“
สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เจอกับ พี่เป้ และเล่าประสบการณ์เด็กนอกเช่นเคย^^ ช่วงนี้ระเบียบการทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนทยอยออกมาเยอะมากๆๆ ใครจะไปสอบโครงการไหนก็ขอให้โชคดีนะคะ ... สำหรับวันนี้มีประสบการณ์จากน้องคนหนึ่งซึ่งไปแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น ที่ฝากบอกทุกๆ คนว่า การไปแลกเปลี่ยนใช่ว่าจะเจอแต่เรื่องดี มันอาจไม่ใช่แบบที่ทุกคนคิดก็ได้นะ
สวัสดีค่ะ พี่ๆ น้องๆ ทุก ๆ คน เราชื่อ “ เจ่เจ้ “ ณ ตอนนี้ศึกษาอยู่ชั้นม.5 ที่ โรงเรียนศรีวิกรม์ และได้รับเลือกเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนของ YES รุ่น 28 ในโครงการของ WYS ที่ประเทศญี่ปุ่น จังหวัดโตเกียว ซึ่งโครงการ WYS นี้เป็นโครงการที่ดูแลเด็กในประเทศของเขานี่แหละ
ขอเรียกแทนตัวเองว่า เจ้ นะคะ ก่อนอื่นเลย ต้องขอบอกเลยว่า ตอนที่รู้ว่าตัวเองได้อยู่จังหวัดโตเกียว รู้สึกดีมากๆ เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยว และรวมทุกสิ่งทุกอย่าง สมกับเป็นเมืองหลวงที่เขาว่านั่นแหละ ซึ่งโรงเรียนที่เจ้ได้เข้าไปอยู่คือ Koka gakuen junior and senior high school ( 晃華学園中学校高等学校 ) เป็นไฮสคูลคริสเตียนเอกชนแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่โตเกียวก็จริงแต่ค่อนข้างจะนอกตัวเมืองหน่อยๆ บริเวณแถวนั้นมีป่าเล็กๆ หมู่บ้านหน่อยๆ ซุปเปอร์ขนาดกลางๆ ไม่ใหญ่มาก ดูแล้วสงบจนตกใจเลย วันไหนอากาศดีๆ เห็นภูเขาไฟฟูจิได้ทั้งวันเลยทีเดียว ~
ต้องขอเริ่มตั้งแต่การเตรียมตัวก่อนเลย เดิมทีเจ้เรียนภาษาญี่ปุ่นก่อนที่จะมาแลกเปลี่ยน เรียนมา 2-3 ปีแต่ก็พูดยังไม่ค่อยคล่อง และส่วนตัวแล้วชอบอะไรญี่ปู๊น ญี่ปุ่น อยู่จนกระทั่งเพื่อนพูดว่า “ ไม่ย้ายบ้านไปเลยล่ะ “ ด้วยซ้ำ ด้วยความที่ชอบญี่ปุ่นมากเลยอยากจะลองไปเห็นประเทศญี่ปุ่นด้วยตาตัวเอง เลยลองสอบเพื่อมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมดู
ตอนแรกคิดว่าไม่มีอะไรหรอกใช้ชีวิตแบบทั่วๆไป แต่เรื่องก็เกิดตั้งแต่หลังจากแยกย้ายกับเพื่อนคนอื่น ปกติแล้วโฮสต์แฟมิลี่จะต้องมารับเด็กในวันที่กำหนดไว้ แต่โฮสต์ดันไปเที่ยวต่างจังหวัดแล้วยังไม่กลับมา .. เลยต้องไปพักอาศัยกับโฮสต์ชั่วคราวเป็นเวลา 4 วัน ก่อนที่จะย้ายไปโฮสต์หลัก ในช่วง 4 วันแรกๆ ก็คุยภาษาญี่ปุ่นปนๆ อังกฤษนี่แหละ เขาก็ให้คำแนะนำ ทั้งเรื่องการเรียน การใช้ภาษาญี่ปุ่นที่ถูกต้อง ประมาณนี้
หลังจากจบบ้านหลังแรกก็ย้ายโฮสต์ไปโฮสต์หลัก พอย้ายไปโฮสต์หลักก็รู้สึกกังวล เพราะเดิมทีโฮสต์บ้านหลังนี้ คนที่อยากทำจริงๆ คือโฮสต์พ่อ แต่โฮสต์พ่อไม่ค่อยว่าง ทำงานกลับบ้านดึก ส่วนโฮสต์แม่ก็มีโรคประจำตัว เวลาเดินก็กระเผลกๆ แถมยังต้องดูแลลูกอายุยังน้อย พอเราถามอะไรเขา ให้เราช่วยไหม เขาจะตอบอ้อมๆ ถ่อมตัวตลอด เหมือนเกรงใจ เช่น ให้ช่วยไหมคะ เขาก็จะตอบ ไม่เป็นไรค่ะ จนกระทั่งครบ 2 เดือน โฮสต์แม่มาพูดกับเจ้ว่า อยากให้เราไปอยู่กับโฮสต์คนอื่นมากกว่าเพราะว่าบ้านเขาภาระค่อนข้างหนักมาก เขาโทรไปทางทุนแล้วขอยกเลิกเรากระทันหัน ซึ่งเราก็เข้าใจนะว่าภาระเขาหนักจริงๆ แต่ก็รู้สึกผิดที่ช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย สรุปคือต้องออกในวันถัดไปจากวันที่ยกเลิก (ตกใจมากๆ)
จากนั้นก็ย้ายโฮสต์เป็นบ้านที่ 3 บ้านหลังนี้มาถึงอธิบายเกี่ยวกับภายในบ้าน เรื่องครอบครัว พูดจากันอย่างเปิดเผยแตกต่างกับบ้านก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เลยรู้สึกดีมากๆ ที่ได้มาอยู่ที่นี่ แต่ ! บ้านกับโรงเรียนไกลมาก ต้องตื่นตี 5 ครึ่งเป๊ะนะ ถ้าสายนิดเดียวนี่ไปโรงเรียนสายทันที เพราะรถไฟมีรอบเดียว แต่แรกๆ เจ้เกร็งมาก เพราะหลังจากโดนเฉ่งก็ไม่กล้าจะทำอะไร ความมั่นใจของตัวเองก็ค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ คนญี่ปุ่นตรงต่อเวลาและเป็นระเบียบมาก ต้องขยันและต้องมีความมุ่งมั่นพยายามสูงมาก ไม่งั้นอาจจะโดนต่อว่าได้ ด้วยความที่ว่าบ้านหลังนี้เขาไม่ได้รับระยะยาว เขารับแค่ 1 เดือนเพื่อให้ Staff ทางโครงการหาโฮสต์ระยะยาวให้
พอถึงวันนั้น โทรศัพท์เข้ามา ตัวเจ้เองลุ้นและตื่นเต้นว่าจะได้โฮสต์ระยะยาวแล้วไม่ต้องย้ายแล้วปรากฎว่าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน คือทาง Staff หาโฮสต์ระยะยาวไม่ได้ ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าเพราะอะไร เพราะถามไปเขาก็ตอบไม่ตรงกับคำถาม ตัวเจ้เองก็งงๆ เหมือนกันว่าทำไมเขาตอบไม่ตรงกับคำถาม บ้านหลังต่อไปรับ 2 เดือน ในความคิดส่วนตัวก็คิดว่า คนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่โตเกียวส่วนมากทำงานกันแทบทั้งวันทั้งคืนเหมือนกับ ยิ่งทำมาก ยิ่งได้มาก ยิ่งทำน้อย ยิ่งได้น้อย ประมาณนี้..เลยรับเรามาอยู่ด้วยได้แค่แป๊บเดียว
จากนั้นก็ย้ายโฮสต์เป็นบ้านที่ 4 เป็นลูกครึ่งเกาหลี บ้านหลังนี้ใกล้โรงเรียนมาก รู้สึกดีใจมากๆ ในช่วงเวลา 2 เดือน ที่บ้านก็ใจดีมากๆ สอนทำอาหาร สอนภาษาเกาหลีด้วย บ้านหลังนี้ทุกอย่างก็เกาหลีเลยค่ะ อาหารแทบทุกมื้อนี่เกาหลีเลย เหมือนตัวเองได้ไปอยู่ประเทศเกาหลีในช่วงเวลาหนึ่งเลยก็เป็นได้ ก็บ้านหลังนี้ก็รับแค่ระยะสั้น ก็ด้วยความที่ว่าเป็นลูกครึ่งเกาหลีวัฒนธรรมเลยค่อนข้างไปทางเกาหลีหน่อย ไม่ได้เคร่งเท่าบ้านก่อนๆ เท่าไหร่ เวลาเรากับเขามีอะไรก็จะช่วยเหลือกันเสมอ แต่ช่วงนั้นฤดูหนาว หิมะตก ฝนตกแทบทุกวัน เดินทางลำบาก รวมไปถึงความเหนื่อยสะสม ก็เลยป่วยเป็นไข้ถึง 2-3 รอบ ทางโฮสต์เองก็เป็นห่วงเรา เราก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้เขาแต่มันเกิดขึ้นแล้ว เราก็พยายามนะคะ ทานยาแล้วรีบนอน เพื่อที่จะได้ไปโรงเรียนในวันต่อไปได้ จนกระทั่งจบ 2 เดือนของบ้านหลังนี้ก็ผ่านไปด้วยดี
จากนั้นก็ย้ายโฮสต์เป็นบ้านหลังที่ 5 เป็นอะไรที่เรียกว่า “นรก” ได้เลยทีเดียว … เหมือนตกสวรรค์ประมาณนี้ได้ เพราะไม่คิดว่าบ้านหลังนี้จะทั้งสูบบุหรี่ กินเหล้า และเล่นการพนัน แถมบ้านหลังนี้ไม่ค่อยจะทำความสะอาดเท่าไหร่ ถึงทำแล้วก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม .. ที่บ้านหลังนี้เขียนกฏไว้ในกระดาษให้เราอ่านแล้วทำข้อตกลง ให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทำได้ถึงจะไม่ต้องบอก เพราะคิดว่าไม่เป็นไรเลยยอมตกลงไป แต่จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด เพราะบ้านนี้ก็ไกลจากโรงเรียน .. กว่าจะกลับบ้านก็ดึก เพราะด้วยความที่ว่ากลับบ้านดึก กิจกรรมชมรมก็หนัก กลับบ้านมาไม่มีเเรงจะทำอะไร และนอกจากนี้แล้ว นอกจากนั้นเป็นคนที่ไม่ถูกกับควันบุหรี่ แต่ก็ไม่มีทางเลือกเลยต้องทนๆ ไป
ซึ่งด้วยความที่ว่าเหนื่อยสะสมมากๆ จึงป่วย เลยบอกโฮสต์ว่าขอลาหยุด แต่โฮสต์กับต่อว่า ”แค่เหนื่อยแค่นี้ถึงกับไปโรงเรียนไม่ได้เลยหรอ ถ้ารู้ว่าเหนื่อยก็ต้องควรดูแลร่างกายให้ดีๆ สิ” แต่กิจกรรมชมรมและทางโรงเรียนรวมไปถึงการเดินทางและเวลาอ่านหนังสือสอบ รวมๆ กันแล้ว มันเหนื่อยจริงๆ ทะเลาะกับโฮสต์ทุกวัน พอเราจะอธิบายอะไรเขาจะหาว่าเราเถียงเขาเสมอ เขาพูดกับเจ้ว่า เขาคาดหวังกับเจ้มาก แค่เรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้กลับไทยไปเถอะ ... ทำได้แค่นั่งนิ่งๆ พูดได้แค่คำว่า ขอโทษค่ะ จนกระทั่งเขาไม่ไหวกับเจ้แล้ว เลยโทรไปแคนเซิลเราออกทันที นอกจากนี้ยังสั่งให้ Staff ทุนนี้ตัดเจ้ออกจากการเป็นเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยน ซึ่งช็อกมาก ณ ตอนนั้นคือร้องไห้ ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง แอบตัดใจแล้วด้วยซ้ำว่า กลับไทยก็ได้ อยู่ที่ไทยคงสบายกว่าเยอะ
แต่พอคุยกับคนที่ดูแลทุนแล้ว เขาก็ให้โอกาสเราครั้งสุดท้าย เพียงแต่ต้องทำตามข้อตกลงที่เขากำหนดไว้หลังจากย้ายโฮสต์คนนี้ไป เขาให้เลือกว่าจะอยู่หรือจะกลับ แต่เหลืออีกแค่ 3-4 เดือน เลยอยากอยู่ให้จนจบ ยอมที่จะอยู่เพราะเราอาจจะยังอยากเห็นอะไรบางอย่างที่ญี่ปุ่นอยู่ก็ได้ มองโลกในแง่ดีไว้ ซึ่งทาง Staff แทนที่จะให้กำลังใจ เขากลับพูดว่า “ฉันว่าอย่างเธอน่ะทำไม่ได้หรอก..การที่จะปรับตัวในบ้านคนๆ นึง มันยากไปสำหรับเธอ กลับไหม ?” แต่อย่างที่ว่าแหละ เป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ ต่อให้ใครว่าอะไรก็ตาม เลยตอบเขากลับไปว่า เจ้ไม่รู้หรอกว่าเจ้จะทำได้หรือไม่ได้ แต่ขอลองทำค่ะ ไหนๆ ก็ได้โอกาสแล้ว ขอคว้าไว้ดีกว่า เขาก็พูดเชิงประมาณว่า ไม่น่าจะไหวหรอก พร้อมยังบอกอีกว่า เราเป็นเด็กที่มีปัญหาหนักที่สุดในทุน เพราะไม่เคยเปลี่ยนบ้านโฮสต์กระทันหันแบบนี้ ซึ่งตอนช่วงนั้นบอกเลยว่า ทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ เห็นจุดอ่อนของตัวเองแบบกระจ่างเลยทีเดียว
หลังจากผ่านบ้านหลังนี้มา ก็รู้สึกกลัวทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร และแล้วพอขึ้นบ้านหลังใหม่ โฮสต์คนสุดท้ายหลังที่ 6 โฮสต์คนนี้ เขารับเด็กแลกเปลี่ยนมาแล้วกว่า 50 คน พอได้ฟังแล้ว เลยถามเขาว่า ในบรรดา 50 คนเคยมีคนไทยไหม? เขาบอกว่า เจ้เป็นคนที่ 7 เขาก็เล่าเรื่องแต่ละคนให้ฟัง และเราก็เล่าสิ่งที่เราเจอมาแต่ละบ้าน โฮสต์คนนี้ตอบไปยิ้มไปว่า สิ่งที่เราทำลงไปในบ้านคนอื่น จริงๆ แล้วเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่เราทำลงไปเพราะเราไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะว่าบ้านก่อนๆ ยังไม่รู้อุปสรรคของคำว่า “โฮสต์แฟมิลี่” ก็ได้ ซึ่งเขาก็บอกว่า จากนี้ก็ไม่อยากให้เรายอมแพ้ ไหนๆ ก็ใกล้จะจบแล้ว พยายามเข้าละกัน
บ้านหลังสุดท้ายนี้ไม่มีกฎ แต่จะใช้อะไรหรือสงสัยอะไร เราต้องไปถามเขาเอง เพราะถ้าเขียนเป็นกระดาษเหมือนบ้านก่อนๆ มันก็แค่ตัวหนังสือเท่านั้นแหละ ถ้าอธิบายเป็นวิธีการปฎิบัติและจุดที่เราสงสัยมันจะเคลียร์กว่า เดิมทีบ้านหลังนี้มีเด็กแลกเปลี่ยนคนจีนอยู่ด้วย เวลาเจ้มีอะไรที่ไม่เข้าใจกันก็ช่วยๆ กันนี่แหละ เราสองคนสื่อสารกันเป็นภาษาญี่ปุ่น รวมถึงโฮสต์ด้วย บ้านหลังนี้ได้อยู่ยาวจนจบเลย ( ดีใจมาก ) ตามข้อตกลงของทางทุน เขาจะคุมพฤติกรรมเราเดือนเดียว หลังจากนั้นก็อิสระ แต่ก็ใช่ว่าทำตัวเหลวไหลได้นะ ก็ต้องดูสถานะตัวเองให้ดีๆ ไม่งั้นคงได้กลับประเทศไทยแน่นอน..
ส่วนเรื่องโรงเรียนก็สนุกมาก แต่ก็น่าตกใจที่ช่วงเช้า ปกติแล้วจะเข้ามาทักกัน คุยกัน ประมาณนี้ แต่ว่าเด็กโรงเรียนนี้ เช้ามา เงียบกริบไม่มีใครคุยกัน ราวกับบรรยากาศห้องสอบ ทุกคนอ่านหนังสือ นั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง เป็นบรรยากาศที่เครียดมากแต่เช้า.. คือที่โรงเรียนที่เจ้อยู่ มันจะมีสอบแทบทุกวัน เลยต้องติวกันอ่านกันแบบนี้เป็นเรื่องปกติ ส่วนเพื่อนๆ ที่สนิทด้วยก็เป็นเพื่อนชมรมและก็เพื่อนที่นั่งใกล้ๆ กัน เพราะว่าทางกลับบ้านเป็นทางเดียวกันเลยกลับด้วยกัน กินข้าวกลางวันคุยเล่นกัน แกล้งกันสนุกสนาน
อย่างที่ว่า คนญี่ปุ่นเขาจะแบ่งเวลา เรียนเป็นเรียน เล่นเป็นเล่น ถ้าช่วงพักกลางวันนี่คือกริ๊ดกร๊าดกันเลย แต่เรียนคือแบบ เงียบกริบ จดๆๆ กันใหญ่เลยอ้ะ ! และอีกอย่าง สังคมเด็กนักเรียนที่ญี่ปุ่นส่วนมากนั้น เป็นสังคมแบบกลุ่ม เน้นกลุ่มเลย ถ้าไม่มีกลุ่มคืออาจจะถูกเรียกได้ว่าพวกไร้เพื่อนได้เลยแหละ .. เพราะฉะนั้นฝากถึงน้องๆ ที่สนใจจะมาแลกเปลี่ยนประเทศญี่ปุ่นเลยว่า พยายามหากลุ่มไว้ ไม่งั้น อาจจะอยู่ตัวเดียวเหมือนเจ้ช่วงแรกๆ ได้ ;-; ส่วนเรื่องชมรม เจ้อยู่ชมรมอิไอโดะ เป็นชมรมดาบญี่ปุ่น ไม่ใช่เคนโด้นะจ๊ะ ^^
ทุกวันนี้ก็ใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นอย่างสนุกสนานดีค่ะ ถึงแม้จะเจออะไรวุ่นๆ มาเยอะแต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ก็เหลือเวลาอีกไม่นาน เจ้ก็ต้องกลับไปลุยม.6 ที่ไทยแล้ว ;-; //ฮืออออ สำหรับใครที่สนใจหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโครงการแลกเปลี่ยนประเทศญี่ปุ่นก็ติดต่อได้ตามช่องทางนี้ค่ะ^^
Facebook: Jay Thipsombatwong
IG : @jaybunnyz
twitter : octoputz
อ่านแล้วเหนื่อยแทนน้องเจ้เลย 6 บ้านกันเลยทีเดียว แต่คิดว่า ถ้าผ่านเรื่องนี้ไปได้ น้องคงแกร่งขึ้นมากกกกกกกกกกจริงๆ ยังไงก็เอาใจช่วยจ้า^^ ส่วนใครมีประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ อยากแบ่งปันเพื่อนๆ แบบนี้บ้าง เขียนส่งมาได้ที่ pay@dek-d.com แล้วเจอกันจ้า
18 ความคิดเห็น
จะว่าโชคดีร้ายก้ไม่รู้ แต่มันก็ต้องอดทนอะนะ ถ้าทนไม่ได้ก็จบ แต่อยากไปญี่ปุ่น ฟุๆ
หนูอยู่ม.3 ค่ะ หนูอยากจะลองเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนสักครั้งบ้าง อยากลองสื่อสารกับเขา อยากลองเรียนร่วมกับคนอื่นๆ อยากดูวัฒนธรรมของเขา แต่ก็มีปัญหาเรื่องภาษาน่ะค่ะ อังกฤษก็พูดได้ไม่กี่คำ ญี่ปุ่นหนูยังจำตัวฮิรางานะกับคาตาคานะไม่ได้เลย แต่หนูเลือกไว้แล้วว่าอยากจะเรียนภาษา จบม.6 อยากเข้าคณะอักษรศาสตร์ เห็นพี่ๆหลายคนเขาได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนกันเยอะ ถ้าพี่ทำได้หนูก็ต้องทำได้เช่นกันค่ะ!
เราก็เพิ่งไปแลกเปลี่ยนญี่ปุ่นมาสดๆเลย ตอนแรกคุยกับโฮสท์ไว้ดิบดี
พอวันถึงโฮสท์ป่วยเปลี่ยนโฮสท์กระทันหัน
นี่เจอคนลูกแบบเงียบ .... เงียบแบบไม่พูดเลย ....
ชวนคุยก็ไม่คุย แต่โชคดีที่พ่อ-แม่ น้องชาย นี่คุยสนุกมากก็ยังพอรอดมาได้ 5555+
// ตอนนี้เล็งทุนรัฐบาลญี่ปุ่นไว้จะสอบแล้วว
ตอนนี้หนูก็เรียนอยู่ญี่ปุ่นเหมือนกันค่ะ แต่พึ่งอยู่ม.3 ตอนมาญี่ปุ่นแรกๆก็ลำบากหน่อยไม่ค่อยมีเพื่อน แต่ตอนนี้มีเพื่อนแล้ว แล้วก็สามารถพูดคุยตามปกติได้แล้ว แต่ติดตรงที่ยังอ่านคันจิยากๆไม่ได้เลยลำบากที่จะสอบเข้าม.ปลายนิดหน่อย แต่ก็จะพยายามค่ะ สู้ๆเข้านะคะ
ผมอยากไปมั่งจังคับ ตอนนี้อยู่ม.5 แล้ว อยากจะไปสอบทุนดูบ้าง แต่ภาษาอังกฤษอยู่แค่ขั้นพอไปๆมาๆได้ เกรดอังกฤษก็แย่มาก ไม่รู้จะไปสอบได้รึเปล่า 55555 แต่ยังอยากจะพยายามตามล่าหาทุนคับ เพื่อฝันที่ตั้งไว้
สุดยอดเลยค่ะที่ผ่านมาได้
พี่เก่งมากๆเลยนะค่ะ พี่เป็นแรงบรรดาลใจให้หนูสุดๆเลย หนูอยู่ม.1ค่ะ ฝันไว้ว่า อยากจะลองไปเหยียบญี่ปุ่นซักครั้ง ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนแบบพี่ จริงๆแล้วหนูเลิกคิดไปแล้วนะค่ะ เพราะคิดว่าคงยากที่จะอยู่และปรับตัวกับโฮส ตอนนี้หนูมีกำลังใจสุดๆเลยละค่ะ หนูจะตั้งใจทำตามความฝัน
เค้าจะต้องทำฝันให้เป็นจริงให้ได้!!! สู้!! สู้!! สู้!!
โคตรเข้าใจฟิลโฮสไม่ดีเลยอะ แรกๆเหมือนจะดี แต่ร้ายได้อีกเลืองบ้าน No smoking อิโฮสสูบทุกวัน ทั้งผัวทั้งเมีย คือคิดว่าเราไม่กล้าร้องเรียน กวนตีนสารพัด พี่หนิไฟท์แหลกไม่เกรงใจเลยเงินก็จ่ายไปเยอะ (พี่ไปเองอะนะ ไม่ใช่ทุนนะจ๊ะ) ตอนย้ายพี่ไม่ยอมจ่ายค่าTaxi เพราะแพง ยังไปบอกให้เจ้าของโรงเรียนจ่ายให้เพราะเป็นคำผิดของยูที่คัดโฮสเกรดไม่ดีมา นางก็จ่ายไปตามระเบียบ ปล. แต่อันนี้ของแคนาดานะ ไม่ใช่ญี่ปุ่น แอบไม่เกี่ยวกับญี่ปุ่น แต่อยากแชร์ว่าแบบของงี้เนอะ ต้องใช้ดวงด้วยว่าจะเจอดีหรือไม่ดี แต่ดีตรงที่เพื่อนดีมากกกกกก ชีวิตดี๊ดี ยังไงก็สู้ๆนะจ้านู๋ เป็นกำลังใจให้
ขอโทษนะคะ โฮสแย่ขนาดนี้ สูบบุหรี่ เล่นการพนัน ฯลฯ ทำไมโครงการถึงให้มาเป็นโฮสได้ล่ะค่ะ งงในงง