JOlly' M

[JLS17] Love Assurance ประกันวันนี้ ยกให้ฟรีทั้งหัวใจ

อกหัก รักพัง ไม่ได้ตังค์...แต่ได้ผู้ชาย

0%
VOTE
ตอนก่อนหน้า

ตอนที่ 7/7 :: ‘The Thing’

ประกันครั้งที่ 7

‘The Thing’

 

“ดูวุ่นวายจังเลยนะ

ฉันนิ่งอึ้ง ความคิดสับสนเกิดขึ้นในใจเมื่อได้ยินที่เอิร์ธพูด แต่แล้วเสียงหวานใสก็เอ่ยต่อเมื่อพวกเราทั้งหมดเงียบไป

“ประกันความรักต้องซื้อของอะไรเยอะขนาดนี้เลยเหรอ”

“ฮะ!?!” ฉันร้องออกไปด้วยความงงงวย ตกลงยัยนี่หมายถึงอะไร ด่าฉัน? หรือยังไง? ทำไมต้องเว้นช่วงพูดให้ได้คิดเองเออเองไปสารตะขนาดนี้ยะ

เอิร์ธยิ้ม “วุ่นวายจังเลย โปรเจกต์เนี่ย ดูสิซื้อของเยอะแยะไปหมดเลย”

ฉันก้มมองของที่เต็มทั้งสองมือของฉันและเกล้าที่ถือมากันพะรุงพะรังเข้าบ้าน เปล่า ที่ขนมานี่ไม่ใช่อีบ้าหอบฟางแต่อย่างใด แต่เพราะของของฉันและเกล้ามันอยู่ปนกัน เลยกะว่าจะเอามาแบ่งกันที่นี่ไง ฉันหันไปยิ้มแห้งๆ ให้เอิร์ธที่ยังคงยิ้มให้ โอเคนางไม่ได้หมายถึงฉันที่วุ่นวาย แต่เป็นโปรเจกต์ต่างหาก แหม เล่นซะตกอกตกใจหมดเลย นึกว่าอยู่ดีๆ ก็โดนด่า

เอ่อแต่ฉันไม่เห็นความเกี่ยวข้องเลยว่าเชื่อมไปได้ไงระหว่างซื้อของเยอะกับประกันความรักเนี่ย ยัยนี่มโนหนักมาก -_-

เอาเถอะ ไม่อยากใส่ใจอะไรมากนัก แค่ยัยนี่ไม่ด่าฉันก็โอเคแล้ว

“อ๋อ เธอหมายถึงโปรเจกต์หรอกเหรอ” ฉันถามหน้าซื่อกลับไปเพื่อย้ำให้แน่ใจ

“ใช่สิ” อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงัก “มา ฉันช่วยเอาไปวางให้”

แล้วเธอก็เดินเข้ามาจะแย่งของในมือฉันไปถือ ฉันสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะรีบชักมือหลบ แง้! เอิร์ธหน้าเสียไปเลย ฉันขอโทษนะ อาการของโรคมันไม่เข้าใครออกใคร มันอินดี้อย่างนี้แหละ T_T

ในขณะที่พวกเรายืนนิ่งค้างกันอยู่นานเพราะต่างฝ่ายต่างตกใจ เกล้าจึงเอ่ยขึ้นมาเพื่อจบปัญหานี้เอง

“เอาของมา เดี๋ยวฉันถือไปในห้องนั่งเล่นให้เอง หนักไม่ใช่เหรอ” เขายื่นมือมาตรงหน้า “เธอไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นก่อน ฉันจะขึ้นไปเอาสร้อยมาให้”

ฉันลังเลนิดหน่อยก่อนจะยื่นของให้เขาอย่างว่าง่าย ก็ดีเหมือนกัน ของโคตรหนักเลย ใครซื้อมาฟะ -_-

แล้วพวกเราก็พากันเดินเข้ามานั่งในห้องนั่งเล่นก่อนที่เกล้าจะเดินขึ้นไปเอาสร้อยมาให้ฉัน ทิ้งไว้เพียงฉันที่กำลังนั่งแยกของของตัวเองและเกล้าออก กับเอิร์ธที่นั่งมองฉันอยู่ไม่ห่าง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของเธอฉายแววสงสัยใคร่รู้

“เธอมาทำอะไรที่บ้านเกล้าเหรอ อย่าบอกนะว่าเป็นแฟนหมอนั่นน่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเชิงหยอกล้อ

“มาเอาของอ่ะ”

“สร้อยเหรอ” เอิร์ธยิ้มกว้างเห็นฟันครบทุกซี่มาให้

ฉันมองยัยนี่อย่างเคลือบแคลง นี่เก็บทุกรายละเอียดที่ฉันและเกล้าคุยกันเลยรึไง

“ใช่” ฉันพยักหน้ารับก่อนจะถามกลับไป “แล้วเธอมาทำอะไรเหรอ”

“มารับฟังปัญหาของอีตาเกล้านิดหน่อยน่ะ เรื่องปกติ” เอิร์ธยิ้ม “เรื่องประกันความรักที่เขาไปทำให้เธอ ฉันก็รู้มาจากเกล้านี่แหละ”

“อืม” มิน่าล่ะ นางถึงโพล่งมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ก็กำลังสงสัยอยู่ว่ารู้ได้ยังไง

“เกล้าตั้งใจกับการประกันความรักให้เธอมากเลยนะ”

โห นี่เกล้าตั้งใจทำให้ขนาดนี้เลยเหรอ รู้สึกดีใจนิดๆ แฮะ

แม้จะรู้สึกแปลกๆ ว่าตกลงยัยนี่จะมาดีหรือมาร้าย หรือเป็นแค่คนบ้าไร้สาระเหมือนอีตากลไก แต่เพราะผู้หญิงคนนี้เป็นกุญแจสำคัญที่จะไขปริศนาเกี่ยวกับตัวของเกล้าได้ ดังนั้นฉันจะพยายามตัดส่วนที่เคลือบแคลงใจออกไปแล้วคุยกับคนๆ นี้อย่างระแวดระวังแล้วกัน

และถึงแม้ว่าอยากจะถามคนตรงหน้าออกไปแต่ก็ไม่รู้ว่าพอถามแล้วเธอจะตอบมั้ย ดีไม่ดีอาจบอกเกล้าด้วยซ้ำว่าฉันล้วงความลับจากเธอ เฮ้อรอให้สนิทกันกว่านี้แล้วกันค่อยถาม นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันจะต้องเข้าหาคนอื่นและยอมรับคนอื่นเข้ามาในชีวิตอย่างรวดเร็วขนาดนี้ นี่ถ้าไม่ใช่ว่าต้องสืบเรื่องอีตาเกล้านะ ให้ตายยังไงฉันก็ไม่ขอรู้จักใครเพิ่มดีกว่า วุ่นวายจะตายไป

เอาล่ะ ถึงครั้งนี้จะยังไม่รู้ แต่อย่างน้อยขอให้มีช่องทางติดต่อหน่อยก็แล้วกัน

“รู้มั้ย เราอยู่คณะเดียวกันนะองศา ภาคเดียวกันด้วย” ในขณะที่ฉันกำลังจะขอไลน์คนตรงหน้าไป อยู่ดีๆ เอิร์ธก็พูดขึ้นมาก่อน

“หืม จริงดิ” ฉันอ้าปากค้าง “ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”

“ฉันเคยเห็นเธอบ่อยนะ ฉันชอบนั่งข้างหลังแต่เธอนั่งหน้าสุด แถมเวลาเลิกเรียนก็รีบบึ่งออกไปไม่สนใจใครทั้งนั้น”

“อ๋อ

“แถมเวลาเดินก็ก้มหน้าก้มตาอย่างกับหาเศษเหรียญ เธอเห็นฉันสิแปลก”

ยัยนี่ช่างสังเกตจังนะ จะบอกว่าเป็นสตอกเกอร์ฉันยังเชื่อเลย -_-

“อ๋อ ฮะๆๆ” ฉันยิ้มและเกาหัวแกรกๆ แก้เก้อในความเด๋อของตัวเอง เอิร์ธระบายยิ้มส่งมาให้อย่างน่ารักก่อนจะพูดต่อ

“ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอนะ”

“หือ?”

“เรามาเป็นเพื่อนกันนะ ฉันรู้สึกถูกชะตากับเธอมากเลย” อีกฝ่ายยังคงยิ้มหวานมาให้ ทำให้ฉันยิ้มตามในความน่ารักของคนตรงหน้า เริ่มรู้สึกว่ายัยนี่ก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายอะไร อย่าเพิ่งตัดสินใครดีกว่า “เออนี่ ฉันขอไลน์เธอหน่อยสิ เรียนภาคเดียวกันจะได้สนิทๆ กัน”

“ได้สิ”

แล้วฉันก็ก้มลงกดไอดีไลน์ของตัวเองลงโทรศัพท์เอิร์ธที่ยื่นมาให้ พอแลกไลน์กันเสร็จอีกฝ่ายก็ส่งสติ๊กเกอร์ลายมุ้งมิ้งๆ ที่ดูเหมาะสมกับเจ้าตัวมาให้

“ทักไปแล้ว ยังไงเดี๋ยวคุยกันนะ”

“ได้จ้า”

มีเพื่อนเพิ่มมาก็ดีเหมือนกัน

หวังว่าเราจะเข้ากันได้ดีนะ :)

 

เอิร์ธมีนิสัยขี้อวด

นี่คือสิ่งแรกที่ฉันรู้สึกหลังจากที่คุยกับผู้หญิงคนนี้มาสักพักหนึ่ง พอแลกไลน์กัน นางก็ทักฉันมาชวนคุยนี่นั่นตลอดจนแทบปวดนิ้วในการพิมพ์ตอบทั้งวันทั้งคืน ฮือ จะว่าไงดีล่ะ เมื่อยก็เมื่อย แต่จะให้ไม่ตอบเลยมันไม่ใช่นิสัยฉันอ่ะ ทักมาตอบกลับนี่ถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่งสำหรับฉันเลยนะ

แล้วที่บอกว่าขี้อวดก็คือนางชอบคุยแต่เรื่องของตัวเอง ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง ประสบการณ์โน่นนี่นั่น จนใช้เวลาเพียงไม่กี่วันฉันก็รับรู้เกือบทุกช่วงชีวิตของยัยนี่แล้วแหละ เอาเถอะ บางทีเธออาจจะกำลังหาคนมารับฟังประสบการณ์ตามประสาคนช่างพูด ดีแล้วล่ะ ให้เอิร์ธพูดๆ ไป เดี๋ยวค่อยหลอกถามเรื่องเกล้าตอนนางกำลังเล่าเพลินๆ ก็ได้ -.,-

แต่นั่นแหละ การที่เราได้คุยกันเกือบตลอดเวลาทำให้ฉันเริ่มเปิดใจมากขึ้นและพบว่าคนๆ นี้ไม่ได้เลวร้ายอะไร นางแค่ชอบอวดนู่นนี่นั่นโดยไม่รู้ตัว ฉันเลยรู้สึกแปลกๆ ในตอนแรกที่เจอกันนั่นเอง ดังนั้นเมื่อพบว่านางไม่ได้แย่ พวกเราจึงใช้เวลาเพียงไม่นานก็สนิทกันมากขึ้น อาจเพราะมีนิสัยคล้ายๆ กัน ชอบโน่นชอบนี่เหมือนกัน

ทว่าที่ฉันสงสัยอย่างหนึ่ง คือสายสวยอย่างเอิร์ธ นิสัยเข้ากับคนง่ายอย่างนี้ กลับไม่มีเพื่อนเลยสักคน

แต่เอิร์ธเคยเล่าว่าไปแข่งยิมนาสติกที่ต่างประเทศบ่อยๆ ทำให้เธอไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนคนอื่นๆ เท่าไหร่ เห็นว่าซ้อมหนักด้วยนี่นา

โอเค ฉันจะเป็นเพื่อนกับยัยนี่ก็ได้ -_-

วันนี้เอิร์ธนัดฉันมาห้องสมุดคณะ เพราะจะเอาเลกเชอร์วิชาที่ฉันขาดเรียนไปเมื่อสองสามวันก่อนมาให้ ที่หยุดเรียนนี่ไม่ได้มีธุระปะปังอะไรที่ไหนนะคะ นั่งชื่นชมสิ่งของตัวเองอยู่ ลูบๆ คลำๆ อยู่นานสองนานตั้งแต่เก้าโมง ยันสิบเอ็ดโมงครึ่งก็ยังรู้สึกไม่พอเลยไม่ไปเรียนซะเลย ทำไงได้ ฉันเลิกเรียนเที่ยง จะไปก็กลัวโดนอาจารย์ด่าหัวเอา -_-;;

อีกอย่างฉันมีเพื่อนที่แสนดีอยู่ทั้งคน ฝากนางเลกเชอร์ อิๆ -.,- (เด็กดีไม่ควรทำเป็นแบบอย่าง)

เมื่อเดินเข้ามาในห้องสมุด แอร์เย็นฉ่ำกับกลิ่นหนังสือก็เข้ามาในโสตประสาท ฉันยืนสูดลมหายใจสักพักจนพอใจก็เดินตรงไปยันซอกตู้หนังสือที่มีโต๊ะสีขาวสะอาดตาและเก้าอี้สีเดียวกันตั้งไว้ ยัยเอิร์ธที่ใส่แว่นสายตานั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะยิ้มให้เมื่อเห็นฉันเดินไปหา

“ไปไหนมาจ๊ะ ทำไมไม่มาเรียน หืม?” เอิร์ธเอ่ยปากถาม

“เอ่อไม่สบายอ่ะ ท้องเสีย” เพราะยัยเอิร์ธยังไม่รู้ว่าฉันเป็นโรค และฉันยังไม่พร้อมที่จะบอกเลยได้แต่แก้ตัวน้ำขุ่นๆ ไปก่อน อีกฝ่ายทำสีหน้าสงสารจับจิตจับใจก่อนจะยื่นสมุดเลกเชอร์มาให้

“อ่ะนี่ ของแก” พวกเราเพิ่งเปลี่ยนสรรพนามกันเมื่อคืน เพราะยัยเอิร์ธบอกว่าจะได้ดูสนิทกัน ฉันเลยได้แต่เออๆ ออๆ ตามน้ำไปเพราะเห็นว่าไม่ได้เสียหายอะไร

ดีซะอีก ได้เพื่อนเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง

“ขอบใจมากน้า”

“ยินดีเลยยย” คนตรงหน้าลากเสียงอย่างน่ารัก ก่อนที่เธอจะจ้องหน้าฉันนิ่งๆ และพูดออกมา

“เธอมีเรื่องอะไรพึ่งฉันได้เสมอนะ” อีกฝ่ายยิ้มใส่ฉันที่ทำหน้างงๆ ให้ “ฉันเข้าใจว่าสิ่งที่เธอเป็นอยู่มันลำบากขนาดไหน”

“นี่เธอรู้?” ฉันครางออกมา

“ขอโทษนะ ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ เธอคงไม่อยากให้ใครรู้หรอก” เอิร์ธทำหน้าสลดลงอย่างน่าสงสารราวกับกำลังบอกว่าเธอรู้สึกเสียใจจริงๆ “เธออาจจะสงสัยว่าฉันรู้ได้ยังไงจริงๆ เกล้าไม่ได้ตั้งใจจะบอกฉันหรอก”

“เกล้าบอกเธอเหรอ

“แต่เกล้าเป็นกังวลเรื่องประกันความรักมากๆ เธออย่าโกรธเกล้าเลยนะ”

“ฉันเป็นคนซักไซ้เขาเองแหละ เขาไม่ได้มีเจตนาจะเปิดเผยเรื่องโรคของเธอเลยนะ” เอิร์ธยิ้มอ่อนโยนมาให้ “ฉันคิดว่าเธอเป็นเพื่อนของฉันคนหนึ่งนะ อยากให้เธอเลิกกังวลว่าฉันจะรับตัวตนเธอไม่ได้”

“ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอกองศา” อีกฝ่ายสบตาฉันด้วยความจริงจังราวกับกำลังอ้อนวอนให้ฉันเชื่อใจ “ฉันเองก็เหมือนกัน

“ขอบคุณนะ” ฉันพูดได้แค่นี้และก้มหน้าลงซ่อนน้ำตาด้วยความซึ้ง การที่เธอพูดมาแบบนี้คล้ายๆ กับว่าได้ทำลายกำแพงในใจของฉันได้ ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันไว้ใจยัยนี่ได้

เอิร์ธยิ้มรับพลางพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “เออ วันนี้อาจารย์วีระสั่งงานนะ ส่งอาทิตย์หน้า”

“งานอะไรเหรอ”

“วาดภาพเหมือน ในธีม แรงบันดาลใจอ่ะ”

ฉันถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ โอเคฉันชอบวาดรูป มากๆ ด้วย แต่กับอาจารย์คนนี้เวลาวาดทีต้องเล่นใหญ่ตลอด ไม่ว่าจะเทคนิคต่างๆ ในการวาดรูป ไหนจะธีมของเรื่อง โอ๊ยแค่คิดก็เวียนหัวแล้ว

“แกคิดไว้ยังว่าจะวาดอะไร” ฉันถาม

เอิร์ธยิ้มมุมปากก่อนจะตอบ “หมาที่บ้าน ฉันจะจับมันใส่ชุดซานตาคลอส ฉลองคริสต์มาสในหน้าร้อนนี่แหละ”

“เอิ่ม มันจะไม่ดิ้นเหรอ กว่าจะวาดเสร็จ”

“ล่ามโซ่ไว้สิ”

“แกล้อเล่นใช่มั้ย” ฉันอ้าปากค้างกับคำตอบอันซาดิสม์ของอีกฝ่าย

“เออ นึกว่าฉันจะทำจริงๆ รึไง -_-

“แง้! แล้วฉันเอารูปอะไรดีอ่ะ”

“ค่อยๆ คิดไป ขออ่านหนังสือก่อน” แล้วนางก็ก้มหน้าก้มตาอ่านตามเดิม สงสัยเครียด ช่วงนี้สอบ ปล่อยนางไป

เมื่อยัยนี่เทฉัน ฉันเลยนั่งคิดให้สับสนไปเรื่อยว่าจะเอารูปอะไรดี แรงบันดาลใจมีอยู่ทุกที่ขนาดนี้ นี่จึงเป็นห้วข้อที่กว้างมากจนฉันคิดไม่ตก ฮือ! อีกสามวันแค่นั่งคิดว่าจะวาดอะไรก็หมดแล้วมั้ง เห็นใจคนที่ตัดสินใจเลือกอะไรยากแบบฉันบ้างดิ TOT

หรือว่าจะวาดสิ่งของดีนะ อืมน่าสน แรงบันดาลใจก็อาจเป็นของพวกนั้นที่ทำให้ฉันใช้ชีวิตต่อไปได้ บลาๆ

แต่แล้วสายตาฉันกลับเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเลยไปด้านหลังยัยเอิร์ธ

รูปวาดฝาผนัง

ว้าว! เซ็กซี่ขยี้ไปยันรูขุมขนที่สุด! มันเป็นรูปวาดที่ออกแนวอีโรติกหน่อยๆ เป็นภาพผู้ชายในยุคกรีกที่เปลือยอกอันแสนล่ำและกล้ามแขนที่น่ากัด เขายืนด้วยท่วงท่าที่ดูแข็งแรงและให้ความรู้สึกน่าหลงใหลและเย้ายวนไปในที

ชักน่าสนใจแล้วสิ

หมายถึงผู้ชายในชุดกรีกโบราณอ่ะ เท่ดี ฉันชอบ

กรี๊ดดด!! ฉันรู้แล้วว่าจะเอาธีมอะไร

พอนึกได้ฉันก็ยิ้มกับตัวเองอย่างอารมณ์ดีพลางควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายเพื่อกดโทรไปหาเป้าหมายที่จะเอามาเป็นแบบ แน่นอนว่าจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก

อีตาเกล้า!

หน้าหมอนี่เหมาะกับกรีกสุดแล้ว หุ่นก็น่าจะเข้าท่าอยู่ไม่หยอก ถึงฉันจะไม่เคยเห็นก็เถอะ

นี่ไงอีกเหตุผลที่ฉันต้องลากเขามาให้ได้ จะให้เปลือยอกให้สาสมเลยคอยดู -.,-!

แล้วถ้าไม่ยอมเป็นแบบให้ ฉันก็ยังมีตัวประกันเป็นลิสต์อยู่นะ โฮะๆๆ ฉันนี่ฉลาดจัง คิดได้ไงเนี่ย

ว่าแล้วก็โทรเลยดีกว่า แล้วพอรอสายสักพักอีกฝ่ายก็กดรับ

[ว่าไง] อีตาหัวดำรับด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เย็นๆ อันเป็นเอกลักษณ์ท่ามกลางเสียงดังวุ่นวายภายนอก

“นายอยู่ไหนอ่ะ”

[อยู่คณะ ฉันเพิ่งเลิกเรียน]

“นายมีเรียนต่อมั้ย”

[ไม่มีแล้ว เธอมีอะไรรึเปล่า]

เสียงปลายสายงัวเงียเล็กน้อย แต่ฟังผ่านโทรศัพท์มันช่างเซ็กซี่ซะไม่มี นี่ไง! ฉันคิดไม่ผิดที่ยกให้เกล้าเป็นพ่อหนุ่มกรีกแสนเย้ายวนของฉัน -.,-

“เย็นนี้สนใจทำลิสต์สิบข้อของเรามั้ย”

ปลายสายเงียบไปสักพักก่อนจะตอบกลับมา [ข้อไหน]

“เป็นแบบให้ฉันวาดรูปหน่อย ข้อสี่” ฉันตอบด้วยเสียงเริงร่า “ฉันมีงานที่ต้องส่งด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยไง”

[ก็ได้ ตามใจเธอ แต่ไม่ขอเป็นอะไรพิเรนทร์ๆ นะ ฉันกลัวใจเธอ]

“ไม่หรอกน่า นี่นายเห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย” ฉันโวยวายกลบเกลื่อน หึๆ รอดูแล้วกันพ่อหนุ่มเกล้าจ๋า “แล้วจะมาตอนไหน”

[เดี๋ยวไปหาเลยก็ได้ ไม่ได้จะไปไหนอยู่ละ เธอเลิกเรียนยัง]

“อันที่จริงไม่ได้เรียน แต่นายมาเลย ฉันอยู่ห้องสมุดคณะ”

[ออกมารอหน้าคณะเธอเลย เดี๋ยวขับรถไปรับ]

“ได้ค่า”

แล้วหมอนี่ก็ตัดสายไป ฉันจึงเก็บของเพื่อจะไปรอสารถีส่วนตัวมารับ ยัยเอิร์ธที่นั่งมองฉันมาสักพักจึงเอ่ยถามขึ้น

“นัดใครไว้เหรอ เกล้า?”

“โห เดาถูกขนาดนี้นี่แอบดักฟังโทรศัพท์ฉันป่ะเนี่ย”

“จะบ้ารึไง ฉันแค่วิเคราะห์จากไดอะล็อกที่พวกแกคุยกัน รู้เลยว่าอีตานั่นต้องตอบมาสั้นๆ เรียบง่าย และถามคำตอบคำแน่ๆ”

ฉันมองหน้าเอิร์ธ แม้คำพูดจะฟังดูธรรมดาแต่มันกลับแฝงความนัยอะไรไว้

บอกแล้วไงยัยนี่เป็นคนชอบอวด

โดยเฉพาะอวดเรื่องที่ตัวเองรู้หรือสิ่งที่คิดว่าเกล้าเป็น

จริงๆ เขาก็ไม่ขนาดนั้นนะ แต่เอาเถอะ คิดว่าตัวเองคิดถูกก็ตามสบายเลย

เอิร์ธจ้องหน้าฉันสักพักก่อนที่เสียงหวานใสจะเอ่ยขึ้น

“องศา”

“หือ?”

“ฉันมีเรื่องอยากจะเตือนเธอ” น้ำเสียงของคนตรงหน้าจริงจังขึ้นจนฉันต้องนั่งหลังตรงด้วยความลุ้นและตั้งใจฟังในสิ่งที่ยัยนี่จะพูด

“ถึงเกล้าจะใจดี แต่เธอต้องแยกให้ออกระหว่างสิ่งที่เขาตั้งใจทำให้จริงๆ หรือที่ทำไปเพราะต้องทำประกัน”

“ในฐานะที่ฉันเป็นห่วงเธอ ฉันจะเตือนให้เธอระวังความรู้สึกตัวเองดีๆ นะ เธอก็น่าจะรู้ว่าเกล้าเป็นคนที่ไม่อยากผูกพันกับใคร” เอิร์ธพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม

“เขาคิดแค่เรื่องทำประกันเท่านั้นแหละ”

 

พอคุยกับเอิร์ธเสร็จฉันก็เดินมารอเกล้าที่หน้าคณะอย่างล่องลอยพลางคิดตามสิ่งที่เอิร์ธพูด

ถ้าเป็นแบบนั้นจริง สิ่งไหนบ้างที่เขาทำไปโดยไม่เอาเรื่องประกันความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง ยอมรับเลยว่าสับสน เพราะเกล้าไม่ได้ให้ความมั่นคงในจิตใจกับฉันเลย โอเคมันมีบ้างรู้สึกได้เข้าใกล้กันมากขึ้น แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะผลักฉันออกมาอีกเมื่อไหร่

เลิกคิดดีกว่า ยังไงฉันก็ได้ประโยชน์จากการประกันอยู่ดีแหละ ยัยเอิร์ธนี่ทำให้คิดมากจริงๆ -_-

ปิ๊น!

เสียงบีบแตรทำให้ฉันสะดุ้งหลุดออกมาจากภวังค์ของตัวเอง เมื่อมองไปก็เก็นอีตาเกล้าเลื่อนกระจกรถลงพลางกวักมือเรียกราวกับฉันเป็นหมา เดี๋ยวปั๊ดเลียหน้าเลย!

“ไปบ้านเธอเลยมั้ย” เกล้ายิ้มมุมปากนิดๆ เพื่อทักทาย ก่อนจะถามขึ้น

“ให้ฉันคาดเข็มขัดก่อนได้มั้ยล่ะ ใจเย็นๆ นะ” ฉันทำหน้าเซ็งๆ ใส่ในความรีบของเจ้าของรถ ก่อนจะตอบ

“ยังไม่กลับบ้าน ฉันสั่งของไว้ เขานัดรับที่ห้าง C อ่ะ พาไปหน่อย”

“โห ไกลมาก ไปสั่งของอะไรไว้แถวนั้น”

“น่านะ ฉันจะไปซื้ออุปกรณ์วาดรูปด้วย”

“ก็ได้ๆ เธอนี่วุ่นวายจริงๆ เลย” แม้ว่าเจ้าตัวจะบ่นพลางส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แต่สุดท้ายก็ยอมตกลงพาไปอยู่ดี

นี่ทำให้ฉันคิดว่า

สิ่งที่ยัยเอิร์ธพูดมาจะเชื่อใจได้มั้ยนะ

 

ห้าง C

พวกเราซื้อของกันเสร็จแล้วด้วยการหอบเต็มสองมือเหมือนเดิม อ๊ะๆ ฉันไม่ได้ซื้อเผื่อนะ (แม้ว่าในใจจะกรีดร้องอยากซื้อเผื่อไว้ก็ตาม) เพราะอีตาเกล้ามีมาตรการให้ฉันจดลิสต์ก่อนจะมาซื้อของทุกครั้งเพื่อป้องกันการซื้อเผื่อของฉัน และของทั้งหมดที่ถือมานี่คือของในลิสต์ทั้งหมด และแอบมีตอดเล็กตอดน้อยเอาขนมลงรถเข็นตอนเกล้าเผลอบ้าง แต่ฉันรู้ว่าหมอนี่รู้แหละ เขาแค่หยวนๆ ให้เฉยๆ ใช่ มันต้องแบบนี้สิ จะให้หักดิบไม่ซื้อเผื่อตามนิสัยไปเลยไม่ได้ -.,-

ตอนนี้พวกเรากำลังเดินตามหาร้านที่ฉันสั่งของเอาไว้ เราเดินไปเรื่อยๆ ตามถนน ผู้คนมากมายเบียดเสียดเข้ามา แน่นอนว่าตัวฉันสั่นเกร็งอีกครั้ง และลมหายใจเริ่มขาดห้วง

โฟกัสแค่ฉัน จำกัดวงความคิดของเธอ

แต่แล้วคำพูดและน้ำเสียงที่อ่อนโยนราวกับจะช่วยชโลมจิตใจ อีกทั้งนัยน์ตาสีดำสนิทที่แสนดึงดูดก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ทำให้ฉันได้สติและพยายามโฟกัสไปที่ผู้ชายแผ่นหลังกว้างๆ ที่เดินนำหน้าอยู่

“นี่” ฉันส่งเสียงเรียกเขา

“หืม?”

“ฉันขอจับมือหน่อยได้มั้ย” เกล้านิ่งไปเมื่อได้ยินคำนี้ แต่พอสังเกตเห็นท่าทีตื่นๆ ของฉันเขาเลยเข้าใจก่อนจะพยักหน้าแล้วเป็นฝ่ายเดินกลับมาหาเองและกุมมือฉันไว้

ตึกตักๆ

เสียงหัวใจพลันเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ราวกับสัมผัสอบอุ่นวิ่งเข้ามายังหัวใจฉันโดยตรง

“นายเหมือนเป็นยารักษาโรคของฉันเลยอ่ะ ถ้าไม่มีนายแล้วฉันจะมาเดินที่คนเยอะๆ แบบนี้คนเดียวได้มั้ยเนี่ย”

“เดี๋ยวเธอก็หาย เชื่อสิว่าต้องหาย”

“นั่นสิเนอะ” ฉันยิ้มรับคำ แล้วพวกเราก็เดินขนาบข้างกันเพื่อตามหาร้านนั้นต่อท่ามกลางสายตาของหลายๆ คนที่จ้องมองมา ฉันรู้ว่ามันน่าอิจฉาที่ได้แตะเนื้อต้องตัวผู้ชายหล่อขนาดนี้ แต่ถ้ารู้ว่าเป็นโรคทุกคนคงจะเปลี่ยนความคิดกันหมดแน่ๆ

ถือเป็นความโชคดีในความโชคร้ายได้มั้ยเนี่ย -_-;;

และแล้วพวกเราก็เดินมาถึงร้านฉันสั่งของไว้ ส่วนอีตาเกล้าไปร้านข้างๆ เพื่อหาซื้อซีดีเพลง ฉันเลยต้องจำใจปล่อยมืออันนุ่มนิ่มนี้ไป แล้วเดินตรงดิ่งเข้าไปหาเจ้าของร้าน

ขออุบอิบไว้ก่อนว่าฉันสั่งอะไรไป เดี๋ยวค่อยบอกตอนถึงเวลาอีกทีนะ อิๆ -.,-

“มาเอาของที่นัดรับไว้ค่ะ” ฉันเดินยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าไปหาเจ้าของร้าน

อีกฝ่ายยิ้มใจดีกลับมา “ขอทราบชื่อลูกค้าด้วยค่ะ”

“องศาค่ะ”

“สักครู่นะคะ” เจ้าของร้านเดินไปหยิบของหลังร้านสักพักก็เดินเอาของมาให้ฉัน สิ่งของขนาดพอดีมือถูกเก็บใส่กล่องสีขาวอย่างประณีตและเรียบหรู ก่อนที่เธอจะหยิบใส่ถุงแล้วยื่นมาให้ฉันก่อนจะยื่นเอกสารเพื่อเป็นหลักฐานการเซ็นรับ เมื่อฉันดูจนแน่ใจว่าเป็นของของตัวเองจึงเซ็นลงไป

“สร้อยสวยดีนะคะ”

“คะ?” ฉันทำหน้างงๆ กลับไป

“สร้อยคอน่ะค่ะ ตอนลูกค้าก้มลงมาเซ็น สร้อยมันหลุดออกมาจากเสื้อ” เจ้าของร้านยิ้ม

“อ๋อ ค่ะ” ฉันยิ้มแห้งๆ “มันดูแปลกๆ มั้ยคะ”

“ก็ไม่นะคะ ฉันเคยเห็นสร้อยแบบนี้มาก่อน”

“ว่าไงนะคะ!?!

ประโยคนี้ของเจ้าของร้านทำให้ฉันตาโตด้วยความตกใจและถามกลับไปเสียงดังลั่นจนคนสองสามคนในร้านหันมามอง แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจ ตอนนี้กำลังตื่นเต้นกับเรื่องที่คนตรงหน้าพูดมาอย่างเดียวเลยเนี่ย!

“เคยมีคนสั่งลุงของฉันทำสร้อยแบบนี้อ่ะค่ะ ฉันมั่นใจว่ามีชิ้นเดียวในโลก” เธอยิ้ม “ขอดูหน่อยได้มั้ยคะ”

“เอ่อ

“ฉันจะระมัดระวังอย่างดีเลย แค่ฉันเห็นมันแล้วคิดถึงลุงขึ้นมาน่ะค่ะ”

“ก็ได้ค่ะ” ฉันถอดสร้อยให้เธออย่างหวงแหน อีกฝ่ายรับไปด้วยความทะนุถนอม ใบหน้าของเธออ่อนโยนขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ

อืมแค่เห็นสร้อยที่ลุงที่เธอรักทำขึ้นมา มันทำให้รู้สึกอบอุ่นได้ขนาดนี้เลยเหรอ

ทำไมฉันมีของตั้งมากมายถึงไม่เห็นรู้สึกอย่างนั้นบ้างเลย

“แล้วตอนนี้ลุงของคุณอยู่ที่ไหนเหรอคะ พอจะบอกหน่อยได้มั้ย” ฉันสลัดอาการฟุ้งซ่านก่อนจะถามต่อ

“ลุงของฉันเสียไปแล้วค่ะ” นัยน์ตาของอีกฝ่ายทอแสงอ่อน เจือปนด้วยความเศร้าจนฉันแทบจะเข้าไปกอด

“เสียใจด้วยนะคะ”

“ขอบคุณมากนะคะ” ผู้หญิงตรงหน้าระบายยิ้มออกมาประกอบคำพูด ฉันจึงรีบถามต่อด้วยความตื่นเต้น

“แล้วพอมีข้อมูลเพิ่มเติมอะไรเกี่ยวกับสร้อยเส้นนี้บ้างมั้ยคะ มันสำคัญกับฉันมากๆ”

“รู้สึกว่าสร้อยเส้นนี้ลุงจะร่วมกันทำขึ้นมากับเพื่อนอีกคนของท่านน่ะค่ะ”

“จริงเหรอ! แล้วฉันจะไปหาคนๆ นั้นได้ที่ไหนคะ” นัยน์ตาของฉันเบิกกว้างด้วยความตกใจ หัวใจเต้นแรงเมื่อรู้สึกถึงความหวัง

“ฉันไม่แน่ใจ เดี๋ยวรอแม่กลับมาแล้วจะถามให้นะคะ”

“อีกนานมั้ยคะกว่าแม่คุณจะมา เผื่อฉันจะอยู่ถามด้วยตัวเอง”

“แม่ไปต่างจังหวัดค่ะ อีกสองสามวันถึงจะกลับ” อีกฝ่ายยิ้ม “แล้วที่นั่นก็ไม่มีทั้งสัญญาณโทรศัพท์กับสัญญาณอินเทอร์เน็ตเลย คงต้องรอท่านกลับมาอย่างเดียวเลยค่ะ”

“เหรอคะ งั้นช่วยโทรมาเบอร์นี้หน่อยได้มั้ย ตอนที่แม่คุณกลับมาแล้ว”

“ได้เลยค่ะ”

“ฉันจะรอนะคะ”

พอขอบคุณเสร็จฉันก็ยิ้มให้เจ้าของร้านอย่างจริงใจ พลางเก็บของใส่กระเป๋าสะพายและเดินออกจากร้านมาอย่างเร่งรีบเพื่อไปหาร่างสูงๆ หัวดำๆ ฉันปรี่เข้าไปหาจนอีกฝ่ายที่กำลังยืนเหม่อมองไปเรื่อยเปื่อยราวกับคนเมากัญชาสะดุ้งเบาๆ ฉันรีบพูดใส่เกล้าด้วยความตื่นเต้น

“ฉันได้เบาะแสเรื่องสร้อยมาเพิ่มแล้ว!

“จริงเหรอ ว่ายังไงบ้าง” น้ำเสียงเขาดูตื่นเต้นขึ้นมานิดหนึ่ง แต่หน้าตาก็ยังคงมึนๆ งงๆ เหมือนเดิม

“เจ้าของร้านรู้จักกับคนที่ทำสร้อยเส้นนี้”

“แล้วคนทำสร้อยจะรู้เรื่องเหรอ อาจจะแค่ทำเฉยๆ ก็ได้”

อีตานี่หนิ จะขัดทุกเรื่องเลยใช่มั้ย -_-

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็ยังมีความหวังนะ”

“งั้นถ้ารู้ที่อยู่แล้วก็บอกมา เดี๋ยวฉันพาไปเอง”

“โหย ขอบคุณมาก ประหยัดค่าแท็กซี่ได้เยอะอยู่” ฉันยิ้มกับความใจดีของคนตรงหน้า อีกฝ่ายก็ยิ้มตอบแหละ แต่พอได้ยินว่าฉันงกค่าแท็กซี่เขาก็ตีหน้านิ่งตามเดิม อะไรฉันแค่เล่นมุกนะ ไม่ได้งกขนาดนั้น -.,-

“นี่ไม่คิดจะเกรงใจหน่อยเหรอ” เขาถามอย่างไม่จริงจัง

“ข้อแลกเปลี่ยนที่ฉันต้องยอมให้นายประกันความรักไง มันเหนื่อยนะ”

“คนที่เหนื่อยต้องเป็นฉันนี่ เธอมีแต่ได้กับได้”

ฉันยิ้มจนตาหยีเพื่อจะกวนประสาทอีกฝ่าย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเมื่อรู้ว่าเกล้ากำลังจะเทศนาอะไรฉันอีก

“ฉันหิว เราแวะหาอะไรกินก่อนมั้ย”

“เธออยากกินอะไร”

“เดินดูไปเรื่อยๆ ก่อนละกัน”

เกล้าพยักหน้ารับก่อนที่จะพากันเดินออกจากหน้าร้านนั้น ในขณะที่ฉันพยายามมองหาร้านรวงต่างๆ ไปเรื่อย เราเดินกันมาไม่นานฉันก็รู้สึกสะดุดตากับร้านขายก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟชื่อดังร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านที่ตกแต่งด้วยสไตล์หวานๆ ทาสีฟ้าพาสเทลสลับกับสีครีมและมีตัวการ์ตูนแปะไว้ประปราย

มันเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวที่พิลึกที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา แต่นี่แหละคือจุดขายของร้านนี้ น่าลองอยู่นะ

“ร้านนี้ก็ได้” ฉันชี้ อีตาเกล้ามีสีหน้าหวาดผวาเมื่อเห็นเต็มๆ ตา เอาน่าถึงแม้มันจะไม่เข้ากับหน้านายแต่พอได้ลองแล้วอาจจะรู้รสนิยมตัวเองก็ได้นะ ผู้ชายกับสีพาสเทลก็น่ารักไม่หยอก -..-

เมื่อพวกเราเข้าไปนั่งและสั่งก๋วยเตี๋ยวเรียบร้อยแล้ว ฉันเริ่มหิวจนใส่กิ่วเมื่อได้กลิ่นน้ำซุปหอมๆ ลอยมาแตะจมูกในขณะที่อีตาเกล้ามองโน่นมองนี่รอบๆ ร้านไปเรื่อยเปื่อย ฉันลอบมองท่าทางของเขาเป็นระยะอย่างไม่วางตาด้วยความเพลิดเพลิน จนกระทั่งผู้ชายตรงหน้าหันไปเจอกรอบรูปครอบครัว ซึ่งน่าจะเป็นครอบครัวของเจ้าของร้านสีพาสเทลแห่งนี้ ทันใดนั้นนัยน์ตาของเขาเบิกกว้างและช็อกแน่นิ่งจนฉันตกใจ

มาอีกแล้วอาการแบบนี้

ต่อมาไม่นาน เหมือนเกล้าจะตั้งสติได้ เขาจึงพูดขึ้นลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“ฉันไม่กินแล้ว เราไปจากที่นี่กันเถอะ”

“จะบ้ารึไง อาหารก็สั่งไว้แล้ว” ฉันขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจในท่าทีของอีกฝ่าย “แล้วตอนนี้ฉันก็หิวมากด้วย”

“ไปกินร้านอื่นก็ได้”

“นี่นายเป็นอะไรอีกเนี่ย”

เกล้าไม่ตอบ เขามีท่าทีตื่นตระหนกเล็กน้อยก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินออกมาแล้ววางแบงก์พันลงบนโต๊ะ ก่อนที่เขาจะฉุดมือฉันขึ้น มือของเกล้าชื้นเหงื่อ ชีพจรของเขาเต้นเร็วจนฉันสัมผัสได้

ชัดเลย อาการเดียวกับตอนไปดูหนัง

ผีเข้าอีกแล้ว!

ผู้ชายขายาวๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่งลากฉันหลบหลีกผู้คนที่เบียดเสียดในร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งนี้ เขาเดินไวมากจนฉันตามแทบไม่ทัน แต่ก่อนที่กำลังจะพ้นจากเขตร้าน ฉันก็ชนเข้ากับเด็กผู้ชายคนหนึ่งทำให้เด็กคนนั้นกระเด็นไปอีกทาง

“โอ๊ย!” เด็กน้อยร้องขึ้นทันทีที่ล้มไปนั่งกันจ้ำเบ้ากับพื้น เกล้าเองเมื่อเห็นว่าฉันชนคนอื่นจึงเดินเข้ามาหา และเมื่อเขาเดินมาถึง ตัวของเขาก็แข็งทื่อมากกว่าเดิมก่อนที่เกล้าจะพยายามลากแขนฉันให้เดินตามไป แต่ฉันก็ขืนตัวไว้เพราะจะไปดูอาการของเด็กคนนี้

“นายจะรีบไปไหน น้องล้มเนี่ยเห็นมั้ย” ฉันหันไปบ่นใส่เขา แต่เกล้ากลับมีสีหน้านิ่งสนิทและมองดูเด็กตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา ฉันไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อนเลย

นัยน์ตาของเกล้าจ้องเขม็งไปยังเด็กน้อยราวกับจะกินเลือดกินเนื้อจนฉันเสียวสันหลังแทน

“พีนัท เป็นอะไรรึเปล่าลูก!!” แล้วอยู่ดีๆ ก็มีคุณป้ารูปร่างอวบคนหนึ่งวิ่งผ่านหน้าฉันไป และเข้าไปประคองเด็กที่ฉันชนเมื่อครู่นี้ หล่อนกำลังจะเงยหน้ามาถามฉัน ท่าทีไม่ได้หาเรื่องอะไร แต่เมื่อหล่อนสบตากับเกล้า ดวงตาของป้าแกก็เบิกกว้างก่อนที่จะเรียกชื่อเขาออกมาอย่างตกใจสุดขีด

“เกล้า…!

นี่พวกเขารู้จักกันเหรอ อะไรอีกล่ะเนี่ย!

ร่างสูงไม่ตอบ เขาทำเพียงแค่เบือนหน้าหนีและกำมือแน่น ฉันได้แต่ยืนงงและพยายามอ่านสถานการณ์ตรงหน้า แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก รู้แค่ว่าเกล้าดูไม่ได้ชื่นชอบผู้หญิงที่มีท่าทีว่ารู้จักเขาเลยแม้แต่น้อย

ดูสิ ขนาดไหว้ หมอนี่ยังไม่ยกมือไหว้เลย

เกล้าเอื้อมมือมาคว้าแขนฉันและออกแรงดึงให้เดินออกจากที่นี่ แต่ทว่าฝ่ามืออวบๆ ของฝ่ายตรงข้ามก็เข้ามารั้งเขาไว้ซะก่อน

“เดี๋ยวก่อนสิ” ผู้หญิงตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือก่อนจะหันไปพยุงเด็กน้อยให้ลุกขึ้นยืน แล้วจูงมือมาหาเกล้าที่ยังยืนตัวแข็งและพยายามเบือนหน้าหนีแม่ลูกคู่นี้ไปอย่างสุดความสามารถ

“ไหว้พี่เขาสิลูก” หล่อนหันไปบอกกับลูกชายของตัวเอง เด็กน้อยก็ไหว้ตามที่แม่ตัวเองบอกอย่างงงๆ แต่อีตาเกล้าก็หันหน้านี้ไม่มองท่าเดียว อีตานี่เสียมารยาทจังแฮะ -_-

“ขอโทษแทนเขาด้วยนะคะ วันนี้หมอนี่ไม่ค่อยสบายค่ะ” ฉันพูดแก้สถานการณ์ เมื่อผู้หญิงร่างอวบคนนี้หน้าเสียไปเล็กน้อยที่ถูกเกล้าเมินราวกับไร้ตัวตน

“ไม่เป็นไร ป้าพอจะเข้าใจ” อีกฝ่ายยิ้มให้อย่างใจดี จนฉันสงสัยว่าป้าคนนี้จะมีเรื่องอะไรบาดหมางกับอีตาเกล้ากันนะ

แต่ก็เข้าใจได้นะเขาดูมีประเด็นได้กับทุกคนแหละ -_-;;

“ว่าแต่แม่หนูเป็นแฟนใหม่ของเกล้าเหรอลูก”

“เอ่อเปล่าค่ะ”

“ป้ามีอะไรก็ว่ามาเลยดีกว่าครับ” เกล้าเอ่ยสวนขึ้นก่อนที่ผู้หญิงอวบตรงหน้าจะทันได้พูดอะไรต่อ นัยน์ตาของเขาวาววับจนฉันตกใจ

หมอนี่หาเรื่องอีกแล้ว!

“เกล้า นายค่อยๆ พูดกับป้าเค้าดีๆ ก็ได้”

” เกล้าเมินที่ฉันพูดก่อนจะหันไปจ้องหน้าป้าคนนั้นอย่างเอาเรื่อง

โอ๊ย! ผลักฉันออกมาอีกแล้ว มีอะไรไม่เคยฟังกันเลยนะ!

“ป้าแค่อยากจะมาขอบคุณ ถึงจะรู้ว่าแค่คำขอบคุณมันอาจจะไม่เพียงพอ แต่ป้าก็อยากจะ--

แล้วอีตาเกล้าก็เอ่ยขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดุดันก่อนที่ผู้หญิงตรงหน้าจะพูดจบเสียอีก

“ถ้าคุณอยากขอบคุณจริงๆ

ก็ช่วยทำเป็นเหมือนไม่เคยรู้จักกันไปเลยจะดีกว่าครับ”

 

หลังจากที่เหตุการณ์น่าอึดอัดเมื่อครู่จบลง เกล้าก็ดึงฉันออกมาด้วยความรุนแรงตามอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นจนแขนฉันช้ำไปหมด โอเคเหตุการณ์ในครั้งนี้คล้ายๆ กับตอนที่ฉันตกน้ำและตอนดูหนัง ซึ่งเกล้าเจออะไรสักอย่างที่กระทบต่อจิตใจจนมีท่าทีเปลี่ยนไป

แต่ในครั้งนี้ร่างสูงกลับอารมณ์ร้ายกว่าปกติ

เขาเป็นอะไรอีกเนี่ย

            หลังจากที่เดาเหตุการณ์ในหัวตัวเองอยู่นาน ฉันก็ตัดสินใจเอ่ยถามออกไปเพราะไม่อยากให้เขาเก็บไว้คนเดียว และในอีกนัยหนึ่งฉันอยากพิสูจน์ว่าตัวเองจะเข้าใกล้เขาได้อีกขั้นหนึ่งรึยัง เข้าใจมั้ย ว่าฉันไม่อยากแค่อยู่ในฐานะของคนที่เขาต้องมาทำประกันความรักให้ ฉันอยากร่วมบรรเทาความเจ็บปวดของอีกฝ่ายบ้าง  เหมือนที่เขาพยายามทำให้ฉันไง

 “เฮ้ ตกลงมีเรื่องอะไรกัน ทำไมนายต้องไปว่าคุณป้าเค้าขนาดนั้นด้วย” ฉันกลั้นใจถามขึ้นในขณะที่พวกเรานั่งเงียบๆ กันในรถ เช่นเคย เกล้ายังไม่ได้ออกรถไปไหนเลยตั้งแต่ขึ้นมา

“เธอไม่รู้เรื่องอะไรก็นิ่งๆ ไว้เถอะ” ร่างสูงหันมาพูดกึ่งๆ ตะคอกใส่ทำให้ฉันได้แต่มองเขากลับไปด้วยแววตาแข็งกร้าว ทำไมเขาพูดแบบนี้ล่ะ! ฉันหงุดหงิดตั้งแต่หมอนี่ลากออกมาจากร้านก๋วยเตี๋ยวโดยที่ไม่สนใจฉันที่ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้าจนจะเป็นลมอยู่รอมร่อแล้วนะ แขนฉันก็เป็นรอยมือแดงเถือกไปหมดแล้ว!

หมอนี่จะเอาแต่ใจตัวเองไปมั้ย อธิบายอะไรให้ฉันฟังสักคำก็ไม่มี นี่ฉันยอมมาหลายครั้งแล้วนะ!

“นายจะว่าฉันทำไม ฉันแค่อยากรู้ว่านายเป็นอะไร”

“ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งว่ามันไม่เกี่ยวกับเธอ” เกล้าพูดเสียงนิ่ง ตาของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ

“นี่…!!

พอได้ยินคำนี้ เส้นประสาทฉันก็ขาดผึง ความใจเย็นที่พยายามประคองมันไว้ตลอดกลับปลิวหายไป ตัวฉันซึ่งเคยยอมมาตลอดกลับรู้สึกหัวเสีย ทั้งเจ็บ ทั้งอึดอัด ทั้งโมโหหมอนี่ไม่คิดถึงหัวใจคนฟังบ้างรึไง สิ่งที่พูดออกมานี่ฆ่ากันให้ตายได้เลยนะ

แต่ที่เสียความรู้สึกไม่ใช่แค่นี้สิ่งที่ฉันกลัวนั้นเป็นจริง

หมอนี่ไม่ยอมบอกอะไรฉันอีกแล้ว

“ทีเธอยังไม่อยากบอกปมเรื่องโรคของเธอกับคนอื่น ฉันก็เหมือนกัน!

แปล๊บ!

พอเกล้ายกเรื่องโรคมาพูด หัวใจฉันตระตุกวูบราวกับจะหยุดเต้น จุดอ่อนที่ฉันไม่อยากให้คนอื่นพูดถึง

            โดยเฉพาะเกล้า

ทำไมเขาต้องพูดแบบนี้ด้วย!

ไม่ทงไม่ทนมันแล้ว!!

“แล้วจะทำไม ไม่ใช่เรื่องของฉันแล้วยังไง” ฉันเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ และกำหมัดแน่น “ฉันเข้าใจว่ามันเป็นปมของนาย โคตรเข้าใจ แต่ทำไมต้องพูดจาอะไรขนาดนี้ด้วย”

” ร่างสูงเงียบไปเมื่อฉันเป็นฝ่ายที่ระเบิดอารมณ์ขึ้นมาแทน

“ทำไม หรือพูดแบบนี้เพื่อระบายความเก็บกดของตัวเอง ถึงได้ใช้คำพูดทำร้ายคนอื่นเนี่ย!!” ฉันตะโกนอย่างสุดเสียงราวกับกำลังกรีดร้อง “สะใจมากเหรอที่คนอื่นจะเป็นจะตายเพราะคำพูดแสนไร้หัวใจของนาย”

“ไม่รู้สิเกล้า แบบนี้มันเหมือนนายไม่แคร์ฉันเลยสักนิด” ฉันตัดพ้อ แต่การที่เกล้าหันหน้าไปอีกฝั่งราวกับไม่สนใจทำให้ฉันยิ่งหงุดหงิดจนอยากจะกระชากตัวเขามาเขย่าซ้ำๆ

“เปิดใจหน่อยก็ได้ เราต้องทำงานร่วมกันอีกนานนะ แบบนี้ฉันโคตรอึดอัดเลย”

 “

“ฉันเหมือนคนโง่ที่ทำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้อะไรเลย ทำตัวไม่ถูก เหมือนนายจะเปิดใจ แต่ก็ไม่”

“พอเลย ฉันขี้เกียจเดาอาการนายแล้ว ไม่อยากคิดแล้วว่านายเป็นอะไร”

“ฉันเหนื่อย” ฉันลดเสียงลง หายใจหอบอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะหันไปพูดกับเขาอีกครั้งหนึ่ง นัยน์ตาของเกล้าฉายแววแข็งกร้าวราวกับกำลังสะกดอารมณ์

“ประกันนายพอแค่นี้มั้ย”

สีหน้าของผู้ชายข้างๆ เย็นชาขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อฉันหลุดคำถามนี้ออกไป แม้ว่าฉันจะรู้สึกแย่ที่พูดอะไรแบบนี้ แต่ฉันก็เรียกคำพูดของฉันกลับคืนมาไม่ได้แล้ว ภายในรถเงียบสนิท จนกระทั่งเกล้าเอ่ยออกมา

“ไม่”

ฉันชะงัก คำพูดของเอิร์ธแวบเข้ามาในหัว

เขาคิดแค่เรื่องประกันเท่านั้นแหละ

เหอะมันจริงด้วยสินะ

ฉันยิ้มขืนๆ ส่งไปให้คนตรงหน้าพร้อมกับน้ำตาหยดแรกที่ร่วงลงมาจากความน้อยใจบ้าบอ ก่อนที่ฉันจะเช็ดและหันหน้าหนีเพราะไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าใคร อีกฝ่ายก็ได้แต่ออกรถไปข้างหน้าอย่างฉุนเฉียว แต่ถึงกระนั้นร่างสูงก็ไม่พูดอะไรอีกสักคำ ฉันจึงเป็นฝ่ายพูดแทน

“งั้นนายจะทำอะไรก็ได้ตามแต่ใจนายต้องการเลยเกล้า ฉันก็จะรีบทำลิสต์ให้ครบ โปรเจกต์นายจะได้จบๆ ไปสักที”

 

เช้าวันต่อมา

ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องที่สะสมของไว้ เมื่อคืนฉันย้ายที่นอนมานอนห้องนี้เพราะความหงุดหงิดงุ่นง่านของตัวเอง เหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่ฉันทะเลาะกับใครสักคนหนักขนาดนี้จนฉันไปไม่เป็น

เมื่อวานหลังจากที่เกล้ามาส่งที่บ้าน ฉันก็ลงจากรถและขนของลงโดยไม่พูดอะไรสักคำ แม้แต่ขอบคุณที่เขามาส่งก็ไม่มี ก่อนจะเข้าบ้านและทิ้งตัวลงที่โซฟากลางบ้าน และหลับไปจนกระทั่งตื่นขึ้นมาในความมืด ห้วงความคิดของฉันยังคงยึดติดกับช่วงเวลานั้น แต่ความเงียบทำให้ฉันคิดอะไรได้หลายๆ อย่าง

ก่อนที่โทรศัพท์ในกระเป๋าจะสั่น

เกล้านั่นเองที่ไลน์มาหาส่งรูปสร้อยมาให้โดยไร้คำพูดใดๆ

เขาทำตามสัญญาที่ต้องให้ฉันเช็คสร้อย

โถโกรธกันแต่ยังอุตส่าห์ทำตามสัญญาอีกนะ ซึ่งพอเห็นรูปแล้วตอนนั้นอยู่ดีๆ ฉันก็หัวเราะออกมาในความโกรธกันงงๆ ของพวกเรา โอเคมันไปถึงจุดที่ฉันโมโหและวีนขนาดนั้นได้ยังไงนะ แต่มันน่ามั้ยล่ะ พูดจาทำร้ายน้ำใจกันซะขนาดนั้น ฉันที่อดกลั้นมานานเมื่อถึงเวลาก็เลยระเบิดลงทุ่งข้าวสาลีกลายเป็นโกโก้ครั๊นซ์เลย -_-

แต่ถ้าคิดอีกแง่หนึ่งฉันว่าเรื่องนี้ฉันผิดเต็มๆ

เกล้ากำลังเป็นอะไรสักอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ ยิ่งไปใส่อารมณ์กับเขาขนาดนั้นก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าอีนี่ไม่ได้เข้าใจเขาเลยแม้แต่น้อย เฮ้อ

แถมยังไปพูดจาตอกกลับเขาแบบนั้นอีก

คำพูดของฉันก็ทิ่มแทงความรู้สึกได้ไม่ต่างจากที่ฉันว่าเขาไปเลยอ่ะ แง้! พอมานั่งคิดดีๆ แล้วก็พบว่าตัวเองต้องใจเย็นกว่านี้และให้เวลาหมอนี่ได้หายใจหายคอ เมื่อเกล้าพร้อมและเปิดรับฉันมากขึ้น เขาก็ (น่า) จะบอกเอง

เอาเถอะ อยู่แบบไม่รู้ต่อไปแล้วกัน ค่อยๆ ตะล่อมหลอกถามยัยเอิร์ธไปเรื่อยๆ ก็ได้ (ยังไม่หยุดอีก -*-)

ไม่รู้ด้วยแล้ว! เอาเป็นว่าฉันจะไม่ทำตัวแบบเมื่อวานแล้ว รู้สึกแย่กับตัวเองชะมัด

“เฮ้อปวดหัวจัง” ฉันพึมพำออกมาคนเดียวท่ามกลางกองสิ่งของ ร่างกายร้อนๆ ราวกับกำลังจะเป็นไข้ และเริ่มรู้สึกถึงอาการแปลกๆ ที่มาพร้อมกับการปวดหน่วงๆ ที่ท้องน้อย

ฉันรีบลุกและเดินเข้าไปห้องน้ำ

อืมชัดเลย วันแดงเดือด -_-;;

มิน่า ฉันถึงเหวี่ยงได้ขนาดนั้นจนเหมือนอสูรกายเข้าสิง ปกติพอถึงวันนั้นของเดือน ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็จะอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ และคาดเดาไม่ได้อยู่แล้ว ฉันเลยไม่แปลกใจที่ตัวเองจะเป็นได้ถึงขนาดนั้น จริงๆ ก็ไม่ได้จะบอกว่ามันจะเป็นเพราะวันแดงเดือดไปซะหมด อาจเป็นความกดดันส่วนตัวด้วย แต่ถ้าบอกว่าไม่เกี่ยวเลยก็ไม่ได้อีกเช่นกัน

เอาเป็นว่า ไม่ว่าจะยังไง ฉันก็ผิดอยู่ดีที่เป็นฝ่ายเริ่มว่าเขาก่อน

ฮือ! ปวดท้องจัง

ตกลงว่าปวดท้องประจำเดือนหรือเพราะเครียดเรื่องอีตาเกล้ากันนะ Y__Y

ต้องบอกไว้ก่อนว่าเวลาเป็นประจำเดือน ฉันจะปวดท้องหนักมากจนแทบกระดิกตัวไม่ได้และบางครั้งก็ตัวรุมๆ เหมือนจะเป็นไข้และอ่อนแอมากเป็นพิเศษ เป็นผู้หญิงนี่เหนื่อยเนอะ

ว่าแล้วก็ไปนอนต่อดีกว่า ฉันเริ่มไม่ไหวแล้ว

นี่ฉันต้องหยุดเรียนอีกแล้วเหรอ จะโดนไทร์ก็ปีนี้แหละค่า T_T

 

ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะอาการปวดท้องอย่างหนักหน่วงราวกับมีคนใช้วิชาคุณไสยบิดไส้ฉัน แม่โว้ย! ปวดจนฉันต้องกุมท้องนอนตัวงอเป็นกุ้งอยู่บนเตียง เหงื่อเต็มหน้าผากแม้ว่าจะเปิดแอร์เย็นฉ่ำแค่ไหนก็ตาม เมื่อรู้สึกปวดจนน้ำตาเล็ดฉันจึงตัดสินใจโทรหายัยเพลินให้ซื้อยามาให้ จะไปซื้อเองก็ไม่มีแรง แค่ลุกเดินลงไปข้างล่างยังแทบต้องคลานไปเลยอ่ะ

ฉันควานหาโทรศัพท์ข้างที่นอนขึ้นมาและกดโทรออกอย่างยากลำบาก หิวอีกต่างหาก ชีวิตฉันนี่นะ T_T

รอสายสักพักอีกฝ่ายก็รับโทรศัพท์

            [ว่าไงแก…] เพลินรับด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย เสียงจากไมค์ของอาจารย์ลอยเข้ามาเป็นระยะๆ ยัยนี่กำลังเรียนอยู่สินะ

            “แกฉันปวดท้องอ่ะ วันนั้นของเดือน” ฉันส่งเสียงงุ้งงิ้งออดอ้อนอีกฝ่ายเต็มที่ “ช่วยซื้อยามาให้หน่อยได้มั้ย ข้าวด้วยก็ดี”

[ตอนบ่ายมีเรียน ควิซด้วยอ่ะแก เอาไงดีล่ะ…] เพลินเงียบไปสักพักอย่างใช้ความคิดก่อนจะตอบกลับมาด้วยเสียงดังฟังชัด [เออ! เกล้าไม่มีเรียนบ่ายนี่นา อ่ะๆๆ คุยกับหมอนี่เองเลย]

“เฮ้ย! เดี๋ยว!!

[อะไรของเธอเนี่ยเพลิน] เสียงนิ่งๆ ของเกล้าดังมาตามสาย ฉันถึงกับสวดภาวนาให้ตัวเองเน่าตายไปซะเพราะทำตัวไม่ถูก ว่าจะคุยกับเขายังไงดี สักพักเขาก็พูดกับฉัน

[มีอะไร]

อูยทำเป็นเข้ม T__T

” ฉันเงียบเพราะไม่กล้าพูดอะไรออกไป

[ถ้าไม่พูดฉันจะวางแล้วนะ]

เอาไงดี หมอนี่วางไปเท่ากับฉันจะต้องนอนปวดท้องตายอยู่ที่นี่แน่ๆ ฮือ! ยอมพูดก็ได้วะ!

“เอ่อคือฉันปวดท้องอ่ะ”

[แล้ว?]

“หลังเลิกเรียนนายแวะซื้อยามาให้หน่อย”

[ยาอะไร] เมื่อเจอคำถามแบบนี้ฉันก็ได้แต่เงียบอีกรอบด้วยความกระดากอาย ก็ไม่รู้ว่าจะอายทำไม แต่มันก็อายอ่ะ เข้าใจมั้ย! ทำไมฉันต้องมาพูดอะไรแบบนี้กับอีตาญาติฮิตเลอร์ด้วยนะ

“ยาแก้ปวดท้องประจำเดือนอ่ะ T__T

[อ๋อ…] อีกฝ่ายเงียบไปสักพักก่อนจะถามขึ้นมาอีก น้ำเสียงเขาเป็นมิตรมากขึ้น [แล้วกินข้าวหรือยัง]

ยิ่งนายเป็นห่วงฉันยิ่งรู้สึกผิดอ่ะ เมื่อวานไม่น่าปากไวเลยองศาเอ๊ย T^T

“ยังอ่ะ” ฉันส่งเสียงออดอ้อนคล้ายๆ ว่าฉันสำนึกผิดแล้ว จะให้กราบก็ยอม “ฉันอยากกินข้าวต้มหมู”

[ได้ทีล่ะสั่งใหญ่เลยนะ ฉันใกล้เลิกเรียนแล้ว รอก่อนแล้วกัน]

“งื้อ ขอบคุณนะ”

[อืม…]

แล้วเกล้าก็ตัดสายไป ฉันเลยล้มตัวลงไปนอนกุมท้องต่อ พยายามจะข่มตาให้หลับแต่ทว่าก็ทำไม่ลง ในหัวฉันคิดวุ่นวายว่าควรจะพูดกับเกล้ายังไงดี จะขอโทษเขาดีมั้ย ต้องอ้อนวอนขนาดไหนเขาถึงจะให้อภัย ต้องร้องเพลงคุกเข่าด้วยเลยมั้ยเนี่ย เอ่อลอยไปไกลแล้ว เอาเป็นว่าเจอหน้าค่อยทำอะไรก็ได้ที่คิดออกตอนนั้นแล้วกัน

 

ใช้เวลาเกือบๆ ชั่วโมงเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ฉันจึงคลานลงไปเปิดทั้งผ้าห่มเป็นผีจูออน หวังว่าเกล้าเข้ามาแล้วจะไม่เหยียบฉันนะ อย่าทำร้ายฉันอีกเลย

อนาถตัวเองจัง T__T

“เฮ้ย!” แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เกล้าตกใจมากเมื่อเห็นสภาพของฉัน แต่ดีที่เขาไม่ได้เหยียบอย่างที่ฉันนึกมโนเอาไว้ ร่างสูงย่อตัวลงมาดึงฉันขึ้นและประคองให้ไปนั่งลงบนที่นอนตามเดิม

“ฉันซื้อข้าวกับยามาให้แล้ว” เขาลากโต๊ะญี่ปุ่นจากกองสิ่งของมาทางฉันแล้ววางถ้วยที่ถือติดมือมา ก่อนจะเทข้าวต้มลงไป กลิ่นหอมฉุยทำให้ท้องฉันอดร้องไม่ได้

“กินเองไหวมั้ย”

“แน่นอน” ว่าแล้วเกล้าก็ยกโต๊ะมาวางบนที่นอนให้โดยที่ตัวเขาเองก็เดินไปหยิบเก้าอี้ตรงกองสิ่งของแสนรักมานั่ง  ถึงแม้ฉันจะแอบหวงก็ตาม นั่นเก้าอี้เก่าแก่ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง (ปูน) เลยนะ นักโบราณคดีตามหากันให้ควั่กเชียว บอกเลย!

แต่รอบนี้จะยอมให้ก่อนก็ได้ ถือว่าเป็นการชดใช้ความผิด (._.)

แล้วฉันก็พยายามตักกินเองโดยมีสายตาที่ฉายแววขบขันของผู้ชายข้างๆ เออ! ฉันกินของฉันเองได้โว้ย ว่าแล้วก็ตักอย่างแข็งขัน พร้อมกับเป่าๆ ไป แล้วตักเข้าปากอย่างไม่ยากลำบากนัก ฉันแค่เป็นประจำเดือนไม่ได้แขนหัก ไม่ต้องถึงมือนายต้องป้อนหรอก แบร่!

แล้วฉันก็กินข้าวจนหมด หลังจากนั้นเกล้าจึงเดินเอายาพร้อมกับยื่นแก้วน้ำมาให้

“ขอบคุณนะ” เมื่อกินยาเสร็จฉันก็หันไปพูดกับร่างสูงที่กำลังนั่งนิ่งๆ คิดไปเรื่อยๆ

“ไม่เป็นไร”

แล้วพวกเราก็เงียบไปสักพัก จนกระทั่งฉันพูดขึ้นมา

“ฉันขอโทษนะที่เมื่อวานไปซักไซ้นายขนาดนั้น แถมพูดจาไม่ดีใส่อีก”

เกล้านิ่งไปสักพักก่อนจะระบายยิ้มบางๆ มาให้ ทำให้บรรยากาศรอบกายเริ่มดีขึ้น

“แต่ที่เธอพูดมันก็เป็นเรื่องจริง” เกล้าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง นัยน์ตาเขาอ่อนลง “ฉันเองก็มีส่วนผิด ขอโทษด้วยแล้วกันที่ใช้คำพูดทำร้ายเธอ”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันใจร้อนเองด้วยแหละ” ฉันยิ้ม “งั้นถือว่าเราดีกันแล้วนะ ไม่เอาอีกแล้วบรรยากาศแบบนั้น รู้สึกแย่ชะมัด”

“ก็แค่เข้าใจไม่ตรงกัน” เกล้ายักไหล่และมีท่าทีผ่อนคลาย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าต่อจากนี้บรรยากาศระหว่างนั้นผ่านจุดที่ตึงเครียดมาแล้ว ดีใจอ่ะ! ขออย่าให้ได้ทะเลาะกันแบบนี้อีกเลย เหนื่อยใจ T_T

อีกฝ่ายเงียบเหมือนใช้ความคิด แล้วเขาก็เอ่ยขึ้นมาใหม่

“ฉันตัดสินใจแล้ว

“หืม?”

“เวลามีเรื่องอะไรฉันจะเล่าให้เธอฟัง” เขาสบตาฉันอย่างจริงใจ

ฉันยิ้ม เขายอมเปิดใจกับฉันจนได้นะ

            “การที่เราทะเลาะกันเมื่อคืนแล้วเธอพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด มันทำให้ฉันเข้าใจ

            “

“ดังนั้นมีอะไรก็บอกกันตรงๆ อย่าเก็บเอาไว้” เกล้ายิ้มอ่อนโยนมาให้อีกรอบ “แต่ปากฉันก็แบบนี้แหละ จะพยายามไม่พูดแล้วกันนะ”

“พูดได้แต่อย่าแรงมากได้มั้ย เจ็บกระดองใจ T_T

“อือฮึ” เขายักไหล่อย่างสบายๆ กลับมา

“แล้วก็เรื่องที่นายจะเล่าค่อยเล่าตอนนายพร้อมก็ได้” ฉันวกกลับเข้ามาเรื่องเดิมเมื่อท่าทางของอีกฝ่ายผ่อนคลายขึ้น พยายามพูดอย่างระมัดระวัง

“นั่นแหละ ฉันจะบอกแบบนั้น” เขาผงกหัวเบาๆ “ขอบคุณที่เข้าใจฉัน”

ฉันพยักหน้ารับ อีตาเกล้านั่งเงียบๆ ไปนานมากจนฉันชักเป็นห่วง เสี้ยวหน้าของเกล้าดูดีมากเมื่อเจอแสงอาทิตย์ส่องมากระทบ (ฉันปิดแอร์แล้วเปิดหน้าต่างไว้น่ะ) ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่าฉันมองเขาอยู่ พวกเราสบตากันในความเงียบ นัยน์ตาสีดำสนิทของเขาฉายแววอ้างว้าง ราวกับเขากำลังล่องลอยไปที่ไหนสักแห่งและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ

นัยน์ตาอย่างนี้เป็นแบบที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนสวย แต่ก็ดูน่าสงสารอยู่ในที

เขาคิดอะไรอยู่นะ แววตาถึงสื่อมาได้แบบนี้

แล้วเสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นมาราวกับละเมอ

 “เธอเคยคิดมั้ยว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ไปทำไม”

“อะไรของนาย มาปรัชญาชีวิตอะไรตอนนี้” ฉันเงยหน้ามองเขาด้วยความงงงวย แต่เหมือนเขากำลังจมในห้วงความคิดของตัวเอง ก่อนที่เกล้าจะพูดขึ้นมาอีก

“ตอบมาเถอะน่า”

“ไม่รู้แฮะ นายมีอะไรเหรอ”

“เปล่า แค่คิดว่าเธอคงมีอะไรที่ผูกเธอไว้เยอะแยะเลย หมายถึงพวกของที่เธอสะสมไว้” เกล้าถอนหายใจ ฉันพยายามเดาสิ่งที่เขาคิด

เข้าใจละหมอนี่คงกำลังรู้สึกว่าตัวเองล่องลอยอยู่สินะ

เมื่อไร้สิ่งที่ผูกพันมนุษย์คนหนึ่งก็ไม่รู้จะใช้ชีวิตอยู่ไปทำไม

“เธอคงไม่อยากตายถ้ามีพวกมันอยู่ มีเหตุผลให้ได้มีชีวิตอยู่”

“ทำไมอ่ะ นายอยากตายรึไง”

“ก็เปล่า แต่ตอนนี้ชีวิตแค่ดูไร้เป้าหมายและฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังหลงทาง ฉันเลยคิดว่าเธอน่าจะให้คำตอบที่ดีได้”

ฉันเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่เป็นมาตลอดสิ่งที่ไม่มีใครเคยมองเห็นมาก่อน

แต่มันเป็นเรื่องจริง

“ไม่หรอก ฉันเปลี่ยนสิ่งของที่ยึดติดไปเรื่อยๆ จนเก็บของมากมายขนาดนี้ไง” ฉันยิ้มอย่างจริงใจ “มันช่วยได้บ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องไปหามาใหม่ตลอดเวลา”

“ฉันเลยคิดว่าฉันจะต้องตามหาสิ่งเดียวที่ต้องการต้องการมันไปตลอดชีวิตของฉัน”

“และเมื่อหาเจอฉันจะมีอยู่ชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนั้น”

“นายเองก็เหมือนกันนายต้องรู้สึกอยากจะหาอะไรก็ตามที่จะยึดนายไว้ได้

”                                                             

“สักอย่างสักคน

สักวันความอดทนต่อความเดียวดายของเขาจะหมดลง

เขาจะต้องออกตามหาสิ่งนั้นแน่

ฉันเชื่อแบบนั้น

 

 

 

 

<<<Talk>>>

            งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา

ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมผ่านพ้นไปทั้งเรื่องดีและร้าย

นี่เป็นคำแรกๆ ที่คิดขึ้นมาในใจเมื่อเขียนตอนนี้จบ นั่นแหละค่ะ ใจหายแฮะ ไม่มีอีกแล้วตัวอักษร สีชมพูน่ารักๆ ที่ต้องนั่งรีหน้าเพจซ้ำๆ ในวันอาทิตย์ประมาณเที่ยงคืนด้วยหัวใจลุ้นระทึก

            ขอบคุณพี่อายมากนะคะ ขอกอดหน่อย

            ขอบคุณโครงการดีๆ อย่างนี้นะคะ ขอบคุณพี่เอม พี่อติน พี่ลูกชุบ และพี่อาย รวมถึงทีมงานและผู้ที่อยู่เบื้องหลังโครงการทุกคนนะคะ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ ทั้งสำนักพิมพ์แจ่มใสและเว็บไซต์เด็กดีดอทคอมที่เปิดโอกาสให้นักเขียนตัว (ไม่) น้อยคนนี้ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ เปิดโอกาสให้ได้เจอนักเขียนที่ตัวเองชื่นชอบ ได้ใกล้ชิดอีกก้าวหนึ่ง ขอบคุณก๋วยเตี๋ยวและน้ำฟรีในวันเวิร์คช็อปนะคะ ฮือออ อบอุ่นมากๆ เลยค่ะ <3

            ขอบคุณรีไรท์เตอร์ทุกคน ขอบคุณผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่ผลักดันมาตลอดทั้งดีและร้าย ทำให้เราเข้มแข็งขึ้นและอดนอนได้มากขึ้น 5555 ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ปี 9 ทุกคนที่อยู่ร่วมกันมาจนถึงตอนนี้ ชอบตอนที่ผีด้วยกันมาก จุ๊บบ!

            งุ้ย อย่าแปลกใจว่าทำไมมาซึ้งๆ น้ำตาแตกขนาดนี้ เราเพิ่งดูหนังที่กระทืบกระดองใจเรามาค่ะ ความตรึงใจยังคงอยู่ // เดี๋ยวๆ แต่แหมเรายังไม่ได้ไปไหนค่ะ เรายังรอเจอทุกคนอยู่นะ ไม่ว่าช่องทางไหนก็ตาม บางทีถ้าอยากตามตัวก็อาจจะเปิดๆ หาตามฝาท่อนะคะ 555555

            อยากจะพูดมากกว่านี้แต่กลัวว่ามันจะยาวกว่านิยาย 55555 เพราะฉะนั้นต้องขอบคุณนักอ่านทุกคนด้วยที่ร่วมเดินทางกันมาจนถึงจุดนี้นะคะ ขอบคุณมากจริงๆ

            อย่างที่บอกงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา

            แต่เราเลิกงานนี้เพื่อไปจัดงานใหม่ต่างหากค่ะ

            Now burn baby burn!! วู้ววว >O<!

           

            .. วันนี้ขออภินันทนาการด้วยอิมเมจเกล้าใส่หูแมวนะคะ (ใครชอบแบบไหนโหวตได้เลย 5555) จริงๆ เราให้เพื่อนวาดให้นานแล้วเพื่อจะเอามาประกอบตอนที่มีฉากใส่หูแมว แต่ไม่มีจังหวะลงเรื่องนั้นเลย และเราไม่อยากให้เพื่อนวาดเสียเปล่า เลยเอามาแปะไว้ให้นะคะ หวังว่าจะคงชอบ (ขอบคุณเกวและน้องสาวด้วยนะ สำหรับแรงเชียร์ที่ออกมาในรูปแบบการวาดรูปให้ น่ารักมากก >_<)

            ป..2 ตอนนี้อ่านจุใจกันมากค่ะ ถ้ายาวไปยังไงก็ขอโทษด้วยนะคะ แต่เราอยากให้เนื้อหาครบมากกว่ามาห่วงเรื่องหน้าอ่ะ อยากจบด้วยประโยคนี้จริงๆ T^T

จบจริงๆ แล้วค่ะ

เราจะไม่ลืมชีวิตในช่วงนี้เลย สัญญา ^__^

 

10 ความคิดเห็น

  • 1
  1. #1 JOlly' M (จากตอนที่ 7)
    2017-02-25 01:18:34
    แง้งงง เพิ่งเห็นอีกแล้ววว TOT

    สรรพนามระหว่างองศากับเอิร์ธจะให้ใช้เป็น เธอ กับ ฉัน นะคะ ไม่ทันได้แก้ตรงที่เป็นไดอะล๊อกว่าแก

    แง้งงง ขอโทษในความเด๋อด้วย เด๋อมันทุกวีค ฮืออออ
    #1
  2. #2 pimuksorn (จากตอนที่ 7)
    2017-02-25 01:19:43
    hey my JOlly'M 
    เลือกมาเมนต์ให้เรื่องนึ้เรื่องแรกเลยนะหลังจากที่ไม่ได้เมนต์มานาน
    เราชอบการตัดจบของบทนี้มาก รู้สึกทุกอย่างลงตัวไปหมดดดด
    ขอให้น้องโชคดีกับการแข่งขัน ถ้าได้ตีพิมพ์อย่าลืมพี่นะ 5555555

    รักเสมอ เมือกจ๋อมของพี่
    #2
  3. #3 (จากตอนที่ 7)
    2017-02-25 02:34:02
    หูยยยย มีความทะเลาะะ เครียดตามองศาเลยเนี่ยยย (เกล้าอย่ามาตะคอกองศานะ ฮอลล -o-) 
    ถึงตอนนี้นุ้งเกล้าจะอารมณ์ร้ายไปหน่อย แต่เราก็ยังมีความอยากเห็นเกล้าเปลือยท่อนบน เป็นพ่อหนุ่มเทพบุตรกรีก 
    กล้ามนางจะน่ากัดขนาดไหน อยากรู้จังงง อ๊างงงงง >o<!! (โรคจิตส่งท้ายหน่อย55555)
              แอบเสียดายที่กลไกไม่มาโลดแล่นในตอนนี้ แต่อย่างไรเราก็ยังคงระลึกถึงนางเสมออ ฝากความคิดถึงนางด้วยนะจ้ะ โอ้วววว เย โอ้วว เย้ หวังว่าเราจะได้พบกันอีกนะจ้ะ พ่อหนุ่มเซเลอร์มูนนนนน
              สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณจอลลี่เอ็ม ไรท์เตอร์ผู้น่ารักของเรา ที่แต่งนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา ทำให้ชีวิตนุ้งประสบกับความเพลิดเพลินและไม่เงียบเหงาจนเกินไป โง้ยยย ตอนที่เจ็ดแล้วเหรอเนี่ยยย ยังไม่อยากให้จบเลยย คิดถึงองศา เกล้า พ่อสุดมุ้งมิ้ง เพลินน้อยกลอยใจ และสุดท้ายขาดไม่ได้เลย กลไก ตัวละครที่นุ้งโปรดปราณเป็นที่สุด (จะไม่กล่าวถึงเอิร์ธ ยัยนี่มีกลิ่นแปลกๆ-_-) อ่านมานาน ผูกพันอ่ะ แงงงง T^T งุงิ
              เราจะคิดถึงนิยายเรื่องนี้นะ กระซิกๆร้องไห้ร้องไห้
              เจอกันใหม่ เมื่อชาติต้องการจ้าาาาา 

                           ชูสองนิ้วว้าย

    #3
  4. #4 (จากตอนที่ 7)
    2017-02-25 08:00:43
    ทอล์กนี่มีนาวเบิร์นเบบี้เบิร์นด้วยแทบวิ่งขึ้นสเตจเลยค่ะ/เดี๋ยวว
    ทุกอย่างมันลงตัว ปมเกล้าที่น่าครุ่นคริสสส วิถีชีวิตของคนผูกพัน กับไร้การผูกพันนี้เคมีมันลงตัวไปหมด
    อ่านแล้วต้องคิดตามตลอดเลยว่าจะยังไงต่อ //ลุ้นยิ่งกว่าเชียร์บอล
    นี่เห็นว่าลงรูป นึกว่าจะได้เห็นรูปเกล้ากับแผงอกล่ำๆแถมมาด้วย55555
    พี่เกล้าหูแมวน่าร้ากกกกก

    ปล.ขอลายเซ็นต์รอเลยได้ม้ายย >.< เลิ้บบ
    #4
  5. #5 Kimochii. (จากตอนที่ 7)
    2017-02-25 12:34:17
    ทำไมมันปมซ่อนปมได้ขนาดนี้นะ สงสัย สงสัย อยากรู้ปมของเกล้ากับคุณป้าคนนั้น ไหนจะเบาะแสของสร้อยอีก 

    ตัวละครเอิร์ธอ่ะ เราดูรู้ว่านางมาร้าย นางชอบเกล้าแน่ๆ แอบสร้างความร้าวฉานแบบเนียนๆ หน้อยแน่

    ชอบฉากพระนางทะเลาะกันนน มันขยี้อารมณ์มากก นี่ทำหน้าเครียดตามระหว่างอ่าน ตอนองศาปวดท้องวันมามาก นี่แอบกุมท้องตามม เราไม่ได้อินเลยจริงๆ ตัดตอนได้สวยงามมาก 

    อ่านตอนทอร์คแล้วที่จ๋อมจะไม่ลืมชีวิตช่วงนี้ เราก็เหมือนกันนน  ลืมไม่ลง และคงหลอนไปอีกนานนนน 5555

    รอเป็นรูปเล่มนะ อยากเห็นหน้าปกแล้ววววว หัวใจเพรียกหา  
    #5
  6. #6 (จากตอนที่ 7)
    2017-02-25 17:28:33

    สวัสดีค่า~ สาราพว่าเพิ่งมาตามอ่านโครงการของปีนี้ตอนที่ทุกคนลงตอนที่ห้าแล้ว และก็ที่อ่านเรื่องนี้คือ...เพราะคอมเมนต์ของทุกคนค่ะ (ฮือออ โค้งขอโทษแรงๆ หลายรอบ) จริงๆ เหตุผลในการเลือกอ่านของเรามันไก่กาอาราเล่ ผีบ้าผีบอมาก เช่น อ่านเพราะคำโปรยเรื่องน่าสนใจ (สำหรับเรา) อ่านเพราะชื่อเรื่อง อ่านเพราะคอมเมนต์ และบลาๆ

    แล้วเห็นคอมเมนต์ในตอนแรกของเรื่องหลายๆ คอมเมนต์บอกพล็อตน่าสนใจ เราเลยลองอ่านดู ปรากฏว่า... เฮ้ย! เก๋ดีอ่ะ ชอบๆ อยากให้มีประกันแบบนี้บ้างจัง 5555 แล้วจากที่อ่านทั้งหมดทุกตอน รู้สึกชอบคาร์แรกเตอร์ของทุกตัวละครในเรื่องมากเลยค่ะ ขนาดตัวประกอบอย่างคุณพ่อกับอาจารย์ก็ยังน่าสนใจ (คุณพ่อองศานี่ชอบมาก น่าร้ากกก) จริงๆ แอบคิดว่า เอ้ออออ ตัวละครในเรื่องนี้ดูบ้าดีเนอะ 5555555 แต่ชอบนะคะ เพราะแต่ละคนมีจุดเด่นของตัวเองดี เนี่ยยยย ชอบความไม่ปกติของกลไกมาก 555555555555555555 แต่ชอบสุดคือองศา นางฮาดี แล้วก็ชอบฉากของพระนางเวลาที่อยู่ด้วยกัน มันน่ารักดีอ่ะ บางทีอ่านไปก็หมั่นไส้อิตาเกล้าบ้างเล็กน้อย มีความกวน เกลียดดดด 5555 แล้วก็ชอบการเล่าเรื่อง การบรรยายของเรื่องนี้ ตบมุกตลกได้จังหวะ ไม่มากไม่น้อย อ่านแล้วลื่นมากกกกกก (ชอบมากเป็นการส่วนตัวค่ะ อาจเพราะชอบอ่านแนวๆ การบรรยายแบบนี้อยู่แล้ว คึๆ ) แล้วก็ชอบที่เขียนปมเรื่องโรคขององศาออกมาให้ไม่เครียด ตอนอ่านตอนนางอยากได้แมวแล้วสงสัยมากกก ทำไมอยากได้ขนาดนั้น พอเฉลยตอนเกล้าพูดก็พอเข้าใจ (เรื่องโรคเนี่ยบางคนไม่เป็นกับตัวหรือมีคนใกล้ตัวเป็นก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่พอดีมีเพื่อนที่ต้องกินยาเลยพอเข้าใจบ้าง แต่เราก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมากหรอกค่ะ เป็นคนคอยรับฟังบ้างบางครั้งมากกว่า แต่เพื่อนก็ไม่ได้เป็นโรคนี้นะคะ ถถถ พูดทำไม 555)

    แต่ปมของเกล้าเนี่ย เราเครียดตามองศาเลยค่ะ ฮืออออ เมื่อไหร่เค้าจะยอมเปิดใจ แถมตอนสุดท้ายยังเปิดตัวละครคุณป้าปริศนากับลูกชายของเธอมาให้อยากรู้เรื่องของเกล้ามากขึ้นไปอีก ถถถ อยากอ่านต่อค่ะ ค้างใจกับปมของเกล้ามาก อะไรกันหนอที่ทำให้พ่อสุดหล่อของเรา (?) ไม่อยากผูกพันกับทุกสิ่งอย่าง ใครกัน! ใครเป็นคนท้ามมมมมมมม!! #ตัวแทนแห่งดวงจันทร์จะลงทัณฑ์แกเอง ยืมคำพูดกลไกมา 5555555555

     

    แล้วก็วีคนี้ก็วีคสุดท้ายแล้ว เอาใจช่วยและเป็นกำลังใจให้นะคะ ผลจะออกมาเป็นยังไง เราก็หลงเรื่องนี้ไปแล้ว จะรอติดตามค่ะ โชคดีค่า~ (:

     ปล.จริงๆ กะว่าจะเม้นเมื่อคืนแต่เห็นยังไม่อัพตอนเจ็ดเลยไม่เม้น ตอนแรกแอบกลัวว่าคุณคนเขียนจะไม่ส่ง ห้าทุ้มเกินครึ่งก็ยังไม่อัพ ใจนี่แป้วมากกก ดีใจที่อัพนะคะ 5555555

    #6
  7. #7 patrasittirung (จากตอนที่ 7)
    2017-02-25 23:23:49
    จะต้องจากลากันแล้ววว
    ชอบการจบของเรื่องนี้มากกก อยากอ่านต่อออ
    ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ รักเกล้าและองศาที่สุดดดด
    #7
  8. #8 Banilla Honie, Karin (จากตอนที่ 7)
    2017-02-27 16:11:05
    ฮรอยยยยยยยจ๋อมลี่ย์
    พี่ว่ายังไงนังเอิร์ธมันก็ร้าย!!!
    จัดหนักจัดเต็มมากค่ะตอนนี้ อิ่มใจกับความน่ารัก ในที่สุดอิเกล้าก็ยอมเปิดใจซะทีเนอะ //ปาดเหงื่อ
    มันมีปมไรยักหนาไม่รู้เนอะ ตาเกล้าเนี่ย เหนื่อยใจแทนองศา
    ฮื้อออออออออออ
    ยังไงก็ขอให้ได้ขอให้โดนนะคะ
    อยู่กันมาตั้งแต่วีคแรกยันวีคสุดท้าย ใจหายเหมือนกัน โฮฮฮฮ//กอดดดดดด
    #8
  9. #9 (จากตอนที่ 7)
    2017-02-28 02:18:26
    สวัสดีค่า

    อาทิตย์สุดท้ายพี่ก็เลยมาคอมเม้นหน่อยเนอะ จริงๆ ไม่มีอะไรมากสำหรับเรื่องนี้ สำนวนน่ารักดี คาแรคเตอร์ลงตัวดี บทสนทนาก็ทำได้ดี รวมๆ พี่น่าจะคอมเม้นเรื่องฉากมากกว่า พี่ยังคิดว่าฉากมันยังไม่ปะติดปะต่อกันบางจุด เหมือนอ่านแล้วยังสะดุดบ้างแต่ก็หยวนๆ ได้นะ ไม่ถึงกับแปลกมาก แต่อาจจะทำได้ดีกว่านี้ถ้าเกิดร่างพลอตแบบละเอียดที่ใส่รายละเอียดของแต่ละฉากไว้ พี่ชอบที่เรายังพูดถึงประกันตลอดเวลา เพราะมันเป็นการคงคอนเซปเรื่องอ่ะ แม้ตอนนี้พี่ว่ามันแอบดาร์กไวไปหน่อย 55555 แบบเข้าใจเรื่องเกล้ากับปมในใจ แต่มันเปลี่ยนบรรยากาศจากช่วงแรกไวไปนิด ยังไงก็ตามพี่ชอบไดอะลอคของเราเป็นพิเศษนะ รู้สึกเลยว่าเป็นคนเขียนไดอะลอคได้ออกมาธรรมชาติ ชอบเป็นพิเศษตอนช่วงนางเอกตัดพ้อพระเอก ดูเป็นคำที่คนจริงๆ จะพูดอ่ะ ชอบๆ

    เป็นกำลังใจให้นะคะ
    #9
  10. #10 Ggee (จากตอนที่ 7)
    2017-03-01 09:24:06
    สวัสดีค่ะคุณจอลลี่  คราวนี้มาเม้นซะช้าเลยมัวแต่ติดสอบอยู่  ยังสอบไม่เสร็จค่ะ  นี่บ่นอะไร555  
    ไม่นอกเรื่องละ  ไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะว่าจะมาถึงตอนที่7เร็วขนาดนี้  เสียจายอยากอ่านต่ออีก  อัพต่อค่ะอัพต่อ555  ตอนนี้คุณจอลลี่ก็ยังแต่งออกมาได้สนุกเหมือนเคยค่ะ  ชอบมาก  ตอนแรกอ่านแล้วเห็นเกล้ากับองศาทะเลาะกันยังกลัวๆอยู่เลยว่าคุณจอลลี่คงไม่จบแบบนี้นะ  และก็จริงด้วยโล่งใจ555  ดีใจที่ต่อไปเกล้ามีอะไรจะเล่าให้องศาฟังแล้ว เย้ๆ  แอบเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีกลไกที่รักสุดบ้าบอมาร่วมแจมด้วย แงๆ  สงสัยไปดูเซเลอร์มูนอยู่แน่เลย 555 
    ยังไงก็สู้ต่อไปนะคะคุณจอลลี่  จีจีจังจะรอติดตามผลงานของคุณจอลลี่ต่อไปนะคะ  กดLIKE
    #10
  • 1

แสดงความคิดเห็น