น้องๆ เคยคิดแบบนี้กับตัวเองกันหรือเปล่าคะ?
บางครั้งเราไม่ได้แย่ขนาดไหน แต่ "ความคิด" ของเรากลับทำให้เรารู้สึกแย่กว่าเดิม ดังนั้นถ้าเราอยากเป็นคนที่มีความสุขมากกว่านี้ พี่น้องแนะนำว่าเราต้องสลัดเจ้า 10 ความคิดตัวปัญหานี้ออกไปให้พ้นจากสมองของเราค่ะ!
1. ทุกอย่างมีแต่ขาวกับดำ
ความคิดแบบสุดโต่งประเภท "ถ้าไม่ขาวก็ดำ" ทำให้เรามองโลกในด้านลบมากเกินไป ยกตัวอย่างเช่น เราตั้งใจมากว่าต้องสอบเข้าจุฬาฯ ให้ได้ แต่ดันสอบไม่ติด ความคิดแบบไม่ขาวก็ดำ จะทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เราจะโทษตัวเองว่าเราไม่ฉลาด เราไม่มีทางเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ได้ บลาบลาบลา
แต่ถ้าลองตั้งสติแล้วเอาความคิดแบบนั้นออกไปเราจะพบว่า จริงๆ แล้วคะแนนเราก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นนะ เผลอๆ อาจจะมากกว่าเกณฑ์มาตรฐานเสียอีก เรายังมีตัวเลือกอีกตั้งมากมาย หรือแม้แต่รอซิ่วเพื่อไปสอบปีหน้าก็ได้
ต้องฝึกตัวเองให้หยุดมองแบบสุดโต่ง แล้วหาแง่มุมดีๆ ในเรื่องร้ายให้เจอ ท่องไว้ว่าไม่มีอะไรเป็นสีขาวสะอาดหรือดำสนิทนะคะ
2. มองข้ามความดีที่ทำมา
ยกตัวอย่างเวลาผลสอบปลายภาคออกมา เราได้คะแนนแต่ละวิชาดีๆ ทั้งนั้นเลย ติดอยู่แค่วิชาเลขนี่แหละที่ทำแทบตายก็ได้แค่ 2
ถ้าเราโฟกัสแค่ผลสอบวิชาเลข เราก็จะคิดว่าตัวเองไม่เก่ง แค่นี้ก็ทำไม่ได้ ลงโทษตัวเอง หดหู่ไปเป็นวันๆ โดยลืมมองไปว่าเราวาดรูปเก่งมากเลยนะ
เช่นกันค่ะ เวลาเราเห็นเพื่อนมีความสามารถพิเศษ ร้องเพลงได้ ไปประกวด The Voice ก็เข้ารอบตลอด เพื่อนอีกคนก็พูดภาษาจีนปร๋อเลย แต่ตัวเรากลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง นั่นแปลว่าเรามองข้ามความดีของตัวเองแล้ว
เราทุกคนล้วนมีสิ่งที่ถนัดของเราเองค่ะ บางคนอาจหาเจอเร็ว บางคนอาจหาเจอช้า บางคนอาจมีอยู่แล้วแต่ดันมองไม่เห็นซะงั้น
สิ่งที่ถนัดนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นการร้องเพลง เรียนเก่ง หรือเล่นกีฬาได้ เล่นเกมเก่งนี่ก็ถือเป็นความถนัดเฉพาะตัวนะ เผื่อใครไม่รู้ เพราะคนที่เล่นเกมผ่านด่านได้ต้องมีไหวพริบ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่ง (แต่ถ้าใช้สูตรโกงก็อีกเรื่อง)
ดังนั้นอย่าคิดว่าตัวเองไม่มีอะไรดีค่ะ ลองหามันให้เจอ แล้วดึงมันออกมานะ!
3. เหมารวมเกินไป
นิสัยส่วนตัวก็เรื่องหนึ่ง ไม่ปฏิบัติตามกฎก็เรื่องหนึ่ง
แต่ถ้าเราตั้งแง่กับใครโดยอาศัยความเชื่อแบบเหมารวมของเราก็อาจทำให้เราติดอยู่กับความคิดที่ไม่ดีแบบนั้น และทำให้เราพลาดโอกาสรู้จักกับคนดีๆ ไปก็ได้ค่ะ
อย่างเพื่อนคนนั้นอาจจะชอบละเมิดกฎบ้าง แต่จริงๆ แล้วเป็นคนที่ชอบการ์ตูนญี่ปุ่นเหมือนกับเรา ถ้าลองได้คบกัน เราอาจจะได้เพื่อนที่เข้าขากันมากๆ พอถึงตอนนั้นแล้วค่อยบอกให้เพื่อนเลิกใส่กระโปรงสั้นเนอะ ครูจะได้ไม่ตีขา
4. ฝังใจกับหลักฐานฝั่งเดียว
ไหนใครเคยว่าเพื่อนผ่านโซเชียล มีเดียอย่าง เฟซบุ๊ก หรือทวิตเตอร์ บ้างคะ?
แล้วใครเคยมีประสบการณ์โดนเพื่อนในโรงเรียนเอารูปไปโพสต์ใส่ร้ายแล้วโดนรุมว่าบ้าง?
ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ตรงหรือเคยเป็นผู้สังเกตการณ์ รู้หรือเปล่าคะว่าที่คนทำร้ายกันทางโซเชียล มีเดียโดยการด่าทอต่อว่ากันนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการได้รับหลักฐานเพียงด้านเดียวค่ะ
สมมติว่าในห้องเรามีเพื่อนคนหนึ่งชื่อ "ส้มเช้ง" เราไม่ได้สนิทกับส้มเช้งหรอก แต่วันหนึ่งก็มีคนในห้องออกมาโพสต์ในกรุ๊ปว่า ส้มเช้งโพสต์ว่าเพื่อนอีกคนในเฟซบุ๊กตัวเอง แล้วก็แคปภาพสเตตัสของส้มเช้งอันนั้นมาให้ทุกคนดู
โดยที่ยังไม่ตรวจสอบหลักฐานให้ดี ทุกคนก็พากันปักใจเชื่อทันทีว่าส้มเช้งทำจริง และรุมต่อว่าเธอจนเธอเลิกไปโรงเรียน
แล้วอยู่ดีๆ ก็มีคนหนึ่งในกรุ๊ปผิดสังเกต เห็นว่าข้อความมันแปลกๆ เหมือนตัดต่อมา พอคนนี้พูดขึ้นมา ถามว่ามีสักกี่คนที่สนใจฟัง?
ไม่มีแล้วค่ะ เพราะทุกคนปักใจเชื่อในหลักฐานชิ้นแรกชิ้นเดียวที่เห็นไปแล้ว และทุกคนไม่กล้าหันมาดูหลักฐานชิ้นที่ 2 เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นตัวเองนั่นแหละที่ผิด ไปรุมด่าส้มเช้งทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ทำอะไรผิด
การฝังใจเชื่อในข้อมูลแรกที่ได้รับและเมินข้อมูลต่อๆ มานี่แหละค่ะที่ทำให้เรากลายเป็นคนนิสัยไม่ดีในโซเชียล มีเดีย และอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตคนอื่นเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นเวลาเจออะไร อย่าเพิ่งออกตัวแรง รอหลักฐานมาครบแล้วค่อยสรุปนะ
5. ตีตนไปก่อนไข้
เคยมั้ยคะ เวลาเจอใครครั้งแรกเราจะประเมินก่อนเลยว่าคนนี้คิดยังไงกับเรา
เขาชอบเรามั้ย เขาหมั่นไส้เราหรือเปล่า ดูจากท่าทางแล้ว เขาต้องไม่ชอบเราแน่ๆ เลย
เมื่อเราสรุปไปก่อนแล้วว่าคนๆ นั้นไม่ชอบเรา ร่างกายเราก็จะตอบสนองด้วยการแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรต่อคนๆ นั้นกลับ อีกฝ่ายก็คงจะงงเหมือนกันว่า "เราไปทำอะไรให้นะ เขาถึงได้ดูไม่ชอบเราขนาดนี้ ไม่ไหวเลยจริงๆ"
ยังไม่มีใครได้เกลียดใครเลยค่ะ แต่เพราะคิดกันไปล่วงหน้า ก็พาลไม่ชอบหน้ากันขึ้นมาจริงๆ ซะงั้น
หรือคนที่ชอบทำนายอนาคตล่วงหน้า ก็จะพะวงกับอะไรที่กำลังจะเกิดขึ้น และมักชอบคิดว่า "มันต้องแย่แน่" ก็พาลจะทำให้งานเสียไปหมด เช่น พรุ่งนี้มีพรีเซนต์งานเป็นภาษาอังกฤษ ตื่นเต้นมากมาย ทำนายอนาคตให้ตัวเองว่ามันต้องออกมาไม่ดีแน่เลย
ไปบั่นทอนความมั่นใจของตัวเองโดยไม่ต้องมีใครมาทำ ผลสุดท้ายงานก็ออกมาไม่ดี เพราะเรามัวแต่กังวล จนลืมบทพูดบ้าง ลืมคำศัพท์บ้าง
นี่แหละค่ะข้อเสียของการเป็นหมอเดา
6. ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ทำเรื่องใหญ่ให้เล็กจิ๊ดเดียว
ไปกินก๋วยเตี๋ยวกับเพื่อน เจอแมลงสาบในชามก๋วยเตี๋ยว แทบจะเหวี่ยงโต๊ะออกไปนอกร้านอาหาร ถามหาแม่ครัว ต้องได้กินฟรียี่สิบชามไม่งั้นไม่ยอมจะฟ้องสรยุทธ์ อันนี้ก็เกินไปค่ะ เพื่อนที่ไปด้วยก็พาลจะอับอายเอา เผลอๆ กลับมาบ้าน ภาพใบหน้าแม่ครัวที่หน้าซีดเผือดตอนเราโวยวายอาจทำให้เรารู้สึกแย่ไปอีก
กลับกัน ทำรายงานกลุ่มกับเพื่อน เก็บคะแนน 20 คะแนนไม่มีหาร เพื่อนนั่งทำแทบตาย เราชิลสบาย เดินเล่นจิบกาแฟ คนประเภทนี้คือคนที่มองเรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็ก ซึ่งมันคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ ถ้าไม่ใช่ว่าเรื่องใหญ่นั้นมันเกี่ยวข้องกับคนอื่นด้วย และถ้าความคิดแบบนี้ทำให้เพื่อนเราเดือดร้อน คงไม่ดีแน่
ดังนั้น หยุดเป็นดราม่าควีน หยุดเป็นสล็อธ จะได้ไม่ต้องเสียใจทีหลังนะคะ
7. ปักหมุดตัวเอง
การปักหมุดตัวเอง นอกจากจะเป็นการลดทอนคุณค่าของเราแล้ว ยังส่งผลให้ตัวเราไม่พัฒนาไปไหนสักทีอีกด้วยค่ะ
จริงๆ แล้วคนเราทุกคนมีศักยภาพในตัวเอง แต่ต้องอาศัยเทคนิคในการดึงมันออกมา เทคนิคที่ดีที่สุดคือการบอกตัวเองว่า "ฉันทำได้และทำได้ดีด้วย!" ใครจะว่าเราบ้า ก็ไม่ต้องไปสน
การให้กำลังใจตัวเอง นอกจากจะทำให้เราดึงศักยภาพตัวเองออกมาได้เต็มที่แล้ว ยังทำให้เรามีความสุขกับสิ่งที่ทำมากขึ้นด้วยนะ
3 ความคิดเห็น
TT แต่เราคงหุ่นดีไม่ได้จริงๆ
จะพยายามนะคะ!ขอบคุณมากๆเลยค่ะ