“We gained control of many things. But we had to let go of others.”
Lois Lowry, The Giver
สวัสดีชาวเด็กดีทุกคนจ้า วันนี้พี่น้องมาวิจารณ์หนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งพี่น้องเคยพูดถึงบ่อยมากๆ เวลาเขียนบทความเกี่ยวกับนิยายธีมดิสโทเปีย
The Giver หรือในชื่อไทยว่า โจนาสกับผู้ให้ เป็นวรรณกรรมเยาวชนเขียนโดย โลอิส เลาว์รี่ นักเขียนหญิงชาวอเมริกัน ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับสังคมดิสโทเปียที่มีผู้มีอำนาจควบคุมคนในสังคม และดึงเสรีภาพในการเลือกออกไป ได้ยินแบบนี้แล้วอย่าเพิ่งตกใจ นี่มันนิยายสำหรับเด็กเรอะ
ใช่ค่ะ เห็นหัวข้อใหญ่โตแบบนี้ แต่เนื้อหานั้นค่อนข้างเรียบง่าย เด็กอ่านได้ผู้ใหญ่อ่านดีทีเดียว
The Giver เกี่ยวกับอะไร?
ตัวเอกในเรื่องเป็นเด็กชายชื่อโจนาส อาศัยอยู่ในชุมชนที่เป็นสถานที่แห่งเดียวที่จะปรากฏในเรื่อง ชุมชนนี้อยู่ร่วมกันด้วยระบบใหม่ซึ่งแตกต่างจากสังคมเดิมๆ ที่เราเคยรู้จัก เช่น
- คนในชุมชนจะพัฒนาไปพร้อมๆ กันเมื่อครบรอบอายุ เช่น เด็กอายุ 9 ปีทุกคนจะได้จักรยานและฝึกขี่ เด็กอายุ 12 จะได้รู้ว่าตัวเองต้องฝึกงานกับที่ไหน ฯลฯ
- ที่นี่ไม่มีสีสัน ทุกคนเท่าเทียมกันหมด ไม่มีการแบ่งเชื้อชาติ สีผิว สีผม หรือสีตา
- คนในชุมชนทุกคนจะต้องได้รับยาทุกวันเพื่อควบคุมไม่ให้ตัวเองมีอารมณ์ หรือความต้องการทางเพศ
- เนื่องจากพวกเขาไม่มีอารมณ์ ความรู้สึกดีใจหรือเสียใจอย่างแท้จริง ทำให้ไม่มีเสียงดนตรี หรือบทเพลง
- ครอบครัวไม่ได้เกิดจากคนรักกันแต่งงานกันแล้วมีลูก แต่เกิดจากคนสองคนที่เหมาะสมกันถูกกำหนดให้มาอยู่ร่วมกัน แล้วยื่นคำร้องต่อผู้อาวุโส ขอลูกมาเลี้ยง
- เด็กแรกคลอดที่ไม่แข็งแรง คนแก่ชรา หรือคนที่ทำผิดกฎของชุมชนจะถูกพิจารณาเข้ารับการ 'ปลดปล่อย' สำหรับพวกเราก็คือการฉีดยาให้ตายนั่นเอง (แต่คนในเรื่องไม่รู้ว่านั่นคือความตาย)
ความทรงจำที่ว่านั้นคือความทรงจำของโลกเก่าที่เรารู้จัก โลกที่มีสงคราม ความเจ็บป่วย ความรัก โรคระบาด สัตว์ป่า เสียงเพลง ฯลฯ ซึ่งความทรงจำเหล่านี้ถูกลบออกจากสมองของคนในชุมชน โดยมีผู้รับเป็นคนคอยเก็บความทรงจำนี้ไว้กับตัวเผื่อเวลาที่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน คนๆ นี้จะได้ใช้บทเรียนในอดีตมาช่วยแก้ปัญหาได้
แต่ยิ่งโจนาสเห็นโลกของเราในแบบที่มันควรจะเป็นมากเท่าไร เขาก็ยิ่งเห็นจุดด่างพร้อยในสังคมที่เขาอยู่มากเท่านั้น
แล้ววันหนึ่งที่บ้านของเขาก็ได้รับเด็กแรกเกิดชื่อ เกเบรียล มาเลี้ยงชั่วคราว เพราะพ่อเขาเป็นผู้อนุบาลเด็ก เกเบรียลมีแนวโน้มว่าจะถูก 'ปลดปล่อย' แต่โจนาสไม่ยอม เพราะเขาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าการปลดปล่อยหมายถึงการฆ่าให้ตาย ไม่ใช่การเดินทางไปสู่อีกโลก เมื่อถึงวันที่เกเบรียลต้องถูกตัดสินโทษประหาร โจนาสจึงพาเกเบรียลหนี โดยอาศัยความช่วยเหลือจาก 'ผู้ให้'
แต่การหนีออกนอกเขตชุมชนของโจนาส โดยที่ตัวเขาเองมีความทรงจำบางส่วนจาก 'ผู้ให้' ติดไปด้วยจะทำให้เกิดผลต่อชุมชน เพราะทันทีที่เขาพ้นเขต ความทรงจำที่ติดตัวเขาจะหลั่งใหลกลับไปหาคนในชุมชน ทุกคนจะรับรู้ความเจ็บปวด ความตาย เรื่องทุกอย่างที่ผู้อาวุโสเคยปิดกั้นไว้
เรื่องย่ออาจจะยาวไปนิด แต่ต้องเล่าละเอียดนิดนึงจะได้เข้าใจสิ่งที่พี่กำลังจะพูดต่อไปนี้นะจ๊ะ
ดิสโทเปียเต็มรูปแบบ
ในขณะที่นิยายอิงธีมดิสโทเปียปัจจุบันนั้นเน้นฉากต่อสู้ และความรัก ซึ่งเป็นพล็อตที่ขายได้ในตลาดหนังสือ The Giver จะมุ่งเน้นไปที่ธีมดิสโทเปียจริงๆ ไม่อิงความรัก ไม่มีฉากบู๊สนั่นใดๆ ทั้งสิ้น (บู๊สุดๆ ก็ตอนโจนาสปั่นจักรยานหนีออกจากชุมชน)
แล้วอะไรที่เรื่องนี้เน้น?
ในขณะที่นิยายธีมดิสโทเปียอย่าง 1984 หรือ ฟาเรนไฮต์ 451 มุ่งเน้นไปที่การใช้อำนาจของรัฐในทางที่ผิด The Giver กลับมีประเด็นที่น่าสนใจ (และเหมาะสำหรับเด็ก) มากกว่านั้น นั่นคือ "ความหมายของการมีชีวิต" ค่ะ
ไม่เคยทุกข์ก็ไม่รู้ว่าสุขเป็นอย่างไร
พวกผู้อาวุโสของเรื่อง The Giver ก็คิดเหมือนกันค่ะ (ไม่ใช่เรื่องสิวนะ) พวกเขาคิดว่า ในเมื่อโลกมันมีความขัดแย้งเพราะเราต่างเชื้อชาติ เดี๋ยวก็ไปด่าประเทศนู้น ข่มประเทศนี้ ทั้งๆ ที่ก็คนเหมือนกัน ทำไมเราไม่เอาสีออกนะ จะได้ไม่ต้องมานั่งเหยียดผิวกันอีก ทำไมไม่เอาอารมณ์ ความรู้สึกออกไป คนจะได้เลิกทะเลาะกัน เลิกมีความรู้สึกรัก ชอบ เกลียด ชัง
ถ้าเอาสิ่งที่คิดว่าเป็นภัย สิ่งที่ทำให้เกิดความขัดแย้งออกไป เราก็จะอยู่ในชุมชนได้อย่างสงบสุขไงล่ะ
พวกเขาไม่คิดเปล่าค่ะ พวกเขาทำด้วย พวกเขาสร้างชุมชนเสียใหม่ ดึงพวกนั้นออกไปให้หมด ล้างความจำคนในสังคมเสีย สร้างสังคมใหม่ที่จะไม่มีความขัดแย้งอีกต่อไป
มันคงจะเป็นสังคมที่น่าอยู่ สังคมที่เราไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องคิดว่าโตขึ้นฉันจะทำงานอะไรดี แต่เมื่อเราอ่านนิยายเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ เราก็จะเห็นเหมือนที่โจนาสเห็นค่ะ
สีสันที่ทำให้คนแบ่งแยก แต่มันก็ทำให้โลกใบนี้งดงาม
ความรักที่ทำให้คนทุกข์ ในขณะเดียวกันมันก็นำความสุขมาให้
ถ้าเราไม่เคยทุกข์ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าความสุขมันหอมหวานแค่ไหน
เหมือนที่ผู้ให้บอกกับโจนาสว่า "เราควบคุมหลายสิ่งๆ แต่ก็จำต้องปล่อยบางสิ่งไป" มือหนึ่งไม่สามารถคว้าไว้ได้ทั้งหมด ถ้าเลือกที่จะอยู่แบบหุ่นยนต์ก็ต้องยอมเสียความงามของการใช้ชีวิตไป แต่ถ้าอยากได้ความงามเหล่านั้น ก็ต้องยอมเป็นทุกข์เพราะมันเป็นดาบสองคม
จบแบบปลายเปิด ให้คนอ่านได้ตัดสินเอง
ตอนจบของ The Giver โจนาสพาเกเบรียลหนีออกจากเขตชุมชนโดยการใช้ 'เลื่อน' ไถลไปตามหิมะ แล้วไปจบตรงที่เขาเห็นแสงสว่าง ไม่ได้บอกว่าเขาหนีไปพ้นเขตชุมชนหรือไม่ เขาตายหรือรอด เกเบรียลเป็นอย่างไร เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น (ซึ่งเราจะได้รู้อีกทีใน Messenger หนังสือเล่ม 3 ของชุดนี้)
การจบแบบปลายเปิด ให้คนอ่านงงเล่นว่าเอ๊ะ แล้วยังไง? เป็นการทิ้งคำถามที่ดีให้กับคนอ่าน ถ้าคุณชอบสังคมแบบใน The Giver คุณไม่รู้สึกโหยหาความรักหรือความงดงามทั้งหลายที่มันทำให้คุณเจ็บปวด งั้นคุณก็คงอยากให้โจนาสตายในกองหิมะนั่นแหละ
แต่ถ้าคุณไม่ได้ชอบสังคมแบบนี้ และอยากเห็นมันเปลี่ยนแปลง คุณก็คงหวังว่าโจนาสจะออกไปพ้นเขตชุมชน และอาจจะได้เจอบ้านที่แสนอบอุ่น ใช้ชีวิตต่อไปกับเด็กน้อยชื่อเกเบรียล (และได้ตามไปอ่านเล่มต่อๆ มาในชุดนี้)
เทคนิคการเขียนที่ได้จาก The Giver
1. จะเขียนเรื่องยากๆ ให้เด็กอ่านได้อย่างไร
หนังสือเล่มนี้ must read สำหรับคนที่อยากเขียนหนังสือสำหรับเด็กนะคะ
ถ้าใครอ่านแล้วพี่น้องอยากให้ลองสังเกตลักษณะการใช้คำของนิยายชุดนี้ให้ดี (ภาษาไทยอาจจะเห็นไม่ค่อยชัด แต่ดูที่โครงสร้างประโยคก็ได้) เนื่องจากว่ามันเป็นหนังสือสำหรับเด็กและเยาวชน ภาษาจะไม่ซับซ้อน ไม่มีโครงสร้างประโยคยาวยืด แต่อาศัยเล่าแบบกระชับ ไม่เล่นสำนวนมาก เพื่อให้เด็กเข้าใจได้ง่าย
หลายคนอาจจะสงสัย "พี่น้องคะ เนื้อหามันหนักขนาดนี้ เด็กจะเข้าใจเหรอคะ?"
เด็กไม่จำเป็นต้องเข้าใจค่ะ วันนี้เด็กอาจจะอ่านเอาเนื้อเรื่องอย่างเดียว แต่เมื่อพวกเขาโตขึ้น เดี๋ยวพวกเขาก็จะรู้เองว่านิยายเรื่องนี้มันแฝงอะไร หรือเด็กอาจจะถามพ่อแม่ครูอาจารย์ได้ ถ้าพวกเขามีจุดที่สงสัย
2. เรื่องใหญ่ในสเกลเล็ก
ประเด็นในเรื่อง The Giver เกี่ยวกับชีวิตและอำนาจในการปกครองสังคมเป็นประเด็นใหญ่ ถ้าเป็นนิยายเรื่องอื่นๆ ที่เราเห็นตามชั้นหนังสือมักจะเขียนเป็นนิยายยาวหลายหน้า ปมซับซ้อนซ่อนเงื่อนวุ่นวายไปหมด แต่ The Giver ออกมาเป็นนิยายสั้นๆ ไม่ซิเรียสจริงจังขนาดนั้น เพราะกลุ่มเป้าหมายคือเด็ก
ใครที่กำลังจะลองเขียนนิยายธีมนี้ แล้วมีพล็อตอลังการในหัว ลองเปลี่ยนมาฝึกเขียนในสเกลเล็กแบบนี้ก่อนก็ได้ เพราะความยาวของนิยายไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความอลังการ
The Giver พิสูจน์มาแล้วว่านิยายสเกลเล็กนี้ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของคนอ่าน แม้เวลาจะผ่านมากว่าสิบปีก็ตาม
เมื่อนิยายกลายเป็นหนัง
- เริ่มจากการเพิ่มอายุทางกายภาพให้ตัวละคร ตอนแรกที่เห็น trailer ตกใจมาก ทำไมโจนาสหนุ่มแน่นกล้ามล่ำอะไรอย่างนี้ เข้าใจนะว่าฝรั่งโตเร็ว แต่นี่ดูเป็นวัยรุ่นไปแล้วมาก ไม่น่าเชื่อว่าเป็นเด็กอายุ 11 เลย (คนแสดงแก่กว่าพี่อีก) พอดูหนังไปเรื่อยๆ ถึงได้รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องทำให้ตัวละครดูโตเกินจริงแบบนั้น
เพราะเวอร์ชั่นหนังมีการเพิ่มความรัก มิตรภาพ และฉากบู๊วิ่งหน้าตื่นนอกเหนือจากที่มีในนิยายเข้าไปด้วย - ในหนังสือจะไม่ค่อยพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างโจนาสกับฟิโอน่าและแอชเชอร์ แต่ในหนังจะขยายเรื่องนี้ออกมา โดยให้มีฉากที่โจนาสเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีความรัก และแสดงความรักต่อฟิโอน่าด้วยการจูบ เพิ่มบทบาทให้แอชเชอร์เป็นผู้ยึดมั่นในกฎของชุมชน ถึงขั้นเป็นคนขับยานไปตามล่าโจนาส และสุดท้ายก็เลือกที่จะปล่อยเพื่อนไป (แสดงถึงมิตรภาพที่มีอยู่ในส่วนลึกของคนทุกคน)
- หนังพยายามเน้นประเด็นเรื่อง "การใช้อำนาจคุมทุกอย่าง" ของผู้อาวุโส โดยการเพิ่มฉากที่หัวหน้าผู้อาวุโสพยายามตามดูพฤติกรรมต่างๆ ของโจนาสและออกคำสั่งจับกุมตัว หรือฉากที่กล้องวงจรปิดพยายามจับภาพคู่โจนาสกับฟิโอน่าอยู่ด้วยกัน ในขณะที่หนังสือไม่ได้เน้นตรงจุดนี้ เข้าใจว่าเปลี่ยนประเด็นเพื่อจะได้มีเนื้อหาเหมือน The Hunger Games ที่เน้นเรื่องการต่อสู้กับผู้มีอำนาจ
- ในหนังมีการนำเสนอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชุมชนหลังจากที่โจนาสหนีออกไป เช่น ฟิโอน่าโดนโทษประหารเนื่องจากช่วยโจนาสพาเด็กหนี ระหว่างที่ฟิโอน่าจะถูกฉีดยา ผู้ให้ก็พูดกับผู้อาวุโสในห้องสังเกตการณ์ถึงความผิดปกติของชุมชนนี้ จุดนี้เองที่หนังเลือกจะแสดงออกไปตรงๆ เลยว่าประเด็นของหนังสือเรื่องนี้อยู่ตรงไหน โดยใช้คำพูดของหัวหน้าผู้อาวุโส (แสดงโดยเมอริล สตรีพ) บอกว่า "เวลาที่คนเรามีอิสระที่จะเลือก พวกเขาก็เลือกผิดทุกครั้งไป"
- ตอนจบของหนังบอกชัดเลยว่าโจนาสออกนอกเขตชุมชนได้สำเร็จ แต่ชะตากรรมต่อมาของโจนาสก็คลุมเครือเหมือนหนังสือ นั่นคือโจนาสได้พบบ้านที่จัดงานเลี้ยงคริสต์มาส แบบเดียวกับในความทรงจำที่ได้รับจากผู้ให้ เราอาจเดาได้ว่าบ้านหลังนั้นเป็นของจริง หรือเป็นเพียงภาพในความฝันของโจนาสอีกที และโจนาสอาจหมดสติไป
ใครได้อ่านนิยายเรื่องนี้แล้วบ้าง อ่านแล้วรู้สึกยังไง มาคุยกัน!
The Weinstein Company - The Giver via imdb.com
ryanseacrest.com
en.wikipedia.com
สำนักพิมพ์อมรินทร์
17 ความคิดเห็น
เรื่องนี้น่าสนมากเลยอ่ะ
เนื่องจากเป็นคนนึงที่อ่านซี่รี่ย์นี้จบทั้งชุดแล้ว และอ่านเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยที่ยังมีแปลไทยชื่อว่า "ความทรงจำมหัศจรรย์" (งานนี้ชื่อเรื่องจะบอกอายุคนพิมพ์รึไม่?) จึงอดไม่ได้ที่จะพิมพ์ความเห็นเพราะแรงอวย
ตอนนั้นจำได้ว่าอ่านตั้งแต่มัธยมค่ะ อันนี้ขอสนับสนุนจริงๆ ว่าของเขาเป็นหนังสือสำหรับเด็ก
เป็นอีกเรื่องที่สนุกและอ่านง่าย จะอ่านภาษาไทยก็ได้ รึใครจะไปหาภาษาอังกฤษมาอ่าน ก็เป็นอีกเรื่องที่อ่านเพลินๆ ได้เหมือนกันค่ะ
อ่านเรื่องนี้แล้วประทับใจหลายอย่าง ตรงที่เหมือนว่าเราจะเข้าไปเป็นโจนาส เพราะพออ่านเรื่องนี้แล้วเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังสงสัยอะไร โจนาสก็จะสงสัยไปกับเรา แบบพอโจนาสเริ่มคลางแคลงใจอะไร เราก็จะมีอารมณ์ประมาณว่า เออแฮะ กำลังคิดอยู่เลย
แม้ว่าโดยส่วนตัวแล้วจะชอบ 1984 มากกว่า แต่เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่มีความเห็นว่า เป็นนิยายดีๆ ที่ควรอ่านเรื่องหนึ่งเลยค่ะ
เรื่องนี้สนุกมากค่ะ โรงเรียนเราครูให้อ่าน อ่านจบนี่เถียงกับเพื่อนรัวๆเลยว่าเอ๊ะตกลงเกิดอะไรขึ้น บางคนคิดว่าโจนาสตาย บางคนคิดว่าโจนาสไปโลกที่เหมือนโลกของเราตอนนี้แต่คนทุกคนอยู่เหมือนเดิม และอื่นๆอีกมากมายเลยค่ะ
ถ้าใครหาหนังสือดีๆอ่าน แนะนำเลยค่ะ นักเขียนเรื่องนี้เค้ามีไอเดียที่แปลกใหม่ดีนะคะ เราไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้มาก่อน และเราก็เชื่อว่าอีกหลายๆคนก็ไม่เคยคิด สนุกจริงๆค่ะ
//ชอบตอนที่โจนาสรับรู้เหตุการณ์วันคริสต์มาส ความอบอุ่นของครอบครัว ความรัก เสียงหัวเราะ คนเด็กคนแก่
เป็นเรื่องที่สนุกมากค่ะ อยากให้ทุกคนอ่านเป็นเรื่องที่ให้ข้อคิดดีมากๆค่ะ
หลายคนว่าสนุก เราก่อว่าสนุกอยู่นะให้ข้อคิดด้วย
แต่นำมาสร้างเป็นหนัง แปกค่ะ - - http://movie.kapook.com/view105874.html
เราอยากดูภาคต่ออ่ะแต่ขาดทุนไม่รู้จะได้ดูมั๊ยยย
อ่านหนังสือซีรีส์นี้จบสี่เล่มเลยค่ะ
แต่ยังไม่ได้ดูหนัง (เพิ่งจะรู้ว่าเข้ามาฉายไปแล้ว
แหงะ ตกข่าวได้ไง ตอนแรกวาดฝันว่าจะไปดูค่ะ กรรม สงสัยต้องรอแผ่นออก)
เอาคร่าวๆเท่าที่เราจำได้นะคะ (เนื่องจากชอบอ่านอะไรเยอะแยะมากมายไปหมด)
เราว่า The Giver เป็นนิยายแนวดิสโทเปียที่ต่างจาก
Hunger Game และ Divergent จริงๆค่ะ
ตอนอ่านหนังสือเราว่าภาษาที่เค้าใช้ไม่ได้ซับซ้อนเข้าใจยาก
ทำให้คนอ่านลุ้นและเอาใจช่วยโจนาสไปด้วย
ตอนที่โจนาสได้รับความทรงจำและพาเกเบรียลหนีจำได้ว่าร้องไห้ด้วยค่ะ
(พอได้อ่านเล่มสี่แล้วก็แอบรู้สึกว่า อา...พ่อหนุ่มเกเบรียลเปลี่ยนไป T^T)
พออ่านจบทั้งเซ็ตแล้วทำให้รู้สึกว่าโลกเราทุกวันนี้ยังดีที่ไม่ได้มีสังคมแบบนั้น
มันคงจะเป็นการใช้ชีวิตที่ลำบากน่าดูเลยค่ะ
กับการที่ต้องอยู่โดยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วโลกเราเคยมีสีสันขนาดไหน
เรื่องนี้สนุกมากๆเลยคับตอนนี้กำลังอ่านภาค 2 อยู่ ติดใจตั้งแต่เริ่มอ่านเลย ขนาดเป็นหนังผมยังไปโหลดมาดูเลย The Giver
เรื่องนี้สนุกมากค่ะ มีเป็นชุด 4 เล่มจบ อ่านตั้งแต่เล่ม 4 ยังไม่ออกเลยค่ะ เริ่มหาซื้อเพราะนักเขียนที่ชอบแนะนำหนังสือชุดนี้ เลยขอเป็นของขวัญสอบเข้ามหาลัย (ฮา) ชอบหนังสือชุดนี้มากๆเลยค่ะ อ่านแล้วได้มองโลกในอีกหลายๆมุมเลย เราอาจจะเป็นหนึ่งในคนในชุมนุมที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบโจนาสแรกๆก็ได้นะคะ;_______;
แนะนำให้อ่านจริงๆค่ะ หนังสือดีมากๆ จนวันนี้ยังคิดถึงโจนาส คิรา แมตตี้ และหนูน้อยแก็บอยู่เลย >_<
ไม่เคยอ่านค่ะ
อ่านบทวิจารณ์แล้วจะไปหามาอ่าน
อ่านนิยายมาหลายเรื่องแต่ไม่เคยสังเกตุเห็นเรื่องพวกนี้เลย เช่นเรื่องสเกลเล็ก
อ่านเอาสนุกอย่างเดียวเลย
ขอบคุณมากค่ะสำหรับความรู้
อย่าจะกรี๊ดค่าา เพิ่งสอบ outside reading เรื่องนี้ไป
แต่เนื้อหาในหนังสือสนุกมากค่า พอแอบไปเปิดหนังดู ก็ค้นพบว่าโจนาสหล่อมาก 555555555555555555555555555555555
เป็นหนังสือชุดที่ซื้อมาตั้งนานแล้ว 55555 บัดนี้ยังอ่าน SON ไม่จบเลยค่ะพี่ มัวแต่ไปสนใจซีรีย์อื่นด้วย มันขาดตอน พอมาอ่านบทวิจารณ์ทำให้อยากกลับไปอ่านใหม่อีกรอบจริงๆเลย
เป็นหนังสือที่ดีมากกกกก มากจริงๆค่ะ
สนุกมากๆ
ขอชื่นชมนะคะ พี่วิจารณ์ได้ดีมาก ตอนแรกนึกว่าจะไม่พูดถึงหนัง
ภาพยนตร์พระเอกหล่อ เนื้อหาสนุกดีค่ะ
แนะนำเลยค่ะ เล่มนี้
อยากอ่านบ้างเเล้ว ขอบคุณที่มารีวิวนะครับจะลองไปหาอ่านดู
เคยอ่านบทแรกๆของนิยายเรื่องนี้จากร้านหนังสือที่ไหนซักที่เมื่อหลายปีมาแล้ว (อาจจะถึงสิบปีได้)
รู้สึกติดใจกับเนื้อหาและอยากอ่านต่อมาตลอด แต่จนใจที่จำชื่อหนังสือไม่ได้
ตอนนี้ได้รู้ชื่อหนังสือแล้ว (ในที่สุด!!!) ถ้าได้เจอจะซื้อมาอ่านต่อแน่ๆค่ะ