สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เจอกับ พี่เป้ และเล่าประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ เช่นเคย^^ มีน้องๆ ถามกันมาเพียบว่า ปกติแล้วโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนจะเปิดรับสมัครกันเดือนไหน?? บอกเลยว่าจะเริ่มกันตั้งแต่ประมาณเมษานี้ค่ะ (เดินทางปีหน้า) น้องๆ ที่จะขึ้นม.3-5 เตรียมตัวให้ดี!
และวันนี้ก็มีประสบการณ์จากรุ่นพี่นักเรียนแลกเปลี่ยนมาฝากอีกแล้ว กับโครงการยอดฮิตอย่าง AFS จะเป็นยังไงบ้าง ไปอ่านได้เลยจ้า
สวัสดีชาวเด็กดีทุกท่าน วนเวียนอยู่ในเด็กดีมาหลายปีแล้วค่ะ ทุกทีเคยอ่านแต่ของคนอื่น วันนี้ เลยอยากจะนำประสบการณ์ดีๆ ที่ไปแลกเปลี่ยนมาแชร์กันบ้างค่ะ .... ชื่อ "ไอซ์" ค่ะ ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Ritsumeikan Asia Pacific University ที่ญี่ปุ่น แต่วันนี้ไอซ์จะมาเล่าประสบการณ์ตอนไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาค่ะ
ไอซ์ไปแลกเปลี่ยนตอนชั้นม.6 กับโครงการ AFS รุ่นที่ 50 (รู้สึกแก่ไปเลย) ได้ไปอยู่เมืองชื่อแอนอาร์เบอร์ (Ann Arbor) รัฐมิชิแกน (Michigan State) ค่ะ เป็นเมืองที่ถือว่าค่อนข้างใหญ่พอสมควร เมืองนี้มีคนเอเชียอยู่เยอะมาก ทำให้เราไม่รู้สึกว่าเราแปลกแยกหรือโดนเหยียดอย่างที่กลัว ส่วนใหญ่คนเอเชียที่นี่จะเป็นเกาหลี จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ซึ่งเยอะมากๆๆ ตอนไปแรกๆ พอเราบอกว่ามาจากไทยแลนด์ คนที่นี่บอกไต้หวันทุกที สงสัยหน้าเราเยาวราชมากเกิน
เมืองแอนอาร์เบอร์นะยังเป็นที่ตั้งของ U of M (University of Michigan) ด้วยค่ะ ซึ่งมีทีมฟุตบอล(อเมริกันฟุตบอล)ที่ดังมากๆ เลยค่ะ คนที่นี่ชอบไปดูฟุตบอลมาก บอกตามตรงเลยว่าค่าบัตรแพงมากกๆๆ แต่โชคดีได้บัตรฟรีจากเพื่อนๆ ไปดูค่ะ แต่ดูไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร ไปตอนแรกคิดว่าเรื่องภาษาน่าจะพอได้ แต่เอาเข้าจริงมันผิดมากๆ เลยค่ะ แบบเขาพูดเร็วฟังไม่ค่อยทัน แล้วตัวเราก็พูดสำเนียงแปร่งๆ เลยสื่อสารเข้าใจกันยาก แต่อยู่ไปเรื่อยๆ แล้วไม่มีปัญหาค่ะ
มาถึงเรื่องโฮสท์แฟมิลี่บ้าง บอกก่อนเลยปีที่ไอซ์ไปนั้น เศรษฐกิจของอเมริกาไม่ดีเลยค่ะ เด็กได้โฮสท์แฟมิลี่กันช้าและยากมาก เพื่อนไอซ์ที่รู้จักกันได้โฮสท์ล็อตสุดท้ายทั้งนั้นเลยค่ะ ประมาณว่าโรงเรียนเปิดไปแล้วหนึ่งเดือนค่อยได้บินอะค่ะ แต่ไอซ์โชคดีหน่อยเพราะได้โฮสท์ก่อนจะบินสองอาทิตย์
โฮสท์คนแรกนั้นเป็น Single Mom อาศัยอยู่เมืองข้างๆ แอนอาร์เบอร์ ชื่อว่ายิบซีแลนติค่ะ พอเห็นประวัติของโฮสท์ครั้งแรก บอกตรงๆ ว่าแอบกลัวเลยค่ะ เพราะโฮสท์หน้าดุมาก แถมมีน้องหมาพันธ์ลาบาดอร์สองตัว(บอกเลยว่าตอนนั้นเริ่มกลัวเพราะไม่ชอบหมาด้วยค่ะ) แต่ยังไงก็ต้องไปค่ะ ไอซ์ได้ออกเดินทางพร้อมกับเพื่อนเอเอฟเอสคนอื่นวันที่ 10 สิงหา ไปรวมกันที่ชิคาโกก่อนแล้วค่อยแยกย้ายกันไปตามเมืองตัวเองค่ะ
พอมาอยู่กับโฮสท์แรก ความจริงแล้วเขาใจดีมากค่ะ ด้วยความที่เขาอยู่คนเดียว เขาเลยดูแลเราดีมาก ออกเงินให้ทุกอย่าง แต่ไปตอนแรกแอบร้องไห้เกือบทุกวันเพราะโฮมซิกแล้วก็เหงาค่ะ เพราะยังไม่เปิดเทอมแล้วโฮสท์ก็ไปทำงานทุกวัน ปล่อยให้เราอยู่บ้านกับน้องหมาสองตัวค่ะ แต่ก็โอเคอยู่ค่ะ ไม่แย่มากเท่าไร พยายามดูหนังฝึกภาษาไปเรื่อยๆ ค่ะ โฮสท์แม่คนนี้เป็นคนที่สมบุกสมบันมาก ชอบเล่นเทนนิส พาน้องหมาไปเดินในป่าเป็นกิโลๆ เลยค่ะ เคยไปกับเขาเรานี่เกือบตายค่ะ ยุงเยอะมากตัวเบ้งมากค่ะ ตกใจ แต่ไอซ์ได้อยู่กับโฮสท์คนนี้แค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น อยู่ๆ เอเอฟเอสส่งเลียซอน(คล้ายๆ คนที่ดูแลเรา)มาที่บ้านแล้วบอกว่าเราต้องย้ายบ้านค่ะ มาแบบไม่ทันตั้งตัว เราตกใจช็อกไปเลยค่ะ ไม่คิดว่าตัวเองต้องมาย้ายบ้าน นึกว่าได้อยู่บ้านนี้ตลอดจนจบโครงการ แต่ทำไม่ได้ค่ะ ก็ต้องย้ายออกตามที่บอก โฮสท์แม่ก็เขามากอดแล้วบอกว่าเขาสนุกที่มีเราอยู่ด้วย เราก็ร้องไห้แล้วกอดเขา เขาบอกดูแลตัวเองดีๆ แล้วเราก็ต้องเปลี่ยนบ้านค่ะ
คราวนี้เราได้ย้ายมาอยู่เมืองแอนอาร์เบอร์ค่ะ มาอยู่กับโฮสท์หลังที่สอง มีโฮสท์พ่อเป็นบุรุษพยาบาล โฮสท์แม่ทำงานในโรงพยาบาล มีโฮสท์พี่ชายสามคนและโฮสท์พี่สาวหนึ่งคนค่ะ แต่โตกันหมดแล้วค่ะ จะกลับบ้านกันนานๆ ครั้งๆ ค่ะ และก็มีน้องหมาหนึ่งตัวแต่เป็นพันธุ์เล็กเลยได้อยู่ค่ะ มาอยู่บ้านนี้แรกๆ ก็เกร็งๆ แต่เอาเข้าจริงแล้วโฮสท์ดีมากๆๆ เลยค่ะ ใจดี เขาเข้าใจเราเพราะเขาเคยรับเด็กแลกเปลี่ยนมาสองคนค่ะ บ้านนี้อยู่ใกล้โรงเรียนค่ะเดินไปได้ ตอนเช้าโฮสท์ไปส่งแต่ตอนเย็นต้องกลับเองค่ะ บ้านนี้เป็นบ้านหลังเล็กๆ อบอุ่นมากค่ะ อยู่บ้านหลังนี้แค่เดือนเดียวเท่านั้นค่ะ เรารู้อยู่แล้วว่าเขารับเราแค่ชั่วคราว ทำใจไว้แล้วแต่อดใจหายไม่ได้พอ ตอนที่เขาบอกว่าเราต้องย้ายออก เราน้ำตาไหลเลยค่ะ ถึงแค่เดือนเดียวแต่เราก็รักเขามากเลยค่ะ ไม่อยากออกเลยค่ะ สุดท้ายต้องย้ายออกมาด้วยความรู้สึกที่เคว้งคว้างมาก
มาถึงโฮสท์ที่สาม เรามาอยู่กับโฮสท์ที่เป็นเลียซอนของเพื่อนชาวตุรกีที่บ้านอยู่ละแวกเดียวกัน เพราะเรายังต้องไปโรงเรียนเดิมค่ะ พออยู่ได้สองอาทิตย์ เราก็เลยไปขอร้องเลียซอนที่ดูแลเราว่าเราไม่ไหวแล้วที่เราต้องย้ายบ่อย แต่มีข้อแม้คือเราต้องยอมย้ายโรงเรียน แต่ไปๆ มาๆ เอเอฟเอสไปคุยกับโรงเรียนให้ว่าให้เราเรียนที่นี่เหมือนเดิมแต่ย้ายไปอยู่บ้านใหม่ โรงเรียนก็ยอมค่ะ เราดีใจมากที่ไม่ต้องย้ายโรงเรียนเพราะอุตส่าห์เริ่มปรับตัวได้
สุดท้ายก็ย้ายมาอยู่บ้านใหม่เป็นหลังที่สี่ มีโฮสท์พ่อเป็นหมอฟัน แม่เป็นจิตรกรและมีพี่ชายสองคนค่ะ มีแมวสองตัว บ้านนี้ผ่านประสบการณ์การรับนักเรียนแลกเปลี่ยนมาถึงห้าคนค่ะ เราเป็นที่คนที่หก และพี่ชายคนที่สองยังเคยไปแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นด้วยค่ะ เรียกได้ว่าเขาเข้าใจความรู้สึกเราเป็นอย่างดีเลยทีเดียว
มาที่เรื่องโรงเรียนกันบ้างค่ะ โรงเรียนที่ไอซ์ไปนั้นเป็นโรงเรียนที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในเมืองชื่อ Ann Arbor Pioneer High School มีนักเรียนประมาณสองพันคนค่ะ มีสีประจำโรงเรียนคือสีม่วง โรงเรียนมีนักเรียนแลกเปลี่ยน 30-40 คนจากหลายโครงการ แถมมีนักเรียนเอเชียที่ย้ายมาอยู่หรือว่าเกิดที่นี่ครึ่งโรงเรียนค่ะ เหอะๆๆ เราเลยไม่แปลกแยกเลยค่ะ เอเชียส่วนใหญ่ตามที่บอกไปด้านบนค่ะ เกาหลีเยอะสุด
ไอซ์เข้าไปเรียนเกรด 12 ที่นั่นเพราะว่าอยู่ม.หกที่ไทยพอดี ไอซ์ไม่อยากกลับมาซ้ำชั้นเลยบอกทางโรงเรียนเลยว่าขอ Diploma จบจากทางโรงเรียนเลยได้ไหม โรงเรียนบอกว่าถ้าอยากจบก็ลงวิชาเรียนหนักหน่อย (ครูเอาเอกสารการลงวิชาสำหรับเด็กแลกเปลี่ยนออกมาให้ดูเลยค่ะ เราแบบว่า โอโห เขาใส่ใจแม้กระทั่งเด็กแลกเปลี่ยน เป็นเอกสารจากรัฐมิชิแกนรับรองว่าจบได้ชัวร์ประมาณนี้) สรุปว่าต้องลงวิชาบังคับคือ American History, US Government, American Literature สามตัวนี้ค่ะ ส่วนวิชาอื่นลงตามปกติค่ะ เลข วิทย์ อะไรพวกนี้ ไอซ์เลยจัดเลย Algebra2, Earth science ที่เป็นเลขกับวิทย์ไปเลย ..... สำหรับเรื่องเพื่อน แรกๆ ก็ไม่ค่อยมีเพื่อน ฮ่าๆๆ แต่อยู่ไปอยู่มามีเยอะเลยค่ะ ทั้งคนผิวสี คนขาว ฮิชแปนิค(พวกชาวเม็กซิกัน รัฐไอซ์เขาเรียกแบบนี้) เอเชียน มาเต็มเลยค่ะ ด้วยความที่ต้องเปลี่ยนคลาสไปเรียนวิชาต่างๆ เลยมีเพื่อนเยอะ แต่ละคลาสเลยไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษ
พอพูดถึงไฮสคูลในอเมริกาก็ต้องนึกถึง “พรอม” เลยค่ะ PROM!!!! เย้ๆ ก็เพราะเป็นซีเนียร์เลยได้ไปพรอม อิอิ ไม่ง้อให้คนอื่นพาเข้า เป็นอะไรที่ต้องหาชุดให้วุ่นวายมากเลยค่ะ เด็กซีเนียร์อะไรๆ ก็พรอมๆๆ มาก่อนค่ะ ซื้อชุดยัง ทำผมที่ไหน จองรถยัง ร้านอาหารล่ะ อะไรทำนองนี้ค่ะ เราพลอยตื่นเต้นไปด้วยค่ะ คนมีคู่ก็สวีทกันไป คนไม่มีอย่างเราก็สนุกกับเพื่อนฝูงแทน ได้ไปแต่งตัวบ้านเพื่อน ไปกินข้าวกัน ไปงานพรอม แล้วก็กลับไปนอนค้างบ้านเพื่อนค่ะ ได้ใส่ชุดพรอมไปร้านอาหาร คนในร้านก็มองกันใหญ่
พอจบงานพรอมและเราก็มาถึงสิ่งสุดท้ายที่จะได้ทำก่อนจะกลับไทย นั่นก็คือ การเข้าพิธีเรียนจบแบบอเมริกัน เราต้องซื้อชุดครุยของโรงเรียนด้วยนะคะ แอบแพง (บ่นๆ ค่ะ แต่ก็ซื้อ) รู้สึกดีใจมากเลยที่เรียนมาตั้งนานก็จบซักที แต่ก็แอบเสียใจลึกๆ ที่ไม่ได้กลับมาเข้าพิธีจบพร้อมเพื่อนๆ ในโรงเรียนที่ไทย เห็นเพื่อนๆ เขาถ่ายรูปกัน เราก็อยากจะอยู่ในนั้นบ้างแต่ก็ทำไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงเราได้จบพร้อมเพื่อนๆ ที่นี่ ที่สำคัญ พอโฮสท์บ้านเก่ารู้ว่าจะเรียนจบ เขาก็ส่งของขวัญมาให้กันใหญ่ค่ะ ดีใจมากๆ เพราะคนอเมริกันเค้าถือว่าพอจบไฮสคูลแล้วก็เหมือนโตเป็นผู้ใหญ่ พร้อมจะไปเจอโลกกว้างสรุปคือเราได้เรียนจบที่นี่เลย ไม่ต้องกลับไปซ้ำที่ไทยค่ะ วันที่รับ Diploma โฮสท์ก็ไปทั้งบ้าน ไปดูเรา ซึ้งมาก บรรยากาศมันดูดีไปหมดค่ะ ทุกคนที่จบใส่ชุดครุยสีม่วง แล้วก็มีการโยนหมวกขึ้นฟ้าเพื่อฉลองอย่างในหนังเลยค่ะ
และทั้งหมดนี้ก็คือประสบการณ์ที่ไอซ์อยากจะเอามาแชร์ให้ทุกคนอ่านค่ะ บอกเลยว่าหนึ่งปีกับชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยนมันทำให้เราเปลี่ยนไปจริงๆ ค่ะ ทั้งความคิดและความอ่านก็เปลี่ยนไป ไอซ์ได้เรียนรู้และได้ประสบการณ์ดีๆ จากการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนมากมายเลย สุดท้ายนี้ใครที่สนใจจะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนก็ขอให้สู้ๆ นะคะ ได้ไปประเทศที่ตัวเองอยากไป ได้โฮสท์ดีๆ เจอเพื่อนดีๆ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุดค่ะ ใครอยากสอบถามเรื่องอะไร ก็สามารถส่งอีเมลมาหาได้ที่ icey_snowy@hotmai.com วันนี้ไปก่อนล่ะค่ะ สวัสดีค่ะ
โอ้วววว ใครอยากเรียนจบมัธยมที่นั่นแบบไม่ต้องกลับมาซ้ำชั้นม.6 ก็ลองทำตามวิธีของน้องไอซ์ดูนะคะ จะได้เข้าพิธีจบการศึกษากับเพื่อนๆ ที่นั่นเลย คงได้อารมณ์ไปอีกแบบเนาะ ^^ ส่วนใครมีประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ อยากแบ่งปันให้เพื่อนๆ อ่านบ้าง ก็เขียนส่งมาที่ pay@dek-d.com เลย เดี๋ยวนำมาลงให้แน่นอนจ้า
10 ความคิดเห็น
อยากไปบ้างฮ่าๆ รู้สึกอิจฉ าเราเรียนศิลป์ญี่ปุ่นอ่ะ พี่ไอซ์ได้ไปทั้งอเมกาทั้งญี่ปุ่นเลยอิจฉาเวอร์ ๆ >_<
ขอถามหน้อยคือถ้าเราจะไปเรียนต่อที่นั่น ตอน ม.5 เราต้องมาซ้ำชั้นอีกหรอค่ะ หรือว่าไง ใครรู้ช่วยตอบหน่อยน่ะค่ะ
ขอถามหน้อยคือถ้าเราจะไปเรียนต่อที่นั่น ตอน ม.5 เราต้องมาซ้ำชั้นที่ไทยอีกหรอค่ะ หรือว่าไง ใครรู้ช่วยตอบหน่อยน่ะค่ะ
ขอถามหน้อยคือถ้าเราจะไปเรียนต่อที่นั่น ตอน ม.5 เราต้องมาซ้ำชั้นที่ไทยอีกหรอค่ะ หรือว่าไง ใครรู้ช่วยตอบหน่อยน่ะค่ะ
ขอถามหน้อยคือถ้าเราจะไปเรียนต่อที่นั่น ตอน ม.5 เราต้องมาซ้ำชั้นที่ไทยอีกหรอค่ะ หรือว่าไง ใครรู้ช่วยตอบหน่อยน่ะค่ะ