สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เจอกับ พี่เป้ และเล่าประสบการณ์เด็กนอกเช่นเคย^^ ปีนี้มีใครสมัครสอบ AFS บ้างเอ่ย วันนี้มีประสบการณ์รุ่นพี่ AFS ที่เคยไปบราซิลมาฝากจ้า
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ เด็กดีทุกคน ขอแนะนำตัวก่อนเลยนะ เราชื่อ ‘พลอย’ เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS รุ่น 51 ที่ประเทศบราซิล วันนี้เราอยากจะมาเล่าประสบการณ์หนึ่งปีในแดนแซมบ้า ซึ่งเปลี่ยนชีวิตธรรมดาๆ ของเราไปราวกลับหน้ามือเป็นหลังมือ นอกจากนั้นยังจุดประกายความฝันในการเป็นนักสังคมสงเคราะห์ให้กับเราอีกด้วย
เราใช้ชีวิตหนึ่งปีในเมืองวิคตอเรีย (Victoria) เมืองหลวงของรัฐ Espirito Santo ซึ่งเป็นรัฐเล็กๆ ติดกับทางตอนเหนือของกรุงริโอ เด จาเนโร เมืองนี้เป็นเกาะเล็กๆ ที่แยกตัวออกมาจากแผ่นดินใหญ่อีกทีหนึ่ง โฮสท์คนแรกของเราอยู่ทางตอนกลางของเมือง ซึ่งไกลจากชายหาด ภูเขา ห้าง และโรงเรียนของเราอยู่พอสมควร เวลาจะไปไหนต้องอาศัยรถบัสซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ทั้งท้าทายและน่าหวาดเสียวในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะเราซึ่งเป็นคนจำทางไม่เก่งเอามากๆ
เดือนแรกของการแลกเปลี่ยน เราไม่มีการคิดถึงบ้านเหมือนเพื่อนๆ หลายๆ คนของเราเลย สาเหตุหลักเป็นเพราะว่าพี่สาวฝาแฝดทั้งสองของเราดีกับเรา พาเราไปเที่ยว สอนภาษาเรา พาไปรู้จักเพื่อนๆ แต่ว่าช่วงเวลานั้นก็หมดไปช้าๆ หลังจากทั้งสองไปแลกเปลี่ยนที่แคนาดา เราเลยอยู่กับพ่อแม่แค่สามคน ตั้งแต่วันนั้นทุกอย่างดูแย่ลงเรื่อยๆ พ่อดูซึมไปเยอะ เราแทบไม่ได้เจอแม่เลยหลังจากนั้น เพราะแม่กลับมาตอนเรานอน ตอนเราไปโรงเรียนแม่ก็ยังไม่ตื่น แต่พอเจอกันก็ไม่วายต้องทะเลาะกับพ่อลั่นบ้านทุกที เราตอนนั้นภาษาก็เท่าหางอึ่ง ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน ด้วยความที่เป็นคนคิดมากเป็นทุนเดิม ทำให้จิตตก ได้แต่คิดว่าเราทำอะไรผิดไปรึเปล่า เขาถึงทะเลาะกัน เราเหงามากเลยช่วงนั้นเพราะบ้านเราไกลจากเพื่อนๆ เราทุกคนเลย จะไปไหนมาไหนก็ลำบาก
ยิ่งโดยเฉพาะเวลาเย็นๆ โฮสท์พ่อซึ่งอายุก็เกือบ 80 ปีแล้วเป็นคนขี้กังวลมาก เราเลิกเรียนเที่ยงต้องกลับบ้านทันที เราอยากออกไปไหนตอนเย็น ถ้าไม่มีผู้ใหญ่ไปด้วยเขาก็ไม่อนุญาต ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่การไปเล่นบอลชายหาดกับเพื่อนตอนบ่ายก็ตาม บางครั้งเรารู้สึกอึดอัดมาก เคยคิดด้วยนะว่าเรามาแลกเปลี่ยน มาหาเพื่อน มาเรียนรู้วัฒนธรรม แต่กลับต้องมาหมกตัวอยู่กับบ้าน วันๆ ไม่ได้เจอใครเลยนอกจากพ่อ เมท แล้วก็ ไลล่า หมาของพี่สาว แต่ด้วยความที่เราไม่อยากเปลี่ยนโฮสท์เลย เราเลยพยายามอดทน ค่อยๆ ปรับตัว แต่แล้วก็ต้องย้ายจนได้ เพราะพ่อกับแม่ตัดสินใจว่าจะแยกทางกัน และทาง AFS ไม่อนุญาตให้เราอยู่เพียงแค่กับพ่อตามลำพังได้
โฮสท์คนที่สองของเราซึ่งเราอยู่ด้วยจนจบปี เป็นครอบครัวของรุ่นพี่ปีสองที่โรงเรียนเราเอง เรามีพ่อที่เป็นทนาย แม่ พี่ชาย และน้องสาวอายุสิบเอ็ดขวบ ครอบครัวนี้อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ใกล้โรงเรียนและชายหาด เราเองต้องแชร์ห้องนอนและเตียงกับน้องสาว ตอนแรกเราก็ไม่รู้นะว่าจะเป็นยังไง เพราะชินกับการนอนในห้องคนเดียว แต่การแชร์ห้องถ้าไม่นับการถูกเตะตอนกลางคืนก็ไม่ได้เป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายมากนัก การมาอยู่บ้านหลังนี้ช่วยปรับสภาพจิตใจเราให้ดีขึ้นมาก แม่คอยสอนเราพูดโปรตุเกสแบบถูกต้องให้วันละหนึ่งชั่วโมงซึ่งพัฒนาภาษาเราได้เยอะมาก เราได้ออกไปเที่ยวเล่นกับพี่ชาย มีจัดปาร์ตี้ทำชูฮาสโก (Churrasco) กินกับพ่อ นอนดูหนัง อ่านหนังสือกับน้องสาว ไปโรงเรียนก็ไปพร้อมกันสามคนพ่อไปรับไปส่ง กลับบ้านมาแม่ก็ทำกับข้าวรอไว้แล้ว ทุกอย่างดูลงตัวมากสำหรับเรา
เราได้ไปอยู่โรงเรียน Monteiro Lobato Cems ชั้น Primeiro Ano ซึ่งเทียบเท่ากับม.4 เมืองไทย ในห้องเรามีนักเรียน 20 คน โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ตั้งแต่อนุบาลถึงมัธยมหก มีนักเรียนทั้งหมดแค่สองร้อยกว่าคนเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้เมื่อมีนักเรียนแลกเปลี่ยนเข้าไปทำให้เป็นที่สนใจแล้วก็เป็นที่รู้จักกันทั้งโรงเรียน เพื่อนๆ เราเป็นพวกเฮฮา ไปไหนไปนั่น ทุกเบรคจ้องเปิดเพลงเต้นไก่กากันอยู่ในห้อง แต่ว่าพวกเขาเองมีความรับผิดชอบในตัวเองและการเรียนสูงมาก ที่นี่ไปโรงเรียนแค่ครึ่งวัน ครึ่งวันที่เหลือเด็กส่วนใหญ่จะใช้ไปกับการหาประสบการณ์ชีวิต ออกไปผ่อนคลาย เล่นเซิร์ฟ เล่นดนตรี เรียนเต้นรำ เป็นดีเจ แต่ก็แบ่งเวลาให้กับการศึกษา โรงเรียนเรามีสอบทุกวันพฤหัสบ่าย เพื่อนเราวันอังคารวันพุธบ่ายก็จะนัดกันไปติวหนังสือที่บ้านใครซักคนหนึ่ง
พอสอบเสร็จวันศุกร์เป็นวันผ่อนคลาย พวกนั้นก็จะจัดปาร์ตี้ ไปดูหนัง นอนค้างบ้านเพื่อนกัน ซึ่งเราคิดว่าเป็นการใช้ชีวิตวัยรุ่นที่คุ้มมาก เพราะไม่ได้หมกตัวอยู่กับแค่ตำราเรียน แต่พวกเขาพยายามเปิดโลกทัศน์ของพวกเขาออกแล้วก็ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ ทางโรงเรียนเองก็มีกิจกรรมประจำปีซึ่งเรียกว่า Barulho เป็นกิจกรรมที่เปิดในนักเรียนที่มีความสามารถด้านดนตรีมาแสดงให้กับผู้คนดู เราเองได้มีโอกาสขึ้นไปร้องเพลงไทยในปีนั้นด้วย นอกจากนั้นด้านวิชาการ ทางโรงเรียนก็มีการจัดงาน Feira Integrada ซึ่งเป็นเหมือนงานวิชาการที่บูรณาการการเรียนตลอดครึ่งปีมาไว้ในวันเดียว ทุกอย่างในงานนั้นถูกจัดทำโดยนักเรียนและอาจารย์เป็นคนคอยดูแลและสนับสนุนด้านอุปกรณ์
ก่อนที่เราจะไปบราซิล เราไม่รู้เลยว่าเราอยากเป็นอะไร หนึ่งในเหตุผลที่เราตัดสินใจไปแลกเปลี่ยนคือต้องการไปหาตัวเอง ไปหาสิ่งที่เราชอบทำและรักที่จะทำแม้ว่าคนอื่นจะมองสิ่งนั้นเป็นสิ่งเล็กน้อยก็ตาม การมาบราซิลจุดฝันในการเป็นนักสังคมสงเคราะห์ให้กับเรา สิ่งที่ทำให้โรงเรียนนี้มีความพิเศษสำหรับเราก็คือ ทางโรงเรียนรับนักเรียนที่มีปัญหาด้านการเรียนมาเรียนร่วมกับนักเรียนปกติ โดยไม่มีการแบ่งแยก ในห้องของเราเรามีเพื่อนสองคนที่มีปัญหาเป็นออทิสติก ต้องมีคนช่วยเรียน แต่พวกเขาก็มาเรียนกันอย่างปกติ เขาออกไปไหนมาไหนกับเพื่อนๆ เราไม่มีความรู้สึกว่าเขาถูกแยกออกมาจากสังคมเลย ทุกคนดูแลเขาและทำเหมือนเขาเป็นคนปกติทั่วไป ซึ่งนั่นทำให้เราประทับใจมากๆ เราเองได้มีโอกาสไปเยี่ยมสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากับเพื่อนที่เป็นอาสาสมัครอยู่ที่นั่น แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น แต่เรารู้สึกอบอุ่นใจ
ตลอดช่วงเวลาหนึ่งปีที่เราไปอยู่บราซิล ความคิดของการเป็นนักสังคมสงเคราะห์เข้ามาอยู่ในหัวเราตลอดเวลา เราถูกรุมล้อมด้วยผู้คนที่พร้อมที่จะให้โดยไม่หวังว่าจะได้อะไรตอบแทน โฮสท์เรารับเราเข้ามาในบ้านโดยไม่ต้องเสียเงินซักบาท ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ ห้องก็มีให้นอน แถมยังได้ความรักความอบอุ่น อาสาสมัคร AFS เมืองเราคอยเวียนกันมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ พาเรากับเพื่อนๆ แลกเปลี่ยนไปเที่ยว เปิดบ้านให้คนแปลกหน้าอย่างพวกเรานอนในวันแรกที่เราไปถึงเมือง คอยวิ่งวุ่นทำเอกสารเพื่อเราจะได้ไปแลกเปลี่ยนชั่วคราวที่ต่างเมือง เพื่อนแลกเปลี่ยนของเราเป็นเหมือนเพื่อนแท้ที่รู้จักกันมานาน แม้ว่าเราจะมาจากคนละที่ พูดคนละภาษา มีความเชื่อที่แตกต่าง วัฒนธรรมการดำรงชีวิตที่แตกต่าง แต่เราอยู่ด้วยกันและคอยประคองกันและกันผ่านปัญหา
ประเทศบราซิลนอกจากจะจุดฝันงานในอนาคตให้กับเราแล้ว ยังให้ประสบการณ์ชีวิตที่เราเองไม่อาจลืมได้เลย เรามีโอกาสได้ไปเที่ยวหลายๆ ที่ในบราซิลเรียกได้ว่าแทบจะเหนือจรดใต้ ทริปแรกของเราเริ่มต้นด้วยทัศนศึกษาที่ป่าอะเมซอนกับโรงเรียน ตอนนั้นเราเองยังพูดโปรตุเกสไม่คล่องด้วยซ้ำ เราได้ไปล่องเรือในแม่น้ำอะเมซอน ไปดูที่ๆ แม่น้ำอะเมซอนประจบกับ Rio Negro แต่ไม่ผสมกัน ไปทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์และดูความเป็นอยู่ของคนที่อะเมซอน
ทริปที่สองของเราเป็นทริปไปปันตาเนากับ Belo Brasil พร้อมกับเพื่อนๆ แลกเปลี่ยน ทริปนี้จัดว่าเป็นทริปลุยๆ เพราะต้องเดินป่าเป็นกิโล ไปเล่นน้ำตก ไปดำน้ำเหนือผิวน้ำในแม่น้ำที่ใสสะอาด ขี่ม้าดูธรรมชาติ มีกิจกรรมไปให้ของเล่นกับเด็กๆ ที่เดย์แคร์ ตลอดช่วงเวลาที่เราอยู่ปันตาเนา เราได้พบเจอกับสัตว์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นนกแก้วสีน้ำเงินที่โผบินอย่างอิสระในป่าใหญ่ ฝูงคาบีบาร่ายักษ์หน้าโรงแรม และดงจระเข้ตัวน้อยใหญ่หลังโรงแรมที่พาเสียวสันหลังทุกครั้งที่เดินผ่าน คางค้าวน้อยที่ซ่อนตัวอยู่ใต้เลขห้อง ก่อนจะบินว่อนไปทั่วโรงแรมช่วงดึก
ทริปที่สามของเราเป็นทริปที่เรียกว่า Nordeste ทริปนี้เป็นทริปที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในรถบัส เพราะเป็นทริปหนึ่งเดือนที่พานักเรียนแลกเปลี่ยนออกเดินทางจากเซาเปาโลไปเมืองหลวงบราซิลเลย ก่อนจะเลาะขึ้นเหนือไปทางบาเฮียถึงนาตาลเพื่อไปเล่นทะเลแล้วย้อนกลับมาจบทริปที่กรุงริโอ เด จาเนโร ทริปนี้เป็นทริปที่ยาวนานและสนุกสนานมาก
ทริปที่สี่ของเรา เป็นทริปไปดูน้ำตกอิกวาซูที่มีชายแดนติดฝั่งอาร์เจนติน่า ทริปนี้นับว่าเป็นทริปรวมตัวคนไทยเพราะจาก 60 คนที่ไปทริป 35 คนนั้นเป็นคนไทย นับว่าเป็นช่วงเบรคในการพูดภาษาโปรตุเกสเลยก็ได้ ในทริปนี้พวกเราได้ไปเยือนน้ำตกอิกวาซู น้ำตกใหญ่ยักษ์ที่รวบรวมสายน้ำกว่าสองร้อยสายมารวมกัน ก่อนจะไปเยือนเขื่อน Itaipua เขื่อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก พวกเรามีโอกาสได้ไปดูน้ำตกของทางฝั่งอาร์เจนติน่าและได้ไปซื้อของที่ Duty free ที่ปารากวัยด้วย
ทริปสุดท้ายที่เราได้ไปก่อนกลับไทยคือการไปอะเมซอนอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับนักเรียนแลกเปลี่ยน ทริปนี้เราคิดว่าเป็นทริปที่ดีที่สุดในชีวิตเราแล้ว เรานอนในเปลผูกบนเรือแปดวัน นอนในป่าอะเมซอนหนึ่งคืน เราได้ไปเล่นฟุตบอลแข่งกับคนพื้นเมือง ได้ตกปลาปิรันย่า ได้ว่ายน้ำกับปลาโลมาสีชมพู ได้จับสลอท ได้ไปดูหมู่บ้านอินเดียนแดง ช่วงเวลาเก้าวันที่อะเมซอนนับเป็นเวลาที่คุ้มมากๆ
เวลาสั้นๆ หนึ่งปีที่ได้ไปแลกเปลี่ยน ได้เปลี่ยนชีวิตของเด็กธรรมดาคนหนึ่งให้เดินตามความฝันที่จะช่วยเหลือคนอื่นและอยากจะให้ทุกคนในโลกนี้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ก่อนจะจากกันวันนี้เราอยากจะฝากถึงทุกๆ คนที่อยากจะไปแลกเปลี่ยนว่าอย่ากลัวที่จะก้าวออกมาจากวิถีชีวิตเดิมๆ แต่จงพร้อมที่จะยอมรับความแตกต่างที่ทำให้โลกใบนี้สวยงาม ทุกๆ ที่มีอดีต มีศิลปะ มีวัฒนธรรมที่น่าค้นหา เพียงเปิดตา เปิดใจ แล้วก็จะเห็นเอง
เวลามีน้องถามว่าจะไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศไหนดี คำตอบที่พี่ให้บ่อยที่สุดคือประเทศไกลๆ แถบอเมริกาใต้นี่แหละค่ะ เพราะเราคงหาโอกาสไปเที่ยวเองยากมาก อ่านประสบการณ์ของน้องพลอยจบยิ่งการันตีเลยว่าดีงามจริงๆ ส่วนใครมีประสบการณ์เด็กนอกอยากแบ่งปันให้เพื่อนๆ อ่านบ้าง ก็ส่งมาได้ที่ pay@dek-d.com เดี๋ยวนำมาลงให้จ้า
17 ความคิดเห็น
สุดยอด #ความคิดของ จขกท.นี่โตมากๆ
พี่สาวเก่งจังง >< เราก็อยากไปแลกเปลี่ยนบ้าง ม.4 คงไม่ไหวว
ประทับใจจัง
ว้าวว สุดยอดด ถ้ามีโอกาสเราก็อยากลองแลกเปลี่ยนบ้างงง
พี่จกขทคนนี้เก่งจริงๆนะคะ ยืนยันจากน้องที่พี่เค้าเคยช่วยไว้ตลอดเวลาที่อยู่นู้น บราซิลเป็นประเทศที่สวยงามจริงๆนะคะ มีแหล่งท่องเที่ยวดีๆมากมาย
โห้...แทบัก!!
อยากถามพี่ค่ะว่าพี่ไปประเทศที่ใช้ภาษาที่สามยังงี้แล้วภาษาอังกฤษล่ะคะได้ใช้ไหม แล้วกลับมาไทยภาษาดีขึ้นไหมคะ เพราะตอนนี้ลังเลในการจัดเตรียมปท.ในใจอยู่
อยู่ที่บลาซิลมา 6 ปี ละ ไม่มีเพื่อนไทยที่นี่ เลย อ่า ท่าใครอ่าโพสนี้ https://www.facebook.com/profile.php?id=100010600542484 , face หาเพื่อนไทย