JOlly' M

[JLS17] Love Assurance ประกันวันนี้ ยกให้ฟรีทั้งหัวใจ

อกหัก รักพัง ไม่ได้ตังค์...แต่ได้ผู้ชาย

0%
VOTE
ตอนก่อนหน้า

ตอนที่ 3/7 :: ร่างกายแลกหัวใจ

ตอนถัดไป

ประกันครั้งที่ 3

ร่างกายแลกหัวใจ

 

            “องศา ถึงห้างที่เธอบอกแล้วนะ”

            “อืมมม” ฉันค่อยๆ ปรือตาขึ้นมาตามเสียงเรียกเบาๆ ของเกล้าภายในรถคันหรูอันแสนเย็นฉ่ำ ความรู้สึกเฉอะแฉะที่แก้มซ้ายทำให้ฉันยกมือแตะดูโอ้โห นี่น้ำลายหรือท่อประปาแตก ไหลไม่เกรงใจเจ้าของรถเลย -_-;;

ขอเล่าย้อนไปนิดนึงว่าก่อนหน้านี้เกล้าจะพาฉันมาหาพ่อเพราะเขามีเรื่องต้องตกลงกับฉันใช่มั้ย ประเด็นคือนี่รู้ไงว่าสิ่งที่ผู้ชายคนนี้จะพูดคือเรื่องประกันความรัก ฉันจึงใช้มารยาสาไถยหลอกเกล้าว่าเจ็บแผลและอ่อนเพลีย บลาๆๆ ของีบสักหน่อย และด้วยความที่หมอนี่บอกว่ารู้ทางมาห้าง xxx ที่ใกล้บ้านพ่อ ซึ่งก็เข้าทางองศาสิคะ! ฉันจึงตัดบทเขาด้วยการบอกว่าพอถึงห้างให้ปลุกฉันมาบอกทางต่อ

ที่เหลือแค่ทำท่าโอดโอยแล้วส่งสายตาอ้อนวอนไปให้เป็นอันเสร็จพิธี โดยที่เขาไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำคัดค้านใดๆ ได้ทั้งสิ้นเพราะฉันชิงหันหลังหนีซะก่อน (นิสัย)

            ตอนแรกว่าจะแกล้งหลับแหละนะ แต่หมอนี่ขับรถนิ่มมากจนฉันเผลอหลับไปจริงๆ รู้ตัวอีกทีก็จะถึงบ้านพ่อแล้ว

            “ขับตรงไปเรื่อยๆ เลย พอถึงปั๊มก็ใกล้ถึงแล้วล่ะ”

            “โอเค”

 “ดีมาก พอถึงบ้านแล้วป้าจะทิปให้” ฉันยิ้มและพูดแซวประหนึ่งเกล้าเป็นโชเฟอร์แท็กซี่ อิๆ สะใจว้อย ขอเอาคืนบ้างหลังจากที่โดนบังคับมาหลายอย่างเหลือเกิน (ถึงจะทำได้แค่นี้ก็เถอะ ฮือ!)

 โชเฟอร์จำเป็นเหล่มองฉันนิดหน่อย ก่อนจะขับรถต่ออย่างไม่สนใจฉันที่นั่งขำคนเดียวเหมือนคนเมากาว -.,-

 เอาล่ะ มาถึงตอนนี้หลายคนคงสงสัยว่าฉันมีกี่บ้านกันแน่ ไหนจะเรียกบ้านฉัน บ้านพ่อ บลาๆๆ ความจริงคือฉันกับพ่อแยกกันอยู่ หลังที่ฉันอยู่เป็นหลังเก่าก่อนที่พ่อจะไปซื้อใหม่เพราะอยากได้บ้านใกล้ๆ ที่ทำงาน ฉันจึงเรียกว่าบ้านพ่อ ส่วนบ้านที่ฉันอยู่ก็เรียกว่าบ้านฉัน ทั้งๆ ที่มันเป็นเงินของพ่อทั้งคู่นั่นแหละ ฮ่า!

            เพราะบ้านหลังเดิมมันใกล้มหาลัยและฉันไม่สามารถทำใจที่จะทิ้งบ้านไปได้จึงแยกกันอยู่กับพ่อนี่ไง

 “ถึงแล้ว เลี้ยวซ้ายตรงนี้เลย” ฉันบอกเมื่อเรามาถึงหน้าปากซอย เกล้าเลี้ยวตามที่บอกอย่างว่าง่าย เขาขับรถเข้าซอยไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าบ้านเดี่ยวสองชั้นขนาดปานกลางของพ่อซึ่งล้อมรอบด้วยสนามหญ้าอันเขียวชอุ่มแลดูสดชื่นสบายตา ถึงแม้จะมีตึกรามบ้านช่องมากมาย แต่บ้านพ่อก็ห่างจากบริเวณวุ่นวายพอสมควร จึงทำให้บ้านหลังนี้ค่อนข้างสงบเหลือบๆ ไปทางวังเวงเสียด้วยซ้ำในเวลากลางคืน

บางทีนี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันไม่ย้ายมาที่นี่ก็ได้นะ ถึงจะไม่ชอบยุ่งกับผู้คน แต่ถ้าให้หลบมุมจนแทบไม่เจอสิ่งมีชีวิตเลยมันก็เกินจะรับได้

 รู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่ไม่ย้ายตามมาอ่ะ -_-;;

 “นายรออยู่ตรงนี้มั้ย” ฉันหันไปถามผู้ชายข้างๆ พลางปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยของตัวเองไปด้วย แม้ว่าเป็นคำถามสิ้นคิดและดูเสียมารยาทที่จะรับแขกแบบนี้ แต่ฉันก็จะทำเพราะไม่อยากหนีบอีตานี่ไปให้พ่อซักไซ้เสียวุ่นวาย

 “ฉันไม่ใช่คนรับรถของเธอ” เกล้าพูดด้วยน้ำเสียงติดจะไม่พอใจหน่อยๆ นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องฉันจนแทบพรุน ลูกแกะน้อยๆ ตัวนี้จึงได้แต่ส่งสายตาวิ้งวับอย่างอ้อนวอนว่าอย่าโกรธกันเลยพ่อหมาป่ารูปงามจ๋า “เอากุญแจรั้วมา ฉันจะไปเปิดให้”

 “จริงๆ ฉันเดินเองได้นะ” เมื่อกำลังจะอ้าปากเถียงอีกรอบ ผู้ชายคนนี้ก็ส่งสายตาพิฆาตมา ทำให้ฉันได้แต่หดคอย่นจนแทบลงไปกองกับพุงพลางควานหากุญแจในกระเป๋า เฮ้อทำไมเป็นแบบนี้ทุกที ไม่เคยเถียงชนะเลย คอยดูนะ เถียงกันครั้งหน้าฉันจะชิงจิ้มตาหมอนี่ก่อนที่เขาจะทันได้ใช้สายตาดุดันนั่นบังคับฉันอีก หึๆๆ

 “เฮ้ย” ฉันร้องขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อหาทุกซอกทุกมุมของกระเป๋าก็ไม่เจอพวงกุญแจหมีน้อยที่ห้อยกับกุญแจบ้านหลังนี้ไว้ แง้!

 “นายรออยู่นี่ ฉันเรียกให้พ่อมาเปิดประตูรั้วก่อน”

            “เธอไม่มีกุญแจเหรอ”

            “ลืมเอามา รอก่อนๆ” แล้วฉันก็เดินด๊อกแด๊กไปหน้ารั้ว อันที่จริงฉันไม่เจ็บแผลแล้วล่ะ ยังเดินเหินได้ตามปกติแม้จะเจ็บแปลบๆ เล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร

            “พ่อ!!” ฉันตะโกนเข้าไป แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับฉันเลยลองอีกรอบ “พ่อคะ เปิดประตูให้หน่อยยย!!!

 “องศาลูกร้ากกก” ใช้เวลาเพียงไม่นานเสียงอันน่าขนลุกก็ดังกลับมา พร้อมกันที่ร่างตุ้ยนุ้ยของพ่อวิ่งหน้าตั้งมาทางฉัน ก่อนที่ท่านจะเปิดประตูรั้วให้อย่างรวดเร็วและส่งเสียงอู้อ้าเมื่อเห็นรถคันงามของอีตาเกล้ากำลังถอยเข้าที่จอดรถ

 “เพลินเปลี่ยนรถใหม่เหรอ ตอนแรกไม่ได้หรูขนาดนี้นี่”

 “เอ่อ

 “กรี๊ด! แล้วหัวลูกพ่อไปโดนอะไรมา!!” พ่อเลิกสนใจคำถามก่อนหน้าทันทีที่เห็นหน้าผากฉันมีผ้าพันแผลแปะไว้อยู่ ดีที่ท่านเป็นคนสนใจอะไรได้ไม่นาน ให้อีตาเกล้าลงมาก่อนค่อยให้พ่อซักไซ้หมอนั่นแทน

 “หนูไม่เป็นอะไรมากหรอก”

            “ไปทำอีท่าไหนมาล่ะถึงได้เยินประหนึ่งผ่านสงครามโลกมาแบบนี้”

            “แค่จักรยานล้มเอง พ่อเปรียบเทียบซะเห็นภาพเลย -*-

            “เห็นมั้ย พ่อบอกแล้วว่าลูกไม่ถูกกับจักรยาน ขี่ทีไรได้เรื่องตลอด” พ่อบ่นกระปอดกระแปดไม่หยุดด้วยความเป็นห่วง “ไปหาหมอมั้ยองศา”

            “โธ่ ก็บอกว่าไม่เป็นไรไงคะ” ฉันยิ้มเผล่ให้ทีหนึ่งแล้วชูสองนิ้วเป็นเชิงบอกว่าสู้ตายเพื่อให้พ่อหายห่วง ท่านพยักหน้าและยิ้มให้อย่างใจดีพลางยีหัวฉัน

            “งั้นเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ หนูเพลินมารึยัง เฮ้ย!!” พ่อร้องออกมาอย่างดังเมื่อเห็นผู้ชายตัวโตยืนขนาบข้างแทนที่จะเป็นหญิงสาวร่างเพรียวอย่างเคย ท่านดูตกใจมากเมื่อพบกับผู้มาเยือนที่ไม่ใช่เพลิน

 “สวัสดีครับ” เสียงมาดแมนเต็มร้อยของผู้มาใหม่ทำให้พ่อปิดปากกรี๊ด วันนี้พ่อกรี๊ดหลายครั้งแล้วนะคะ จะตกใจอะไรเบอร์นั้น T_T

พ่อก็แบบนี้แหละ เพราะแม่เสียไปตั้งแต่ฉันยังเด็ก ท่านเลยพยายามทำตัวให้เป็นทั้งพ่อและแม่ที่ดีโดยการเริงร่าอีกทั้งยังดูบ้าๆ บอๆ เพื่อให้ฉันรู้สึกสนิทใจเมื่ออยู่กับท่าน ทีนี้เวลามีปัญหาอะไร จะได้เปิดใจและพร้อมปรึกษาท่านอย่างไม่ขัดเขินไง

 น่ารักมั้ยล่ะพ่อฉัน :)

 “นี่ลูกมีแฟนใหม่แล้วเหรอ” พ่อรับไหว้เกล้าพลางอ้าปากค้างจนแมลงวันแทบบินเข้าไปวางไข่ในนั้นได้

 “ผมเป็นเพื่อนองศาครับ” พอได้ยินแบบนี้ฉันก็หันไปเบะปากใส่เกล้า นี่เขาเลื่อนขั้นฉันให้เป็นเพื่อนตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย แต่ก็ดีแล้วล่ะ ขืนให้มาอธิบายเรื่องประกันความรักฉันว่าวันนี้คงได้ค้างที่นี่แน่นอน

            “สะสวัสดี” พ่อยืนอึ้ง “นี่ลูกมีเพื่อนนอกจากหนูเพลินด้วยเหรอองศา”

            “ลูกพ่อไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวนะคะ หนูต้องมีเพื่อนอยู่แล้วสิ” ถึงมันจะน้อยก็เถอะ

            “ไม่สิ ไม่ใช่แค่ลูกมีเพื่อน เพื่อนผู้ชายอีกต่างหาก” พ่อยังคงส่งเสียงดังลั่นบ้านไม่หยุดจนฉันเอือม พ่อมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ชอบทำอะไรโอเว่อร์ตลอด “แต่แน่ใจนะว่าแค่เพื่อนน่ะ มาส่งถึงที่ขนาดนี้ กิ๊วๆ”

            “พ่อดูหน้าเพื่อนหนูด้วยว่าเขาเล่นมั้ย”

            “-_-” (นิ่งสนิท)

            “เขากำลังเขินนะลูก”

            “พ่อควรได้รับออสการ์สาขาการมโนยอดเยี่ยม”

            “ไม่เจอกันนานทำไมปากจัดขนาดนี้ล่ะลูกรัก” พ่อจับหัวฉันโยกไปมาอย่างมันเขี้ยว “เข้าไปคุยกันข้างในบ้านกันเถอะ เอ่อเราด้วยนะ ชื่ออะไรล่ะ” ประโยคหลังท่านหันไปคุยกับเกล้าที่มีท่าทางนอบน้อมต่อผู้หลักผู้ใหญ่ พ่อใช้น้ำเสียงอันอบอุ่นในการคุยกับเกล้าอย่างกับว่ากำลังชอบใจอะไรบางอย่างในตัวเขา

            ทำไมรู้สึกขนลุกอ่ะ -_-;;

            “เกล้าครับ”

            “โอ้ ชื่อเพราะแฮะ~” พ่อพูดด้วยอย่างเริงร่า สายตาดูพึงพอใจคู่นี้บอกได้เลยว่าท่านกำลังคิดอะไรเป็นตุเป็นตะอยู่ในหัว -*-

            “พ่อกำลังคิดอะไรเพ้อเจ้ออีกแล้วใช่มั้ยคะ” ฉันถามขึ้นในขณะที่พวกเราเดินไปถึงห้องนั่งเล่น

 “เพ้อเจ้ออะไร ไม่มี๊” ฝ่ามืออุ่นๆ บีบแก้มฉันยืดเบาๆ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่มาหาพ่อมีอะไรรึเปล่า”

            “เออใช่! หนูมาคุยเรื่องสร้อย มันหายไปได้ยังไงคะ”

            นี่เป็นอีกครั้งที่พ่ออึกอักและเงียบไปนานมากจนฉันได้แต่ส่งสายตาเป็นคำถามไปให้ ท่าทีของพ่อทำให้เริ่มเดาได้ว่าตัวต้นเหตุ คือพ่อนั่นแหละ!

            “พ่อเอ่อ

            “” ส่งสายตากดดัน

            “พ่อ

            “ถ้าพ่อไม่พูดหนูจะเข้าไปบีบคอพ่อแล้วนะ” ฉันขู่

            “โอ๊ย! ใจเย็นๆ สิลูก พ่อกำลังเรียบเรียงคำพูดอยู่” พ่อเอานิ้วจิ้มกันเองอย่างน่าสงสารพลางส่งสายตาอ้อนวอนมาให้ แต่เพราะฉันกอดอกรอฟังอย่างตั้งใจโดยไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนลงให้แม้แต่น้อย ท่านจึงเบะปากเหมือนเด็กกำลังจะร้องไห้และยอมพูดออกมา “วันนั้นมีปาร์ตี้กัน พ่อดื่มหนักไปหน่อยเลยเมา”

            “เมาแล้วยังไงต่อคะ”

            “พอกลับบ้านมาพ่อเดินสะดุดของในบ้านล้มหัวทิ่ม มันเจ็บมากๆ เลยองศา เจ็บจนอยากจะร้องไห้แต่พ่อก็อดทนได้เพราะพ่อเก่ง

            “ทำไมวนมาที่การชมตัวเองได้เฉยเลยคะ รีบเล่าให้จบเถอะค่ะ จะได้ไปหาสักที -*-

            “แต่พ่อก็อดโมโหไม่ได้เลยสั่งให้ไอ้หอยขม (คนรับใช้ประจำบ้าน) เอาของไปขายทิ้งหมดเลย”

            “ขะขายทิ้งหมดเลย!?!” ฉันตะโกนดังลั่นเมื่อได้ยินว่าของที่เป็นสมบัติประจำบ้านถูกขายหมดเลย มิน่าล่ะ ข้างล่างเลยโล่งๆ ผิดปกติ ที่แท้ก็ถูกพ่อขี้เมาขายทิ้งหมดนี่เองตัวฉันสั่นอย่างกับเจ้าเข้าจนพ่อถึงกับสะดุ้งเฮือกแล้วไปหลบหลังเสา น้ำตามากมายพากันคลอเมื่อนึกถึงสิ่งของพวกนั้น ของที่ฉันรักมันไม่ต่างจากคนในครอบครัว

            ของพวกนั้น

            “เฮ้ ใจเย็นๆ” เมื่อเกล้าเห็นว่าอาการฉันไม่ค่อยดี เขาจึงพยายามใช้น้ำเสียงที่อ่อนลงเพื่อสงบสติอารมณ์ฉัน “นึกถึงของที่ยังมีอยู่ที่บ้านเธอดู น่าจะช่วยให้ดีขึ้นได้”

            “แต่แต่ของที่นี่หายไปหมดแล้วอ่ะ ฮืออ!

            อีตาเกล้าเงอะงะอย่างที่ไม่เคยเป็นก่อนราวกับหลุดมาด เขายืนนิ่งสักพัก และด้วยความไม่รู้ว่าจะทำยังไง สุดท้ายเกล้าก็ตบหัวฉันแปะๆ อย่างพยายามปลอบ ฉันสะดุ้งเฮือกกับสัมผัสของเขาที่ถึงแม้จะแข็งกระด้าง แต่มันแฝงไปด้วยความอบอุ่นมากพอที่จะทำให้ฉันใจเต้นกับผู้ชายมาดนิ่งคนนี้

 แต่วินาทีถัดมาเหมือนเขาจะรู้ตัวว่าเผลอจึงผละออกไป

            อยากให้เผลอบ่อยๆ จัง รู้สึกดีกว่าหาของสะสมที่ทำหายไปเจออีกอ่ะ T_T

            “แหม เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อหรือเปล่านะ” หลังจากที่เกิดเดดแอร์มาสักพัก พ่อก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ

            พอท่านแซว เกล้าก็กลับเข้าสู่โหมดนิ่งเงียบในเวลาไม่กี่วินาที ฉันที่ได้แต่เขินค้างเลยโวยวายกลบเกลื่อน “พ่อไม่ต้องมาพูดเลย ของ” ฉันสูดหายใจลึก พยายามตั้งสติ “ของทั้งหมดที่ขายไปนี่รวมสร้อยด้วยใช่มั้ยคะ”

            “ช่ายยยพ่อห่อใส่กล่องเตรียมไว้เซอร์ไพรส์เป็นของขวัญวันเกิดลูกปีนี้”

            “โอ๊ย พ่อ”

            “แง้ มันผิดที่ลูกเกิดช้ากว่างานปาร์ตี้พ่อนั่นแหละ”

            “มันคนละประเด็นแล้วค่ะ =__=

            “กล่องสีอะไรเหรอครับ” เกล้าถามแทรกขึ้น หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่นานเพราะเหตุการณ์ชวนทำตัวไม่ถูกเมื่อครู่นี้

            “สีส้ม ไม่มีลาย”

            “แล้ว” ในขณะที่เกล้ากำลังจะพูดออกมา เสียงตึงตังก็ดังเข้ามาพร้อมกับร่างสูงปลิวลมของไอ้หอยขมที่วิ่งมาอย่างรวดเร็วราวกับไล่ควาย ขมคือเด็กชายอายุสิบเจ็ดปีซึ่งเป็นลูกของป้าแม่บ้านเก่าที่เพิ่งเสียไป แกฝากฝังให้พ่อดูแล แลกกับการที่มันจะเป็นผู้ดูแลบ้าน ปัดกวาดเช็ดถูให้ เรียกง่ายๆ ว่าเหมือนเมดประจำบ้านเลยแหละ

            ขมวิ่งหอบของพะรุงพะรัง มาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเราสามคน ก่อนก้มหน้าหอบด้วยความเหนื่อย “เห็นว่าพี่องศาจะกลับมา ผมเลยไปซื้อของที่พี่ชอบมาให้ แฮ่กๆ”

            “เหรอ” ฉันรับคำสั้นๆ แล้วเดินไปเชยคางขมขึ้นมาสบตากับฉัน และเมื่อเจ้าตัวผอมแห้งเงยหน้าขึ้นมามอง มันร้องเฮือกทีหนึ่งในขณะที่หน้าถึงกับถอดสีเพราะฉันได้กลายร่างเป็นยักษ์ขมูขีไปกระชากคอเสื้อมันเรียบร้อยแล้ว “แกเอาของที่พ่อสั่งให้ขายไปขายที่ไหน!!

            “ผะผมเอาไปขายหลายที่ แอ้ก! ผมจำได้ไม่หมดหรอก” ขมส่งเสียงร้องเป็นคางคกโดนสิบล้อเหยียบเมื่อฉันกระชากคอเสื้อให้สูงกว่าเดิมจนรั้งคอมัน

            “แล้วแกก็เอาไปขายง่ายๆ เหรอ ทำไมไม่เก็บไว้ก่อนฮะ ไอ้…!!

            “ก็ช่วงนั้นผมไม่มีเงินนี่ คุณท่านไม่ให้เงินเดือนผมมาสองเดือนแล้ว”

            เมื่อพ่อรู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุอีก ท่านจึงถลามาดึงแขนฉันไว้เพื่อหลบหลีกความผิด “องศาใจเย็นก่อนลูก เดี๋ยวน้องได้ตายก่อนจะตอบคำถามครบหมดนะ”

            อ๊ากก! อยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้ร้าวไปยันลพบุรีเลย เครียด!!

            “ต่อไปนี้พ่อตอนเมาสั่งให้แกทำอะไร ไม่ต้องไปเชื่อฟังนะยะ!” ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนแทบจะดูดไอ้หอยขมติดเข้าไปในจมูกแล้วถอนหายใจออกมายาวๆ ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนอารมณ์เย็นลงจึงพูดต่อ “เอาเถอะ จำได้ไม่หมดไม่เป็นไร แค่กล่องสีส้มก็พอ”

            “มันจะเป็นกล่องของขวัญ มีโบว์สีขาวคาดไว้อยู่ ขนาดประมาณนี้” พ่อให้ข้อมูลต่อพลางทำมือประมาณขนาดกล่องให้ขมจำได้

            “อ๋อ ชิ้นนี้ผมเอาไปขายตลาดนัด”

            พอได้ยินแบบนี้ ควันก็ออกจากหูฉันอีกรอบด้วยความโกรธา นี่แกบังอาจเอาของสำคัญขนาดนั้นไปขายตลาดนัดได้ไงยะ ไอ้หอยกาบบ!!

 เด็กหนุ่มตรงหน้าสะดุ้งเฮือกเมื่อฉันส่งเสียงคำรามในลำคอ แต่มันก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่สนใจฉันแล้วเปล่งเสียงสั่นๆ ก้มหน้าเล่าให้ฟังต่อด้วยความกลัว

 “มีผู้ชายคนหนึ่งมาซื้อไป เขาตัวสูงมาก น่าจะเกือบร้อยเก้าสิบได้”

            “แกหลงรักเขาเหรอ จำได้ละเอียดขนาดนี้”

            “โธ่ พี่องศา ให้ผมมีข้อดีอย่างความจำเป็นเลิศบ้างเถอะ ตั้งแต่ออกมาก็โดนแต่เรื่องดีงามทั้งนั้น -*-

            “คนความจำดีเขาไม่ลืมหรอกย่ะว่าเอาของไปขายที่ไหนมาบ้าง” ฉันส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอแล้วเดินไปจับหน้าไอ้ขมให้เงยขึ้น ไม่รู้จะก้มอะไรนักหนา หาเห็บกินรึไง

 “เลิกก้มหน้าได้แล้ว ฉันไม่ใช่เมดูซ่า สบตาฉันแกก็ไม่กลายเป็นหินหรอก”

            “พี่องศาน่ากลัวกว่านั้นอีก”

            “เงยหน้าขึ้นมา!

 “ครับ!” แต่เมื่อขมเงยหน้าขึ้นมามันก็เบิกตากว้างแล้วร้องดังลั่นพลางชี้นิ้วผอมแห้งไปยังอีตาเกล้าที่ยืนทำหน้านิ่งจนตะคริวแทบกินอยู่ข้างๆ ฉัน

 “คุณคุณคือลูกค้าที่ซื้อกล่องส้มๆ นั้นไปนี่!!

 พ่อฉันอ้าปากค้าง ขณะที่ฉันหันขวับไปหาเกล้าแล้วมองเขาด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก จากพวกเราทั้งหมดสี่คน เห็นจะมีก็แต่หมอนี่แหละที่ยักไหล่ ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนแล้วพึมพำกับตัวเอง

 "ฉันว่าแล้วเชียว"

            “ฮือ ผมรอดตายแล้ว” หอยขมคร่ำครวญ แทบจะกราบแนบอกอีตาเกล้าผู้มีพระคุณ

            โอ๊ยมีเรื่องอะไรวุ่นวายกว่านี้อีกมั้ย ปวดกบาล!!

 

            พวกเราทานข้าวเย็นกันที่บ้านของพ่อเพราะท่านคะยั้นคะยอให้อยู่ ฉันเองที่ไม่ต้องรีบอะไรแล้วเพราะรู้ว่าสร้อยอยู่กับเกล้าจึงต้องอยู่ด้วยอย่างเสียไม่ได้ พ่อถามเกล้าซะพรุนเลยว่ามารู้จักกันได้ยังไง ดังนั้นสุดท้ายเลยต้องเล่าเรื่องประกันความรักให้ท่านรู้อยู่ดี ซึ่งแน่นอนว่าท่านสนับสนุนเต็มที่เพราะมองว่ามันช่างบันเทิง แถมมีการให้ฉันอัพเดตความคืบหน้าเป็นระยะๆ ด้วยนะ

สนุกไปมั้ยพ่อ -_-;;

หลังทานข้าวเสร็จฉันและเกล้าจึงพากันมานั่งเล่นหลังบ้านเพื่อย่อยอาหารก่อนจะกลับ อืมก็ไม่เชิงนั่งเล่นหรอก อันที่จริงมันถึงช่วงเวลาที่ฉันจะหนีเรื่องที่ต้องตกลงกับเกล้าไม่ได้แล้วต่างหาก

            เอาเถอะ ฉันเองก็อยากจะทำให้ชัดเจนสักที เหนื่อยกับการวิ่งไล่ตามกันเป็นหนังอินเดียแล้ว

 “ตกลงว่าสร้อยอยู่กับนายสินะ” ฉันเปิดประเด็นขึ้นในระหว่างที่อีตาเกล้ากำลังนั่งเหม่อมองพระจันทร์อยู่ เขาจ้องมันอยู่นานมากราวกับกำลังขอพร จนฉันสะกิด หมอนี่ถึงจะหันกลับมาแล้วตอบคำถาม

            “ใช่” ก็ได้ยินนี่นา ทำไมถึงเอาแต่เหม่อล่ะ -_-

            “นายเอามาคืนฉันได้รึเปล่า”

            “ไม่” เกล้าพูดด้วยสีหน้าราบเรียบหากทว่าแววตาสีดำสนิทกลับฉายแววเจ้าเล่ห์จนฉันนึกอยากจะเอานิ้วจิ้มซะให้เข็ด “ฉันซื้อกล่องนั่นมาสองพัน”

            “อะไรนะ!!

            “สองพัน”

            โอ้โห คนขายขายราคานี้ก็ว่าบ้าแล้ว คนซื้อไปนี่บ้ากว่าอ่ะ -O-

            “นายก็บ้าจี้ไปซื้อตามไอ้ขมมันเนอะ จะเอาเงินคืนมั้ย เดี๋ยวไปทวงให้”

            “ไม่เป็นไร” เกล้าไหวไหล่เบาๆ “ฉันคืนของเธอแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”

            “หมายความว่าไง”

            “เรามาสร้างข้อแลกเปลี่ยนให้เธอยอมให้ฉันประกันความรัก แลกกับการที่ฉันคืนสร้อยเธอหลังจบโปรเจกต์ดีมั้ย”

            คำถามของเกล้าทำให้ฉันชะงัก ไม่ใช่เพราะตกใจที่เขาเสนอเงื่อนไขนี้มาเพราะพอจะเดาทางออก ยังไงดีล่ะ ถ้าเป็นฉัน ฉันก็จะทำแบบเดียวกันกับเขา

แต่ที่น่าแปลกใจคือหมอนี่ไม่บังคับเขาถามความเห็นฉันโดยปราศจากการบีบให้จนมุม

           เกล้ามันล้มหัวฟาดพื้นมารึเปล่าอ่ะ -_-

           “นายโอเคแน่นะ” ฉันถามด้วยความหวาดๆ พลางลุกขึ้นไปสำรวจตามร่างกายของเขา ส่องๆ ตามกะโหลกเผื่อสมองได้รับการกระทบกระเทือนอะไร

           “ทำอะไรของเธอ”

           “นายกำลังถามความเห็นฉัน?”

           “ไม่ถามเธอ แล้วจะไปถามใคร” ร่างสูงขมวดคิ้วด้วยความงงงวย

           “ทำไมอยู่ดีๆ นึกอยากจะถามความเห็น ปกติก็บังคับซะเหมือนฉันเป็นทาสในเรือนเบี้ยเลย -_-

เกล้าขยับตัวไปมาเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินคำถามนี้ อันที่จริงตอนแรกฉันก็โกรธนะที่เขาเอาแต่บังคับ แต่พอใจเย็นลงและเริ่มคลุกคลีกับคนอย่างหมอนี่มากขึ้นมันเลยทำให้เริ่มปรับตัวได้ ไม่สิเรียกว่าเราปรับตัวเข้าหากันจะดีกว่า เพราะเขาก็กำลังลงให้ฉันอยู่ไง

แต่มันก็อดกัดไม่ได้นี่นา ขอเอาคืนสักหน่อยเถอะ

“จริงๆ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่

           “

           “แค่” เกล้าสบสายตาฉันสักพักก่อนจะเบือนหน้าหนีแล้วพูดเบาๆ “ไม่มีอะไร”

           “อะไรของนายเนี่ย คนอุตส่าห์รอฟัง”

           “จะรู้ไปทำไมล่ะ มันไม่ได้สำคัญอะไร”

           “ก็ฉันอยากรู้นี่”

           “นั่นมันเรื่องของเธอ ไม่ใช่หน้าที่ที่ฉันต้องตอบ” แต่เกล้าก็ยังคงเป็นเกล้าค่ะ ไม่ว่าจะร้อนจะหนาวแค่ไหนหมอนี่ก็ยังคงคีพลุคด้วยการตอบคำถามแบบครึ่งๆ กลางๆ เว้นที่ว่างให้ฉันได้คิดเองเออเองสารพัดอีกตามเคย

           งั้นขอสรุปว่าฉันสวยแล้วกัน หมอนี่เลยยอมอ่อนลงให้ จบ!

           “กลับมาเรื่องที่เราต้องตกลงกันต่อ” เกล้าเอ่ยขึ้นมาในความเงียบ ฉันเลยได้แต่ทำปากขมุบขมิบล้อเลียนซึ่งเจ้าตัวก็ทำเป็นมองไม่เห็น เขาตีหน้านิ่งและเอ่ยเสียงเรียบ “เธอจะทำตามข้อแลกเปลี่ยนมั้ย”

           “ก็ได้” ฉันพยักหน้าตกลงไปในที่สุด เพราะมองไม่เห็นทางอื่นที่จะได้สร้อยคืน จะว่าไปมันก็มีแหละ เช่น บุกปล้นบ้าน เอามีดจี้

           ทำไมแลดูรกสังคมจังล่ะฉัน -_-

           นั่นแหละเพราะฉันไม่คิดจะทำอย่างนั้นไง เลยเห็นว่าการเออออห่อหมกไปกับเขาก็ไม่ได้เสียหายอะไรมาก

“อีกอย่างสัญญาก่อนได้มั้ยว่านายจะดูแลสร้อยเส้นนี้ให้ดี และต้องมาเจอฉันทุกวันเพื่อให้เช็คสร้อย”

“ไม่เผื่อว่าฉันจะมีธุระปะปังอะไรบ้างรึไง”

           “งั้นก็วิดีโอคอล เฟซไทม์อะไรก็ได้ให้ฉันยังเห็นสร้อย โอเคมั้ย”

           เกล้านิ่งคิดไปนาน แต่ในที่สุดหมอนี่ก็ยอมพยักหน้า “ตกลง”

           ได้ยินดังนั้นฉันจึงยิ้มกว้างออกมาอย่างโล่งใจที่การตกลงกันครั้งนี้เป็นไปด้วยดีทั้งสองฝ่ายและไม่ทะเลาะกัน เบื่อแล้วที่จะมานั่งเถียงกับหมอนี่ หมดพลังงานไปเยอะมากกับการเล่นเกมจิตวิทยากับเขา

           หลังจากนี้ก็ขอให้อยู่กันอย่างสันติแบบนี้ไปตลอดแล้วกัน

           “เหลืออีกอย่างที่เราต้องตกลงกัน” เจ้าของนัยน์ตาคมกริบเอ่ยเสียงเรียบ “ตกลงเธอต้องการรูปแบบประกันความรักยังไง”

“คิดยากเหมือนกันนะ” พอเขาถามมาฉันจึงขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด เพราะมันเป็นเรื่องที่ใหม่สำหรับฉันมาก เมื่อเห็นฉันคิดหนัก ผู้ชายตรงหน้าเลยพยายามจำกัดวงให้แคบเพื่อจะให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

“เอางี้ จุดหลักของโปรเจกต์คือส่งคนมาดามใจถูกมั้ย ซึ่งดามใจในที่นี้คือการทำสิ่งไหนก็ได้ที่มันจะส่งผลให้ลูกค้ารู้สึกดีขึ้นจากอาการอกหัก แม้ไม่มีคนรักใหม่ก็ตาม”

“งั้นฉันต้องคิดให้ออกว่าสิ่งที่จะทำให้ดีขึ้นคืออะไร”

           “แล้วเธอคิดว่ามันคือ?”

           “ผู้ชาย” ด้วยความปากไวทำให้ฉันพูดในสิ่งที่คิดแทบจะทันที เกล้าถึงกับนิ่งไปก่อนจะเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมา  ยิ้มที่เป็นยิ้มมาจากใจอ่ะแก!! ตอนนี้บอกเลย องศาไม่นึกถึงภาพลักษณ์แล้วค่ะ ขอจ้องแบบนี้อีกสักพักเถอะ โลกสีจมปูวว~

           “งั้นการประกันของฉันคงสมบูรณ์แบบมากๆ” เกล้าพูดด้วยท่าทีสบายๆ และยักคิ้วข้างหนึ่งอย่างโคตรจะละลายหัวใจ แต่ฉันก็อดงงกับคำพูดที่ต้องตีความของเขาไม่ได้

           

            เอ่อหมอนี่กำลังชมตัวเองอยู่สินะ พอบอกว่าผู้ชายทำให้ฉันดีขึ้นได้ปุ๊บ การประกันของตัวเองนี่ดีงามพระรามแปดมาทันทีเลย

            ให้ตาย! มุมนี้ของเกล้าทำฉันใจแกว่งแปลกๆ

            “ไม่ยักรู้ว่านายจะมีมุมหลงตัวเองกับเค้าเหมือนกัน”

            “ยังมีอีกหลายอย่างที่เธอไม่รู้” พอเขาพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น มันเลยทำให้ฉันอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ เหมือนกับว่าพอฉันกำลังจะไปถึงตัวของเขา เกล้าก็ผลักออกมา เป็นแบบนี้มาตลอดทุกทีที่เจอกันจนฉันสงสัยว่าจริงๆ แล้วเกล้าเป็นคนยังไงกันแน่

            “เรื่องของนายเถอะย่ะ” แต่จนแล้วจนรอดก็ได้แต่พูดบ่ายเบี่ยงประเด็นไปให้ฉันรู้สึกไม่อึดอัดมาก เอาเถอะ สองเดือนต่อจากนี้ก็หวังว่าจะเข้าใกล้หมอนี่ได้มากขึ้นกว่านี้ล่ะนะ

 “ตกลงมีแค่ผู้ชายรึไงที่ทำให้เธอดีขึ้นได้”

            “จะบ้ารึไง ฉันล้อเล่น!” ฉันขมวดคิ้วพลางมองแรงไปให้เกล้า พยายามไม่สนใจอีตาบ้านี่แล้วลองทบทวนตัวเองเพื่อตอบคำถามของเขา

 “อืมมม ฉันมักจะรู้สึกดีมากเวลามีคนมาทำอะไรให้โดยเฉพาะครั้งแรกที่พวกเขาทำล่ะมั้ง ทั้งการซื้อของให้ครั้งแรก การสอนการบ้านครั้งแรก หรือแม้กระทั่งการให้ยืมเงินครั้งแรก

 “อันหลังนี่ไม่น่าเกี่ยว -_-

 “นายไม่เข้าใจหรอกว่าเวลาลืมเอากระเป๋าเงินมาเรียนมันแย่แค่ไหน”

 “ฉันเข้าใจก็ได้” เกล้าพยักหน้าแบบขอไปทีก่อนจะนิ่งคิด สักพักใหญ่ๆ ก่อนที่เขาจะพูดออกมา “สรุปว่าเธอรู้สึกดีเวลาใครทำอะไรให้โดยเฉพาะครั้งแรกนั่นหมายความว่าเพราะมันเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้รับรึเปล่ามันเลยดูพิเศษ”

 “น่าจะใช่แหละ ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ”

 “งั้น” รอยยิ้มมุมปากปรากฏบนริมฝีปากหยักลึกได้รูปอีกครั้ง “การประกันของเธอคือการประกันแบบ Check list ละกัน”

 “ยังไง”

 “เธอมีการบ้านต้องทำคืนนี้คือเขียนมาว่าสิ่งที่เธอไม่เคยได้รับจากคนอื่นๆ คืออะไรบ้าง สิ่งที่คิดว่าจะทำให้รู้สึกดีถ้าได้รับมัน แล้วฉันจะทำตามสิ่งที่เธอเขียน”

 “

 “ลิสต์มา แล้วฉันจะทำสิ่งพวกนั้นให้เธอ พอทำสำเร็จก็จะเช็คว่าทำแล้ว เข้าใจยัง” พอเห็นฉันพยักหน้าหงึกๆ เกล้าก็พูดขยายความต่อ “ถ้าแบบแคบๆ หน่อยก็อาจจะคิดว่าอยากได้อะไรจากแฟนเก่าเธอก็ได้ สิ่งที่หมอนั่นไม่เคยทำให้ จะได้เชื่อมกับความรักบ้าง”

 “อันที่จริงกับหมอนั่นจะให้ใช้ว่าความรักก็ยังไม่ถูกซะทีเดียวนะ”

 “พอจะรู้อยู่หรอก แต่คำว่าแฟนกับความรักมันเป็นของที่ต้องมาคู่กันอยู่แล้วในเซนส์ของคนทั่วๆ ไปไง”

 “เข้าใจยากจัง ฉันรักสิ่งของของฉันแหละดีแล้ว น่ารักกว่าตั้งเยอะ”

 เกล้ายักไหล่ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “พรุ่งนี้มีเรียนมั้ย”

 “มี”

 “เอาลิสต์มาให้ฉันดูพรุ่งนี้ หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จจะไปหา”

 “งั้นเจอกันที่ร้านกาแฟใต้คณะฉันแล้วกัน”

 “ได้” ร่างสูงพยักหน้าเบาๆ เขาเดินนำออกไปจากสวนนี้เพื่อจะกลับบ้านซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่าการเจรจาของพวกเราถือว่าเป็นอันเรียบร้อย “ลิสต์มาให้เสร็จภายในคืนนี้นะ”

ยังไม่วายหันมาสั่งฉันอีก -*-
           “ไม่"
           ถึงจะพูดแบบนั้น แต่พอเจอพลังสายตาสะท้านปฐพีไปอีกรอบฉันเลยได้แต่พยักหน้าอย่างยอมจำนน ไว้ค่อยหาทางแก้แค้นทีหลังแล้วกันอีตาหัวดำจอมเผด็จการ!

 

            วันต่อมา
            ฉันเดินมาร้านกาแฟใต้คณะด้วยสภาพไม่ต่างจากซอมบี้ เนื่องจากสมรภูมิรบเมื่อคืนที่นอกจากจะต้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมควิซกับอาจารย์สุดโหดแล้ว ฉันยังต้องมานั่งลิสต์ตามคำบัญชาการของอีตาเกล้าอีก กำลังสงสัยว่าตัวเองรอดมาได้ยังไงอยู่เนี่ย ฮือ!

            กริ๊ง~

            เมื่อผลักประตูร้านเข้าไป กลิ่นหอมกรุ่นจากกาแฟทำให้รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย สายตาฉันสอดส่องไปทั่วร้านจนกระทั่งเจอร่างสูงหัวดำๆ กำลังยืนสั่งกาแฟอยู่ที่เคาน์เตอร์

 หมอนี่ต้องชดใช้ที่ทำให้ฉันต้องถ่างตามานั่งเขียนลิสต์

            “ขอลาเต้เย็นให้ฉันแก้วนึงฉันเดินไปหาเกล้าแล้วบอกกับเขา แม้จะดูงงๆ แต่เขาก็ยอมพยักหน้ารับ

            หลังจากสั่งเสร็จสรรพฉันก็จัดแจงหาที่นั่งในซอกของร้านอย่างที่ชอบนั่งประจำ นั่งรอสักพักอีตาเกล้าก็เดินเอาลาเต้มาเสิร์ฟก่อนที่เจ้าตัวจะนั่งลงตรงกันข้ามกับฉัน

            “ลิสต์มารึยัง

            “เรียบร้อยแล้ว ฉันนั่งลิสต์ทั้งคืนเลย เพราะงั้น…” ฉันบ่นอุบ พลางบุ้ยปากไปที่ลาเต้เพื่อบอกว่านี่คือของตอบแทนที่เขาต้องให้ฉัน เกล้าไหวไหล่เบาๆ เชิงยังไงก็ได้แล้วเข้าเรื่องต่อ

            “ขอดูหน่อย

           ฉันจึงหยิบลิสต์ที่ยาวเป็นหางว่าวมาให้เกล้าดู ผู้ชายฝั่งตรงข้ามตะลึงเพริดไปเลยเมื่อเจอข้อความยาวเหยียด จริงๆ มันก็ไม่เยอะนะ แค่เกือบๆ ร้อยข้อเท่านั้นเอง (. .)

            “ไม่แปลกใจที่เธอทำทั้งคืนร่างสูงตีหน้านิ่งพลางถอนหายใจออกมา เขาจิบกาแฟร้อนของตัวเองโดยมีฉันมองตามไม่ห่าง เฮ้อทำไมทุกการกระทำของหมอนี่ช่างน่าดึงดูดจนอยากจะเก็บกลับไปมองที่บ้านขนาดนี้ล่ะ พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรมที่ให้ความดูดีมาลงที่หมอนี่คนเดียว ซึ่งพอเขาอยู่กับฉัน ฉันดูเหมือนคนรับใช้ไปในทันที

            ช่างแตกต่างกันจนไม่คิดว่าโลกจะเหวี่ยงให้มาเจอ

            “พอใช้ได้มั้ยฉันถามหลังจากที่คุณชายนั่งซดกาแฟและจ้องลิสต์นานมากจนฉันแทบหลับ

            “มันใช้ได้ มากเกินไปด้วยซ้ำคนตรงหน้าถลึงตาใส่ฉันแล้วพ่นลมหายใจเข้าออกช้าๆ อย่างพยายามจะใจเย็น ส่วนใหญ่ที่เธอเขียนมามันคือเรื่องซ้ำๆ หัวข้อเดียวกันที่รวบได้

            “แต่มันไม่เหมือนกันซะทีเดียวนะ จะเอามารวมกันได้ไง

            “ฉันให้ของเธอ กับเธอให้ของฉันเปลี่ยนมาเป็นแลกของกันก็จบ

            “งั้นรวบเองเลยย่ะ ฉันคิดแบบนายไม่ได้นี่ก็ไม่รู้ทำไมว่าต้องเขียนแบบนั้นไป แต่ในความคิดของฉันคือมันเป็นคนละประเด็นไง ต่อให้ตีลังกาคิดให้ตายฉันก็เอามารวมกันไม่ได้หรอก -_-

            เกล้านิ่งไปสักพักก่อนที่เขาจะพึมพำออกมา เหมือนฉันจะเข้าใจอะไรแล้วล่ะ

            “อะไร

            “เธอเอางี้ดีกว่า เธอกับฉันมาช่วยกัน ให้ฉันทำคนเดียวเธอจะไม่ได้ฝึก

            “ฝึกอะไรของนายฉันล่ะงงกับการกระทำของเขาแต่ละอย่าง แล้วมันก็ยิ่งน่าหงุดหงิดตรงที่อีตานี่ไม่ยอมบอกอะไรฉันเลย

            เกล้าเมินคำถามของฉัน เขายักคิ้วเป็นเชิงให้สนใจที่ลิสต์ เกือบร้อยข้อเวลาสองเดือนไม่น่าพอ มาตัดข้อที่ไม่จำเป็นทิ้งแล้วกัน

            “มันจำเป็นหมดเลยนะ ให้ตัดฉันทำไม่ได้หรอก

            “ฉันจะช่วยเธอเองเกล้าพูดอย่างมาดมั่นก่อนจะก้มหน้าลงไปอ่านลิสต์ ซึ่งพออ่านได้สักพักเขาถึงกับเงยหน้ามามองฉันด้วยแววตาหวาดระแวง “นี่เธอจะให้ฉันคอสเพลย์ใส่หูแมวจริงๆ เหรอ” เกล้าพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่ทว่านัยน์ตากลับสื่อความกังวลอย่างปิดไม่มิด ก่อนที่เขาจะตัดสินใจหยิบปากกาขึ้นมาและเริ่มขีดฆ่าข้อที่ไม่คิดจะทำ

            “ไหนบอกจะยอมทำตามที่ขอไง”

            “ลองคิดว่าถ้าเป็นตัวเองเธอจะทำมั้ย”

            “ทำนะ ใส่หูแมวน่ารักจะตาย ( ‘ ‘ )”

            -___-

เขาเหล่ตาขึ้นมามองแล้วก้มลงไปขีดๆ เขียนๆ ตามเดิมโดยไม่สนใจฉันอีก ฉันทนไม่ได้ที่เขามาบังอาจตัดของฉันทิ้งจึงลุกไปนั่งข้างๆ เกล้าแล้วชะโงกหน้าเข้าไปเพื่อดูว่าเขาขีดอะไรไปแล้วบ้าง แต่ไม่กี่นาทีต่อมาเหมือนหมอนี่จะรู้ตัวว่าต้องฝึกฉัน (ตามที่เจ้าตัวบอกอ่ะนะ) เขาจึงเงยหน้าขึ้นมามอง นัยน์ตาสีดำสนิทสบตาฉันนิ่งสักพักก่อนจะพยายามอธิบาย

“เธอต้องจัดหมวดหมู่และเลือกที่จะตัดทิ้ง สิ่งที่ใกล้เคียงหรือความหมายคล้ายกันสามารถรวบได้ แต่ถ้าอันไหนเกินความสามารถฉันก็ให้ตัดทิ้ง โอเคมั้ย”

            “แต่ใส่หูแมวมันไม่เกินความสามารถนายนี่นา (. . )”

            “ยังไม่จบกับหูแมวอีกเหรอ” เกล้าเริ่มส่งสายตาโหดๆ มาให้ ฉันเลยแลบลิ้นใส่ก่อนจะ (พยายาม) ตั้งใจทำตามที่เขาบอก

            อืมพอเขาบอกมาแบบนี้ ฉันจึงเริ่มแยกได้แล้วล่ะว่าควรรวบ เก็บ หรือตัดอันไหนทิ้ง

            จะว่าไป การมีหมอนี่เข้ามาในชีวิตไม่แย่อย่างที่คิดแฮะ

            “เฮ้ยๆ ปั่นจักรยานให้ซ้อนท้ายนี่เก็บไว้เลยนะ ข้อสำคัญ” ฉันแทบกรีดร้องเมื่ออีตาเกล้ากำลังจะขีดฆ่าข้อนี้ทิ้ง “ฉันรู้ว่านายปั่นจักรยานได้ ห้ามตัดทิ้ง”

            ผู้ชายข้างๆ ไม่พูดอะไรนอกจากเลื่อนปากกาไปขีดข้อถัดมาแทน ฉันแอบร้องไห้เบาๆ แต่ก็พยายามยอมรับว่าร้อยกว่าข้อในเวลาเพียงสองเดือนนี่หนักไปจริงๆ

            และในระหว่างที่เรากำลังตัดลิสต์ (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเกล้าซะมากกว่าที่ทำเอง แม้เขาบอกว่าจะฝึกฉันก็เถอะ) เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งดังเข้ามาใกล้และหยุดอยู่ข้างหน้าพวกเรา พอเงยขึ้นไปมองก็เจอกับผู้หญิงวัยกลางคน หน้าตาสละสลวย ดูภูมิฐานที่กำลังยิ้มขี้เล่นมาให้

            อาจารย์ประจำวิชาฮิวเมนรีของอีตาเกล้านั่นเอง

            ถ้าถามว่ารู้จักได้ไงฉันเคยลงเรียนวิชาจิตวิทยาพื้นฐานของท่านยังไงล่ะ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ฮิวเมนรีคือวิชาที่นำอาจารย์จิตวิทยามาสอนนั่นเอง ฉันยกมือไหว้ในขณะที่ท่านมานั่งร่วมโต๊ะกับพวกเรา

            “โปรเจกต์คืบหน้าไปถึงไหนแล้วนิสิต” ท่านเอ่ยปากถามเกล้า โดยที่ฉันได้แต่นั่งเงียบๆ ดูดลาเต้เย็นของตัวเองเพื่อฟังบทสนทนาของทั้งคู่

            “รูปแบบการประกันของเคสผมเป็นแบบ Check list ครับ เราตกลงกันว่าองศาจะลิสต์สิ่งที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อน แล้วผมจะทำตามนั้นให้ครับอาจารย์”

            “เข้าท่าดีนะ ไหนเอาลิสต์มาให้อาจารย์ดูหน่อยสิ” ท่านยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ส่งให้ ฉันเลยได้แต่ยิ้มแหยๆ กลับไปเพราะรู้สึกกระดากที่ลิสต์เป็นร้อยข้อแสนติ๊งต๊องนั้นต้องเอาให้ผู้ใหญ่ดู ฮือ มันเหมือนศูนย์รวมความปัญญาอ่อนของฉันอ่ะ มีทั้งพากันไปเล่นบ้านบอล กระโดดยาง โอ๊ย! สารพัดจะขนมา

            เมื่ออาจารย์อ่านลิสต์ ท่านนิ่งมากและเดาทางไม่ถูก ทั้งโต๊ะเงียบไปนานจนฉันกังวล

            “ผมว่าร้อยข้อนี่ไม่น่าทัน” ผู้ชายข้างๆ ฉันแสดงความคิดเห็นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศเมื่อผู้หญิงฝั่งตรงข้ามกำลังแสดงสีหน้าที่หลากหลายเนื่องจากเห็นสิ่งที่ฉันอยากได้

            บอกแล้วไงว่าลิสต์มันโคตรพิลึก ทำให้ผู้ใหญ่มีสีหน้าแบบนี้นี่ไม่ธรรมดาเลย T_T

            “ไปช่วยกันตัดให้เหลือแค่สิบข้อพอนะนิสิต” รอยยิ้มขบขันของท่านถูกส่งมาให้เป็นระยะๆ จนฉันต้องก้มหน้างุดและยอมรับสิ่งที่เสนอมาอย่างช่วยไม่ได้

            “ได้ค่ะ/ครับ”

 “แล้วก็นิสิต” อาจารย์หันไปคุยกับเกล้า

            “ครับ”

            “อาจารย์รู้แล้วว่าจะประเมินเคสของเธอในโปรเจกต์ยังไง” หญิงวัยกลางคนแสนทรงเสน่ห์ยิ้มแพรวพราว นัยน์ตาที่แวววาวเป็นประกายทำให้ฉันรู้สึกขนหัวลุกอย่างบอกไม่ถูก “พอตัดให้เหลือสิบข้อแล้ว

            พวกเรากลั้นหายใจ ทั้งห้องเงียบลงไปถนัดตา จะได้ยินก็แต่เสียงหัวใจที่เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น

            “ทำให้ครบทั้งสิบข้อ แล้วอาจารย์จะให้เธอผ่านโปรเจกต์ทันที!

 

 

 

                  <<< Talk >>>

                  เฮลโหล อิๆ เจอกันอีกแว้วว เป็นไงกันบ้างคะ ทิ้งคอมเมนต์ไว้ได้เลยนะ ^_^

                  ขอขอบคุณกรรมการทุกท่าน และขอบคุณพี่อายสำหรับคอมเมนต์นะคะ น้องจะพัฒนาตัวเองต่อไปค่ะ <3 

                  ขอบคุณนักอ่านทุกคน ทั้งเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในโครงการ และอื่นๆ อีกมากมายที่ช่วยดูให้ (ซึ้งใจ T_T) ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์นะคะ เราอ่านหมดทุกอันเลย น่ารักมากกกก  >_<

                  ฝากอ่าน เมนต์ โหวตกันต่อน้าา

                  เจอกันตอนหน้าค่ะ เลิฟฟ ^3^

 

                  ..1 ชื่อตอนอาจส่อ แต่มันมีความหมายซ่อนอยู่ในนั้นน้า ลองเอาไปคิดเล่นๆ ดูฮะ ติ๊กต๊อกๆ 55555 ถ้าไม่เหมาะไม่ควรยังไงขออภัยมา ณ ที่นี่ค่ะ

                  .. 2 วันนี้มีอิมเมจมาฝากค่ะ ไม่ใช่ตัวละคร (อันนั้นไปจิ้นกันเอาเองตามใจชอบ -.,-) แต่เป็นสร้อยนั่นเอง! ขอบคุณภาพสวยๆ จากพี่ญา (Natsume) JLS09 ค่ะ ไปอ่าน เมนต์ โหวตโลดดด

                  .. 3 พี่อายคะ ตอนนี้น้องเรียนอยู่ปีสองง้าบบ >O<


สร้อยเด็กผู้หญิง


สร้อยรูปหัวใจ

 

ความเห็นที่ปักหมุด
  1. #8 (จากตอนที่ 3)
    2017-01-30 00:46:26
    ชอบคุณพ่อมากเลยค่ะ 55555 อ่านแล้วอมยิ้มแก้มปริ่ม
    เกล้าก็น่ารัก อยากได้มาประกันมั่ง #โดนแฟนตบ 555555
    การบรรยายก็ไหลลื่นดี อ่านไม่มีสะดุด มุกตลกแทรกมาได้จังหวะน่ารักดีค่ะ
    ทำได้ดีนะคะ ตอนต่อไปขอให้ดีแบบนี้หรือดียิ่งขึ้นไปอีกค่ะ
    จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆ ค่า~


    #8

10 ความคิดเห็น

  • 1
  1. #1 (จากตอนที่ 3)
    2017-01-27 07:52:31
    มาแล้วๆๆๆๆ มาวี้ดเกล้าาาาา ฉันชอบนายมากมาย ความจริงอาจารย์น่าจะให้ทำให้ครบ 100 ข้อเลยนะ จะได้อยู่กันนานๆ //ไม่ใช่ล่ะ รอตอนต่อไปนะคะพี สู้วๆๆๆ
    #1
  2. #2 (จากตอนที่ 3)
    2017-01-27 08:07:45
    องศาา องศ๊าาา แค่เกล้ายิ้มนี่ก็จ้องจนเพ้อเลยหรอออ5555
    ขำมากที่องศาคุยกับพ่อ ทำไมพ่อน่ารัก พ่อกรี๊ดด้วยอ่ะ โอ้ยยยย พ่อลูกคู่นี้นิ
    ตื่นเต้นที่เกล้าจะมาเริ่มประกันความรักให้แล้ว แอร่ยย

    รออ่านตอนต่อไปน้าาา สู้ๆ จ๋อมแจ๋มมม
    #2
  3. #3 mookx3 (จากตอนที่ 3)
    2017-01-27 20:47:30
    ชอบเกล้าา ><
    มีความอยากทำประกันความรักบ้าง 
    รอติดตามตอนต่อๆ ไปนะคะ สู้ๆ
    #3
  4. #4 Ggee (จากตอนที่ 3)
    2017-01-28 18:25:08
    อ่านแล้วสนุกมากเลยค่ะคุณจอลลี่  อยากได้คนมาประกันรักบ้างจังเลยค่ะ  ขออย่างเกล้าให้เราสักคน555ว้าย
    ปล.อยากเห็นเกล้าคอสเพลย์หูแมวเหมียวมากค่ะ555
    ปิ้งปิ้ง
    #4
  5. #5 เธบBeijing (จากตอนที่ 3)
    2017-01-28 22:24:08
    พ่อมีความน่ารักระดับสิบ มีความโปรเจคคืบหน้า*0*
    #5
  6. #6 (จากตอนที่ 3)
    2017-01-29 15:31:24
    โอ้ยยย บทนี้เจ๊ชอบพ่อมากกก
    #6
  7. #7 pimuksorn (จากตอนที่ 3)
    2017-01-29 20:57:47
    ยังยืนยันคำเดิมค่ะว่า #ทีมคุณพ่อผู้น่ารัก 5555555555555
    แอบช็อคที่ยัยองศาตอนแรกจะมาเป็นร้อยข้อ ดีนะที่อาจารย์ให้ตัดเหลือสิบข้อพอ
    รอลุ้นเลยค่ะว่าสิบข้อที่ว่านั้นจะมีอะไรบ้างงงง
    รออ่านตอนต่อไปนะจ๋อมน้อยยย
    #7
  8. #8 (จากตอนที่ 3)
    2017-01-30 00:46:26
    ชอบคุณพ่อมากเลยค่ะ 55555 อ่านแล้วอมยิ้มแก้มปริ่ม
    เกล้าก็น่ารัก อยากได้มาประกันมั่ง #โดนแฟนตบ 555555
    การบรรยายก็ไหลลื่นดี อ่านไม่มีสะดุด มุกตลกแทรกมาได้จังหวะน่ารักดีค่ะ
    ทำได้ดีนะคะ ตอนต่อไปขอให้ดีแบบนี้หรือดียิ่งขึ้นไปอีกค่ะ
    จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆ ค่า~


    #8
  9. #9 Kimochii. (จากตอนที่ 3)
    2017-02-02 20:25:07
    องศาหล่อนนี่หื่นถอดแบบไรเตอร์มาจริงๆ ทำไมต้องอยากให้เกล้าใส่หูแมว จะได้ร้องครางเหมียวๆ แล้วก็คลอเคลียหล่อนใช่มั้ยองศา
    เราก็เป็นอีกคนที่ชอบพ่อขององศา พ่อฮา 5555 พ่อมีองค์ขุ่นแม่ประทับอยู่ใช่มั้ยถึงมีกงมีกรี้ด 

    รู้สึกตื่นเต้นเหมือนได้ร่วมเข้าไปตามหาสร้อยกับองศาและเกล้า เราจะเอาตอนต่อไปๆๆ 
    #9
  10. #10 ImNice_pryn (จากตอนที่ 3)
    2017-02-11 00:56:37
    ชอบพ่อ มีความฮา
    ชอบการบรรยายของเธอมากจ๋อมลี่ บอกรอบที่ร้อย -.,-
    กับชอบความมีอะไรแอบแฝงในการกระทำของเกล้า
    ทุกอย่างที่เกล้าทำคือจะมีประโยชน์ต่อทั้งตัวองศาและงานของนางตลอด
    ชอบ -.,- 
    #10
  • 1

แสดงความคิดเห็น