อกหัก รักพัง ไม่ได้ตังค์...แต่ได้ผู้ชาย
ประกันครั้งที่ 3
ร่างกายแลกหัวใจ
“องศา ถึงห้างที่เธอบอกแล้วนะ”
“อืมมม” ฉันค่อยๆ ปรือตาขึ้นมาตามเสียงเรียกเบาๆ ของเกล้าภายในรถคันหรูอันแสนเย็นฉ่ำ ความรู้สึกเฉอะแฉะที่แก้มซ้ายทำให้ฉันยกมือแตะดู…โอ้โห นี่น้ำลายหรือท่อประปาแตก ไหลไม่เกรงใจเจ้าของรถเลย -_-;;
ขอเล่าย้อนไปนิดนึงว่าก่อนหน้านี้เกล้าจะพาฉันมาหาพ่อเพราะเขามีเรื่องต้องตกลงกับฉันใช่มั้ย ประเด็นคือนี่รู้ไงว่าสิ่งที่ผู้ชายคนนี้จะพูดคือเรื่องประกันความรัก ฉันจึงใช้มารยาสาไถยหลอกเกล้าว่าเจ็บแผลและอ่อนเพลีย บลาๆๆ ของีบสักหน่อย และด้วยความที่หมอนี่บอกว่ารู้ทางมาห้าง xxx ที่ใกล้บ้านพ่อ ซึ่งก็เข้าทางองศาสิคะ! ฉันจึงตัดบทเขาด้วยการบอกว่าพอถึงห้างให้ปลุกฉันมาบอกทางต่อ
ที่เหลือแค่ทำท่าโอดโอยแล้วส่งสายตาอ้อนวอนไปให้เป็นอันเสร็จพิธี โดยที่เขาไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำคัดค้านใดๆ ได้ทั้งสิ้นเพราะฉันชิงหันหลังหนีซะก่อน (นิสัย)
ตอนแรกว่าจะแกล้งหลับแหละนะ แต่หมอนี่ขับรถนิ่มมากจนฉันเผลอหลับไปจริงๆ รู้ตัวอีกทีก็จะถึงบ้านพ่อแล้ว…
“ขับตรงไปเรื่อยๆ เลย พอถึงปั๊มก็ใกล้ถึงแล้วล่ะ”
“โอเค”
“ดีมาก พอถึงบ้านแล้วป้าจะทิปให้” ฉันยิ้มและพูดแซวประหนึ่งเกล้าเป็นโชเฟอร์แท็กซี่ อิๆ สะใจว้อย ขอเอาคืนบ้างหลังจากที่โดนบังคับมาหลายอย่างเหลือเกิน (ถึงจะทำได้แค่นี้ก็เถอะ ฮือ!)
โชเฟอร์จำเป็นเหล่มองฉันนิดหน่อย ก่อนจะขับรถต่ออย่างไม่สนใจฉันที่นั่งขำคนเดียวเหมือนคนเมากาว -.,-
เอาล่ะ มาถึงตอนนี้หลายคนคงสงสัยว่าฉันมีกี่บ้านกันแน่ ไหนจะเรียกบ้านฉัน บ้านพ่อ บลาๆๆ ความจริงคือฉันกับพ่อแยกกันอยู่ หลังที่ฉันอยู่เป็นหลังเก่าก่อนที่พ่อจะไปซื้อใหม่เพราะอยากได้บ้านใกล้ๆ ที่ทำงาน ฉันจึงเรียกว่าบ้านพ่อ ส่วนบ้านที่ฉันอยู่ก็เรียกว่าบ้านฉัน ทั้งๆ ที่มันเป็นเงินของพ่อทั้งคู่นั่นแหละ ฮ่า!
เพราะบ้านหลังเดิมมันใกล้มหา’ลัยและฉันไม่สามารถทำใจที่จะทิ้งบ้านไปได้จึงแยกกันอยู่กับพ่อนี่ไง
“ถึงแล้ว เลี้ยวซ้ายตรงนี้เลย” ฉันบอกเมื่อเรามาถึงหน้าปากซอย เกล้าเลี้ยวตามที่บอกอย่างว่าง่าย เขาขับรถเข้าซอยไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าบ้านเดี่ยวสองชั้นขนาดปานกลางของพ่อซึ่งล้อมรอบด้วยสนามหญ้าอันเขียวชอุ่มแลดูสดชื่นสบายตา ถึงแม้จะมีตึกรามบ้านช่องมากมาย แต่บ้านพ่อก็ห่างจากบริเวณวุ่นวายพอสมควร จึงทำให้บ้านหลังนี้ค่อนข้างสงบเหลือบๆ ไปทางวังเวงเสียด้วยซ้ำในเวลากลางคืน
บางทีนี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันไม่ย้ายมาที่นี่ก็ได้นะ ถึงจะไม่ชอบยุ่งกับผู้คน แต่ถ้าให้หลบมุมจนแทบไม่เจอสิ่งมีชีวิตเลยมันก็เกินจะรับได้
รู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่ไม่ย้ายตามมาอ่ะ -_-;;
“นายรออยู่ตรงนี้มั้ย” ฉันหันไปถามผู้ชายข้างๆ พลางปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยของตัวเองไปด้วย แม้ว่าเป็นคำถามสิ้นคิดและดูเสียมารยาทที่จะรับแขกแบบนี้ แต่ฉันก็จะทำเพราะไม่อยากหนีบอีตานี่ไปให้พ่อซักไซ้เสียวุ่นวาย
“ฉันไม่ใช่คนรับรถของเธอ” เกล้าพูดด้วยน้ำเสียงติดจะไม่พอใจหน่อยๆ นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องฉันจนแทบพรุน ลูกแกะน้อยๆ ตัวนี้จึงได้แต่ส่งสายตาวิ้งวับอย่างอ้อนวอนว่าอย่าโกรธกันเลยพ่อหมาป่ารูปงามจ๋า “เอากุญแจรั้วมา ฉันจะไปเปิดให้”
“จริงๆ ฉันเดินเองได้นะ…” เมื่อกำลังจะอ้าปากเถียงอีกรอบ ผู้ชายคนนี้ก็ส่งสายตาพิฆาตมา ทำให้ฉันได้แต่หดคอย่นจนแทบลงไปกองกับพุงพลางควานหากุญแจในกระเป๋า เฮ้อ…ทำไมเป็นแบบนี้ทุกที ไม่เคยเถียงชนะเลย คอยดูนะ เถียงกันครั้งหน้าฉันจะชิงจิ้มตาหมอนี่ก่อนที่เขาจะทันได้ใช้สายตาดุดันนั่นบังคับฉันอีก หึๆๆ
“เฮ้ย…” ฉันร้องขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อหาทุกซอกทุกมุมของกระเป๋าก็ไม่เจอพวงกุญแจหมีน้อยที่ห้อยกับกุญแจบ้านหลังนี้ไว้ แง้!
“นายรออยู่นี่ ฉันเรียกให้พ่อมาเปิดประตูรั้วก่อน”
“เธอไม่มีกุญแจเหรอ”
“ลืมเอามา รอก่อนๆ” แล้วฉันก็เดินด๊อกแด๊กไปหน้ารั้ว อันที่จริงฉันไม่เจ็บแผลแล้วล่ะ ยังเดินเหินได้ตามปกติแม้จะเจ็บแปลบๆ เล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร
“พ่อ!!” ฉันตะโกนเข้าไป แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับฉันเลยลองอีกรอบ “พ่อคะ เปิดประตูให้หน่อยยย!!!”
“องศาลูกร้ากกก” ใช้เวลาเพียงไม่นานเสียงอันน่าขนลุกก็ดังกลับมา พร้อมกันที่ร่างตุ้ยนุ้ยของพ่อวิ่งหน้าตั้งมาทางฉัน ก่อนที่ท่านจะเปิดประตูรั้วให้อย่างรวดเร็วและส่งเสียงอู้อ้าเมื่อเห็นรถคันงามของอีตาเกล้ากำลังถอยเข้าที่จอดรถ
“เพลินเปลี่ยนรถใหม่เหรอ ตอนแรกไม่ได้หรูขนาดนี้นี่”
“เอ่อ…”
“กรี๊ด! แล้วหัวลูกพ่อไปโดนอะไรมา!!” พ่อเลิกสนใจคำถามก่อนหน้าทันทีที่เห็นหน้าผากฉันมีผ้าพันแผลแปะไว้อยู่ ดีที่ท่านเป็นคนสนใจอะไรได้ไม่นาน ให้อีตาเกล้าลงมาก่อนค่อยให้พ่อซักไซ้หมอนั่นแทน
“หนูไม่เป็นอะไรมากหรอก”
“ไปทำอีท่าไหนมาล่ะถึงได้เยินประหนึ่งผ่านสงครามโลกมาแบบนี้”
“แค่จักรยานล้มเอง พ่อเปรียบเทียบซะเห็นภาพเลย -*-”
“เห็นมั้ย พ่อบอกแล้วว่าลูกไม่ถูกกับจักรยาน ขี่ทีไรได้เรื่องตลอด” พ่อบ่นกระปอดกระแปดไม่หยุดด้วยความเป็นห่วง “ไปหาหมอมั้ยองศา”
“โธ่ ก็บอกว่าไม่เป็นไรไงคะ” ฉันยิ้มเผล่ให้ทีหนึ่งแล้วชูสองนิ้วเป็นเชิงบอกว่าสู้ตายเพื่อให้พ่อหายห่วง ท่านพยักหน้าและยิ้มให้อย่างใจดีพลางยีหัวฉัน
“งั้นเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ หนูเพลินมารึยัง เฮ้ย!!” พ่อร้องออกมาอย่างดังเมื่อเห็นผู้ชายตัวโตยืนขนาบข้างแทนที่จะเป็นหญิงสาวร่างเพรียวอย่างเคย ท่านดูตกใจมากเมื่อพบกับผู้มาเยือนที่ไม่ใช่เพลิน
“สวัสดีครับ” เสียงมาดแมนเต็มร้อยของผู้มาใหม่ทำให้พ่อปิดปากกรี๊ด วันนี้พ่อกรี๊ดหลายครั้งแล้วนะคะ จะตกใจอะไรเบอร์นั้น T_T
พ่อก็แบบนี้แหละ เพราะแม่เสียไปตั้งแต่ฉันยังเด็ก ท่านเลยพยายามทำตัวให้เป็นทั้งพ่อและแม่ที่ดีโดยการเริงร่าอีกทั้งยังดูบ้าๆ บอๆ เพื่อให้ฉันรู้สึกสนิทใจเมื่ออยู่กับท่าน ทีนี้เวลามีปัญหาอะไร จะได้เปิดใจและพร้อมปรึกษาท่านอย่างไม่ขัดเขินไง
น่ารักมั้ยล่ะพ่อฉัน :)
“นี่ลูกมีแฟนใหม่แล้วเหรอ” พ่อรับไหว้เกล้าพลางอ้าปากค้างจนแมลงวันแทบบินเข้าไปวางไข่ในนั้นได้
“ผมเป็นเพื่อนองศาครับ” พอได้ยินแบบนี้ฉันก็หันไปเบะปากใส่เกล้า นี่เขาเลื่อนขั้นฉันให้เป็นเพื่อนตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย แต่ก็ดีแล้วล่ะ ขืนให้มาอธิบายเรื่องประกันความรักฉันว่าวันนี้คงได้ค้างที่นี่แน่นอน
“สะ…สวัสดี” พ่อยืนอึ้ง “นี่ลูกมีเพื่อนนอกจากหนูเพลินด้วยเหรอองศา”
“ลูกพ่อไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวนะคะ หนูต้องมีเพื่อนอยู่แล้วสิ” ถึงมันจะน้อยก็เถอะ
“ไม่สิ ไม่ใช่แค่ลูกมีเพื่อน เพื่อนผู้ชายอีกต่างหาก” พ่อยังคงส่งเสียงดังลั่นบ้านไม่หยุดจนฉันเอือม พ่อมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ชอบทำอะไรโอเว่อร์ตลอด “แต่แน่ใจนะว่าแค่เพื่อนน่ะ มาส่งถึงที่ขนาดนี้ กิ๊วๆ”
“พ่อดูหน้าเพื่อนหนูด้วยว่าเขาเล่นมั้ย”
“-_-” (นิ่งสนิท)
“เขากำลังเขินนะลูก”
“พ่อควรได้รับออสการ์สาขาการมโนยอดเยี่ยม”
“ไม่เจอกันนานทำไมปากจัดขนาดนี้ล่ะลูกรัก” พ่อจับหัวฉันโยกไปมาอย่างมันเขี้ยว “เข้าไปคุยกันข้างในบ้านกันเถอะ เอ่อ…เราด้วยนะ ชื่ออะไรล่ะ” ประโยคหลังท่านหันไปคุยกับเกล้าที่มีท่าทางนอบน้อมต่อผู้หลักผู้ใหญ่ พ่อใช้น้ำเสียงอันอบอุ่นในการคุยกับเกล้าอย่างกับว่ากำลังชอบใจอะไรบางอย่างในตัวเขา
ทำไมรู้สึกขนลุกอ่ะ -_-;;
“เกล้าครับ”
“โอ้ ชื่อเพราะแฮะ~” พ่อพูดด้วยอย่างเริงร่า สายตาดูพึงพอใจคู่นี้บอกได้เลยว่าท่านกำลังคิดอะไรเป็นตุเป็นตะอยู่ในหัว -*-
“พ่อกำลังคิดอะไรเพ้อเจ้ออีกแล้วใช่มั้ยคะ” ฉันถามขึ้นในขณะที่พวกเราเดินไปถึงห้องนั่งเล่น
“เพ้อเจ้ออะไร ไม่มี๊” ฝ่ามืออุ่นๆ บีบแก้มฉันยืดเบาๆ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่มาหาพ่อมีอะไรรึเปล่า”
“เออใช่! หนูมาคุยเรื่องสร้อย มันหายไปได้ยังไงคะ”
นี่เป็นอีกครั้งที่พ่ออึกอักและเงียบไปนานมากจนฉันได้แต่ส่งสายตาเป็นคำถามไปให้ ท่าทีของพ่อทำให้เริ่มเดาได้ว่าตัวต้นเหตุ คือ…พ่อนั่นแหละ!
“พ่อ…เอ่อ…”
“…” ส่งสายตากดดัน
“พ่อ…”
“ถ้าพ่อไม่พูดหนูจะเข้าไปบีบคอพ่อแล้วนะ” ฉันขู่
“โอ๊ย! ใจเย็นๆ สิลูก พ่อกำลังเรียบเรียงคำพูดอยู่” พ่อเอานิ้วจิ้มกันเองอย่างน่าสงสารพลางส่งสายตาอ้อนวอนมาให้ แต่เพราะฉันกอดอกรอฟังอย่างตั้งใจโดยไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนลงให้แม้แต่น้อย ท่านจึงเบะปากเหมือนเด็กกำลังจะร้องไห้และยอมพูดออกมา “วันนั้นมีปาร์ตี้กัน พ่อดื่มหนักไปหน่อย…เลยเมา”
“เมาแล้วยังไงต่อคะ”
“พอกลับบ้านมาพ่อเดินสะดุดของในบ้านล้มหัวทิ่ม มันเจ็บมากๆ เลยองศา เจ็บจนอยากจะร้องไห้แต่พ่อก็อดทนได้เพราะพ่อเก่ง…”
“ทำไมวนมาที่การชมตัวเองได้เฉยเลยคะ รีบเล่าให้จบเถอะค่ะ จะได้ไปหาสักที -*-”
“แต่พ่อก็อดโมโหไม่ได้เลยสั่งให้ไอ้หอยขม (คนรับใช้ประจำบ้าน) เอาของไปขายทิ้งหมดเลย”
“ขะ…ขายทิ้งหมดเลย!?!” ฉันตะโกนดังลั่นเมื่อได้ยินว่าของที่เป็นสมบัติประจำบ้านถูกขายหมดเลย มิน่าล่ะ ข้างล่างเลยโล่งๆ ผิดปกติ ที่แท้ก็ถูกพ่อขี้เมาขายทิ้งหมดนี่เอง…ตัวฉันสั่นอย่างกับเจ้าเข้าจนพ่อถึงกับสะดุ้งเฮือกแล้วไปหลบหลังเสา น้ำตามากมายพากันคลอเมื่อนึกถึงสิ่งของพวกนั้น ของที่ฉันรักมันไม่ต่างจากคนในครอบครัว…
ของพวกนั้น…
“เฮ้ ใจเย็นๆ” เมื่อเกล้าเห็นว่าอาการฉันไม่ค่อยดี เขาจึงพยายามใช้น้ำเสียงที่อ่อนลงเพื่อสงบสติอารมณ์ฉัน “นึกถึงของที่ยังมีอยู่ที่บ้านเธอดู น่าจะช่วยให้ดีขึ้นได้”
“แต่…แต่ของที่นี่หายไปหมดแล้วอ่ะ ฮืออ!”
อีตาเกล้าเงอะงะอย่างที่ไม่เคยเป็นก่อนราวกับหลุดมาด เขายืนนิ่งสักพัก และด้วยความไม่รู้ว่าจะทำยังไง สุดท้ายเกล้าก็ตบหัวฉันแปะๆ อย่างพยายามปลอบ ฉันสะดุ้งเฮือกกับสัมผัสของเขาที่ถึงแม้จะแข็งกระด้าง แต่มันแฝงไปด้วยความอบอุ่นมากพอที่จะทำให้ฉันใจเต้นกับผู้ชายมาดนิ่งคนนี้…
แต่วินาทีถัดมาเหมือนเขาจะรู้ตัวว่าเผลอจึงผละออกไป…
อยากให้เผลอบ่อยๆ จัง รู้สึกดีกว่าหาของสะสมที่ทำหายไปเจออีกอ่ะ T_T
“แหม เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อหรือเปล่านะ” หลังจากที่เกิดเดดแอร์มาสักพัก พ่อก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
พอท่านแซว เกล้าก็กลับเข้าสู่โหมดนิ่งเงียบในเวลาไม่กี่วินาที ฉันที่ได้แต่เขินค้างเลยโวยวายกลบเกลื่อน “พ่อไม่ต้องมาพูดเลย ของ…” ฉันสูดหายใจลึก พยายามตั้งสติ “ของทั้งหมดที่ขายไปนี่รวมสร้อยด้วยใช่มั้ยคะ”
“ช่ายยย…พ่อห่อใส่กล่องเตรียมไว้เซอร์ไพรส์เป็นของขวัญวันเกิดลูกปีนี้”
“โอ๊ย พ่อ”
“แง้ มันผิดที่ลูกเกิดช้ากว่างานปาร์ตี้พ่อนั่นแหละ”
“มันคนละประเด็นแล้วค่ะ =__=”
“กล่องสีอะไรเหรอครับ” เกล้าถามแทรกขึ้น หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่นานเพราะเหตุการณ์ชวนทำตัวไม่ถูกเมื่อครู่นี้
“สีส้ม ไม่มีลาย”
“แล้ว…” ในขณะที่เกล้ากำลังจะพูดออกมา เสียงตึงตังก็ดังเข้ามาพร้อมกับร่างสูงปลิวลมของไอ้หอยขมที่วิ่งมาอย่างรวดเร็วราวกับไล่ควาย ขมคือเด็กชายอายุสิบเจ็ดปีซึ่งเป็นลูกของป้าแม่บ้านเก่าที่เพิ่งเสียไป แกฝากฝังให้พ่อดูแล แลกกับการที่มันจะเป็นผู้ดูแลบ้าน ปัดกวาดเช็ดถูให้ เรียกง่ายๆ ว่าเหมือนเมดประจำบ้านเลยแหละ
ขมวิ่งหอบของพะรุงพะรัง มาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเราสามคน ก่อนก้มหน้าหอบด้วยความเหนื่อย “เห็นว่าพี่องศาจะกลับมา ผมเลยไปซื้อของที่พี่ชอบมาให้ แฮ่กๆ”
“เหรอ” ฉันรับคำสั้นๆ แล้วเดินไปเชยคางขมขึ้นมาสบตากับฉัน และเมื่อเจ้าตัวผอมแห้งเงยหน้าขึ้นมามอง มันร้องเฮือกทีหนึ่งในขณะที่หน้าถึงกับถอดสีเพราะฉันได้กลายร่างเป็นยักษ์ขมูขีไปกระชากคอเสื้อมันเรียบร้อยแล้ว “แกเอาของที่พ่อสั่งให้ขายไปขายที่ไหน!!”
“ผะ…ผมเอาไปขายหลายที่ แอ้ก! ผมจำได้ไม่หมดหรอก” ขมส่งเสียงร้องเป็นคางคกโดนสิบล้อเหยียบเมื่อฉันกระชากคอเสื้อให้สูงกว่าเดิมจนรั้งคอมัน
“แล้วแกก็เอาไปขายง่ายๆ เหรอ ทำไมไม่เก็บไว้ก่อนฮะ ไอ้…!!”
“ก็ช่วงนั้นผมไม่มีเงินนี่ คุณท่านไม่ให้เงินเดือนผมมาสองเดือนแล้ว”
เมื่อพ่อรู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุอีก ท่านจึงถลามาดึงแขนฉันไว้เพื่อหลบหลีกความผิด “องศาใจเย็นก่อนลูก เดี๋ยวน้องได้ตายก่อนจะตอบคำถามครบหมดนะ”
อ๊ากก! อยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้ร้าวไปยันลพบุรีเลย เครียด!!
“ต่อไปนี้พ่อตอนเมาสั่งให้แกทำอะไร ไม่ต้องไปเชื่อฟังนะยะ!” ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนแทบจะดูดไอ้หอยขมติดเข้าไปในจมูกแล้วถอนหายใจออกมายาวๆ ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนอารมณ์เย็นลงจึงพูดต่อ “เอาเถอะ จำได้ไม่หมดไม่เป็นไร แค่กล่องสีส้มก็พอ”
“มันจะเป็นกล่องของขวัญ มีโบว์สีขาวคาดไว้อยู่ ขนาดประมาณนี้” พ่อให้ข้อมูลต่อพลางทำมือประมาณขนาดกล่องให้ขมจำได้
“อ๋อ ชิ้นนี้ผมเอาไปขายตลาดนัด”
พอได้ยินแบบนี้ ควันก็ออกจากหูฉันอีกรอบด้วยความโกรธา นี่แกบังอาจเอาของสำคัญขนาดนั้นไปขายตลาดนัดได้ไงยะ ไอ้หอยกาบบ!!
เด็กหนุ่มตรงหน้าสะดุ้งเฮือกเมื่อฉันส่งเสียงคำรามในลำคอ แต่มันก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่สนใจฉันแล้วเปล่งเสียงสั่นๆ ก้มหน้าเล่าให้ฟังต่อด้วยความกลัว
“มีผู้ชายคนหนึ่งมาซื้อไป เขาตัวสูงมาก น่าจะเกือบร้อยเก้าสิบได้”
“แกหลงรักเขาเหรอ จำได้ละเอียดขนาดนี้”
“โธ่ พี่องศา ให้ผมมีข้อดีอย่างความจำเป็นเลิศบ้างเถอะ ตั้งแต่ออกมาก็โดนแต่เรื่องดีงามทั้งนั้น -*-”
“คนความจำดีเขาไม่ลืมหรอกย่ะว่าเอาของไปขายที่ไหนมาบ้าง” ฉันส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอแล้วเดินไปจับหน้าไอ้ขมให้เงยขึ้น ไม่รู้จะก้มอะไรนักหนา หาเห็บกินรึไง
“เลิกก้มหน้าได้แล้ว ฉันไม่ใช่เมดูซ่า สบตาฉันแกก็ไม่กลายเป็นหินหรอก”
“พี่องศาน่ากลัวกว่านั้นอีก”
“เงยหน้าขึ้นมา!”
“ครับ!” แต่เมื่อขมเงยหน้าขึ้นมามันก็เบิกตากว้างแล้วร้องดังลั่นพลางชี้นิ้วผอมแห้งไปยังอีตาเกล้าที่ยืนทำหน้านิ่งจนตะคริวแทบกินอยู่ข้างๆ ฉัน
“คุณ…คุณคือลูกค้าที่ซื้อกล่องส้มๆ นั้นไปนี่!!”
พ่อฉันอ้าปากค้าง ขณะที่ฉันหันขวับไปหาเกล้าแล้วมองเขาด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก จากพวกเราทั้งหมดสี่คน เห็นจะมีก็แต่หมอนี่แหละที่ยักไหล่ ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนแล้วพึมพำกับตัวเอง
"ฉันว่าแล้วเชียว"
“ฮือ ผมรอดตายแล้ว” หอยขมคร่ำครวญ แทบจะกราบแนบอกอีตาเกล้าผู้มีพระคุณ
โอ๊ย…มีเรื่องอะไรวุ่นวายกว่านี้อีกมั้ย ปวดกบาล!!
พวกเราทานข้าวเย็นกันที่บ้านของพ่อเพราะท่านคะยั้นคะยอให้อยู่ ฉันเองที่ไม่ต้องรีบอะไรแล้วเพราะรู้ว่าสร้อยอยู่กับเกล้าจึงต้องอยู่ด้วยอย่างเสียไม่ได้ พ่อถามเกล้าซะพรุนเลยว่ามารู้จักกันได้ยังไง ดังนั้นสุดท้ายเลยต้องเล่าเรื่องประกันความรักให้ท่านรู้อยู่ดี ซึ่งแน่นอนว่าท่านสนับสนุนเต็มที่เพราะมองว่ามันช่างบันเทิง แถมมีการให้ฉันอัพเดตความคืบหน้าเป็นระยะๆ ด้วยนะ
สนุกไปมั้ยพ่อ -_-;;
หลังทานข้าวเสร็จฉันและเกล้าจึงพากันมานั่งเล่นหลังบ้านเพื่อย่อยอาหารก่อนจะกลับ อืม…ก็ไม่เชิงนั่งเล่นหรอก อันที่จริงมันถึงช่วงเวลาที่ฉันจะหนีเรื่องที่ต้องตกลงกับเกล้าไม่ได้แล้วต่างหาก
เอาเถอะ ฉันเองก็อยากจะทำให้ชัดเจนสักที เหนื่อยกับการวิ่งไล่ตามกันเป็นหนังอินเดียแล้ว
“ตกลงว่าสร้อยอยู่กับนายสินะ” ฉันเปิดประเด็นขึ้นในระหว่างที่อีตาเกล้ากำลังนั่งเหม่อมองพระจันทร์อยู่ เขาจ้องมันอยู่นานมากราวกับกำลังขอพร จนฉันสะกิด หมอนี่ถึงจะหันกลับมาแล้วตอบคำถาม
“ใช่” ก็ได้ยินนี่นา ทำไมถึงเอาแต่เหม่อล่ะ -_-
“นายเอามาคืนฉันได้รึเปล่า”
“ไม่” เกล้าพูดด้วยสีหน้าราบเรียบหากทว่าแววตาสีดำสนิทกลับฉายแววเจ้าเล่ห์จนฉันนึกอยากจะเอานิ้วจิ้มซะให้เข็ด “ฉันซื้อกล่องนั่นมาสองพัน”
“อะไรนะ!!”
“สองพัน”
โอ้โห คนขายขายราคานี้ก็ว่าบ้าแล้ว คนซื้อไปนี่บ้ากว่าอ่ะ -O-
“นายก็บ้าจี้ไปซื้อตามไอ้ขมมันเนอะ จะเอาเงินคืนมั้ย เดี๋ยวไปทวงให้”
“ไม่เป็นไร” เกล้าไหวไหล่เบาๆ “ฉันคืนของเธอแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
“หมายความว่าไง”
“เรามาสร้างข้อแลกเปลี่ยนให้เธอยอมให้ฉันประกันความรัก แลกกับการที่ฉันคืนสร้อยเธอหลังจบโปรเจกต์ดีมั้ย”
คำถามของเกล้าทำให้ฉันชะงัก ไม่ใช่เพราะตกใจที่เขาเสนอเงื่อนไขนี้มาเพราะพอจะเดาทางออก ยังไงดีล่ะ… ถ้าเป็นฉัน ฉันก็จะทำแบบเดียวกันกับเขา
แต่ที่น่าแปลกใจคือหมอนี่ไม่บังคับ…เขาถามความเห็นฉันโดยปราศจากการบีบให้จนมุม…
เกล้ามันล้มหัวฟาดพื้นมารึเปล่าอ่ะ -_-
“นาย…โอเคแน่นะ” ฉันถามด้วยความหวาดๆ พลางลุกขึ้นไปสำรวจตามร่างกายของเขา ส่องๆ ตามกะโหลกเผื่อสมองได้รับการกระทบกระเทือนอะไร
“ทำอะไรของเธอ”
“นายกำลังถามความเห็นฉัน?”
“ไม่ถามเธอ แล้วจะไปถามใคร” ร่างสูงขมวดคิ้วด้วยความงงงวย
“ทำไมอยู่ดีๆ นึกอยากจะถามความเห็น ปกติก็บังคับซะเหมือนฉันเป็นทาสในเรือนเบี้ยเลย -_-”
เกล้าขยับตัวไปมาเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินคำถามนี้ อันที่จริงตอนแรกฉันก็โกรธนะที่เขาเอาแต่บังคับ แต่พอใจเย็นลงและเริ่มคลุกคลีกับคนอย่างหมอนี่มากขึ้นมันเลยทำให้เริ่มปรับตัวได้ ไม่สิ…เรียกว่าเราปรับตัวเข้าหากันจะดีกว่า เพราะเขาก็กำลังลงให้ฉันอยู่ไง
แต่มันก็อดกัดไม่ได้นี่นา ขอเอาคืนสักหน่อยเถอะ
“จริงๆ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่…”
“…”
“แค่…” เกล้าสบสายตาฉันสักพักก่อนจะเบือนหน้าหนีแล้วพูดเบาๆ “ไม่มีอะไร”
“อะไรของนายเนี่ย คนอุตส่าห์รอฟัง”
“จะรู้ไปทำไมล่ะ มันไม่ได้สำคัญอะไร”
“ก็ฉันอยากรู้นี่”
“นั่นมันเรื่องของเธอ ไม่ใช่หน้าที่ที่ฉันต้องตอบ” แต่เกล้าก็ยังคงเป็นเกล้าค่ะ ไม่ว่าจะร้อนจะหนาวแค่ไหนหมอนี่ก็ยังคงคีพลุคด้วยการตอบคำถามแบบครึ่งๆ กลางๆ เว้นที่ว่างให้ฉันได้คิดเองเออเองสารพัดอีกตามเคย
งั้นขอสรุปว่าฉันสวยแล้วกัน หมอนี่เลยยอมอ่อนลงให้ จบ!
“กลับมาเรื่องที่เราต้องตกลงกันต่อ” เกล้าเอ่ยขึ้นมาในความเงียบ ฉันเลยได้แต่ทำปากขมุบขมิบล้อเลียนซึ่งเจ้าตัวก็ทำเป็นมองไม่เห็น เขาตีหน้านิ่งและเอ่ยเสียงเรียบ “เธอจะทำตามข้อแลกเปลี่ยนมั้ย”
“ก็ได้” ฉันพยักหน้าตกลงไปในที่สุด เพราะมองไม่เห็นทางอื่นที่จะได้สร้อยคืน จะว่าไปมันก็มีแหละ เช่น บุกปล้นบ้าน เอามีดจี้…
ทำไมแลดูรกสังคมจังล่ะฉัน -_-
นั่นแหละ…เพราะฉันไม่คิดจะทำอย่างนั้นไง เลยเห็นว่าการเออออห่อหมกไปกับเขาก็ไม่ได้เสียหายอะไรมาก
“อีกอย่าง…สัญญาก่อนได้มั้ยว่านายจะดูแลสร้อยเส้นนี้ให้ดี และต้องมาเจอฉันทุกวันเพื่อให้เช็คสร้อย”
“ไม่เผื่อว่าฉันจะมีธุระปะปังอะไรบ้างรึไง”
“งั้นก็วิดีโอคอล เฟซไทม์อะไรก็ได้ให้ฉันยังเห็นสร้อย โอเคมั้ย”
เกล้านิ่งคิดไปนาน แต่ในที่สุดหมอนี่ก็ยอมพยักหน้า “ตกลง”
ได้ยินดังนั้นฉันจึงยิ้มกว้างออกมาอย่างโล่งใจที่การตกลงกันครั้งนี้เป็นไปด้วยดีทั้งสองฝ่ายและไม่ทะเลาะกัน เบื่อแล้วที่จะมานั่งเถียงกับหมอนี่ หมดพลังงานไปเยอะมากกับการเล่นเกมจิตวิทยากับเขา
หลังจากนี้ก็ขอให้อยู่กันอย่างสันติแบบนี้ไปตลอดแล้วกัน
“เหลืออีกอย่างที่เราต้องตกลงกัน” เจ้าของนัยน์ตาคมกริบเอ่ยเสียงเรียบ “ตกลงเธอต้องการรูปแบบประกันความรักยังไง”
“คิดยากเหมือนกันนะ” พอเขาถามมาฉันจึงขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด เพราะมันเป็นเรื่องที่ใหม่สำหรับฉันมาก เมื่อเห็นฉันคิดหนัก ผู้ชายตรงหน้าเลยพยายามจำกัดวงให้แคบเพื่อจะให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
“เอางี้ จุดหลักของโปรเจกต์คือส่งคนมาดามใจถูกมั้ย ซึ่งดามใจในที่นี้คือการทำสิ่งไหนก็ได้ที่มันจะส่งผลให้ลูกค้ารู้สึกดีขึ้นจากอาการอกหัก แม้ไม่มีคนรักใหม่ก็ตาม”
“งั้นฉันต้องคิดให้ออกว่าสิ่งที่จะทำให้ดีขึ้นคืออะไร”
“แล้วเธอคิดว่ามันคือ?”
“ผู้ชาย” ด้วยความปากไวทำให้ฉันพูดในสิ่งที่คิดแทบจะทันที เกล้าถึงกับนิ่งไปก่อนจะเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมา ยิ้มที่เป็นยิ้มมาจากใจอ่ะแก!! ตอนนี้บอกเลย องศาไม่นึกถึงภาพลักษณ์แล้วค่ะ ขอจ้องแบบนี้อีกสักพักเถอะ โลกสีจมปูวว~
“งั้นการประกันของฉันคงสมบูรณ์แบบมากๆ” เกล้าพูดด้วยท่าทีสบายๆ และยักคิ้วข้างหนึ่งอย่างโคตรจะละลายหัวใจ แต่ฉันก็อดงงกับคำพูดที่ต้องตีความของเขาไม่ได้…
…
เอ่อ…หมอนี่กำลังชมตัวเองอยู่สินะ พอบอกว่าผู้ชายทำให้ฉันดีขึ้นได้ปุ๊บ การประกันของตัวเองนี่ดีงามพระรามแปดมาทันทีเลย
ให้ตาย! มุมนี้ของเกล้าทำฉันใจแกว่งแปลกๆ
“ไม่ยักรู้ว่านายจะมีมุมหลงตัวเองกับเค้าเหมือนกัน”
“ยังมีอีกหลายอย่างที่เธอไม่รู้” พอเขาพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น มันเลยทำให้ฉันอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ เหมือนกับว่าพอฉันกำลังจะไปถึงตัวของเขา เกล้าก็ผลักออกมา เป็นแบบนี้มาตลอดทุกทีที่เจอกันจนฉันสงสัยว่าจริงๆ แล้ว…เกล้าเป็นคนยังไงกันแน่
“เรื่องของนายเถอะย่ะ” แต่จนแล้วจนรอดก็ได้แต่พูดบ่ายเบี่ยงประเด็นไปให้ฉันรู้สึกไม่อึดอัดมาก เอาเถอะ สองเดือนต่อจากนี้ก็หวังว่าจะเข้าใกล้หมอนี่ได้มากขึ้นกว่านี้ล่ะนะ
“ตกลงมีแค่ผู้ชายรึไงที่ทำให้เธอดีขึ้นได้”
“จะบ้ารึไง ฉันล้อเล่น!” ฉันขมวดคิ้วพลางมองแรงไปให้เกล้า พยายามไม่สนใจอีตาบ้านี่แล้วลองทบทวนตัวเองเพื่อตอบคำถามของเขา
“อืมมม ฉันมักจะรู้สึกดีมากเวลามีคนมาทำอะไรให้…โดยเฉพาะครั้งแรกที่พวกเขาทำล่ะมั้ง ทั้งการซื้อของให้ครั้งแรก การสอนการบ้านครั้งแรก หรือแม้กระทั่งการให้ยืมเงินครั้งแรก…”
“อันหลังนี่ไม่น่าเกี่ยว -_-”
“นายไม่เข้าใจหรอกว่าเวลาลืมเอากระเป๋าเงินมาเรียนมันแย่แค่ไหน”
“ฉันเข้าใจก็ได้” เกล้าพยักหน้าแบบขอไปทีก่อนจะนิ่งคิด สักพักใหญ่ๆ ก่อนที่เขาจะพูดออกมา “สรุปว่าเธอรู้สึกดีเวลาใครทำอะไรให้โดยเฉพาะครั้งแรก…นั่นหมายความว่าเพราะมันเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้รับรึเปล่ามันเลยดูพิเศษ”
“น่าจะใช่แหละ ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ”
“งั้น…” รอยยิ้มมุมปากปรากฏบนริมฝีปากหยักลึกได้รูปอีกครั้ง “การประกันของเธอคือการประกันแบบ Check list ละกัน”
“ยังไง”
“เธอมีการบ้านต้องทำคืนนี้คือเขียนมาว่าสิ่งที่เธอไม่เคยได้รับจากคนอื่นๆ คืออะไรบ้าง สิ่งที่คิดว่าจะทำให้รู้สึกดีถ้าได้รับมัน แล้วฉันจะทำตามสิ่งที่เธอเขียน”
“…”
“ลิสต์มา แล้วฉันจะทำสิ่งพวกนั้นให้เธอ พอทำสำเร็จก็จะเช็คว่าทำแล้ว เข้าใจยัง” พอเห็นฉันพยักหน้าหงึกๆ เกล้าก็พูดขยายความต่อ “ถ้าแบบแคบๆ หน่อยก็อาจจะคิดว่าอยากได้อะไรจากแฟนเก่าเธอก็ได้ สิ่งที่หมอนั่นไม่เคยทำให้ จะได้เชื่อมกับความรักบ้าง”
“อันที่จริงกับหมอนั่นจะให้ใช้ว่าความรักก็ยังไม่ถูกซะทีเดียวนะ”
“พอจะรู้อยู่หรอก แต่คำว่าแฟนกับความรักมันเป็นของที่ต้องมาคู่กันอยู่แล้วในเซนส์ของคนทั่วๆ ไปไง”
“เข้าใจยากจัง ฉันรักสิ่งของของฉันแหละดีแล้ว น่ารักกว่าตั้งเยอะ”
เกล้ายักไหล่ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “พรุ่งนี้มีเรียนมั้ย”
“มี”
“เอาลิสต์มาให้ฉันดูพรุ่งนี้ หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จจะไปหา”
“งั้นเจอกันที่ร้านกาแฟใต้คณะฉันแล้วกัน”
“ได้” ร่างสูงพยักหน้าเบาๆ เขาเดินนำออกไปจากสวนนี้เพื่อจะกลับบ้านซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่าการเจรจาของพวกเราถือว่าเป็นอันเรียบร้อย “ลิสต์มาให้เสร็จภายในคืนนี้นะ”
ยังไม่วายหันมาสั่งฉันอีก -*-
“ไม่"
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่พอเจอพลังสายตาสะท้านปฐพีไปอีกรอบฉันเลยได้แต่พยักหน้าอย่างยอมจำนน ไว้ค่อยหาทางแก้แค้นทีหลังแล้วกันอีตาหัวดำจอมเผด็จการ!
วันต่อมา
ฉันเดินมาร้านกาแฟใต้คณะด้วยสภาพไม่ต่างจากซอมบี้ เนื่องจากสมรภูมิรบเมื่อคืนที่นอกจากจะต้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมควิซกับอาจารย์สุดโหดแล้ว ฉันยังต้องมานั่งลิสต์ตามคำบัญชาการของอีตาเกล้าอีก กำลังสงสัยว่าตัวเองรอดมาได้ยังไงอยู่เนี่ย ฮือ!
กริ๊ง~
เมื่อผลักประตูร้านเข้าไป กลิ่นหอมกรุ่นจากกาแฟทำให้รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย สายตาฉันสอดส่องไปทั่วร้านจนกระทั่งเจอร่างสูงหัวดำๆ กำลังยืนสั่งกาแฟอยู่ที่เคาน์เตอร์
หมอนี่ต้องชดใช้ที่ทำให้ฉันต้องถ่างตามานั่งเขียนลิสต์
“ขอลาเต้เย็นให้ฉันแก้วนึง” ฉันเดินไปหาเกล้าแล้วบอกกับเขา แม้จะดูงงๆ แต่เขาก็ยอมพยักหน้ารับ
หลังจากสั่งเสร็จสรรพฉันก็จัดแจงหาที่นั่งในซอกของร้านอย่างที่ชอบนั่งประจำ นั่งรอสักพักอีตาเกล้าก็เดินเอาลาเต้มาเสิร์ฟก่อนที่เจ้าตัวจะนั่งลงตรงกันข้ามกับฉัน
“ลิสต์มารึยัง”
“เรียบร้อยแล้ว ฉันนั่งลิสต์ทั้งคืนเลย เพราะงั้น…” ฉันบ่นอุบ พลางบุ้ยปากไปที่ลาเต้เพื่อบอกว่านี่คือของตอบแทนที่เขาต้องให้ฉัน เกล้าไหวไหล่เบาๆ เชิงยังไงก็ได้แล้วเข้าเรื่องต่อ
“ขอดูหน่อย”
ฉันจึงหยิบลิสต์ที่ยาวเป็นหางว่าวมาให้เกล้าดู ผู้ชายฝั่งตรงข้ามตะลึงเพริดไปเลยเมื่อเจอข้อความยาวเหยียด จริงๆ มันก็ไม่เยอะนะ แค่เกือบๆ ร้อยข้อเท่านั้นเอง (. .)
“ไม่แปลกใจที่เธอทำทั้งคืน” ร่างสูงตีหน้านิ่งพลางถอนหายใจออกมา เขาจิบกาแฟร้อนของตัวเองโดยมีฉันมองตามไม่ห่าง เฮ้อ…ทำไมทุกการกระทำของหมอนี่ช่างน่าดึงดูดจนอยากจะเก็บกลับไปมองที่บ้านขนาดนี้ล่ะ พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรมที่ให้ความดูดีมาลงที่หมอนี่คนเดียว ซึ่งพอเขาอยู่กับฉัน ฉันดูเหมือนคนรับใช้ไปในทันที…
ช่างแตกต่างกันจนไม่คิดว่าโลกจะเหวี่ยงให้มาเจอ…
“พอใช้ได้มั้ย” ฉันถามหลังจากที่คุณชายนั่งซดกาแฟและจ้องลิสต์นานมากจนฉันแทบหลับ
“มันใช้ได้ ‘มากเกินไป’ ด้วยซ้ำ” คนตรงหน้าถลึงตาใส่ฉันแล้วพ่นลมหายใจเข้าออกช้าๆ อย่างพยายามจะใจเย็น “ส่วนใหญ่ที่เธอเขียนมามันคือเรื่องซ้ำๆ หัวข้อเดียวกันที่รวบได้”
“แต่มันไม่เหมือนกันซะทีเดียวนะ จะเอามารวมกันได้ไง”
“ฉันให้ของเธอ กับเธอให้ของฉัน…เปลี่ยนมาเป็นแลกของกันก็จบ”
“งั้นรวบเองเลยย่ะ ฉันคิดแบบนายไม่ได้นี่” ก็ไม่รู้ทำไมว่าต้องเขียนแบบนั้นไป แต่ในความคิดของฉันคือมันเป็นคนละประเด็นไง ต่อให้ตีลังกาคิดให้ตายฉันก็เอามารวมกันไม่ได้หรอก -_-
เกล้านิ่งไปสักพักก่อนที่เขาจะพึมพำออกมา “เหมือนฉันจะเข้าใจอะไรแล้วล่ะ”
“อะไร”
“เธอ…เอางี้ดีกว่า เธอกับฉันมาช่วยกัน ให้ฉันทำคนเดียวเธอจะไม่ได้ฝึก”
“ฝึกอะไรของนาย” ฉันล่ะงงกับการกระทำของเขาแต่ละอย่าง แล้วมันก็ยิ่งน่าหงุดหงิดตรงที่อีตานี่ไม่ยอมบอกอะไรฉันเลย
เกล้าเมินคำถามของฉัน เขายักคิ้วเป็นเชิงให้สนใจที่ลิสต์ “เกือบร้อยข้อเวลาสองเดือนไม่น่าพอ มาตัดข้อที่ไม่จำเป็นทิ้งแล้วกัน”
“มันจำเป็นหมดเลยนะ ให้ตัดฉันทำไม่ได้หรอก”
“ฉันจะช่วยเธอเอง” เกล้าพูดอย่างมาดมั่นก่อนจะก้มหน้าลงไปอ่านลิสต์ ซึ่งพออ่านได้สักพักเขาถึงกับเงยหน้ามามองฉันด้วยแววตาหวาดระแวง “นี่เธอจะให้ฉันคอสเพลย์ใส่หูแมวจริงๆ เหรอ” เกล้าพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่ทว่านัยน์ตากลับสื่อความกังวลอย่างปิดไม่มิด ก่อนที่เขาจะตัดสินใจหยิบปากกาขึ้นมาและเริ่มขีดฆ่าข้อที่ไม่คิดจะทำ
“ไหนบอกจะยอมทำตามที่ขอไง”
“ลองคิดว่าถ้าเป็นตัวเอง…เธอจะทำมั้ย”
“ทำนะ ใส่หูแมวน่ารักจะตาย ( ‘ ‘ )”
“-___-”
เขาเหล่ตาขึ้นมามองแล้วก้มลงไปขีดๆ เขียนๆ ตามเดิมโดยไม่สนใจฉันอีก ฉันทนไม่ได้ที่เขามาบังอาจตัดของฉันทิ้งจึงลุกไปนั่งข้างๆ เกล้าแล้วชะโงกหน้าเข้าไปเพื่อดูว่าเขาขีดอะไรไปแล้วบ้าง แต่ไม่กี่นาทีต่อมาเหมือนหมอนี่จะรู้ตัวว่าต้องฝึกฉัน (ตามที่เจ้าตัวบอกอ่ะนะ) เขาจึงเงยหน้าขึ้นมามอง นัยน์ตาสีดำสนิทสบตาฉันนิ่งสักพักก่อนจะพยายามอธิบาย
“เธอต้องจัดหมวดหมู่และเลือกที่จะตัดทิ้ง สิ่งที่ใกล้เคียงหรือความหมายคล้ายกันสามารถรวบได้ แต่ถ้าอันไหนเกินความสามารถฉันก็ให้ตัดทิ้ง โอเคมั้ย”
“แต่ใส่หูแมวมันไม่เกินความสามารถนายนี่นา (. . )”
“ยังไม่จบกับหูแมวอีกเหรอ” เกล้าเริ่มส่งสายตาโหดๆ มาให้ ฉันเลยแลบลิ้นใส่ก่อนจะ (พยายาม) ตั้งใจทำตามที่เขาบอก
…
อืม…พอเขาบอกมาแบบนี้ ฉันจึงเริ่มแยกได้แล้วล่ะว่าควรรวบ เก็บ หรือตัดอันไหนทิ้ง…
จะว่าไป การมีหมอนี่เข้ามาในชีวิตไม่แย่อย่างที่คิดแฮะ…
“เฮ้ยๆ ปั่นจักรยานให้ซ้อนท้ายนี่เก็บไว้เลยนะ ข้อสำคัญ” ฉันแทบกรีดร้องเมื่ออีตาเกล้ากำลังจะขีดฆ่าข้อนี้ทิ้ง “ฉันรู้ว่านายปั่นจักรยานได้ ห้ามตัดทิ้ง”
ผู้ชายข้างๆ ไม่พูดอะไรนอกจากเลื่อนปากกาไปขีดข้อถัดมาแทน ฉันแอบร้องไห้เบาๆ แต่ก็พยายามยอมรับว่าร้อยกว่าข้อในเวลาเพียงสองเดือนนี่หนักไปจริงๆ
และในระหว่างที่เรากำลังตัดลิสต์ (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเกล้าซะมากกว่าที่ทำเอง แม้เขาบอกว่าจะฝึกฉันก็เถอะ) เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งดังเข้ามาใกล้และหยุดอยู่ข้างหน้าพวกเรา พอเงยขึ้นไปมองก็เจอกับผู้หญิงวัยกลางคน หน้าตาสละสลวย ดูภูมิฐานที่กำลังยิ้มขี้เล่นมาให้
อาจารย์ประจำวิชาฮิวเมนรีของอีตาเกล้านั่นเอง…
ถ้าถามว่ารู้จักได้ไง…ฉันเคยลงเรียนวิชาจิตวิทยาพื้นฐานของท่านยังไงล่ะ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ฮิวเมนรีคือวิชาที่นำอาจารย์จิตวิทยามาสอนนั่นเอง ฉันยกมือไหว้ในขณะที่ท่านมานั่งร่วมโต๊ะกับพวกเรา
“โปรเจกต์คืบหน้าไปถึงไหนแล้วนิสิต” ท่านเอ่ยปากถามเกล้า โดยที่ฉันได้แต่นั่งเงียบๆ ดูดลาเต้เย็นของตัวเองเพื่อฟังบทสนทนาของทั้งคู่
“รูปแบบการประกันของเคสผมเป็นแบบ Check list ครับ เราตกลงกันว่าองศาจะลิสต์สิ่งที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อน แล้วผมจะทำตามนั้นให้ครับอาจารย์”
“เข้าท่าดีนะ ไหนเอาลิสต์มาให้อาจารย์ดูหน่อยสิ” ท่านยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ส่งให้ ฉันเลยได้แต่ยิ้มแหยๆ กลับไปเพราะรู้สึกกระดากที่ลิสต์เป็นร้อยข้อแสนติ๊งต๊องนั้นต้องเอาให้ผู้ใหญ่ดู ฮือ มันเหมือนศูนย์รวมความปัญญาอ่อนของฉันอ่ะ มีทั้งพากันไปเล่นบ้านบอล กระโดดยาง โอ๊ย! สารพัดจะขนมา
เมื่ออาจารย์อ่านลิสต์ ท่านนิ่งมากและเดาทางไม่ถูก ทั้งโต๊ะเงียบไปนานจนฉันกังวล
“ผมว่าร้อยข้อนี่ไม่น่าทัน” ผู้ชายข้างๆ ฉันแสดงความคิดเห็นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศเมื่อผู้หญิงฝั่งตรงข้ามกำลังแสดงสีหน้าที่หลากหลายเนื่องจากเห็นสิ่งที่ฉันอยากได้
บอกแล้วไงว่าลิสต์มันโคตรพิลึก ทำให้ผู้ใหญ่มีสีหน้าแบบนี้นี่ไม่ธรรมดาเลย T_T
“ไปช่วยกันตัดให้เหลือแค่สิบข้อพอนะนิสิต” รอยยิ้มขบขันของท่านถูกส่งมาให้เป็นระยะๆ จนฉันต้องก้มหน้างุดและยอมรับสิ่งที่เสนอมาอย่างช่วยไม่ได้
“ได้ค่ะ/ครับ”
“แล้วก็นิสิต…” อาจารย์หันไปคุยกับเกล้า
“ครับ”
“อาจารย์รู้แล้วว่าจะประเมินเคสของเธอในโปรเจกต์ยังไง” หญิงวัยกลางคนแสนทรงเสน่ห์ยิ้มแพรวพราว นัยน์ตาที่แวววาวเป็นประกายทำให้ฉันรู้สึกขนหัวลุกอย่างบอกไม่ถูก “พอตัดให้เหลือสิบข้อแล้ว…”
พวกเรากลั้นหายใจ ทั้งห้องเงียบลงไปถนัดตา จะได้ยินก็แต่เสียงหัวใจที่เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น…
“ทำให้ครบทั้งสิบข้อ แล้วอาจารย์จะให้เธอผ่านโปรเจกต์ทันที!”
<<< Talk >>>
เฮลโหล อิๆ เจอกันอีกแว้วว เป็นไงกันบ้างคะ ทิ้งคอมเมนต์ไว้ได้เลยนะ ^_^
ขอขอบคุณกรรมการทุกท่าน และขอบคุณพี่อายสำหรับคอมเมนต์นะคะ น้องจะพัฒนาตัวเองต่อไปค่ะ <3
ขอบคุณนักอ่านทุกคน ทั้งเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในโครงการ และอื่นๆ อีกมากมายที่ช่วยดูให้ (ซึ้งใจ T_T) ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์นะคะ เราอ่านหมดทุกอันเลย น่ารักมากกกก >_<
ฝากอ่าน เมนต์ โหวตกันต่อน้าา
เจอกันตอนหน้าค่ะ เลิฟฟ ^3^
ป.ล.1 ชื่อตอนอาจส่อ แต่มันมีความหมายซ่อนอยู่ในนั้นน้า ลองเอาไปคิดเล่นๆ ดูฮะ ติ๊กต๊อกๆ 55555 ถ้าไม่เหมาะไม่ควรยังไงขออภัยมา ณ ที่นี่ค่ะ
ป.ล. 2 วันนี้มีอิมเมจมาฝากค่ะ ไม่ใช่ตัวละคร (อันนั้นไปจิ้นกันเอาเองตามใจชอบ -.,-) แต่เป็น ‘สร้อย’ นั่นเอง! ขอบคุณภาพสวยๆ จากพี่ญา (Natsume) JLS09 ค่ะ ไปอ่าน เมนต์ โหวตโลดดด
ป.ล. 3 พี่อายคะ ตอนนี้น้องเรียนอยู่ปีสองง้าบบ >O<
สร้อยเด็กผู้หญิง
สร้อยรูปหัวใจ


เกล้าก็น่ารัก อยากได้มาประกันมั่ง #โดนแฟนตบ 555555
การบรรยายก็ไหลลื่นดี อ่านไม่มีสะดุด มุกตลกแทรกมาได้จังหวะน่ารักดีค่ะ
ทำได้ดีนะคะ ตอนต่อไปขอให้ดีแบบนี้หรือดียิ่งขึ้นไปอีกค่ะ
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆ ค่า~