เจาะลึกเนื้อหาการสอบ IELTS ทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน


      สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com อย่างที่รู้กันดีกว่า การจะไปเรียนต่อต่างประเทศนั้น ต้องใช้ผลคะแนนภาษาอังกฤษด้วย อย่าง IELTS ก็เป็นผลสอบที่ประเทศในแถบยุโรปและออสเตรเลียนิยม คนที่จะไปสอบอาจจะยังไม่เข้าใจทักษะต่างๆ ในการสอบ พี่เลยจะมาอธิบายการสอบและวิธีการฝึกฝนในทักษะต่างๆ เพื่อให้สอบได้คะแนนสูงๆ ค่ะ


ทักษะการฟัง

      การสอบการฟังของ IELTS จะเป็นบทสนทนา 4 สถานการณ์ที่แตกต่างกัน ใช้เวลาทั้งหมด 30 นาที สองเรื่องแรกเป็นสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน อีกสองเรื่องเป็นการพูดเชิงวิชาการ ช่วงแรกจะง่ายก่อน แล้วจะยากขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกอาจจะขึ้นมาด้วยบทสนทนาของเพื่อนคุยกัน ต่อไปอาจจะเป็นการฟังข่าวที่มีพิธีกรสองคน และท้ายๆ จะเป็นการถกเถียงของกลุ่มนักเรียนกับอาจารย์  

       การตอบคำถามของพาร์ทนี้เป็นลักษณะฟังไปตอบไป อย่าฟังจนหมดแล้วค่อยตอบ เพราะเราจะลืมคำตอบไปแล้ว ซึ่งโจทย์ของพาร์ทนี้ก็จะถามตั้งแต่เบอร์โทรศัพท์ ชื่อถนน ชื่อคน บลาๆๆ มีทั้งแบบชอยซ์และข้อเขียน โดยข้อสอบทั้งหมดมี 40 ข้อ เวลาเขียนคำตอบให้เขียนเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด เพราะบางทีเราอาจจะไม่รู้ว่าชื่อบางอย่างจะต้องเป็นตัวใหญ่หรือตัวเล็กตรงไหนบ้าง อันนี้ก็เอาชัวร์ไว้ก่อนดีกว่า ทริคคือให้ฟังแล้วเขียนคำตอบที่คิดไว้ลงในกระดาษคำถามไปก่อน พอฟังจบ เค้าจะมีเวลาให้เราเขียนคำตอบลงในกระดาษคำตอบอีกทีค่ะ ตอนฟังเราจะได้ไม่ต้องสลับกระดาษไปๆ มาๆ 

      ก่อนสอบน้องๆ สามารถเตรียมตัวฝึกการฟังภาษาอังกฤษจากรายการวิทยุ การดูหนัง การฟังข่าวเป็นภาษาอังกฤษ ทั้ง CNN, BCC, Guardian ซึ่งน้องๆ ควรฝึกฟังในหลากหลายสำเนียง เพื่อให้เกิดความคุ้นเคย น้องๆ ที่เพิ่งเริ่มฝึกฟัง ลองเริ่มจากคลิปสั้นๆ ก่อนก็ได้ เลือกเรื่องราวที่สนใจ เช่น การท่องเที่ยว การ์ตูน เพลงที่ชอบ การรายเกมโชว์ต่างๆ หรือถ้าใครเริ่มเชี่ยวชาญขึ้นมาหน่อยก็ลองดูพวกสารคดีบ้างก็ได้ อาจจะได้ศัพท์ที่ไม่เคยรู้มาก่อนไปบ้าง  

เว็บไซต์สำหรับฝึกการฟัง



ทักษะการอ่าน

      ข้อสอบจะให้เราอ่านบทความเชิงข่าวและเชิงวิชาการ ประมาณ 3-4 เรื่อง โจทย์มีทั้งชอยซ์และข้อเขียน 40 ข้อ บางข้อจะให้เติมคำในประโยค หรือถามถูกผิด ให้เวลาทั้งหมด 60 นาที แนะนำให้ฝึกทำข้อสอบโดยจับเวลาด้วย ให้อ่านโดยใช้เทคนิค Skim และ Scan ซึ่งก็คือการหาคำหลักและใจความสำคัญรวมก่อน แล้วค่อยไปดูโจทย์ว่าถามอะไร จากนั้นค่อยกลับมาหาคำตอบอีกที ที่สำคัญคือคำถามจะข้ามไปข้ามมา ไม่ได้เรียงลำดับกันหมดทุกข้อ ข้อไหนทำไม่ได้ให้ข้ามไปก่อน แล้วค่อยมาเก็บทีหลังก็ได้ อย่าเสียเวลาแต่ละข้อมากเกินไป 
      ทักษะการอ่านเป็นทักษะที่คนไทยส่วนใหญ่เชี่ยวชาญมากที่สุดแล้ว เพราะผ่านการอ่านภาษาอังกฤษกันมาตั้งแต่เด็กๆ ปัญหาที่เจอคือบางคนอ่านช้าจนอ่านไม่ทัน พี่แนะนำให้ใช้เทคนิคการอ่านแบบจับใจความสำคัญของภาพรวมเท่านั้น หาคำหลักๆ แล้วทำความเข้าใจองค์ประกอบ เพื่อหาคำตอบของคำถามเท่านั้น การสอบแบบนี้ไม่จำเป็นต้องอ่านทุกตัวอักษรเพื่อเข้าใจเนื้อเรื่องทั้งหมด การฝึกทักษะนี้ก็ไม่จำเป็นต้องอ่านอะไรที่วิชาการจ๋าขนาดนั้น น้องสามารถเลือกอ่านหนังสืออะไรก็ได้ที่เราสนใจ เช่น นิยาย นิตยสาร Harry Potter หรือจะเป็นการอ่านหนังสือพิมพ์ ก็เป็นการติดตามข่าวสารบ้านเมืองไปอีกทางด้วยค่ะ 

เว็บไซต์สำหรับฝึกการอ่าน 



ทักษะการเขียน

      การสอบเขียน IELTS แบ่งเป็นสองส่วน รวม 60 นาที ส่วนแรกจะเป็นการอธิบายกราฟ ขึ้นลง สูงสุด ต่ำสุด และการเปรียบเทียบ ของกราฟเส้น วงกลม แท่งต่างๆ ตรงนี้น้องจะต้องเรียนรู้คำศัพท์สำหรับการเขียนโดยเฉพาะ ต้องเขียนไม่น้อยกว่า 150 คำ แต่ไม่ควรเกิน 170 คำ พาร์ทแรกนี้ควรใช้เวลาเขียนไม่เกิน 20 นาทีพอค่ะ 
     
      อีกส่วนจะเป็นการบรรยายเนื้อเรื่องแสดงข้อคิดเห็นของผู้สอบเอง โจทย์ก็จะเป็นคำถามเปิดกว้าง อาจจะเป็นการโต้แย้ง เสนอการแก้ปัญหา การเปรียบเทียบ การเขียนข้อดีข้อเสีย ต้องเขียนอย่างน้อย 250 คำ และใช้เวลาไม่เกิน 40 นาที เวลาเขียนตอบอย่าเขียนน้ำเยอะไป เดี๋ยวคนตรวจจะขี้เกียจอ่านแล้วจะถูกหักคะแนนได้ ให้เขียนอย่างกระชับได้ใจความพอ พอเขียนเสร็จ ให้ใช้เวลาที่เหลือนับคำที่เขียนไปโดยการนับจำนวนบรรทัด คูณกับจำนวนคำเฉลี่ยต่อบรรทัดที่เราเขียน 
     
     สำหรับการเขียนตอบ บางคนอาจจะเลือกที่จะเขียนบบรรทัดเว้นบรรทัด ซึ่งอาจจะช่วยได้เวลาที่เราอยากเพิ่มเติมหรือแก้ไขอะไร จะได้ไม่ต้องลบออกหมด อะไรที่จะเอาออกใช้วิธีขีดฆ่าได้เลย ไม่ต้องลบให้โต๊ะสั่น ทักษะนี้อาจจะพัฒนายากหน่อย น้องๆ ควรจะไปดูตัวอย่างเทคนิคการเขียนในเว็บไซด์ต่างๆ เพื่อจะได้เรียนรู้คำศัพท์และวิธีแสดงความคิดเห็นในรูปแบบที่หลากหลาย การใช้แกรมมารให้ถูกหลัก และฝึกคิดวางแผนก่อนลงมือเขียน ซึ่งเวลาฝึกก็ควรจับเวลาไปด้วยเพื่อให้เราฝึกคิด เขียน และแบ่งเวลาสำหรับการเขียนทั้งสองส่วนให้อยู่ในเวลาที่กำหนด 

เว็บไซต์สำหรับฝึกการเขียน



ทักษะการพูด

      การสอบพูดแบ่งเป็น 3 พาร์ท เรียงตามความยากง่ายเลย ซึ่งพาร์ทแรกจะง่ายสุด ใช้เวลาประมาณ 5 นาที ผู้คุมสอบจะถามเราแบบสบายๆ เช่น ให้แนะนำตัว ถามว่าชอบกินอะไร เล่นกีฬามั้ย  ชอบเที่ยวที่ไหน อะไรประมาณนี้ จากนั้นก็จะเข้าสู่พาร์ทที่ 2 ซึ่งความยากจะเพิ่มขึ้นหน่อย พาร์ทนี้จะเป็นการ์ดคำถาม เป็นคำถามที่เกี่ยวกับคำถามท้ายๆ ของพาร์ทแรก เช่น ให้บรรยายที่เที่ยวที่ประทับใจ ว่าไปกับใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ โดยจะให้เวลาคิดก่อน 1 นาที แล้วค่อยพูดอีก 2 นาที แล้วจึงเข้าสู่พาร์ทสุดท้ายที่ยากที่สุด เพราะเป็นการถกเถียงกันระหว่างคนสอบและผู้คุมสอบ ประมาณ 5 นาทีในเรื่องเป็นการเป็นงานหน่อย เช่น คิดเห็นอย่างไรกับอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้วทำให้โลกร้อน หรือ การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกสิ่งก่อสร้างเพื่อความก้าวหน้าของโลก 
     
     ช่วงเวลาการสอบจะมีการอัดเสียงไว้ด้วยเครื่องอัดที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับนาฬิกาเล็กๆ ที่คอยจับเวลาตอนเราพูด ไม่ต้องเกร็งนะคะ การสอบพูดต้องรอตามคิว ถ้าคิวเราได้ท้ายๆ ก็ไปเดินเล่นรอก่อนก็ได้ แต่ไม่ควรไปไหนไกล เดี๋ยวจะกลับมาไม่ทันเอา การฝึกฝนในพาร์ทนี้นั้นค่อนข้างยากหน่อยเนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ขี้อาย และมีโอกาสในการพูดภาษาอังกฤษน้อย แต่เราก็ไม่ควรยอมแพ้ ลองเริ่มจากการพูดกับเพื่อนๆ และคนที่บ้านก่อน แต่ถ้าใครอยากได้สำเนียงแบบจัดเต็มก็ไปเป็นอาสาสมัครพาฝรั่งเที่ยวตามข้าวสารก็ได้นะ ทีนี้แหละ ได้ทั้งฟังทั้งพูดเลย ใครยังไม่มั่นใจก็อาจจะพาเพื่อนไปด้วย ช่วยๆ กันไปก่อน หรือถ้าอายจริงๆ ก็ลองคุยกับตัวเองหน้ากระจกก่อนก็ได้ อย่าลืมอัดเสียงตัวเองไว้ด้วยล่ะ จะได้มาลองเปิดฟังดูว่าเราควรปรับปรุงอะไรมั้ย
     
      เวลาพูดให้ทำใจให้สบาย ค่อยๆ พูด ไม่ต้องรีบร้อน ก่อนสอบก็เตรียมคิดเรื่องทั่วไปไว้บ้าง เช่น การแนะนำตัว เรื่องการเรียน หรือ ประวัติคร่าวๆ เพราะน่าจะโดนถามแน่ๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องท่องถึงขนาดเป็นบทจริงจัง เอาแค่ที่ว่าเรารู้ว่าจะต้องพูดอะไรพอ บางคนไปสอบโดยไม่ได้เตรียมตัวจะตื่นเต้น และอาจจะพูดไม่ออกไปชั่วขณะได้ ดังนั้นถ้ามีโอกาสก็พูดบ่อยๆ จะเป็นการฝึกให้เราคิดเป็นภาษาอังกฤษโดยอัตโนมัติด้วย เพราะการฟังอังกฤษแลัวแปลเป็นไทย แล้วคิดเป็นไทยแล้วแปลเป็นอังกฤษก่อนตอบ จะทำให้เราเสียเวลามาก 

เว็บไซต์สำหรับฝึกการพูด
   


      อย่างไรก็ตาม การพัฒนาตัวเองนั้นไม่มีทางลัด น้องๆ ควรจะค่อยๆ เรียนรู้ฝึกฝนทักษะ สะสมความรู้ทุกวัน ใช้เวลาไปกับภาษาอังกฤษให้มากที่สุด เพียงแค่วันละ 5-10 นาที ในทุกๆวัน ก็ทำให้น้องพัฒนามากกว่าคนอื่นได้แล้ว ขอให้น้องๆ ทุกคนโชคดีกับการสอบ IELTS ค่ะ
ทีมเรียนต่อนอก

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

3 ความคิดเห็น

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด