อกหัก รักพัง ไม่ได้ตังค์...แต่ได้ผู้ชาย
ประกันครั้งที่ 6
เพื่อนที่ไม่รู้ใจ
“คนที่ไปถ่ายรูปจะไม่ผ่านการประเมิน”
เกิดเสียงฮือฮาขึ้นหลังจากที่อาจารย์ปล่อยหมัดเด็ดออกมา บางคนนั่งอ้าปากค้างราวกับหลุมอุกกาบาต หรือแม้กระทั่งกรีดร้องอย่างกับโดนหนอนไชก้นก็มี…
โคตรพีค! หัวใจฉันจะวายตายก็วันนี้แหละ
เสียงเซ็งแซ่ยังคงดังต่อไปและไม่มีที่ท่าว่าจะหยุด ความชุลมุนน้อยๆ เกิดขึ้น อาจารย์จึงปรบมือพร้อมกับพูดใส่ไมค์เรียกความสนใจนิสิตเกือบร้อยกว่าชีวิตในห้องนี้ (ทั้งตัวคนประกันความรักและลูกค้าของพวกเขาน่ะ)
“เงียบก่อนนิสิต อาจารย์กำลังจะอธิบาย อย่าเพิ่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดกันค่ะ” แล้วทั้งห้องก็ค่อยๆ เงียบลงเรื่อยๆ จนกระทั่งอาจารย์กำลังจะเปิดปากพูด…
ปัง!
“ตัวแทนแห่งดวงจันทร์จะลงทัณฑ์แกเอง!!”
เสียงเปิดประตูอย่างดังมาพร้อมการปรากฏตัวของเซเลอร์มูน เอ๊ย! อีตากลไกที่เข้ามาขัดจังหวะของอาจารย์ได้อย่างน่าตบ เขาหันไปคุยกับคนข้างหลังในขณะที่เปิดประตูเข้ามาทำให้นางไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ในห้องเลยแม้แต่น้อย แล้วร่างสูงก็เดินเข้ามายืนทำหน้าเป็นหมาสงสัยที่ทุกคนมองไปที่เขาเป็นตาเดียว
“ลงทัณฑ์บ้านนายสิ จะแหกปากทำไม” แล้วคนที่ตามหลังก็เดินเข้ามาในห้องก่อนจะบ่นกลไกพร้อมกับตบหัวเขาดังผัวะ!
ความโหดระดับนี้จะเป็นใครไม่ได้นอกจาก…
ยัยเพลิน!!
สองคนนี้ไปอยู่ด้วยกันได้ยังไง เรื่องนี้ต้องขยายความ!
“นั่งลงได้แล้วพ่อเซเลอร์มูน อาจารย์จะรีบพูด เธอจะได้ไปปราบศัตรูต่อ” อาจารย์ต่อคำพูดของกลไกอย่างขำขันทำให้ทั้งห้องหัวเราะคิกคักจนบรรยากาศเริ่มผ่อนคลาย ต่อมาฉันก็โบกมือให้ยัยเพลิน มันสังเกตเห็นและลากกลไกเดินมานั่งด้วยกันด้วยความอับอาย ฮ่าๆ เกลียดอีตากลไกชะมัด ตลกเกินไป T__T
กลไกนั่งข้างเกล้า ส่วนยัยเพลินเดินมานั่งข้างฉัน
“อะไร ยังไง ไปอยู่กับกลไกได้ยังไงยะ” ฉันกระซิบถามเพื่อนจอมแสบ ถ้าสายตาไม่ฝาด ฉันเห็นคิ้วนางกระตุกด้วย…น่ากลัว
“ฉันจับฉลากได้ชื่อมัน”
“งั้นหมายความว่ากลไกก็อกหักมาเหรอ” ฉันร้องโหออกมาพลางเอามือทาบอก “ไม่น่าเชื่อ”
“คนบ้าก็อกหักได้ เชื่อฉันเถอะ”
ฉันยิ้มกริ่ม อ๋อ…มิน่าล่ะ วันที่ฉันตกน้ำยัยนี่ถึงไลน์มาบอกว่าไม่อยู่ พร้อมๆ กันกับที่อีตากลไกหลบฉากไป ที่แท้เรื่องนี้มีอะไรอยู่เบื้องหลังนี่เอง หุๆๆ -..-
“เอาล่ะค่ะ อาจารย์จะเริ่มอธิบายให้ฟังแล้วนะคะ” เสียงนุ่มๆ ของอาจารย์เรียกทุกคนให้ไปสนใจท่าน “แล้วหวังว่าคราวนี้จะไม่มีพาวเวอร์พัฟเกิร์ลโผล่มาอีกนะ”
แล้วทั้งห้องก็หัวเราะครืนในคำพูดน่ารักๆ ของอาจารย์ ฉันว่าแล้วว่าอาจารย์คนนี้ดูใจดี ไม่น่าจะสั่งอะไรที่โหดร้ายทารุณขนาดนั้นได้
ชักอยากรู้เหตุผลของอาจารย์แล้วสิ Y_Y
“อย่างที่อาจารย์เคยสอนไป เรื่องช่องโหว่ของหลักการในการประกัน ซึ่งบ่อยครั้งสองอย่างนี้จะขัดแย้งกันเอง ดังนั้นเราจึงต้องเลือกปฏิบัติให้ถูกตามแต่ละสถานการณ์” อาจารย์เอ่ยด้วยเสียงจริงจังในขณะที่ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
“…”
“อย่างในกรณีนี้…ประกันความรักถูกมั้ยคะ” หญิงสาวหน้าห้องยิ้มให้อย่างใจดี “นิสิตเลือกที่จะเปรียบเทียบกับการประกันรถ ซึ่งมีหลักการบางข้อที่สามารถปรับใช้ได้ เช่น การประกันรถต้องไปถ่ายรูปรถตัวเองกับรถคู่กรณี”
“…”
“ดังนั้นประกันความรักก็ต้องไปถ่ายรูปกับแฟนเก่าหรือใครก็ได้ที่เป็นคู่กรณีไงคะ” แล้วเสียงดังอื้ออึงก็เกิดขึ้น แต่สักพักก็เงียบลงไปเพื่อฟังอาจารย์อธิบายต่อ “แต่…ประกันความรักของพวกเธอคือไปดามใจลูกค้า ในเมื่อหลักการปฏิบัติมันขัดต่อเจตนารมณ์ของเราที่ตั้งประกันนี้ขึ้นมา…จะทำยังไงดีคะ”
“…”
“ผลประโยชน์ ซึ่งในที่นี้คือคะแนน กับเหตุผลในการตั้งการประกันขึ้นมา ก็คือการรักษาแผลใจ…”
“…”
“อย่ามัวแต่ห่วงผลประโยชน์จนลืมเจตนารมณ์เดิมของการประกันไป นี่แหละคือหัวใจของการทำประกันที่กินใจและซื้อใจลูกค้าได้ค่ะ”
เมื่ออาจารย์พูดจบห้องทั้งห้องก็ปรบมือกันเกรียวกราวในความมีสปิริตและเปี่ยมไปด้วยเกียรติของอาจารย์ ท่านทำให้ฉันเข้าใจเลยว่างานทุกงานมีเกียรติด้วยกันทั้งนั้น พวกเราในฐานะเยาวชนที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ก็ควรทำงานด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์และมองเห็นคุณค่าของงานที่ตัวเองทำ
โคตรเจ๋ง! อาจารย์คนนี้น่านับถือมากอ่ะ!
“อาจารย์ครับ” อีตากลไกที่มีสีหน้าเคร่งเครียดกว่าปกติจนแปลกตา ยกมือถาม “แล้วถ้าลูกค้าเต็มใจที่จะไปถ่ายรูปล่ะครับ”
“อาจารย์ไม่ได้พูดในเรื่องของความเต็มใจหรือไม่เต็มใจนะนิสิต”
“…”
“จุดมุ่งหมายของประกันนี้คือ ‘รักษาแผลใจ’ ซึ่งการไปเจอแฟนเก่าหรือไปเจอคนที่หักอกมาเนี่ย…” ท่านส่งยิ้มอ่อนโยนให้ทั่วทั้งห้อง “มองยังไงก็ต้องเกิดความเจ็บปวดหรือเศร้าเสียใจจากการไปเจอหน้ากันอยู่แล้ว เวลาแค่นี้ยังไม่พอที่จะหายขาดได้ หรือต่อให้ใช้ทั้งชีวิตก็ไม่อาจลบเลือนออกไปหมด”
“…”
“ไหนใครในที่นี้ไปถ่ายรูปมาบ้าง” อาจารย์ถามพลางกวาดสายตามองไปทั่วห้อง เชื่อมั้ยว่ามีคนยกมือแค่สองสามคนเท่านั้นเอง
“แล้วใครไปถ่ายรูปมาโดยไม่มีความเศร้า ไม่มีความรู้สึกด้านลบ เช่น อับอาย เสียใจ หนักใจ และอื่นๆ มาด้วยคะ”
คราวนี้คนที่ยกมือก็เอามือลงกันหมด แม้กระทั่งตัวอีตากลไกเอง เมื่อเห็นว่าเป็นอย่างที่ท่านพยายามสื่อ ผู้หญิงท่าทางใจดีคนนี้จึงพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เข้มแข็งนะคะนิสิต บาดแผลจากความรักไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเยียวยา”
อาจารย์เลิกประชุมเวลาเกือบๆ ห้าโมงเย็น แต่ท้องฟ้าด้านนอกยังคงมีแสงแดดอ่อนๆ ส่องมาเพราะพระอาทิตย์ยังไม่ลาลับขอบฟ้า ฉัน เกล้า เพลิน และกลไกเดินออกมานอกอาคารกันอย่างมึนๆ เนื่องจากเจอการประเมินอันแสนครีเอทของอาจารย์ประกันซัดหน้าหงายกันเป็นแถวๆ
ถึงเกล้าจะผ่านการประเมิน แต่ยังไงพวกเราก็อดอึ้งในความลึกซึ้งของอาจารย์ไม่ได้…
แต่ที่พีคคืออีตากลไกแอบชอบพี่ข้างบ้านแล้วนก ยัยเพลินเลยต้องมาติดแหง็กกับนาง แถมอีตานี่ยังอุตส่าห์บากหน้าไปถ่ายรูปมาด้วยความกระดากอายอีกจนได้นะ (ถึงหมอนี่จะดูไม่น่าจะอับอายเป็นก็เถอะ) สุดท้ายแล้วเขาจึงมานั่งจ๋องเพราะไม่ผ่านการประเมินยังไงล่ะ
แต่คนที่ต้องเศร้าคือยัยเพลินไม่ใช่เหรอ ผิดบทบาทนะนาย -_-;;
“จะไปไหนกันต่อ” เพลินถามขึ้น ฉันกับอีตาหัวดำจึงมองหน้ากันโดยอัตโนมัติ และหันหน้าหนีไปคนละทางเพราะเพิ่งสำเหนียกได้ว่าจะมองกันทำไม สงสัยไปไหนมาไหนจนตัวแทบติดกันเลยเคยชินที่จะต้องปรึกษากันก่อนล่ะมั้ง เออ…ณ จุดๆ นี้คงได้แต่ยอมรับแล้วล่ะว่าฉันชินกับการที่หมอนี่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปซะแล้ว
“ฉันไม่อยากกลับบ้าน ไปเดินเล่นกันมั้ยเพลิน”
“อยากดูหนัง” ยัยนี่ส่งเสียงงุ้งงิ้งและส่งสายตาออดอ้อนมาให้
“เรื่องไรอ่ะ”
“ขอฉันหาก่อน” แล้วยัยเพลินก็ก้มลงกดโทรศัพท์ เข้าเน็ตเพื่อเช็กรอบหนัง เกล้าที่ยืนนิ่งๆ จึงจะเอ่ยถามฉัน
“เธอจะกลับเลยมั้ย เดี๋ยวไปส่ง”
“ยัง ไปดูหนังกับยัยเพลินก่อน”
“ฉันไปด้วยดิ” อีตากลไกแทรกหน้าเข้ามาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเริงร่า คนหน้านิ่งติดปนง่วงนอนจึงดันหน้าเขาออกไปอย่างไม่สนใจ ฉันขำก่อนจะพูดต่อ
“เอาไง นายจะไปดูด้วยกันมั้ย” ฉันก็ไม่รู้ว่าจะชวนอีตาหัวดำหน้ามึนนี่ทำไม แต่ปากมักจะไวกว่าความคิดเสมอ เอาเถอะ…ชวนไปแล้วนี่นะ
“ถามแต่เกล้านะ ทีฉันขอไปยังไม่ตอบเลย”
“นายคิดว่าพวกฉันจะห้ามนายได้เหรอ จะไปก็ไปสิ” เพลินเอื้อมมือมาโบกหัวอีตากลไกจนเขาร้องเจี๊ยกๆ แล้วยืนกุมหัวอย่างน่าสงสาร
“งั้นเดี๋ยวฉันไปด้วยก็ได้” เกล้าพูดขึ้นมาหลังจากยืนคิดสักพัก “ยังไม่อยากกลับบ้านเหมือนกัน”
“โอเค” ฉันพยักหน้ารับ ทางด้านยัยเพลินเมื่อหาเจอจึงสะกิดเรียกให้ดูรอบหนังที่เป็นเวลาห้าโมงสี่สิบห้า
“ได้นะ เรื่องนี้ก็ได้”
“เรื่องอะไร” เกล้าถาม
“Passengers[*]”
ห้าง SP
ในที่สุดพวกเราก็มาถึงที่หมายจนได้หลังจากเผชิญสภาพการจราจรนรกแตกบนท้องถนน ทำให้ห้างที่โคตรใกล้ต้องใช้เวลาเดินทางนานกว่าเดิมมากจนน่าเบื่อหน่าย ห้างนี้เป็นห้างชื่อดังและตั้งอยู่ใจกลางเมือง ดังนั้นคนเลยค่อนข้างเยอะและวุ่นวายพอสมควรจนฉันรู้สึกอึดอัด แต่ก็พยายามสะกดไว้ไม่ให้เป็นเรื่องใหญ่…
สู้เว้ยองศา!
หลังจากพวกเราซื้อตั๋วหนังกันเรียบร้อย พวกฉันจึงพากันลงมาเดินเล่นกันชั้นล่างสุดซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตเพราะเหลือเวลาอีกเกือบสี่สิบนาทีกว่าหนังจะฉาย ซึ่งฉันก็มีของต้องซื้อพอดีเลยถือว่าไม่ได้ใช้เวลาเสียเปล่า
ภายในพื้นที่ที่ค่อนข้างคับแคบที่ชั้นล่างสุด พวกเราเดินเป็นวงบอยแบนด์จนป้าแม่บ้านมองแรงเพราะแกเดินผ่านไม่ได้ ฮ่าๆๆ ชักน่าสนุกแล้วสิ
“วู้ววว ไม่ได้มาเดินเล่นห้างสบายๆ อย่างนี้นานแล้วนะเนี่ย”
“เดินดีๆ นี่ไม่ได้พานายมาเที่ยวนะ” เพลินบ่นกลไกที่เอาแต่วิ่งกางแขนกระโดดเหยงๆ อย่างสนุกสนานราวกับอยู่ในทุ่งหญ้าลาเวนเดอร์ นางหันมาทำมินิฮาร์ทใส่เพลินก่อนที่จะดึงโทรศัพท์ในมือยัยนี่ที่กำลังก้มกดอยู่แล้ววิ่งหนีไป
“ไอ้บ้า! นายจะเอาโทรศัพท์ฉันไปทำไม โว้ย! เหนื่อยใจ TOT”
ส่วนยัยเพลินเองก็วิ่งตามไปเอาโทรศัพท์คืนอย่างกับกำลังเล่นหนังอินเดียกัน เออ…บันเทิงดีแฮะคู่นี้
“นายไปคบกับหมอนี่ได้ไง คนละขั้วเลยนะเกล้า” ฉันหันไปถามเกล้าที่เดินข้างๆ พลางกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ เขายืนคิดนิดหน่อยก่อนจะตอบออกมาพร้อมสีหน้านิ่งสนิทแต่ทว่าแววตากลับฉายแววขบขัน
“จำได้ว่าไปค่ายอาสาด้วยกันตอนปีหนึ่ง ซึ่งเวลาอยู่ด้วยกันฉันแทบไม่ต้องพูดอะไรให้ใครฟังเลย ก็เลยคบเป็นเพื่อนมาจนถึงตอนนี้”
“ให้เขาอธิบายนู่นนี่นั่นแทนนายอ่ะเหรอ”
“ใช่”
โอเค ยอมใจในความสัมพันธ์ -__-;;
“แล้วไม่รำคาญหมอนั่นบ้างรึไง”
“บ่อย” ร่างสูงพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ “แต่มีมันอยู่ก็ไม่ได้เสียหายอะไร”
“อืม ก็จริงนะ” ฉันพยักหน้าหงึกหงักพลางเข็นรถเข็นไปเรื่อยๆ ในขณะที่ในหัวก็คิดว่าจะซื้ออะไรดีแต่พอไปถึงซุ้มของลดราคาที่มีคนรุมเยอะมากเพราะเป็นช่วงฮาร์ดเซลล์ฉันก็ชะงักกึก เสียงจ้อกแจ้กจอแจทำให้รู้สึกมึนงงเล็กน้อย ผู้คนที่เริ่มเบียดเสียดเข้ามาทำให้อึดอัดและหวาดระแวง อาการที่ไม่อยากอยู่ภายนอกร่วมกับคนอื่นในสังคมส่งผลให้ฉันเริ่มหายใจติดขัดและมีเหงื่อออก
ปกติแล้วฉันอยู่ได้แม้ไม่ต้องกินยาบ่อยนัก แต่พอเกิดเหตุการณ์ที่ไปขโมยแมวลุงนั่นอาการของโรคมันก็กำเริบขึ้นมาจนถึงขั้นที่ฉันต้องกินยาระงับ แต่เพราะชะล่าใจและไม่ได้กินยา อาการต่างๆ ก็เริ่มออกมาจนทำให้ฉันแทบควบคุมตัวเองไม่ได้
เหมือนเกล้าจะดูออกว่าฉันแปลกๆ ไป เสียงทุ้มจึงเอ่ยถาม
“เฮ้ เธอเป็นอะไรรึเปล่า”
“…” ฉันไม่ตอบเขาแต่กลับยืนก้มหน้านิ่งพยายามหายใจเข้าลึกๆ และตั้งสติ แต่ผู้คนที่เดินชนฉันไปมากลับทำให้สติแตกมากกว่าเดิม…
ใจเย็นองศา ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นโรคนี่ พวกเขาจะมาด่ามาว่าได้ยังไง…
“องศา” เสียงเรียกพร้อมกับฝ่ามืออุ่นๆ ที่มาแตะไหล่แผ่วเบาทำให้ฉันสะดุ้งเฮือกหลุดจากภวังค์ เกล้าใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งแตะฉัน และอีกข้างหนึ่งก็เชยคางให้ไปสบตาเขา นัยน์ตาสีดำสนิทที่เคยอ้างว้างของเขา ตอนนี้มันกลับมีเสน่ห์งดงามและดึงดูดราวกับฉันกำลังจ้องมองจักรวาล
เขาตีหน้านิ่ง แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือฉันสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนจากแววตาและรอยยิ้มบางๆ แม้จะไม่ได้อ่อนโยนถึงขั้นทำให้เขาดูบุคลิกหลุดออกจากอีตาญาติฮิตเลอร์ แต่เขาก็ใจดีขึ้นมากกว่าตอนแรกๆ ที่เจอกันอยู่ไม่น้อยทีเดียว
“มองแค่ฉันนี่…” น้ำเสียงของเกล้าคล้ายจะอ้อนวอน “โฟกัสแค่ฉัน จำกัดวงความคิดของเธอ”
“…”
“ไม่ต้องพยายามเดาใจคนทุกคนว่าพวกเขาคิดยังไงกับเธอ…”
“แต่…”
ฉันพยายามจะแย้งออกไป ผู้ชายตรงหน้าก็ทำตาโตเพื่อบอกให้เงียบลง ตอนนี้สิ่งที่ฉันเห็นมีแต่ใบหน้าอีตาเกล้าและความอบอุ่นที่ชวนจั๊กจี้หัวใจของเขา รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่ปากของฉันในขณะที่เขาพยายามปลอบ ช่วงเวลาที่หมอนี่พยายามพูดให้ฉันรู้สึกดีขึ้น ภาพรอบๆ พวกเราก็กลายเป็นภาพเบลออย่างกับในภาพยนตร์…
ราวกับโลกนี้มีแค่พวกเราสองคน…
“เธอไม่ได้แตกต่าง เธอแค่พิเศษในแบบที่เป็นเธอ” แล้วเกล้าก็ผละออกไป ทิ้งไว้เพียงสัมผัสอันอบอุ่นจากฝ่ามือเมื่อครู่นี้ และในขณะที่กำลังปรับอารมณ์ให้ออกมาจากสกรีนสีชมพูหวานแหววเพื่อรับรู้ความเป็นไปของโลกภายนอก อยู่ๆ อีตากลไกก็ยื่นหน้าเข้ามาหาฉันและเกล้าพร้อมกับพูดน้ำเสียงทะเล้นๆ ที่น่าเตะก้านคอสลบสักป้าบหนึ่ง
“จูบเลย จูบเลย”
“มะเหงกฉันนี่” เกล้าหันไปตบหน้าผากอีกฝ่ายจนเจ้าลิงจ๋อนี่ร้องเจี๊ยกๆ กลับไปยืนยิ้มเผล่ข้างๆ ยัยเพลินที่กำลังส่งสายตาแพรวพราวระยิบระยับมาให้ อะไรของมัน เกล้าแค่ดึงสติฉันเท่านั้นเอง โธ่!
แล้วนี่วิ่งหนีกันเสร็จแล้วเหรอ -_-
“ทำนองเพลงแต่งงานร้องยังไงนะ” อีตากลไกยังไม่หยุดเล่น เขานิ่งคิดสักพักและเริ่มฮัมเพลงที่เจ้าตัวคิดว่าเป็นเพลง Here comes the bride ที่ใช้ประกอบพิธีแต่งงาน
“ตือดือดือดื่อดือดือดื่อ…”
“ไอ้บ้า! นี่มันเพลงงานศพ!” แล้วเพลินก็โบกหัวลิงนี่ไปงามๆ สองหนแทบจะทันทีที่กลไกส่งเสียงแปลกๆ ออกมา
“ร้องไม่เป็นก็หยุด บรรยากาศเสียหมด” ฉันบ่นก่อนจะเดินตามเกล้าที่เดินออกไปตั้งแต่กลไกร้องเพลงออกมาอย่างได้น่าขายขี้หน้า…
แต่ก็ตลกดี :)
“เห็นอย่างนี้ฉันประกวดร้องเพลงได้ที่หนึ่งนะเว้ย”
“นั่นมันตั้งแต่อนุบาล” เกล้าตะโกนกลับมาหา ทำเอาฉันและเพลินหัวเราะกลไกที่กำลังยืนเบะปากร้องไห้อย่างน่าสงสาร
บรรยากาศรอบข้างดีขึ้นมากเพราะความคิดฉันค่อยๆ เปลี่ยนไป ฉันโฟกัสแค่คนตรงหน้าสามคนนี้ ผูกใจไว้กับพวกเขาแค่ไม่กี่คน…
อืม…รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย
“งั้นเดี๋ยวฉันพากลไกไปดูของตรงนู้นก่อนนะ” เพลินเดินเข้ามาบอกฉันพลางชี้มือไปยัง ‘ของตรงนู้น’ ที่มันว่า ฉันมองตามที่ยัยนี่ชี้ และก็พบกับ…
โซนของเล่น!
จ้า กลไก -_-;;
“ไปซื้อของกันได้แล้ว” เมื่อกลไกลากยัยเพลินไป เกล้าก็ยิ้มให้ฉันอย่างน่ารักก่อนจะจูงมือให้เดินไปเสียที ฉันก้มมองฝ่ามือหนาที่จับไว้หลวมๆ ด้วยความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ไออุ่นที่ส่งผ่านมาราวกับเป็นเครื่องปลอบประโลมจิตใจและนำทางฉัน เพื่อป้องกันการหลง…
ไม่ได้หมายความว่าหลงทาง
แต่ป้องกันการหลงไปอยู่ในความคิดที่แคร์คนในสังคมมากไปต่างหาก…
เออ ก็ดีนะ ไกด์ทั้งมือนุ่มและอุ่นขนาดนี้ อยากลวนลามมือนี้มาตั้งนานแล้ว ได้โอกาสก็ขอตักตวงไว้สักหน่อย คิๆๆ
เมื่อมาถึงโซนที่ต้องการ ฉันก็เข็นรถไปอย่างตื่นเต้น โอ้ว! ตัดสินใจไม่ได้อ่ะ อยากได้นู่นนี่ไปหมดเลยค่า!
และก่อนที่จะรู้ตัว ฉันก็หยิบแทบทุกอย่างที่เดินผ่านมาจนเกล้าที่ตอนนี้เปลี่ยนจากจับมือมาเป็นเข็นรถให้ถึงกับเอ่ยปากห้าม
“เฮ้ยๆ เยอะไปแล้วมั้ง”
“เยอะอะไร มีแต่ของจำเป็นเลยเนี่ย” ฉันเถียงข้างๆ คูๆ แม้ว่าสิ่งที่เกล้าพูดมามันจะถูกก็เถอะ ดูสิ ภายในเวลาไม่ถึงห้านาทีฉันก็หยิบโน่นนี่จนเกือบจะเต็มคันรถแล้วอ่ะ
“เธอเอาน้ำปลาไปทำไมตั้งห้าขวดน่ะองศา -_-” เกล้าทักขึ้นเมื่อเห็นของในมือที่ฉันกำลังขนลงรถเข็น
“เผื่อไง เกิดน้ำปลาขาดตลาดนายได้ขาดสารไอโอดีนกันพอดี”
“ของอย่างอื่นก็มีไอโอดีน เอาไปกินขนาดนี้นี่ไตพังหมด” อีตาหัวดำบ่นพลางหยิบของนั่นออกโดยมีฉันมองตามไม่ห่าง และเมื่อเขาเผลอฉันก็แอบหยิบมาใส่รถเข็นตามเดิม แต่ทว่า…
เพี๊ยะ!
“ฉันเห็นนะ” ฝ่ามือหนาตีมือฉันอย่างแรงจนเป็นรอยแดง ฉันนิ่งอึ้งเพราะไม่คิดว่าหมอนี่จะกล้าตีขนาดนี้ แง้! ถึงจะไม่ได้บอบบางแต่ก็ยังเจ็บเป็นนะโว้ย TOT
“นี่เราสนิทกันถึงขั้นตีมือได้ขนาดนี้แล้วเหรอ” ฉันถามพลางทำหน้าบึ้งตึง
อีกฝ่ายตอบด้วยรอยยิ้มมุมปากอย่างโคตรละลายใจ
“แล้วสนิทมั้ยล่ะ”
เมื่อเจอคำถามนี้ไปองศาก็ตายอนาถสิคะ แพ้ราบคาบเลย…
“สนิทก็ได้” ฉันอ้อมแอ้มตอบด้วยความเขิน
“ดีมาก งั้น…ถ้าเธอเจ็บ ฉันให้เธอตีคืนก็ได้” เขายื่นมือมาให้ตี แต่ฉันไม่กล้าทำเลยได้แต่ปัดมือเขากลับ อีกฝ่ายจึงส่งเสียงหึในลำคออย่างเยาะเย้ยฉันเลยเบ้ปากใส่ก่อนจะหยิบของใส่รถเข็นรัวๆ ราวกับมีสิบมืออย่างทศกัณฐ์
“พอเลย ฉันจะช่วยเธอเลือกเอง” เกล้าหยิบของนั่นคืนที่เดิม “ห้ามซื้อเผื่อด้วย”
“แต่…”
“ฉันกำลังบำบัดเธออยู่นะ อยากหายต้องเชื่อฟังฉันดิ”
“ก็ได้ค่า”
พอได้ยินดังนั้นเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทก็โคลงหัวตัวเองไปมาเป็นเชิงพึงพอใจ แต่ฉันฉุกคิดอะไรอีกอย่างหนึ่งมาได้จึงเอ่ยถามจิตแพทย์ (?) ส่วนตัวคนนี้
“แล้วถ้าซื้อเผื่อนายล่ะ”
“ฮะ?” สีหน้าเขาดูแตกตื่นราวกับฉันบอกว่าเจอสัตว์ประหลาด อันที่จริงฉันก็กำลังเจอมันเลยนะ…หน้าหมอนี่ตอนนี้ไง
“หมายความว่าถ้าฉันอยากซื้อให้นายล่ะ ฉันจะซื้ออะไรได้บ้าง”
“แล้วจะซื้อให้ฉันทำไม”
“เผื่อนายไม่ได้ซื้อเอาไว้ไง ฉันกลัวว่านายจะไม่มีใช้ (._.)”
คนตรงหน้าชะงักไป นัยน์ตาสีดำสนิทฉายแวววูบไหวก่อนที่เขาจะกลบเกลื่อนมันด้วยการหันหน้าหนี ไม่สิ…เขากลบมันไม่มิดต่างหากเลยต้องหันหนี ฉันถึงกับยืนงงในท่าทีของคนตรงหน้าและพยายามจะมองสีหน้าเขาให้ได้ แต่อีกฝ่ายก็หันไปหันมาจนฉันมึนหัวแทนเลยหยุดรอให้หมอนี่กลับมาเป็นปกติ
สักพักเกล้าก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะระบายยิ้มออกมาเพราะหุบไม่อยู่
“เฮ้อ…เธอนี่จริงๆ เลย ให้ตายเหอะ”
“เอ้า นี่ฉันทำอะไรผิดอีกรึไง” ฉันตีหน้าซื่อ แม้จะแอบเคลิบเคลิ้มไปกับรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ของคนตรงหน้า ต่อมาเกล้าก็ก้มมองนาฬิกาและพบว่ามันใกล้ถึงเวลาฉายแล้วจึงเอ่ยขึ้น
“ไปจ่ายเงินกัน กว่าจะคิดเงินเสร็จก็ถึงเวลาฉายหนังพอดี”
“แต่ยังเหลือของอีกเยอะที่ยังไม่ได้ซื้อเลยนะ”
“ไม่ได้ ห้ามต่อรอง”
แล้วหมอนี่ก็ใช้แรงที่มีดันฉันจนฉันต้องเดินไปอย่างช่วยไม่ได้ ไว้คราวหน้ามาซื้อเองคนเดียวก็ได้ แบร่!
05 : 50 P.M.
Now showing : Passengers (Theater 7)
พวกเรานัดกันหน้าโรงหนังเพื่อซื้อป๊อบคอร์นก่อนที่จะเดินเข้ามาพร้อมกัน ภายในโรงภาพยนตร์มืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากหน้าจอและประตูหนีไฟเท่านั้น โดยที่ที่นั่งของพวกเราคือตรงกลางแถวเอ เกล้านั่งริมสุด แล้วก็ฉัน ถัดไปเป็นเพลิน สุดท้ายคือกลไก
หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของการเดินทางบนยานอวกาศอวาลอนที่พาลูกเรือกว่าห้าพันคนไปใช้ชีวิตแสนหรูหราบนดาวโฮมเสตททู ยานลำนี้เคลื่อนที่ด้วยระบบบินอัตโนมัติ และใช้เวลาเดินทางหนึ่งร้อยยี่สิบปีจึงจะถึงดาวนั้น ทว่าวันหนึ่งเกิดอุกกาบาตพุ่งชนตัวยานเสียหาย กระสวยจำศีลของพระเอกจึงขัดข้องและปลุกให้เขาตื่นก่อนเวลาถึงเก้าสิบปี และเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มที่สุดหล่อของฉันต้องอยู่คนเดียวท่ามกลางความอ้างว้างในจักรวาล…
เมื่อเห็นความเดียวดายที่สื่อผ่านมาทางตัวละครตัวนี้ทำให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวกลับเข้ามาสู่ใจของฉัน ฉันพยายามจับสร้อยรูปเด็กผู้หญิงของตัวเองแต่ก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ฉันจึงสะกิดอีตาเกล้า ซึ่งเขาเองก็โน้มตัวมาหาเพื่อฟังว่าฉันจะพูดอะไร
จริงๆ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าสร้อยรูปหัวใจจะช่วยอะไรได้ แต่ลำพังแค่จับสร้อยรูปเด็กผู้หญิงกับตัวเองไว้มันยังไม่ได้ทำให้ความรู้สึกแย่ๆ นี่หายไป
ก็แสดงว่าฉันจะหายได้ด้วยสร้อยทั้งสองอยู่รวมกัน…
ซึ่งก็ไม่รู้อีกนั่นแหละ ว่าจะหายได้มั้ย…
“สร้อยฉันอยู่ไหน”
“มาถามตอนนี้เนี่ยนะ”
“เออน่า อยู่ไหน”
“อยู่ในบ้าน ฉันเอารถไปล้างเลยเอาออกมาเก็บไว้”
“งั้นเหรอ” ฉันพยักหน้าปลงๆ ไม่เอาสร้อยแล้วก็ได้ ทางเดียวที่จะหลีกหนีอาการอ้างว้างได้คือหลับ…นอนดีกว่าฉัน ไม่อยากรู้สึกแบบนี้เลย เจ็บหัวใจราวกับมันมีรูโหว่อย่างนั้นแหละ
“มีอะไรรึเปล่า”
ฉันส่ายหน้าซึ่งไม่แน่ใจว่าเขาจะเห็นมั้ย ก่อนจะเริ่มเลื้อยลงเรื่อยๆ อาจด้วยความเหนื่อยสะสมมาจากอาทิตย์ที่แล้วทำให้ฉันเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็วแม้ว่าเรื่องราวในจอจะน่าตื่นเต้นแค่ไหนก็ตาม…
“เสียเงินมานอนให้หนังดูคนเหรอเนี่ย”
แต่แล้วจู่ๆ สัมผัสอุ่นๆ ของเสื้อกันหนาวก็เข้ามาปกคลุมบนตัวฉันด้วยฝีมือของเกล้า พร้อมกับเสียงอันนุ่มนวลดังขึ้นในโสตประสาท ก่อนที่ฉันจะไม่รับรู้อะไรอีกเลย…
“…!!”
ฉันสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงบีบอย่างแรงที่แขนซ้าย เมื่อหันไปดูก็พบว่าเกล้านั่นเองที่บีบแขนฉันเต็มแรง ตัวของเขาเกร็งจนน่าแปลกใจ ในขณะที่เขายังคงจดจ้องไปที่หน้าจออย่างไม่ละสายตา…
มันเป็นภาพที่นางเอกลอยค้างอยู่กลางอากาศ น้ำมหาศาลที่ห่อหุ้มตัวเธอและอาการตะเกียกตะกายเพราะความทรมานจากการจมน้ำทำให้ฉันอึดอัดและลุ้นตามไปด้วย ถ้าให้เดานะ…ก่อนหน้านี้นางเอกคงกำลังว่ายน้ำอยู่ แล้วอยู่ๆ ก็เกิดอะไรสักอย่างที่ทำให้ระบบแรงโน้มถ่วงขัดข้อง เธอเลยโดนมวลน้ำมหาศาลห่อหุ้มรอบตัวและหมุนวนอยู่ในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงจนยากที่จะหลุดออกมาได้…
ใช่…มันน่าอึดอัดและลุ้นระทึก
แต่ก็ไม่น่าจะตาแข็งค้างและตัวสั่นอย่างที่อีตาเกล้าเป็น…
“เกล้า นายเป็นอะไร” ฉันส่งเสียงเรียกเขาและพยายามแกะมืออันเหนียวแน่นของเขาออก อีกฝ่ายสะดุ้งเฮือกเบาๆ พร้อมกันกับที่ฉากในหนังนั้นแรงโน้มถ่วงกลับมาใช้ได้เหมือนเดิมและนางเอกก็รอดพ้นจากการจมน้ำกลางอากาศแล้ว
“ไหวมั้ย เป็นอะไรรึเปล่า” ฉันเขย่าตัวเขาเพื่อเรียกสติอีกรอบ เกล้าหันมาสบตาฉัน แม้จะมองไม่ค่อยเห็นนักแต่ฉันก็พอสัมผัสได้ว่านัยน์ตาคู่นี้เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ใบหน้าของเขาแตกตื่นและดูตกใจไม่น้อยจนฉันตกใจตามเขา ทำไมเกล้าที่มีสีหน้านิ่งสนิทมาตลอดกลับแสดงสีหน้าอย่างนี้ได้อย่างชัดเจนขนาดนี้…
เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!
ทันใดนั้นเกล้าก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว…
“เฮ้ย! นายจะไปไหนเนี่ย” แล้วฉันก็เดินตามออกมาแทบจะทันทีแล้วพยายามเร่งฝีเท้าให้ทันผู้ชายตัวสูงข้างหน้าที่ก้าวขายาวๆ นั่นตรงไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าจะหยุด
“เกล้า!!” ฉันตะโกนออกมาอย่างไม่อายจนคนรอบข้างตกใจและมองมาเป็นตาเดียว ถ้าเป็นแต่ก่อนฉันคงจะกังวลและตื่นตระหนกมากแท้ๆ แต่พอโฟกัสอยู่แค่อีตาเกล้าที่มีท่าทีแปลกไปทำให้ฉันแทบไม่แคร์คนภายนอกเลยด้วยซ้ำ
ฉันเดินตามเขาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมอนี่เดินเข้าห้องน้ำชาย…เล่นงี้เลยเหรอ ฉันดักรอหน้าห้องน้ำก็ได้วะ มีที่นั่งพอดี เสร็จแล้วฉันก็โทรหายัยเพลินพร้อมบอกที่อยู่ของตัวเองไป สักพักเพลินและกลไกก็วิ่งมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“แฮกๆ เกล้าเป็นอะไรอ่ะแก อยู่ดีๆ ก็วิ่งออกมา”
“ไม่รู้อ่ะ หมอนั่นบีบแขนฉันแน่นตอนฉากนางเอกจมน้ำ แล้วสักพักก็พรวดพราดออกมาเลย”
“หมอนี่เป็นอะไรอีกเนี่ย” เพลินมีสีหน้ายุ่งเหยิงก่อนจะหันไปถามผู้ชายมาดเซอร์ที่กำลังยืนหอบอยู่ “นายพอรู้อะไรบ้างมั้ย เกล้าเป็นอะไร”
“ไม่อ่ะ ฉันไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้มาก่อน” กลไกมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น “อย่างว่าแหละ ฉันกับมันเพิ่งมารู้จักกันตอนปีหนึ่งนี่เอง”
“เขาเป็นอะไรของเขานะ” ฉันพึมพำอย่างเป็นห่วง อีตาเกล้าผีเข้าอีกแล้ว…แต่ผีครั้งนี้กลับน่าสงสารจนฉันอยากเข้าไปกอดปลอบเหลือเกิน
“นาย…ช่วยไปซื้อน้ำให้หน่อยได้มั้ย” ยัยเพลินที่มีสีหน้านิ่งกว่าปกติเอ่ยกับกลไก และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าลังเลยัยนี่จึงทำหน้านิ่งกว่าเดิม “ให้เกล้า เผื่อหมอนั่นออกมาจะได้รู้สึกดีขึ้น”
“ก็ได้ เดี๋ยวฉันไปซื้อให้”
“ขอบคุณนะ”
เมื่อกลไกเดินออกไปยัยเพื่อนตัวแสบก็เข้าประเด็นทันที
“เผื่อแกไม่รู้…”
“เออ ไม่รู้ เล่ามา”
“ใจเย็นสิ” อีกฝ่ายเปิดปากเล่าสิ่งที่ตัวเองพอรู้มาบ้าง “ฉันจะบอกว่าเท่าที่ฉันสังเกตมา…”
“…”
“เกล้า…เป็นคนที่ไม่ผูกพันกับอะไร”
“หา!?!”
“ไม่ดิ เรียกว่าเขาไม่อยากผูกพันกับสิ่งไหนเลยจะดีกว่า”
“ยังไงวะ” ฉันทำหน้างง ยัยเพลินจึงขยายความต่อ
“อืม…ประมาณว่าเมื่อใครสักคนเข้าใกล้เกล้าได้มากเกินไป เขามักจะผลักคนๆ นั้นออกมา…” เพลินถอนหายใจ “เหมือนหมอนี่ไม่แยแสอะไรเลย แม้กระทั่งเพื่อนตัวเอง และเผยตัวตนออกมาเท่าที่อยากให้เห็น”
“…”
“แกคิดดู ขนาดกลไกอกหัก อีตาเกล้านั่นยังไม่แสดงความเป็นห่วงแม้แต่นิดเดียวอ่ะ”
“เพราะเป็นกลไกรึเปล่าแก”
“ไม่เว้ย กลไกมันเครียดอยู่นะ” เพลินส่ายหน้าหวือ “จริงๆ มันมีอะไรมากกว่านี้อีกที่ฉันไม่รู้ แต่เท่าที่สังเกตมาฉันนิยามเกล้าได้ว่าเป็นคนแบบนั้นแหละ”
“…”
“ไม่ผูกพันกับใครหรือสิ่งใดเลย…ล่องลอย…”
“…” ฉันนิ่งอึ้ง สมองประมวลผลสิ่งที่เพลินกำลังเล่าออกมา จะว่าไปมันก็จริงนะ…ตั้งแต่ที่เจอกัน ตอนจักรยานล้มเกล้าเดินผ่านของจากเซเว่นที่เละไม่เหลือซากและพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับว่าสิ่งของอ่ะ ทิ้งๆ มันไปอะไรไม่รู้ และเหตุการณ์หลายต่อหลายครั้งที่เขาเผยตัวตนและผลักฉันออกเมื่อเข้าไปใกล้เกินไป
แต่ทำไมตอนนี้ฉันถึงเข้าใกล้เขาได้บ้างแล้วล่ะ…ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกว่าเกล้าเปิดใจให้มากขึ้นอ่ะ เอ๊ะ! หรือว่ามันยังไม่ถึงขีดที่เขากั้นฉันไว้ให้ออกจากตัวตนของเขา
ปวดหัวจัง สับสนไปหมดแล้วเนี่ย T_T
“ฮือ! ทำไมเกล้าดูเข้าใจยากจัง ปริศนารอบตัวเต็มไปหมดเลย”
“นั่นสิ ฉันไม่รู้จะคุยกับใครเลยเล่าให้แกฟังเนี่ย”
ฉันพยักหน้าและพยายามช่วยวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ ที่มีร่วมกับเกล้าให้ได้มากที่สุด ทั้งคำพูด ความคิด การกระทำ ซึ่งถ้าถามว่าทำไปทำไม คำตอบคือไม่รู้เหมือนกัน…แง้! เอาจริงๆ ป่ะ ฉันแค่อยากรู้จักตัวตนของเขามากกว่านี้อ่ะ เราต้องทำงานร่วมกันอีกนาน หมอนั่นไม่บอก ฉันก็จะพยายามหาทางทำความเข้าใจเขาเอง
“เออดี เล่ามาให้หมด จะช่วยคิดเอง”
“คิดได้แค่นั้นแหละย่ะ” ยัยเพื่อนตัวแสบย่นจมูกนิดๆ ก่อนที่นางจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเจ้าเล่ห์และยิ้มแพรวพราวมาให้ฉัน
“มีแต่คนอิจฉาแกที่ได้เกล้ามาประกันรู้ตัวมั้ย”
“จริงดิ” ฉันถาม หัวใจพองโตนิดๆ เมื่อได้ยินคำนี้
“จริงยิ่งกว่าจริง แกได้เห็นมุมของเกล้าเยอะมากกก อย่างที่ฉันบอกไงแกเข้าใกล้หมอนี่ได้ไว ถ้าเป็นปกตินี่แทบไม่อยู่ในสายตาหมอนี่เลยนะ เพราะเขาไม่อยากไปผูกพันด้วย”
“ทำไมหมอนี่ต้องหนีการผูกพันกับใครสักคนขนาดนั้นล่ะ”
อีกฝ่ายนิ่งคิด นัยน์ตาสีอ่อนของมันกรอกไปมาอย่างคิดหนัก จนกระทั่งเสียงใสเอ่ยออกมา
“ฉันคิดว่าที่เกล้าเป็นแบบนี้เขาต้องมีปมที่เกี่ยวกับการตกน้ำแน่นอน”
“ยังไง”
“ตั้งแต่แกตกน้ำละ อาการเหมือนคนผีเข้า” เพลินลูบคางอย่างครุ่นคิด “ไหนจะมาตอนนี้อีก”
“แล้วมีคนรู้เรื่องนี้แบบละเอียดๆ มั้ย”
“มี”
เพื่อนสาวของฉันยิ้มพลางพยักหน้า มันยักคิ้วหลิ่วตาใส่ฉันก่อนที่จะพูดออกมาอย่างมาดมั่น…
“เท่าที่สืบมาได้นะ…ยัยนั่นชื่อ ‘เอิร์ธ’ เพื่อนตั้งแต่ม.ต้นของเกล้า”
ฉันแยกกับเพลินและกลไกหลังจากที่อาการของเกล้าดีขึ้น เขาเดินนำหน้าฉันไปที่รถ บรรยากาศด้านนอกห้างออกเย็นๆ นิดหน่อย แต่ก็ไม่เท่ากับบรรยากาศที่แผ่ออกมาจากผู้ชายตัวสูงตรงหน้า เขาเงียบและมีสีหน้าเลื่อนลอยอย่างที่เคยเป็นมาแล้วเมื่อครั้งที่ฉันตกน้ำ…
นี่จึงทำให้ข้อสันนิษฐานของยัยเพลินดูมีน้ำหนัก!
แม้อยากจะถามเจ้าตัวใจจะขาด แต่ฉันว่าแค่นี้เกล้าก็อาการแย่พอสมควรแล้ว ดังนั้นตัวเลือกสุดท้ายที่จะไขปริศนาได้จึงเหลือแค่…
เอิร์ธ!
ประเด็นคือ จะไปเจอยัยนั่นได้ยังไง รู้จักแค่ชื่อเองเนี่ย
เมื่อพวกเราเข้ามาในรถ เกล้าสตาร์ทรถและนั่งนิ่งสักพักจนฉันใจคอไม่ดีตามไปด้วย และเพื่อเป็นการระบายความอึดอัด ฉันจึงพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
“นายไหวมั้ย” น้ำเสียงฉันอ่อนลงเพื่อถามเขาอย่างอ่อนโยน
“…” เกล้าไม่ตอบแต่เขากลับส่ายหน้าแล้วซบกับพวงมาลัยแทน ทำให้ฉันรู้ว่าครั้งนี้เขาเป็นหนักจริงๆ เพราะถ้าตามปกติเขาจะยังคงมีแรงสร้างกำแพงกับฉันและพูดจาทิ่มแทงกระดองใจไปแล้ว แต่นี่เล่นเผยท่าทีน่าสงสารจนฉันใจเสียไม่น้อยทีเดียว
คราวนี้จึงเป็นฉันบ้างที่ลูบหลังเขาแผ่วเบา…
“ไม่เป็นไรนะเกล้า นายยังมีฉันอยู่ตรงนี้…” เกล้านิ่ง เขาไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่นิดเดียว เวลาผ่านไปนานมาก จนในที่สุดเกล้าก็สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพอดีกับที่โทรศัพท์มือถือตรงคอนโซลหน้ารถสั่นบ่งบอกว่ามีสายเข้า
ร่างสูงกดรับด้วยสีหน้านิ่งสนิท “ว่า?”
[…]
“อืม…”
[…]
ผู้ชายข้างๆ ฉันเงียบไปพักใหญ่ราวกับกำลังใช้ความคิด เขาเหล่มองฉันนิดหน่อยก่อนจะกรอกเสียงลงไปเพื่อตอบคนปลายสาย
“เดี๋ยวเอิร์ธ…”
ชื่อที่เกล้าเอ่ยออกมาทำให้ฉันนั่งหลังตรงด้วยความตื่นเต้น เอิร์ธ! ตอนนี้ชื่อนี้มีอิทธิพลต่อฉันสุดแล้ว เพราะงั้นฉันเลยตั้งใจฟังสิ่งที่เกล้าคุยกับอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
“เธอมารอฉันที่บ้านเลยก็ได้ เดี๋ยวไปส่งเพื่อนก่อน”
[…]
“อ่าฮะ เจอกัน”
แล้วเขาก็กดตัดสายก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม เจ้าของนัยน์ตาคมกริบสบตาฉันในความมืดแล้วละสายตาไปก่อนที่เกล้าจะถอยรถออกจากที่จอดเพื่อขับไปส่งฉัน ทางด้านฉันเองตอนนี้ในหัวก็มัวแต่คิดว่าจะเอายังไงดี กลับบ้านไปก็อาจไม่มีโอกาสได้เจอเอิร์ธเลย…
มีทางเดียวที่จะเจอคือฉันต้องไปบ้านเกล้า!
แล้วจะหาข้ออ้างอะไรไปบ้านเขาล่ะเนี่ย…
‘สร้อยอยู่ในบ้าน ฉันเอารถไปล้างเลยเอาออกมาเก็บไว้’
แต่แล้วคำพูดนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว ทำให้ฉันนึกอะไรดีๆ ออก
“เกล้า นายเอาสร้อยฉันไว้ที่บ้านนายเหรอ”
“ใช่ อย่างที่เล่าไปนั่นแหละ”
ฉันหันไปมองเสี้ยวหน้าของผู้ชายที่กำลังขับรถอยู่ เหมือนเกล้าจะรู้ว่ามีคนมองเขาจึงหันมาสบตาฉันด้วยแววตาสงสัยว่าจะมองทำไม ฉันเงียบไปนิดหนึ่งแล้วกลั้นใจพูดออกมา
“ฉันอยากไปบ้านนาย”
“หืม?”
“เอ่อ…ฉันหมายถึงว่าไปดูสร้อยอ่ะ”
“ค่อยเฟซไทม์ก็ได้” เขาแย้งออกมาพลางขมวดคิ้ว
“คือ เอ่อ…แต่ฉันอยากจับมันอ่ะ” เมื่อไปไม่เป็นยัยองศาคนนี้ก็เริ่มใช้วิชาการแถเหนือเมฆเข้าช่วย พลางภาวนาให้หมอนี่ยอมเชื่อ “ฉันรู้สึกโหยหามาก และถ้าไม่ได้ลูบๆ คลำๆ คืนนี้คงนอนไม่หลับ หัวใจมันกระสับกระส่ายยย~”
“ติดกลไกมารึไง แค่นี้ก็ต้องร้องเพลงด้วยเหรอ” เกล้ามองฉันอย่างกับเห็นตัวประหลาดก็ไม่ปาน ไม่เป็นไร เพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ฉันยอมเป็นอะไรก็ได้ค่ะ!
“ตกลงว่ายังไง ไปได้มั้ย”
อีตาหัวดำนิ่งคิดสักพัก ก่อนที่เขาจะพยักหน้า
“ก็ได้ แต่ฉันมีแขกอยู่นะ”
“ไม่เป็นไร นั่นแหละที่ฉันต้องการ”
“…”
“ฉันหมายถึงไปดูสร้อย นายจะมองหน้าฉันทำไม”
เกล้าถอนหายใจ “อืม ไปก็ไป”
เมื่อมาถึงคฤหาสน์อันใหญ่โตมโหฬารของอีตาเกล้าก็ทำเอาฉันอดอ้าปากค้างไม่ได้ แม่เจ้าโว้ย! นี่นายเป็นสุลต่านจากที่ไหนป่ะเนี่ย อลังเว่อร์! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงเปย์ฉันโดยไม่บ่นอะไรเลยแม้แต่น้อย ที่แท้คลังสมบัติหมอนี่ก็มีมหาศาลเลย
“นี่นายอยู่คนเดียวเหรอ” พอเข้ามาถึงห้องโถงขนาดใหญ่กลางบ้านฉันก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ แต่ยังไม่ทันที่เกล้าจะตอบอะไร ผู้หญิงร่างเพียวระหงส์คนหนึ่งก็เดินเข้ามาทางพวกเราด้วยท่าที่แต่ละเยื้องย่างช่างสง่างามและเต็มไปด้วยเสน่ห์จนฉันคิดว่าตัวเองกำลังดูโชว์วิคตอเรีย ซีเคร็ตอยู่
สวยมาก เหมือนนางแบบเลย!
หญิงสาวคนนี้สง่ามากจนทำให้ชุดลำลองสบายๆ กลายเป็นเสื้อผ้าที่มีราคาไปได้ ใบหน้าหวานใส ตาโต ปากนิด จมูกหน่อย สวยจนแทบไม่มีที่ติทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองหดเหลือตัวนิดเดียว อีกฝ่ายยิ้มให้อย่างเป็นมิตรจนฉันผ่อนคลายลงบ้าง
“องศา นี่เอิร์ธ” เกล้าแนะนำเธอคนนี้ให้ฉันรู้จัก
“เอ่อ…สวัสดี…”
“เฮลโหลล~”
อีกฝ่ายทักกลับด้วยท่าทีน่ารัก พลางระบายยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสและอ่อนโยนราวกับเสียงเพลงนุ่มๆ ที่ฟังสบายหู
“คนนี้เองเหรอที่นายต้องไปประกันความรักให้…” เอิร์ธหันไปถามเกล้า
“…”
“ดูวุ่นวายจังเลยนะ…”
<<< Talk >>>
และแล้วก็มาถึงตอนหก แว้กก! ใจหายเหมือนกันเนอะ เราเจอกันมาเกือบสองเดือนแล้วง่ะ ฮือ T^T สำหรับตอนนี้แม้ว่าพี่อายจะบอกให้พีคๆ แต่ด้วยพล๊อตและโทนของเรื่องน้องทำได้เพียงเท่านี้ พล๊อตมาแนวนี้ก็ขอเล่นเรื่องความสัมพันธ์พระนางแล้วกันนะคะ เพราะปมก็ไม่ได้มีให้เล่นอะไรได้มากไปกว่านี้ แง้ TOT ยังไงพี่ช่วยโปรดน้องผู้นี้ให้พบทางสว่างด้วยค่ะ กราบบ
อยากรู้ว่าแนวๆ นี้พอไหวมั้ยคะ ในความหมายพีคของพี่ สุดความสามารถแล้วจริงๆ ค่ะ งือออ Y_Y
ขอบคุณคณะกรรมการและคอมเม้นต์นะคะพี่อายยย แล้วก็เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ จากโครงการ เข้มแข็งนะทุกคน เราจะผ่านเรื่องราวต่างๆ ไปได้ด้วยดีค่ะ! ขอบคุณนักอ่านด้วยนะคะ เลิฟฟ >__<
เจอกันตอนหน้านะฮะ ด้วยรัก <3
ป.ล.พี่อายช่วยดูตรงบรรยายลักษณะพระเอกหน่อยได้มั้ยคะว่างงมั้ย เข้าใจรึเปล่าคะ ขอบคุณค้าบบ T_T
ป.ล.อีกที ขออภัยสำหรับคำผิด คำตกนะคะ ซึ่งตอนนี้ก็น่าจะมีอีก แก้ไม่ทันแล้วค่า TOT
แห่ะๆ พี่มากรี้ดความมุ้งมิ้งของเกล้ากับองศาค่ะ
คนนึงก็หวงของ คนนึงก็ไม่ยึดติดกับอะไร เป็นคู่ที่เติมเต็มกันและกันได้พอดีเลยค่ะ
แอบเห็นในทอล์คเรื่องความสัมพันธ์ของพระ-นางที่ว่ามีแค่นี้ จริงๆ พี่ว่าไม่นะคะ
บางคนเจอหน้ากันทุกวัน ใกล้ชิดกันก็บ่อย แต่ก็ไม่ใคร่จะใส่ใจกันและกันอย่างเกล้าและองศา น้องมาถูกทางแล้วนะพี่ว่า
ส่วนยัยเอิร์ธ หล่อนต้องแอบชอบเกล้าอยู่แน่ๆ //ขยับเรด้า
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ
สู้ๆนะคะคุณจอลลี่ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
แง้งงง นางฉายเดือนธันวาคม 2016 นี้เองค่ะ ขอโทษสำหรับความเด๋อด้วยนะคะ กราบบบ TOT
ตอนนี้ดูมีอะไรให้คิดเยอะเลย ปมของเกล้าแลดูมีปริศนา เกล้าไม่ชอบผูกพันกับใคร งี้ชุ้นก็แห้วสิ T-T(ผิดงาน)
รออ่านตอนต่อไปปป ทำไมเอิร์ธต้องว่าองศาดูวุ่นวายด้วย แงงง
วีคหน้าตอนสุดท้ายแล้วว สู้ๆจ๋อมแจ๋มมม
ถึงน้องจะบอกว่าไม่พีค แต่พีคในความหมายของพี่ก็คืออย่างนี้แหละค่ะ พี่ชอบการที่เนื้อเรื่องมันเดินหน้าไปเรื่อยๆ ในทุกตอน ชอบการแง้มปมออกมาแบบแนบเนียน ผ่านฉากที่เป็นธรรมชาติ ทำให้ไม่ดูปลอม ไม่ดูฝืน ไม่ดูพยายามเกินไป การบรรยายก็น่ารักกำลังดี มุกตลกก็ใส่มาแบบน่ารัก อ่านไปยิ้มไปเลย คือด้วยความที่เราไม่ใช่นิยายสายหักมุมลึกลับซับซ้อน เราก็ต้องเล่นกับฉากและสถานการณ์ต่างๆ แบบนี้แหละ รวมถึงลูกเล่นในการบรรยายให้มันน่าอ่าน ซึ่งตรงนี้พี่ว่าน้องทำได้ดีมากแล้วนะคะ ปรบมือ~
เคมีของพระเอกนางเอกมีความเข้ากันอย่างบอกไม่ถูก ชอบการสร้างมาให้พระเอกนางเอกเติมเต็มให้กันและกันในส่วนที่อีกฝ่ายขาดไป (จะบอกว่าสุดโต่งกันทั้งคู่ก็อาจจะได้ 555)
ตอนต่อๆ ไปขอให้คงมาตรฐานเอาไว้นะคะ คิดให้ดีว่าจะใส่อะไรตรงไหน เปิดปมอะไรยังไงบ้าง ให้กราฟของเรื่องมันขยับขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนขั้นบันไดนะคะ พี่เชื่อว่าเราทำได้ แล้วก็อย่าลืมปมเส้นหลักของเราด้วย (สร้อย โรคของนางเอก อดีตของพระเอก) บาลานซ์น้ำหนักของแต่ละปมดีๆ อย่าเทไปทางไหนมากไป และอย่าลืมปมไหนไปนะคะ
สรุปเลยคือพี่ชอบอะค่ะ จากนี้ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง พี่ก็อยากให้จอลลี่เขียนต่อไปให้จบนะคะ เพราะ พี่อยากอ่านค่ะ ^^ อ่านกันมาทุกตอนแอบผูกพันลึกๆ T_T เอาไว้เจอกันในงานประกาศผลนะคะ
ว่าแต่กลไกกับเพลิน ปะตึ้ดปะตึ๋ย ดู๋ดี๋ๆ กันเหรอออ งั้นก็สองคู่เลยดิ ดีๆๆ จะได้สวิงกิ้ง
ชอบกลไกที่ทำตัวไปพ่อสื่อพ่อชักให้คู่พระ-นางจูบกัน น่ารัก ทะเล้นทะลึ่งดี แล้วยัยเอิร์ธนี่โผล่มาจากไหนจ้ะ มาทำปากดีบอกว่าองศาวุ่นวาย ยังงี้ต้องเก็บเข้ากรุไปพร้อมกับเบิร์น
สู้ๆ นะจ๊ะจิ๋ม เรารอฉากเร่าร้อนของคู่นี้ในตอนที่ 7 อยู่น้า ว่าแต่มีเปล่า