JOlly' M

[JLS17] Love Assurance ประกันวันนี้ ยกให้ฟรีทั้งหัวใจ

อกหัก รักพัง ไม่ได้ตังค์...แต่ได้ผู้ชาย

0%
VOTE
ตอนก่อนหน้า

ตอนที่ 2/7 :: ‘เกล้า’ วิญญาณอาฆาต

ตอนถัดไป

ประกันครั้งที่ 2

เกล้าวิญญาณอาฆาต

 

โครม!!

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังอยู่ไม่ไกลจากฉัน แน่ล่ะมันจะอยู่ไกลได้ไง ในเมื่อเสียงมันเกิดจากฉันเองเนี่ย! ฮือ!! เป็นเพราะอีตาเกล้าแท้ๆ ที่มาพูดอะไรให้ตกใจ จากปกติที่บังคับจักรยานยากอยู่แล้วเพราะของหนัก พอสติหลุดหน่อยก็ดันหักหลบก้อนหินก้อนใหญ่ข้างทางแล้วเกิดเสียหลักล้มหัวคะมำกองเป็นศพอยู่ข้างๆ จักรยานนี่ไง

อนาถกว่านี้มีอีกมั้ย ตอบ

           “อูยยย” ฉันร้องออกมาเบาๆ ในขณะที่พยายามยันตัวขึ้นอย่างยากลำบาก แต่มันลุกไม่ขึ้นจึงตัดสินใจนอนลงไปต่อและสวดภาวนาให้ตัวเองไม่เน่าตายอยู่ตรงนี้ งืออ เจ็บชะมัด

           เสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ทำให้ฉันผงกหัวขึ้นไปดูและพบกับเกล้าที่ย่อตัวลงมาเพื่อสำรวจอาการฉัน แง้! ทั้งเจ็บทั้งอายจนอยากจะมุดแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด เจอหมอนี่แต่ละทีไม่เคยมีภาพลักษณ์ดีๆ ให้ประทับใจเลยว้อย มีแต่กระเซอะกระเซิงเป็นผีบ้าทุกรอบ!

           หลังจากที่สำรวจอย่างเงียบงันมานาน เมื่อเห็นว่าฉันไม่เป็นอะไรมากจนถึงขั้นต้องไปโรงพยาบาล ร่างสูงจึงเอ่ยถาม “ลุกไหวมั้ย”

           “ช่วยฉันหน่อย” ฉันส่ายหัวแล้วยื่นมือไปหวังให้เขาฉุดขึ้น แต่เกล้ากลับจับตัวฉันพลิกแล้วดันให้ลุกขึ้นนั่งก่อนจะช้อนตัวไปอุ้มไว้ในอ้อมแขนเขา

           นี่ไงการอุ้มแบบเจ้าหญิงที่พูดถึงในตอนแรก ฉันได้มันแล้วแต่ก็ไม่ควรในสภาพแบบนี้สิ ฮือ!!

           แต่แหมแบบนี้มันออกจะเขินนิดๆ แฮะ เรียกได้ว่าตัวของฉันพิงไปที่หน้าอกของเกล้าเต็มๆ แขนแข็งแรงที่อุ้มไว้ทำให้รู้สึกว่ากำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางปุยเมฆ ไออุ่นจากร่างกายของเขาทำให้ฉันแทบคลั่งในความใกล้ชิดนี้ และเมื่อมองไปยังใบหน้าอันหล่อเหลาที่ถึงแม้จะบ่งบอกว่าบุญไม่รับ แต่ก็ไม่อาจกลบเกลื่อนบรรยากาศสีชมพูฟรุ้งฟริ้งนี้ไปได้

           เขินว้อยยย

           และเมื่อรู้สึกว่าตักตวง เอ๊ย! รบกวนมากพอแล้ว ฉันจึงเงยหน้าไปคุยกับเกล้าอย่างเกรงใจ “เอ่อจริงๆ แค่พยุงให้เข้าบ้านก็พอแล้ว ไม่เห็นต้องอุ้มขนาดนี้เลย”

           เกล้าจ้องหน้าฉัน แววตาเขาแปรเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดทันทีเมื่อฉันขยับตัวจะลง “อยู่นิ่งๆ เหอะน่า ถ้าปล่อยให้เธอเดินเองพรุ่งนี้จะถึงบ้านมั้ย”

           พอเจอเขาดุมาฉันเลยเงียบ และแอบลวนลามเขาต่อ เออ! ถือว่าเป็นการชดเชยที่มาโหดใส่นี่ละกัน (แถไปเรื่อย)

           ร่างสูงพาฉันเดินผ่านซากจักรยานและของจากเซเว่นห้าร้อยกว่าบาทที่ยังไม่ได้แตะสักนิดเดียว ฉันทำได้เพียงร้องไห้เบาๆ ในใจด้วยความเสียดายเผื่อพรุ่งนี้เซเว่นปิดฉันจะไปหาของกินได้ที่ไหนเนี่ย

           “เสียดายของเหรอ” เสียงทุ้มทักขึ้น ฉันเลยได้แต่มองของพวกนั้นสายตาละห้อยพลางพยักหน้าตอบรับ

           “อืมมม”

           “ห่วงตัวเองก่อนดีกว่า เยินอย่างกับอะไรดี”

           “คิดว่าฉันเดาสภาพตัวเองไม่ออกรึไง ไม่ต้องมาตอกย้ำเลย ฮือ!

           “อันที่จริงของพวกนี้เป็นแค่สิ่งนอกกาย จะทิ้งขว้างมันเท่าไหร่ก็ไม่เห็นเป็นอะไร” เกล้าพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนฉันงงว่าจะดราม่าทำไม หลังจากนั้นพวกเราก็เงียบไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่งถึงหน้ารั้วบ้านหมอนี่จึงส่งสายตามาบอกประมาณว่าให้ไขประตูรั้ว ฉันควานหากุญแจในกระเป๋าแล้วพยายามไขอย่างรวดเร็วเพราะเกรงใจร่างสูงที่กำลังอุ้มหมูตัวน้อยๆ อย่างฉันอยู่นานสองนาน

           เพราะไม่ใช่แค่ประตูรั้วที่ต้องไขไง ไหนจะเดินผ่านสนามหญ้าหน้าบ้าน แล้วกว่าจะถึงประตูบ้านอีก ดีไม่ดีเขาอาจง่อยเปลี้ยเสียแขนไปซะก่อน

           “ได้ยัง ฉันรู้สึกเหมือนไหล่จะหลุด”

           “ใจเย็นเซ่” ฉันไขกุญแจอย่างยากลำบากอยู่สักพักโดยมีอีตาเกล้าคอยเร่งไม่ห่าง นายก็ต้องเข้าใจด้วยว่าฉันถูกอุ้มอยู่เลยมองไม่เห็นรูกุญแจอ่ะ!

           พอไขออกร่างสูงก็พาฉันเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการบ่นอีกใดๆ ทั้งสิ้นแม้ว่าจะค่อนข้างไกลและร้อนอบอ้าวไม่น้อยเลยทีเดียว จนกระทั่งเรามาถึงหน้าประตูบ้าน ฉันไขกุญแจออกด้วยความเร็วแสงอย่างรู้หน้าที่ ถึงจะไม่ได้อยากให้เขาเข้าไปเท่าไหร่นัก แต่ก็นะมาเถียงกันให้ยืดเยื้อก็สงสาร สู้ให้เขาส่งแค่ที่โซฟาแล้วค่อยไล่กลับจะดีกว่า (ยัยนี่ -*-)

           “บอกไว้ก่อนว่าไม่ได้ยินดีต้อนรับนะ” ฉันรีบออกตัวก่อนในขณะที่กำลังเปิดประตูบ้านให้เกล้าอุ้มเข้าไป อีกฝ่ายทำหน้านิ่งแกมเอือมระอาแล้วขยับให้อุ้มง่ายขึ้น แต่การขยับจะไม่น่าตบเลยถ้าหมอนี่ไม่โยนฉันขึ้นสูงเกินงามเพื่อแกล้งเล่น เกิดตกลงไปคอหักตายใครรับผิดชอบเนี่ย ไอ้บ้า! จะแกล้งอะไรดูสภาพร่างกายฉันด้วย

           นี่กำลังแก้แค้นที่ต้องอุ้มฉันนานรึไง

           อีตาหัวดำส่งเสียงหึในลำคอเมื่อฉันส่งค้อนให้วงเบ้อเริ่ม จากนั้นก็อุ้มพาเดินไปถึงโซฟาในห้องนั่งเล่น เขาวางฉันลงก่อนจะขยับไหล่ไปมาอย่างกับแบกข้าวสารสิบตันก็ไม่ปาน

“ขอบคุณมากนะที่ช่วย” ฉันผงกหัวให้เล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ “แต่นายกลับไปเถอะ”

“นี่คือวิธีการรับแขกของเธอเหรอ” นัยน์ตาสีดำสนิทของคนตรงหน้าฉายแววไม่พอใจ เขาจ้องหน้าฉันสักพักและถามขึ้น “กล่องปฐมพยาบาลอยู่ไหน เธอต้องทำแผล”

“แผลแค่นี้ล้างน้ำแป๊บเดียวก็หาย”

           “เลือดไหลขนาดนี้มันล้างน้ำได้ซะที่ไหน” เกล้ายังคงจ้องหน้าฉัน สายตาที่แน่วแน่ของเขาเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่าการเจรจาจะไม่จบลงที่เขาต้องเป็นฝ่ายยอม

           ทำไมหมอนี่น่ากลัวจังอ่ะ ไหงตอนแรกที่เจอกันถึงนิ่งได้ซะขนาดนั้น แถมพูดคุยแค่ไม่กี่ประโยคก็ขอตัวไปนอน หรือเพราะเขาง่วงนอน ความโหดเลยยังไม่เผยขึ้นมาให้เห็นมากนะ

           แต่เมื่อกี้ยังแกล้งฉันเล่นอยู่เลย

           ไม่รู้ด้วยแล้วเว้ย ตอนนี้ขอจัดการสถานการณ์ตรงหน้าก่อน แง้!

           “หัวเธอเป็นแผล องศา”

” ไม่รู้จะทำยังไงก็เงียบประท้วงไว้ก่อนแหละค่ะ

“ถ้าเธอไม่บอกฉันจะไปรื้อหาเองนะ”

ต้องบอกไว้ก่อนว่ากล่องปฐมพยาบาลอยู่ชั้นบนในห้องนอนของฉัน และข้างๆ คือห้องที่สะสมสิ่งของไว้ เพราะฉะนั้นไม่ว่ามองไปในแง่ไหน ฉันว่ายังไงก็ไม่ควรยอมบอกให้เขาไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลได้อ่ะ

เอาเป็นว่าฉันเงียบและรอดูปฏิกิริยาหมอนี่ไปก่อนดีกว่า

“องศา”

เมื่อเกล้ารู้ว่าฉันกำลังต่อกรกับเขาอยู่ ผู้ชายตรงหน้าก็ถอนหายใจก่อนจะเดินไปยังบันไดเพื่อขึ้นไปชั้นสอง กรี๊ด!! ทำไมเดาถูกว่าอยู่บนบ้านล่ะ เอาไงดี! ถ้าฉันไม่บอกไป มีหวังหมอนี่ได้เข้ามั่วซั่ว เผลอๆ อาจเปิดไปเจอห้องที่สะสมสิ่งของไว้ก็ได้!

พอคิดได้แบบนั้นตัวของฉันก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อกำลังจะถูกรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวที่แม้แต่เพื่อนสนิทยังไม่ได้เข้าไป

ฉันกัดปากอย่างคิดหนัก สติสตังเริ่มหดหายเมื่อเขากำลังจะลับตาไป ด้วยความกดดัน ฉันเลยตะโกนเสียงดังลั่นบ้านอย่างต้องการจะประชดชีวิตและระบายอารมณ์ที่ไม่สามารถห้ามหมอนี่ไว้ได้

“อยู่ห้องข้างบน ฝั่งซ้าย!!

อีกฝ่ายชะงักฝีเท้าที่กำลังเดินขึ้นบันได เขาหันกลับมามองด้วยท่าทีของผู้ชนะ “บอกแต่แรกก็จบแล้ว”

สรุปว่าจะบอกไม่บอกเกล้าก็ได้ตามที่ตัวเองต้องการอยู่ดี เอออย่าให้ถึงทีฉันบ้างแล้วกัน

ถึงแม้อีตานี่จะทำเพื่อตัวของฉัน แต่เขาก็น่าจะรู้สิว่าฉันไม่ได้เต็มใจ และควรเกรงใจเจ้าของบ้านสักหน่อยมั้ย ไม่ใช่เอะอะบังคับ เอะอะขู่ โว้ย! การที่ห้ามอะไรใครไม่ได้นี่น่าหงุดหงิดจริงๆ

เฮ้ย! แล้วเกล้าจะรู้มั้ยว่าซ้ายไหน ซ้ายเขาหรือซ้ายฉัน!!

ด้วยอารามตกใจ ฉันรีบวิ่งขึ้นบันไดอย่างเร็ว แรง ทะลุนรกราวกับว่าตัวเองไม่เคยเจ็บมาก่อน และไปหยุดอยู่ข้างหลังเกล้าที่ยืนนิ่งอยู่ในห้อง

ห้องที่ฉันสะสมของเอาไว้!!

ฉันนิ่งค้าง อารมณ์ต่างๆ ประดังเข้ามาไม่ขาดสาย ทั้งตกใจ วิตก หวาดกลัวและอื่นๆ อีกมากมายที่ไม่สามารถหาคำมานิยามได้ เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นมาตามไรผม มือเย็นเยียบและหายใจไม่ทั่วท้อง ศีรษะหมุนคว้างราวกับอยู่ในอวกาศ

ทั้งห้องเงียบอยู่อย่างนี้นานนับนาทีก่อนที่เกล้าจะหมุนกลับมาสบตาฉัน สีหน้าเขาราบเรียบจนเดาไม่ออกว่าคนตรงหน้ากำลังคิดอะไร เราจ้องตากันนิ่งๆ ในความเงียบ จนกระทั่งเกล้าขยับปากจะพูด ฉันจึงต้องกลั้นหายใจด้วยความลุ้น

“ไม่ใช่ห้องนี้สินะ”

“งั้นก็คงห้องนี้” แล้วเกล้าก็เดินผ่านหน้าฉันไปเปิดประตูอีกห้องซึ่งเป็นห้องนอนของฉัน ทิ้งให้ฉันยืนอึ้งกิมกี่อยู่หน้าห้องสะสมของ เอ่อ….ทำไมเขาดูนิ่งจัง แถมมีการเปลี่ยนเรื่องไปเฉยๆ ด้วยนะ ฉันที่เจอแต่ปฏิกิริยาของคนรอบข้างที่มีต่อโรคนี้ในด้านลบมาตลอดถึงกับไปไม่เป็นเลย นี่ควรต้องทำตัวยังไงอ่ะ ใครรู้วานไลน์มาบอกด้วย -_-;;

“เธอมัวยืนทำอะไรอยู่ มานี่ดิ”

ฉันเดินงงๆ เข้าไปตามเสียงเรียกของเกล้า และยืนอยู่กลางห้องอย่างเงอะงะปล่อยให้เขาเดินลอยชายราวกับตัวเองเป็นเจ้าของห้องต่อไป ไม่รู้ทำไมฉันถึงทำตัวไม่ถูกทั้งที่มันเป็นห้องของตัวเองแท้ๆ บางทีอาจเพราะว่าหมอนี่คือผู้ชายคนแรกนอกจากพ่อที่ได้ย่างกรายเข้ามาในห้องนี้ และสองปฏิกิริยาที่เหนือความคาดหมายของเกล้าต่อห้องนั้น ทำให้ฉันค่อนข้างสับสนอยู่ไม่น้อย

เขาไม่ติดใจสงสัยอะไรสักนิดเลยเหรอ เดาทางไม่ถูกแฮะ

“กล่องทำแผลอยู่ไหน” เมื่อเสียงทุ้มเอ่ยถามเสียงห้วน ฉันจึงชี้ไปยังสิ่งที่เขาต้องการอย่างว่องไวราวกับร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองเองอัตโนมัติ เกล้าเดินไปหยิบของโดยมีฉันมองตามไม่ห่าง เขาถือมันมาแล้วหยุดตรงหน้าฉันก่อนจะ พยักพเยิดส่งสัญญาณให้ไปนั่งที่โซฟามุมห้อง

แล้วฉันก็นั่งลงอย่างกับสุนัขที่แสนเชื่องเพราะยังคงมึนงงกับท่าทีของเขาหลังจากที่เห็นสภาพห้องนั้น คิดในแง่ดี คนรู้จักโรคของฉันน้อยมาก เพราะมันเพิ่งได้รับการวิจัยเมื่อสามสี่ปีที่แล้วเอง หมอนี่คงไม่รู้ว่าฉันเป็นโรคหรอกมั้ง อาจคิดแค่ว่าฉันสะสมสิ่งของมากไปเท่านั้นเอง

“แสบแป๊บเดียว เดี๋ยวก็หาย” เกล้าปลอบอย่างกับฉันเป็นเด็ก ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพื่อทำแผลที่ศีรษะให้ สำลีที่เจือกลิ่นแอลกอฮอล์ไม่ได้ทำให้อาการตื่นเต้นลดน้อยลงไปเลยเมื่อใบหน้าของพวกเราห่างกันไม่กี่เซ็นต์ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาเป่ารดหน้าจนฉันได้แต่กลั้นหายใจและหลับตาปี๋ด้วยความเขิน

ถ้าอยู่แบบนี้นานๆ ฉันมีสิทธิ์ขาดอากาศหายใจตายได้เลยนะ ซึ่งฆาตกรก็คือคนที่กำลังเป่าแผลให้อยู่นี่ไง โอ๊ย!!

แต่จะมัวมาเพ้อไม่ได้ สิ่งที่ฉันอยากรู้คือความคิดของเกล้าหลังจากที่เจอห้องนั้นต่างหาก!

พอคิดได้ดังนั้นฉันจึงลืมตาขึ้นมา แม้จะแอบตกใจที่ใบหน้าเนียนใสเข้ามาใกล้กว่าที่คิด แต่ความอยากรู้อยากเห็นที่มีมากกว่าก็ทำให้ฉันสามารถละเลยความเขินอายตรงนี้ไปได้

“(‘ ‘)” จ้องแล้ว

” (กำลังตั้งใจทำแผล)

“(‘ ‘)” จ้องอีก

-_-;;

“(‘ ‘)” จ้องเข้าไปให้ทะลุถึงเสื้อผ้า //ผิดๆ

จนกระทั่งเกล้าอดรนทนไม่ไหวต่อสายตาอันร้อนแรง (?) ของฉัน และพอดีกับที่เขาทำแผลตรงหัวเสร็จแล้ว ร่างสูงจึงถอยออกห่างและถามอย่างตรงไปตรงมา “มีอะไรจะพูดรึเปล่า”

“นายเข้าไปในห้องนั้นแล้วไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”

“แล้วฉันต้องรู้สึกอะไรด้วยรึไง” เขาถามกลับพลางขมวดคิ้ว

“เอ่อนายคิดว่าฉันสะสมของมากไปรึเปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไรแปลกๆ เลยนะ ก็แค่สะสมของเอง เหมือนสะสมหนังสือไง งานอดิเรกน่ะ” บางทีฉันก็คิดว่าตัวเองพูดมากเกินความจำเป็น -_-;;

คนตรงหน้าทอดมองฉันอย่างเงียบงันอยู่นาน ก่อนที่จะพูดออกมาในที่สุด

“แค่โรคชอบสะสมสิ่งของ ไม่เห็นต้องพยายามกลบเกลื่อนขนาดนั้นเลย”

“ฮะ…!?!

“เป็นก็บอกว่าเป็นแค่นั้นเอง ไม่น่าจะมีอะไรยาก” นัยน์ตาสีดำสนิทของเกล้าเป็นประกายที่เดี๋ยวนะ ทำไมรู้สึกว่าเขากำลังตื่นเต้น? ตื่นเต้นเนี่ยนะ?

“ฉันศึกษาโรคนี้มาสักพักแล้ว รู้สึกว่าเจ๋งดี”

” ฉันเบิกตาโตด้วยความตกใจกับคำตอบที่ได้รับ ไม่ใช่แค่เกล้ารู้จัก แต่เขาไม่มีท่าทีรังเกียจอะไรด้วย! เกินความคาดหมายไปไกลเลยอ่ะ ในความคิดของฉันมีอยู่แค่สองทางเอง คือไม่เขาหลีกหนีฉันก็มีท่าทีเฉยๆ แบบโนสนโนแคร์

แต่หมอนี่ดันชมว่าเจ๋งเนี่ยนะ อะเมซิ่งมาก!

“ทำไมนายถึงสนใจโรคนี้อ่ะ”

“แค่คิดว่าการที่คนๆ หนึ่งผูกพันกับของมากมายได้ขนาดนี้น่านับถือดีนะ” เกล้าพูดค้างไว้แค่นั้นก่อนจะปิดปากเงียบแล้วก้มลงไปทำแผลตรงเข่าให้ เอ้า แล้วนายจะพูดแบบกั๊กๆ ให้ฉันถามต่อทำไมเนี่ย

แต่สุดท้ายฉันก็ถามต่ออยู่ดี “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ”

“ไม่มีอะไรมากหรอก” เกล้าตอบเสียงนิ่งราวกับหมอนี่เป็นน้ำแข็งพูดได้ ชักจะหงุดหงิดแล้วนะ ถามคำตอบคำแบบนี้เนี่ย เดี๋ยวปั๊ดจับไสราดน้ำแดงนมข้นเป็นน้ำแข็งไสกินซะเลย!

แต่เอาเถอะ คาดคั้นไปก็เท่านั้น แค่เขาไม่ได้มีท่าทีแย่ๆ เหมือนที่ฉันนึกกลัวไว้ล่วงหน้าก็ดีมากแล้ว

ไม่สิอันที่จริงฉันรู้สึกดีสุดๆ ไปเลยล่ะ

“เสร็จแล้ว พยายามอย่าให้แผลโดนน้ำ” เกล้าพูดแล้วยืนเต็มความสูงเมื่อทำแผลที่เข่าจนเสร็จ

“ขอบคุณนะ”

“อ่าฮะ” เขาตอบกลับมาด้วยท่าทีสบายๆ

“ว่าแต่นายบุกมาหาถึงบ้านทำไม คงไม่ได้แค่เพื่อบอกว่านายจะเป็นคนประกันความรักให้ฉันหรอกนะ”

“ถ้าแค่นั้นฝากเพลินมาบอกก็ได้” นัยน์ตาคมกริบสบตาฉันนิ่ง “ฉันจะมาตกลงกับเธอว่าเธอจะออกแบบประกันความรักยังไง”

“หมายความว่าไง”

“การประกันความรักคือการส่งคนมาดามใจ มันไม่เหมือนประกันรถที่ส่งรถเข้าอู่ได้” อีกฝ่ายพูดไปด้วยในขณะที่กำลังเดินไปเก็บกล่องปฐมพยาบาลให้ฉันซะเรียบร้อย “แต่ในเมื่อส่งเธอไปซ่อมที่อู่ไม่ได้ เธอก็สามารถออกแบบเองได้ว่าต้องการการดามใจแบบไหน”

“ทำไมโยงมาเรื่องส่งฉันเข้าอู่ได้เนี่ย” ความคิดหมอนี่ช่างยากแท้หยั่งถึงจริงๆ ฉันได้แต่กุมขมับ พยายามทำความเข้าใจประโยคก่อนหน้าแล้วลองถามออกมา “อย่างเช่นถ้าให้นายห้อยหัวตีลังการ้องเพลงให้ฉันฟังอะไรอย่างนี้ก็ได้เหรอ”

“มันก็ต้องอยู่ในขอบเขตที่ฉันทำได้ด้วย”

“อ๋อ”

ฉันนิ่งคิด ชีวิตอันเรียบง่ายของฉันที่วันๆ อยู่กับแต่การคิดถึงสิ่งของสุดรักสุดหวง แค่นั้นฉันก็ฮีลตัวเองโดยไม่ต้องมีใครมาช่วยเลยยังได้ ถึงแม้เขาจะไม่มีปัญหาเรื่องโรคของฉัน แต่จะให้เข้ามาวนเวียนในชีวิตอันแสนสงบสุขของฉันเหรอ

อย่าดีกว่า

“ไม่เป็นไร ฉันดีขึ้นเองได้”

“บอกไว้ก่อนเลยว่าฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อฟังคำปฏิเสธ” เกล้าทำเสียงแข็งจ้องหน้าฉัน เออ ไอ้บ้าอำนาจ ไอ้ญาติฮิตเลอร์!

ครืด ครืด

แต่ในขณะที่กำลังจะเถียงออกไป โทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายก็สั่นเตือนว่ามีสายเข้า เมื่อหยิบขึ้นมาก็พบว่าคนที่โทรมาคือพ่อสุดที่รักของฉันนั่นเอง

“งั้นฉันลงไปรอข้างล่าง เธอคุยเสร็จแล้วค่อยไปตกลงกันต่อ”

“จริงๆ นายกลับบ้านไปเลยก็ได้นะ”

ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไรฉัน เขาเพียงแค่เดินไปเปิดประตูเงียบๆ เงียบจนฉันคิดว่าจะยอมทำตามคำขอ

ทว่า

“เจอกันข้างล่าง”

“เดี๋ยว…!

ปัง

มาอีหรอบนี้จนได้ ให้ตาย!

เออดี! รอจนรากงอกไปเลยย่ะ ฉันจะไม่ลงไปข้างล่างและล็อกประตูขังตัวเองไว้ในนี้ทั้งวันเลยคอยดู!

ฉันว่าตอนนี้กดรับสายก่อนที่พ่อจะวางไปดีกว่า รายนี้ยิ่งไม่ค่อยว่างอยู่ด้วย “พ่อคะ”

[ลูกร้ากก โทรมามีอะไรรึเปล่าจ๊ะ] เสียงอันแสนออดอ้อนดังมาตามสายจนฉันถึงกับยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงใบหน้าแสนใจดีของพ่อ

“พ่อไม่ต้องมาทำเสียงหวานใส่เลยนะ หนูโทรไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ป่านนี้ทำไมเพิ่งโทรกลับคะ”

[ก็พ่อเพิ่งได้หยุดนี่ลูก] พ่อบ่นงุ้งงิ้งราวกับลูกแกะน้อยๆ กำลังสวดมนต์อ้อนวอนต่อหมาป่าซึ่งในที่นี้ก็คือฉัน [ว่าไงลูกสาว มีอะไรเอ่ยย]

ฉันถอนหายใจยาวพลางนึกถึงเรื่องที่จะคุยกับพ่อเมื่ออาทิตย์ก่อน มันเป็นตอนที่เพิ่งเลิกกับแฟนจอมห่วยแตกนั่นน่ะ ในตอนนั้นฉันรู้สึกเคว้งคว้างและสับสนมาก ในหัวเอาแต่โทษโรคที่ตัวเองเป็นจนพาลรู้สึกอยากหายจากโรคนี้ ฉันจำได้ขึ้นใจว่าพ่อเคยเล่าให้ฟังตอนเด็กๆ ว่าย่าเองก็เคยเป็นโรคนี้เหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ตอนพ่อเล่าฉันไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่นักเพราะฉันยังไม่เป็นไง เลยไม่ได้รู้สึกถึงความสำคัญอะไร

เอาตรงๆ มั้ย ถึงจะเป็นโรคนี้แล้วฉันก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าควรจะต้องหายอ่ะ ฉันยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติแม้จะตะกุกตะกักเล็กน้อย และไม่เคยเห็นผลกระทบเลยจนกระทั่งเลิกกับแฟน ซึ่งตอนแรกคิดว่าอยากหายเพราะต้องการเป็นที่ยอมรับนะ แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ อยากหายเพื่อตัวเองมากกว่าค่ะ -.,-

ฉันไปอ่านผลกระทบอย่างรุนแรงจากโรคชอบสะสมฯ มาแล้ว น่ากลัวชะมัดทั้งของหล่นลงมาทับ ไหนจะเชื้อโรคจากของที่กองสุมๆ กัน แถมบางทีอาจจะมีงูเข้ามาอยู่ในบรรดาสิ่งของแสนรักอีกด้วย!

องศาจะไม่ทน!

แต่ติดอยู่อย่างเดียวจริงๆ ถึงแม้ฉันอยากจะหาย สุดท้ายพอเห็นของก็อดเก็บกลับบ้านไม่ได้ทุกที -_-;;

ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ เอาเป็นว่าเพราะฉันอยากรู้ว่าย่าหายยังไงเลยตัดสินใจโทรไปถามพ่อที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดไง “หนูอยากรู้ว่าย่าหายจากโรคที่หนูเป็นยังไงคะ”

[ทำไมเพิ่งนึกอยากหายขึ้นมาล่ะ]

ใช่ ที่บอกว่าพ่อเคยเล่าเรื่องย่าให้ฉันฟังตอนเด็กๆ พ่อเล่าแค่ว่าย่าเป็นโรคและอาการเป็นยังไง ส่วนเรื่องการหายจากโรคนั้น ฉันมัวแต่ห่วงไปเล่นกับเพื่อนไง เลยบอกพ่อว่าค่อยเล่าและลืมจนกระทั่งต้องการอยากจะหายจริงๆ นี่แหละ อ๊าก รู้สึกพลาด!

“มันมีอะไรหลายๆ อย่างทำให้เริ่มอยากหาย ไว้ค่อยเล่ารายละเอียดทีหลังนะพ่อ” ฉันถอนหายใจ “แล้วตกลงย่าหายได้ยังไงคะ”

สิ้นคำถาม ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจจนกระทั่งพ่อเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

[สร้อยย่าของลูกหายได้ด้วยสร้อย]

“สร้อย? สร้อยอะไรคะ”

[สร้อยนี้มีอยู่สองชิ้น อันหนึ่งเป็นรูปเด็กผู้หญิงซึ่งพ่อให้ลูกเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อประมาณสี่ปีที่แล้ว]

“สร้อยเส้นนี้อ่ะนะ!?!

ฉันอุทานกับตัวเอง ตาเบิกโพลงด้วยความตกใจพลางหยิบสร้อยที่สวมอยู่ขึ้นมาดู

สร้อยที่ว่าคือสร้อยเชือกสีดำที่ค่อนข้างเก่า และมีจี้ไม้รูปเด็กผู้หญิงใส่กระโปรงสีสันสดใส แต่ส่วนที่น่าแปลกคือ ตรงกลางลำตัวของเด็กผู้หญิงผมเปียคนนี้ เป็นรูโบ๋รูที่ขนาดใหญ่เบิ้มอย่างกับโดนอุกกาบาตตกใส่

มันประหลาดมากจนฉันงงว่าย่าเอามาจากไหน ลัทธิวูดูอะไรสักอย่างรึเปล่า -_-

แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็อดตื่นเต้นไม่ได้ว่าสิ่งที่ทำให้หายจากโรคมันอยู่กับตัวฉันมาตลอด!!

พีคไปอีก!

[ยังเก็บไว้อยู่ใช่มั้ย สร้อยรูปเด็กผู้หญิง]

“ใส่ไว้อยู่เลยค่ะ เห็นพ่อบอกว่าเป็นของสำคัญของย่า แต่หนูไม่คิดว่ามันจะช่วยให้ท่านหายจากโรคได้ด้วย”

[ตอนนั้นลูกยังไม่ได้เป็นโรค พ่อเลยไม่ได้เล่า ขี้เกียจ]

“แล้วพอเป็นทำไมไม่เล่าล่ะพ่อ” ฉันอ้าปากค้าง

[ลูกเพิ่งเป็นตอนอยู่ม.ห้านี่เนอะ อืม…] พ่อพยายามทบทวนความจำ ท่านเงียบไปนานมากเหมือนกำลังระลึกชาติจนฉันแทบจะหลับ [นั่นสิ แล้วทำไมพ่อไม่บอกอ่ะ สงสัยลืม ฮ่าๆๆ]

“เรื่องสำคัญขนาดนี้ลืมได้ยังไงคะ -_-;;

[ก็ลูกดูมีความสุขดีเวลาอยู่กับสิ่งของพวกนั้น พ่อเลยคิดว่าไม่จำเป็นจะต้องหาย ตราบใดที่มันยังไม่ส่งผลร้ายต่อลูก]

” ฉันนิ่งเงียบเพราะความซึ้งที่พ่อมอบให้ ความรักบริสุทธิ์ที่รักฉันได้อย่างไม่มีเงื่อนไข

แต่ว่าก่อนจะร้องไห้และไม่เป็นอันถามคำถามที่สงสัยต่อ ฉันควรจะวกเข้าเรื่องเดิม

“สร้อยอีกอันนี่คืออะไรคะ”

[สร้อยรูปหัวใจคริสตัลสีทับทิม…] พ่อหัวเราะแฮ่ๆ มาตามสายเมื่อพบถึงความเบ๊อะของตัวเอง [พอดีพ่อเพิ่งหาเจอเลยไม่ได้ให้ไปพร้อมกัน]

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูค่อยไปเอา แล้วสร้อยมันช่วยให้หายได้ไงพ่อ”

[ไม่รู้ ย่าตายก่อนพ่อจะทันได้ถาม]

“พ่อคะ!” เจอคำตอบนี้ไปนี่อยากจะซื้อชุดหมูชาบูมาขอพรศาลพระภูมิที่บ้านให้ช่วยลดความกำปั้นทุบดินของพ่อลงบ้าง เล่นตอบซะฉันไปไม่เป็นเลย (พ่อกับแกก็นิสัยเหมือนกันแหละ =_=)

[เอ้า ก็ใครจะไปรู้ว่าลูกจะเป็นเหมือนย่ากันเล่า ถ้ารู้ก่อน พ่อคงให้ย่าบันทึกเป็นไดอารี่ไว้เลยแหละ]

“โห ไม่เห็นต้องประชดขนาดนั้นเลยอ่ะ” ฉันส่ายหัวยิ้มๆ คิดถึงพ่อจัง พวกเราไม่เจอกันมาเกือบเดือนแล้วนะเนี่ย พ่อเองก็ยุ่งๆ กับงานในขณะที่ฉันวุ่นวายกับการเรียน “ตอนนี้สร้อยรูปหัวใจอยู่ที่บ้านพ่อใช่มั้ยคะ”

[…]

ปลายสายเงียบไปนานมากจนฉันนึกว่าสายหลุด แต่เมื่อมองหน้าจอ เวลาในการสนทนาก็ยังคงเดินอยู่ เอ้า! พ่อหลับในรึไงเนี่ย

“พ่อ” ฉันลองส่งเสียงเรียกออกไป เสียงจากปลายสายที่คลับคล้ายคลับคลาว่าสะดุ้งเฮือกทำให้ฉันเริ่มสงสัย ปกติพ่อจะเงียบไปเวลาท่านมีอะไรปิดบัง เพราะเป็นการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าที่ดีที่สุด

ตอนนี้ฉันมั่นใจแล้วว่าพ่อมีบางอย่างที่ไม่อยากให้ฉันรู้ ดังนั้นต้องคาดคั้น!

“พ่อมีอะไรจะเล่าให้หนูฟังรึเปล่าคะ”

[อะองศา พ่อขอโทษ…]

พ่อส่งเสียงสั่นๆ มาอย่างกับเด็กที่ถูกจับได้ว่าแอบกินลูกกวาดก่อนนอน อาการของพ่อทำให้ฉันใจเต้นด้วยความลุ้นในสิ่งที่ท่านจะพูดออกมา ขอโทษนำมาก่อน สิ่งที่ตามมาดูยังไงๆ ก็ไม่น่าเป็นเรื่องดีเลย

[สร้อย…]

[สร้อยหายไปแล้วองศา]

“พ่อ!!

 

หลังจากพ่อบอกว่าสิ่งที่จะช่วยทำให้ฉันดีขึ้นมันหายไป อาการเจ็บปวดจากบาดแผลทั้งหลายลอยลิ่วปลิวไปตามลมทันที เหลือเพียงแต่ความร้อนรนและหงุดหงิดที่กว่าจะรู้ตัวของสิ่งนั้นก็หายไปแล้ว ดังนั้นฉันจึงรีบเปลี่ยนชุดและเดินลงมาข้างล่างอย่างว่องไว แม้ว่าจะเจ็บแต่มันถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อต้องตามหาของ ปกติของที่สะสมไว้หายไปฉันก็แทบพลิกแผ่นดินหาอยู่แล้ว นี่เล่นเป็นของที่ทำให้หายดีได้ ต่อให้ขาขาดก็จะคลานไปค่ะ!

เมื่อมาถึงข้างล่าง เท้าอีตาเกล้าที่ส่ายดุ๊กดิ๊กเซย์ฮัลโหลทำให้ฉันแทบหัวทิ่มขอบบันได ในขณะที่เจ้าของมันกลับนอนไขว้ขาเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟากลางบ้านอย่างสบายอารมณ์ ผู้ชายคนนี้นี่มันคนจริงเหลือเกิน บอกจะรอก็รอ เฮ้อ

“ฉันมีธุระต้องทำ นายกลับไปได้แล้ว” ฉันทักเกล้าและชี้ไปยังประตูบ้านเพื่อสื่อว่ามาทางไหนก็ให้กลับไปทางนั้น แล้วคิดต่อว่าควรต้องแปะยันต์ไว้หน้าบ้าน มันจะได้เข้ามาไม่ได้ (เขาไม่ใช่ผีนะเธอ -_-)

เมื่อเห็นว่าอีตาหัวดำทำเป็นไม่สนใจ ฉันเลยจิกหัวเขาขึ้นมา เอ่อล้อเล่น จริงๆ ก็แค่ดึงแขนให้ลุกขึ้นนั่งเท่านั้นเอง นั่นแหละ! ฉันดึงเขาให้ลุกขึ้นก่อนจะจัดการกวาดสัมภาระทุกอย่างของตัวเองลงกระเป๋าสะพาย ท่ามกลางสายตางุนงงของผู้ชายตัวโตบนโซฟา

“นั่งนิ่งอะไรอยู่ล่ะ รีบๆ ลุกเลย ฉันต้องออกไปข้างนอกแล้ว” ฉันหันไปเร่งเกล้าให้รีบไถบั้นท้ายออกจากบ้านนี้เสียที จะมานอนขึ้นอืดเป็นศพไร้ญาติที่นี่ไม่ได้!

“เธอจะไปไหน” เกล้าเอ่ยขึ้นหลังจากที่นั่งทำหน้าอึนเกะกะลูกตาฉันอยู่นาน

“ตามหาของ”

           “ไปยังไง”

           “นั่งรถเมล์ เอ๊ะ! แล้วนายจะมาถามให้มากความทำไม ฉันรีบ”

           “เดี๋ยวฉันพาไป สภาพแบบนี้เธอไม่น่าจะไปไหนได้ไกล”

เกล้าลุกขึ้นยืนเต็มความสูง บิดขี้เกียจไปมาเล็กน้อยอย่างสบายใจเฉิบ

“อีกอย่างฉันมีเรื่องต้องตกลงกับเธอ”

           

 

 

<<< Talk >>>

สวัสดีค่า JOlly’ M (จอลลี่เอ็ม) นะคะ หรือจะเรียกว่า จ๋อมก็ได้ จะจอลล่งจอลลี่อะไรก็ตามสบาย เพราะเขินจนชินแล้ว 5555

ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าดีใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนักเขียนหน้าใสปี 9 นี้นะคะ ดังนั้นจึงต้องขอบคุณกันรัวๆ เลยค่ะ ตั้งแต่กรรมการที่เข้ามาอ่านและส่งคอมเมนต์ให้ ฮือ! ขอบคุณพ่อ แม่ พี่น้อง ญาติโกโหติกาทั้งหลายที่คอยเป็นกำลังใจและแรงผลักดันมาตลอด ขอบคุณการสนับสนุนอย่างอบอุ่นจากเหล่าเพื่อนฝูงจอมเกรียนทุกคน ขอบคุณพี่ๆ ทั้งหลายที่คอยให้คำแนะนำและเมาท์กันในยามขาดแคลนสีสันในชีวิต

ส่วนที่จะขาดไม่ได้เลย ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เม้นต์ และโหวตให้ค่ะ ซึ้งใจมากจริงๆ

ดังนั้นขอฝากเกล้ากับองศาไว้ด้วยน้า <3

แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ จุ๊บบ

.. 1 สืบเนื่องจากตอนที่แล้ว ตรง Footnote ด้านล่าง โรคย้ำคิดย้ำทำที่ว่านั้น คือ OCD นะคะ ไม่ใช่ OSD เราพิมพ์ผิด ฮืออ! ขออภัยในความผิดพลาดด้วยค่ะ T_T

.. 2 ติชมได้ตามอัธยาศัย ไม่กัดฮับ -.,-

14 ความคิดเห็น

  • 1
  • 2
  1. #1 (จากตอนที่ 2)
    2017-01-20 07:35:31
    ยัยองศ๊าาา มีความแอบแทะโลมเกล้าอ่ะ55555  ถ้าเป็นชุ้นโดนอุ้มอยู่จะแอบปากุญแจทิ้ง ไขประตูไม่ได้ จะได้ฟินกะอ้อมแขนนานๆ กร๊ากกกก (แอบหื่น)
    เอาจริงๆนี่อยากรู้ว่าในห้องสะสมของนั้นมีอะไรบ้าง มันต้องอลังการมากแน่ๆ (แต่คุณเกล้าสตรองมากค่ะ)
    เอาใจช่วยองศาตามหาสร้อย
    สู้ๆๆกะตอนต่อไป รออ่านนะสาวติ่งงงง😘😘
    #1
  2. #2 winevis (จากตอนที่ 2)
    2017-01-20 08:39:20
    งื้ออออ อิตาเกล้านี่แอบละมุนนะเนี่ย ละก็แอบกวนทีนไม่น้อยเหมือนกัน 555555 โดยรวมชอบมากกก
    อ่านโรคขององศาทีไรนึกถึงตัวเองตลอดเลย ;-; อยากรู้แล้วววว ทำไมถึงหายด้วยสร้อย?
    รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
    ไฟท์ติ้งพี่จ๋อม! 
    #2
  3. #3 Ggee (จากตอนที่ 2)
    2017-01-20 09:53:23
    อยากรู้แล้วว่าจะประกันรักกันยังไงต่อ จะรอติดตามตอนต่อไปนะคะจอลลี่ 

    ปล.ตอนนี้ฟินเฟร่อค่ะว้าย
    #3
  4. #4 Kyoha (จากตอนที่ 2)
    2017-01-20 14:33:16
    องศา... หล่อนจะคูลหรือจะหื่นช่วยเอาสักอย่าง

    ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

    โอยยย ไปไม่ถูกเลย...

    โรคนี้มันติดต่อทางพันธุกรรมเรอะ 5555555

    รออ่านตอนต่อไปนะเจ้าคะ คุณหญิงน้อง
    #4
  5. #5 ImNice_pryn (จากตอนที่ 2)
    2017-01-20 14:52:17
    แอบขำตอนองศาทำเนียนกับเกล้า
    นี่องศาหรือจ๋อมลี่ *โดนตรบ* โทษๆ 5555555
    มีความเกลียดพ่อมาก พ่อแบบ ไม่รู้ไอด้อนโนว์
    มาลงความหวังให้เฉยๆ ละจากไป 555555
    เอฟซีพี่เกล้านะคะ -.,- มาดแมนละเกิลลล
    สู้ๆๆ นะจ๋อมลี่ของพรี่ย.! <3
    #5
  6. #6 (จากตอนที่ 2)
    2017-01-20 15:22:06
    เข้ามาฟินน
    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
    ดีดดิ้น ชอบการอุ้มของเกล้า
    อยากเป็นนางเอก
    ส่วนพ่อนี่แบ๊วได้อี๊กกก
    รอข่าาาแน่นอน
    #6
  7. #7 Kimochii. (จากตอนที่ 2)
    2017-01-20 18:20:05


    ตองแก้ปัญหาได้แล้วนะจิ๋มมมม รอตอนต่อไป ย้ากกกก เกล้ามีเรื่องอะไรอยากจะตกลงเธอตัดตอนซะค้าง โห่
    #7
  8. #8 (จากตอนที่ 2)
    2017-01-20 21:47:22
    โอ๊ยยยย ชอบเกล้า ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ดูหล่อ ดูมีเสน่ห์เวลาพูด อ๊ากๆๆๆๆ อยากรู้จังว่าสร้อยจะทำให้หายได้ยังไง รอตอนต่อไปนะคะ สู้วๆๆ
    #8
  9. #9 Banilla Honie, Karin (จากตอนที่ 2)
    2017-01-21 00:24:31
    จะเม้นท์ให้น้องแต่ขอหน่อย
    @Kimochii ไรท์เค้าชื่อจ๋อมถูกมะ หรือพี่เข้าใจผิดมาตลอด 
    ตกลงจ๋อมหรือจิ๋ม ฮาาาาาาาาา

    นุ้งจ๋อมมม 
    งื้อออออออออ
    หัวใจมีปัญหา ใส่ผ้าขาวม้ามาหาเจ้นะน้องเกล้า
    ฮาาาาาาาาาา
    ชอบความดื้อดึงของนุ้งเกล้า มันทำให้อยากรู้ว่าอะไรคือแรงจูงใจให้เกล้าทำแบบนั้น (หมายถึงจะประกันให้องศาให้ได้อ่ะ)
    เข้าใจองศานะ เวลาที่แบบ...จะทิ้งอะไรสักอย่าง แต่ตัดใจทำไม่ลงเพราะเดี๋ยวต้องใช้ละไม่มีไรงี้
    สู้ๆ นะคะ รอดูตอนหน้าว่าองศาจะแอบแทะเกล้าท่าไหนบ้าง ฮรี้ๆ
    #9
  10. #10 (จากตอนที่ 2)
    2017-01-21 13:07:59
    JLS17

    สวัสดีค้าบ พี่อายเองนะคะ ฝากตัวด้วยนะ จากนี้เราจะเจอกันทุกอาทิตย์ไปจนจบเกมเลย อิอิ วันนี้ขอเม้นรวบสองตอนเลยนะคะน้ององศา เอ้ย น้องจ๋อม

    พี่ชอบพลอตเรื่องน้ีมาก มีความน่ารัก มีความไม่เหมือนใคร น่ารักดีค่ะ ทำให้น่ารักอย่างนี้ตลอดไปเลยนะ

    มุกตลกโอเค ใส่มาในจังหวะที่ถูกต้องไม่มากไปไม่น้อยไป

    พระเอกน่ารัก พี่ชอบ ชอบจนไม่รู้จะเม้นอะไร 5555 คาแรกเตอร์มีความห่ามแต่ละมุน มีความซึนอยู่เล็กน้อย

    นางเอกมีความปัจเจก ชอบเหมือนกัน ชอบการสร้างคาแรกเตอร์นางเอกให้มีมิติอย่างการเอาโรค Hoarding Disorder มาใช้ ไอเดียดีมากๆ ค่ะ

    สำนวนดีเลยค่ะ ไหลลื่น อ่านไม่มีสะดุด มีการดำเนินเรื่องที่กระชับฉับไวแต่ไม่ตัดฉับเกินไป อ่านไปอ่านมาคิดว่าเราน่าจะอายุพอๆ กันเสียด้วยซ้ำ ดูน่าจะอยู่ในวัยมหาลัยปีสี่หรือจบแล้ว 555

    การสะกดคำ ควรสะกดให้ถูก คำไหนไม่แน่ใจเปิดดิกเลย พี่ก็ยังต้องเปิดดิกดูบางคำเวลาไม่แน่ใจจริงๆ แล้วก็เรื่องาษาพูด เช่นคำว่า อ่อว่ะ พี่คิดว่าตั้งใจจะเขียน เหรอวะ ใช่มั้ยคะ จริงๆ ตรงนี้ควรเขียนเป็นาษาเขียนไว้ก่อนนะคะ ถึงจะเป็นประโยคคำพูดก็ตาม ด้วยความที่มันเป็นนิยายเนอะ

    สู้ๆ ค่ะ คงมาตรฐานไว้ แล้วทำให้มันสูงขึ้นเรื่อยๆ นะคะ ทำให้ทุกตอนสนุกในตอนของมัน อ่านทวนหลายๆ รอบ และถ้าเป็นไปได้ก็ทิ้งท้ายให้ดูน่าติดตามต่ออย่างนี้ทุกๆ ตอนเลยนะคะ พยายามเข้า เอาใจช่วยและรออ่านเสมอค่ะ

    #10
  • 1
  • 2

แสดงความคิดเห็น