาอยู่ที่นี่แค่ 3 เดือนหลังจากนี้เราก็ต้องกลับประเทศ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ตกหลุมรักเขาจริงๆ พยายามอย่าสานต่อจะดีที่สุดค่ะ จบแค่ในอเมริกา ไม่งั้นกลับไทยมาอาจจะต้องมานั่งเสียใจทีหลังน้า 

   
     สรุปแล้วประสบการณ์การมาเวิร์คครั้งนี้ของบ๊วยแม้จะดูราบเรียบ แต่ก็เป็นอะไรที่น่าประทับใจมากๆ นึกย้อนกลับไปแล้วยังคิดถึงทุกคนที่นั่น คิดถึงเมือง คิดถึงชีวิตเก่าๆ ไม่เคยนึกเสียใจเลยที่ตัดสินใจไปเวิร์ค เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดครั้งนึงในชีวิตปีหน้าก็จะขอไปอีก 555 คีย์เวิร์ดที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตต่างแดน คือการเปิดใจ เปิดรับสิ่งใหม่ๆ โดยปราศจากอคติ อย่าคิดว่าจะมาเวิร์ค แค่จะมาเที่ยว หรือมาเก็บเงิน พยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ได้จากที่นี่ให้มากที่สุดดีกว่า เชื่อเหอะว่าแค่มาถึงอเมริกา ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ 3 เดือนก็คุ้มกับเงินแสนที่เสียไปแล้ว
     

     อยากให้ทุกคนสนใจโครงการนี้และสมัครมาเข้าร่วมโครงการเยอะๆ นะคะ บางทีคุณอาจจะเจอเรื่องร้ายๆ ที่ลืมไม่ลง หรือบางทีคุณอาจจะพบเจอแต่คนดีๆ สภาพแวดล้อมดีๆ ที่คุณลืมไม่ลงแบบบ๊วย แต่สิ่งที่คุณได้รับกลับไปมันจะคุ้มค่าแน่นอนค่ะ ^^   หากเพื่อนๆ มีคำถามใดๆ สามารถอีเมลมาถามบ๊วยได้ที่ dek_buzz@hotmail.com เฟสบุ๊ค beles.sripakdee หรือแอดไลน์ beles มาพูดคุยกันได้นะคะ ยินดีให้คำแนะนำกับทุกคนค่าา 
   



      อ่านแล้วนับว่าน้องบ๊วยโชคดีมากๆ เลยเนาะที่เจอแต่คนดีๆ เพื่อนดีๆ แถมได้อยู่ในเมืองน่ารักๆ อีกด้วย น่าอิจฉาเนาะ ใครจะไปเวิร์คก็ขอให้เจอแต่เรื่องดีๆ แบบนี้นะคะ ^^ ส่วนใครมีประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ แบบนี้ อยากแชร์ให้เพื่อนๆ อ่านบ้าง ก็รีบเขียนและส่งมาได้เลยที่ pay@dek-d.com รออ่านอยู่จ้า
พี่เป้
พี่เป้ - Columnist มนุษย์บ้างานและบ้านวด ผู้ตกหลุมรักปลาแซลมอน การนอน และและออฟฟิศ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กะเพรา 5 ก.ค. 56 12:07 น. 3
เสริมนิดนึง เรื่องของเครื่องใช้ที่จะเอาไป ส่วนมากหลายๆอย่างหาซื้อได้ในอเมริกา ทั้งวอล์มาร์ท
วอลกรีน เยอะแยะมากมาย แถมมีให้เลือกหลากหลายกว่า "มาก" ด้วยค่ะ โดยเฉพาะพวกแชมพูอะไรพวกนี้ หลากยี่ห้อ หลายสูตร ไปลองตำมาใช้ดู สุดยอดมาก มีตั้งแต่ราคาร้อยกว่าๆไปจนถึงเกือบพันบาท ^^ แต่เตือนว่าถ้าใครอยากผิวขาวใสแบบสาวเกาหลี โลชั่นพวกไบรท์เทนนิ่งไม่ค่อยมีนะคะ เรามาอยู่เทเนสซี หาไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าไม่มีหรือหาไม่เจอกันแน่ TT^TT ดังนั้นกันไว้ดีกว่าแก้ อยากผิวขาวพกขวดใหญ่ๆไปเลย

เรื่องเหยียดสีผิวนี่ขึ้นอยู่กับดวงจริงๆค่ะ ของเราเมืองน่ารัก น่าอยู่ ผู้คนก็น่ารัก แต่ไม่ใช่ทุกคนนะคะ บางคนด่าเราซะจนเราอยากจะเอาปืนไปเป่าหัวเลยก็มี

ปล. เรามาโครงการแลกเปลี่ยนระยะสั้นจ้า ^_^ ตอนนี้คิดถึงเทเนสซีมากเลย Y.Y
0
กำลังโหลด

16 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กะเพรา 5 ก.ค. 56 12:07 น. 3
เสริมนิดนึง เรื่องของเครื่องใช้ที่จะเอาไป ส่วนมากหลายๆอย่างหาซื้อได้ในอเมริกา ทั้งวอล์มาร์ท
วอลกรีน เยอะแยะมากมาย แถมมีให้เลือกหลากหลายกว่า "มาก" ด้วยค่ะ โดยเฉพาะพวกแชมพูอะไรพวกนี้ หลากยี่ห้อ หลายสูตร ไปลองตำมาใช้ดู สุดยอดมาก มีตั้งแต่ราคาร้อยกว่าๆไปจนถึงเกือบพันบาท ^^ แต่เตือนว่าถ้าใครอยากผิวขาวใสแบบสาวเกาหลี โลชั่นพวกไบรท์เทนนิ่งไม่ค่อยมีนะคะ เรามาอยู่เทเนสซี หาไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าไม่มีหรือหาไม่เจอกันแน่ TT^TT ดังนั้นกันไว้ดีกว่าแก้ อยากผิวขาวพกขวดใหญ่ๆไปเลย

เรื่องเหยียดสีผิวนี่ขึ้นอยู่กับดวงจริงๆค่ะ ของเราเมืองน่ารัก น่าอยู่ ผู้คนก็น่ารัก แต่ไม่ใช่ทุกคนนะคะ บางคนด่าเราซะจนเราอยากจะเอาปืนไปเป่าหัวเลยก็มี

ปล. เรามาโครงการแลกเปลี่ยนระยะสั้นจ้า ^_^ ตอนนี้คิดถึงเทเนสซีมากเลย Y.Y
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
เด็กดี 7 ก.ค. 56 09:52 น. 9
อยากไปต้องทำไงบ้างค่ะ ?
แล้วเราต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรป่าว พูดภาษาก็ไม่ค่อยคล่องนะ(ไม่เก่งเรยด้วยซ้ำ^^)
คนอื่น ๆจะได้มีโอกาสไปแบบพี่หรือป่าวค่ะ ?
0
กำลังโหลด
ฟหกด่าสว 8 ก.ค. 56 10:12 น. 10
ไปมาแล้วววว ไมอามี่เป็นเมืองที่มีทะเล อากาศตอนกลางวันค่อนข้างร้อน
ไม่หนาวเลย เย็นๆ สบายๆ คล้ายประเทศไทย 55555

แต่ walmart นี้ เจอทุกที่เลยจริงๆ เกลื่อนกลาดพอๆกับ mc donald
เยอะเหมือนเซเว่นบ้านเรานี้แหละ :D
0
กำลังโหลด
maboy 9 ก.ค. 56 20:30 น. 11
สุขภาพแข็งแรง ดูดีได้.....ด้วยตัวเรา

อยากลดน้ำหนัก สวน อึ๋ม หุ่นดี !!
จากศูนย์สุขภาพ Magichealth ยึดหลักการแก้ปัญหาที่สาเหตุ เช่น คนที่มีปัญหา
เรื่องสุขภาพต่างๆ น้ำหนักตัวไม่ได้มาตราฐาน โดยใช้ " โภชนาการบำบัด "
ใน การแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี และเหมาะสมกับชีวิตประจำวันของคุณ แค่ดูแลตัวเองด้วยวิธีง่ายๆ แต่ได้ผลลัพธ์สูงสุดจากคำแนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านโภชนาการที่เลือกสรร สิ่งที่มีคุณภาพให้คุณ

สนใจคลิ๊ก ! >> http://bit.ly/16Y4Yzu
สนใจคลิ๊ก ! >> http://bit.ly/16Y4Yzu
สนใจคลิ๊ก ! >> http://bit.ly/16Y4Yzu
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
มุมิ 14 ส.ค. 56 20:06 น. 13
เสียไปทั้งหมดเท่าไหร่เเละได้มาเท่าไหร่ค่ะเนี้ย
เเละถ้าเราตอบคำถามของเอเจนซี่ผิด จะได้มั้ยเอ่ย ><
อายุเท่าไหร่ถึงจะไปได้เเล้วค่ะ อยากไปมากเลย *0*
0
กำลังโหลด
Ausiiii 17 ก.ย. 56 21:16 น. 14
อยากไปมากคะ แต่ปีหน้าเราจะไปเหมือนกัน อยากโชคดีบ้างจัง แล้วบ๊วยไปเที่ยวที่ไหนมาบ้างคะ แล้วภาษาดีขึ้นหรือเปล่า อยากไปคะๆๆ
0
กำลังโหลด
บ๊วย 4 ธ.ค. 57 17:17 น. 15
นี่บ๊วยนะคะ ปีที่ผ่านมาตอนปิดเทอม5เดือนบ๊วยไปมาอีกรอบ ตอนแรกว่าจะไม่เขียนเกี่ยวกะเวิร์คแล้ว แต่ปีที่ผ่านมามีเรื่องเกิดขึ้นเยอะมาก555 เดี๋ยวจะเขียนภาค2นะคะ ถ้ามีคำถามแอดไลน์บ๊วยถามโดยตรงได้เลยคะ ขอให้เจอแต่เรื่องดีๆสำหรับคนที่จะไปนะคะ^^
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด