เมื่อฉันทำพาสปอร์ตหายที่ "นิวยอร์ก อเมริกา" ประสบการณ์ที่จะไม่มีวันลืม

        สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เจอกับ พี่เป้ และเล่าประสบการณ์เด็กนอกเช่นเคย^^ มีใครเคยทำของหายในเมืองนอกมั้ยคะ? พี่เองก็เคยทำกระเป๋าทั้งใบหายที่ต่างประเทศ โชคดีที่ไม่มีของมีค่าอะไรมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็บอกเลยว่าตกใจหูตาเหลือกเลยทีเดียว สำหรับเรื่องที่นำมาฝากวันนี้ คิดว่ามีประโยชน์มากๆ มาดูกันว่า เมื่อเราทำพาสปอร์ตหรือหนังสือเดินทางหาย จะทำยังไงดี?

 


    สวัสดีพี่เป้ พี่ๆ น้องๆ และเพื่อนๆชาวเด็กดีค่ะ ก่อนอื่นขอแนะนำตัว ชื่อ "บ๊วย" นะคะ ตอนนี้เรียนอยู่ปี 3 รัฐศาสตร์ จุฬาค่ะ

    บ๊วยเคยเขียนบทความเกี่ยวกับประสบการณ์ Work and travel แล้วในปีที่แล้ว (ปี 2013) ที่ผ่านมา ตอนนั้นแอบทิ้งท้ายว่าปีหน้าจะไปอีก ซึ่งก็หมายถึงปีนี้นั่นเอง^^ สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านบทความก่อนหน้า สามารถตามไปอ่านได้ที่ ลิ้งค์นี้ นะคะ 

     แต่ขอสปอยล์ว่าประสบการณ์ปีนี้เข้มข้นมากๆ แบบปีที่แล้วเทียบไม่ได้เลยจริงๆ ค่ะ ท้าวความจากปีก่อน หลังกลับมาไทย บ๊วยก็ไม่ลังเลที่จะสมัครไปเวิร์คอีกรอบเลย โดยสมัครไปงานเดิม ด้วยความที่ปิดเทอมที่ผ่านมามีระยะเวลายาวนานถึง 5 เดือน ทำไห้จำนวนผู้ไปเวิร์คแอนด์ทราเวลมีจำนวนเยอะที่สุดเท่าที่เคยมาเลยค่ะ (และงานก็เต็มเร็วมากๆ ทุกงาน)
   
      บ๊วยอยากกลับไปที่เมืองมาร์โคที่เคยไป แต่น่าเสียดายที่เขาไม่รับนักเรียนอีกแล้ว เพราะเปลี่ยนผู้จัดการสาขา ทำให้สาขาต้องการพนักงานประจำมากกว่าเด็กพาร์ทไทม์ ตอนที่รู้เฮิร์ทมากเลยค่ะ 5555 โลกสลายเลย ที่อยากไปงานเดิมเพราะอยากกลับเมืองอ่ะเนอะ ไม่คิดว่าจะไม่ได้ไป ผิดหวังมาก แต่ถึงกระนั้นก็เลือกสาขาอื่นในงานเดียวกัน เพราะคิดว่าคงนั่งรถไปถึงกันได้ แต่บ๊วยคิดผิดค่ะ...

      เมืองที่บ๊วยเลือกไปชื่อเมือง 'มาราธอนคีย์' ค่ะ เป็นเมืองที่อยู่ใต้เกือบสุดของอเมริกา โดยอยู่ห่างจากเมืองใต้ที่สุดอย่างคีย์เวส(Keywest) 30 นาที ขอให้ความรู้นะคะ คำว่า 'คีย์' เป็นการเรียกชื่อเกาะหรือก็คือเมืองแต่ละเมืองทางใต้ของฟลอริด้า ซึ่งมีลักษณะเป็นเกาะออกจากแผ่นดินใหญ่ พูดง่ายๆ คือโดนปล่อยเกาะเลยรอบนี้ 555 ถ้าจะไปวอลมาร์ทในแผ่นดินใหญ่ต้องใช้เวลานั่งรถออกไป 3-4 ชม. เลยทีเดียว ห่างไกลมากๆ ข้างล่างนี้เป็นภาพเมืองมาราธอนค่ะ ไม่มีอะไรเลย ไม่เจริญมากๆ และร้อนมาก และข้างทางมีกิ้งก่าเยอะมาก ทั้งแบบเป็นและตาย 555

       
      สิ่งที่บ๊วยไม่เล่าไม่ได้ และเป็นประสบการณ์ที่ชาตินี้คงไม่มีวันลืม คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนิวยอร์กค่ะ ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนรอบคอบ และระมัดระวังมาตลอด ทั้งที่ก่อนมาทั้งสองปีโดนเตือนเรื่องอาชญากรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กึไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเจอกับตัว กับประสบการณ์กระเป๋าสะพายและพาสปอร์ตหายค่ะ...แค่คิดถึงก็รู้สึกกลัวเลย เป็นเรื่องที่โหดร้ายที่สุดในชีวิตจริงๆ 

       เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นตอนบ๊วยอยู่ที่นิวยอร์ก เป็นช่วงแห่งการท่องเที่ยวก่อนเริ่มงาน โดยบ๊วยมาจากการเที่ยวที่เกาหลี และคิดจะแวะเที่ยวที่อเมริกา 2 วัน ก่อนจะต่อไฟลท์ไปทำงานที่ฟลอริด้า ตอนนั้นมีเพื่อนที่ไปงานเดียวกันแต่ต่างสาขารออยู่ที่นิวยอร์กอยู่แล้วค่ะ เป็นผู้ชายสำอางชื่อบอม เป็นเพื่อนของเพื่อนที่จุฬา ความจริงก็เพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่เราก็นัดจะไปเที่ยวนิวยอร์กด้วยกัน
     
       ตอนที่ลงจากเครื่องที่สนามบิน JFK บ๊วยก็ลากกระเป๋าเดินทาง 2 ใบใหญ่ๆ รวมถึงแครี่ออนพะรุงพะรัง  นั่งรถไฟใต้ดินมาที่พักซึ่งเจ้าของบ้านเป็นคนไทยในย่านควีน กว่าจะมาถึงของบอกว่าเหนื่อยมาก สถานีรถไฟในนิวยอร์กเก่าและโทรมจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นมหานครเลยค่ะ หลังมาถึงที่พัก ดี๊ด๊าได้พอประมาณ ก็วางแพลนจะไปเที่ยวนิวยอร์กกะบอมค่ะ คือตื่นเต้นมาก ไม่เคยมานิวยอร์ก State of mine

     
      ตอนนั้นอากาศหนาวมากๆๆ ค่ะ ติดลบเกือบ 10 องศา หนาวแบบต้องใส่โค้ทหน้า แล้วเอามือล้วงกระเป๋าตลอด พอตอนออกมารอรถไฟเพื่อเข้าเมืองไปในแมนฮัตตัน บ๊วยกับเพื่อนก็นั่งรอรถไฟในชานชาลา และเอาเมืองล้วงกระเป๋าโค้ทเม้าท์มอยกะเพื่อน โดยไม่ทันรู้ตัวว่ากระเป๋าสะพายซึ่งมีลักษณะแบบกระเป๋าในเล็กๆ สายโซ่หนังยาวๆ ที่คล้องไหล่อยู่นั้น สายมันหล่นลงจากไหล่ไป และวางอยู่บนเก้าอี้ตรงนั้น พอรถไฟมาก็รีบเข้าขบวนไปเลย... กระเป๋าหายค่ะ!
       
       รู้ตัวหลังจากนั้นเมื่อเปลี่ยนรถไฟไปแล้ว 2 ขบวน ตกใจมาก ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม โลกหยุดหมุนเลย เงินอยู่ในกระเป๋าสตางค์ร่วม 600$ ประมาณ 20,000 บาท รวมเงินไทยและเงินวอนเกาหลี ไม่รวมบัตรเครดิต บัตรอื่นๆ เครื่องสำอาง กระเป๋าสตางค์ปราด้าใบใหม่ และที่สำคัญ 'พาสปอร์ต' ค่ะ ทุกอย่างหายไปเหมือนฝัน มึนไปเลยว่ามันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ โชคดีที่ติดโทรศัพท์ ทำให้โทรศัพท์ไม่หายไปด้วย ไม่อย่างนั้นคงซวยกว่านี้
   
       ขณะนั้นเป็นเวลา 4 โมงเย็นกว่าๆ ค่ะ พอรู้ตัวก็รีบนั่งรถไฟกลับไปที่สถานีเดิมอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความที่นิวยอร์กมีสถานีเยอะมาก กว่าจะมาถึงก็เกือบ 5 โมง และที่เก้าอี้ตัวเดิม ไม่มีกระเป๋าอยู่อีกแล้ว บ๊วยรีบไปสอบถามนายสถานี และทุกคนที่อยู่แถวนั้น แต่กึไม่มีใครเห็นกระเป๋าเลย และถ้าจะให้พูดตรงๆ ต้องขอบอกว่าไม่มีใครให้ความร่วมมือเลย บวกกับรถไฟในนิวยอร์กมีคนผิวสีและคนเร่ร่อนค่อนข้างเยอะ ตอนนั้นรู้สึกแย่มาก  น่ากลัวมากๆ เลยกลับไปตั้งหลักที่บ้านพัก และให้พี่คนไทยซึ่งเป็นเจ้าของบ้านช่วยติดต่อสถานทูต แต่ความโชคร้ายคือสถานทูตปิดแล้วค่ะ..

     
       วันที่หายคือวันศุกร์ตอนเย็น เท่ากับบ๊วยไม่สามารถทำอะไรได้เลย จนกว่าสถานทูตไทยประจำนิวยอร์กจะเปิดในวันจันทร์ แต่ตั๋วเครื่องบินไฟลท์ต่อไปฟลอริด้าของบ๊วยคือวันอาทิตย์ อะไรจะซวยขนาดนั้น ครั้นจะโทรกลับไปสถานทูตไทยเวลาก็ต่างกันสิบกว่าชม. ตอนนั้นคุณพ่อยังไม่ตื่นเลย เคว้งมาก ไม่คิดว่าแตะพื้นดินอเมริกาได้ไม่ถึง 3 ชม. จะเจอเรื่องแบบนี้ รู้สึกขอโทษบอมด้วยที่ทำให้หมดสนุก ตอนนั้นสิ่งที่เราพอจะทำได้คือโทรไปสถานทูตในในลอสแองเจลิส เพราะเวลาที่นั่นช้ากว่านิวยอร์ก 3 ชม. แปลว่ายังเป็นเวลาทำการอยู่ ก็ได้คำแนะนำให้ไปแจ้งความกับสถานีตำรวจก่อนคะ อย่างน้อยเพื่อปกป้องเอกสารที่หายไปของเรา คนที่เจอจะได้ไม่เอาไปปลอมแปลง
       
       หลังจากตั้งสติอยู่พักใหญ่ก็ไปเลยค่ะ ตังค์ไม่มี ให้บอมออกให้ทุกอย่าง กราบขอบคุณเพื่อนคนนี้มากๆ ที่อยู่เคียงข้างกันในช่วงเวลาแบบนี้ เป็นเพื่อนตายของจริง....สถานีตำรวจอยู่ห่างออกไป 3 สถานีจากที่พัก แต่ตอนไปถึงก็เป็นช่วงค่ำแล้วอากาศหนาวจับใจ ก้าวเท้าแทบไม่ไหว ใส่รองเท้าบู๊ต กระโปรงผ้ามุ้งยาวๆ ด้วย กะมาสวยชิคๆ เต็มที่ในนิวยอร์ก แต่กลับซวยกระซิกๆ แทน5555 
       
       แต่ชีวิตบ๊วยไม่มีอะไรง่ายเลยค่ะ ไปถึงแล้วตำรวจไม่รับแจ้งความ แถมไม่สนใจให้บริการด้วย (ตำรวจคนผิวขาวนะคะ) ด้วยเหตุผลว่าเราเป็นคนต่างชาติ(ต่างด้าว) ไม่มีเอกสารอะไรรับรองตัวตน ต้องไปหาสถานทูตและขอใบรับรองสัญชาติมาก่อน ถึงจะแจ้งความได้ พับผ่า! โมโห พูดเลย ตอนนั้นอารมณ์คือเราเดือดร้อนมากนะ ของหายขนาดนี้ จะไปหาสถานทูตได้ไงเวลานี้ แล้วคือรู้สึกเหมือนโดนเหยียดผิวเบาๆ

     
      กลับที่พักไปนอนร้องไห้ทั้งคืน ทานอะไรไม่ลงเลย พอถึงเวลาเช้าที่ไทยก็รีบติดต่อเอเจนซี่ ติดต่อที่บ้าน พอทุกคนรู้ก็ตกใจมากเหมือนกันค่ะ บ๊วยขอขอบคุณพี่ๆ ไฮเออร์จากใจที่ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทั้งส่งเอกสารสำคัญมาที่ต้องใช้ในการทำงานมาให้ใหม่และทุกเรื่อง เพราะวันนั้นเป็นวันเสาร์ ซึ่งไม่ใช่วันทำงานค่ะ ถ้าเป็นที่อื่นอาจจะไม่รับโทรศัพท์ไปแล้ว ขอบคุณจากใจจริงๆ ทั้ง 2 ปีที่ไปมามีปัญหาทั้ง 2 ปี แต่ได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างดีเลยค่ะ
     
       ตอนนั้นคุณพ่อโอนเงินมาให้ประมาณ 10,000 บาทเข้าบัญชีพี่เจ้าของบ้านพัก และแปลงเป็นเงินดอลล่าร์มาให้บ๊วย ขอขอบคุณพี่เจ้าของอีกคน (หนูไม่กล้าเอ่ยชื่อเพราะกลัวจะทำให้พี่ลำบากถ้ามีเด็กเวิร์คแห่ไปจองที่พักกันในปีหน้า เพราะหนูมั่นใจว่าที่พักของพี่เต็มทุกปีอยู่แล้ว^^ แต่คาดว่าหลายคนคงจะรู้จักพี่คนนี้เป็นอย่างดี เพราะเป็นคนที่ใจดีเหมือนแม่จริงๆ) บ๊วยเลยพอมีเงินใช้สอยบ้าง
       
       สุดท้ายคุณพ่อติดต่อเจ้าหน้าที่สถานทูตไทย ซึ่งรู้จักกับเจ้าหน้าที่ในสถานทูตนิวยอร์ก พอถึงวันจันทร์ให้บ๊วยเข้าไปทำพาสปอร์ตใหม่ได้ทันที แต่จะต้องรอเล่มจริง 3 เดือน โดยจะออกใบแทนเพื่อใช้ในการบิน และทำบัตรประชาชนใหม่ให้เลยค่ะ เฮ้อออออออออ... โล่งใจที่สุดในโลกตอนได้ใบแทนพาสปอร์ต ทุกอย่างเหมือนคลี่คลายไปเลย ไม่เสียดายเงินและของที่หายไปแล้ว ตอนนั้นโล่งใจ คิดได้ว่าตัวเองไม่เป็นอะไรก็พอแล้วค่ะ 

     
       อ่อ ลืมบอกเรื่องตั๋วเครื่องบินค่ะ เพราะมีไฟลท์บินต่อไปฟลอริด้าในวันอาทิตย์บ่าย พอวันอาทิตย์ตอนเช้าบ๊วยกับบอมก็รีบไปสนามบินเพื่อติดต่อขอเลื่อนตั๋วกับ Delta Airline  และก็ต้องขอขอบคุณ(อีกแล้ว) กับแอร์กราวน์ชาวญี่ปุ่นผู้แสนใจดีของสายการบินที่(แอบ)เปลี่ยนตั๋ว(โดยไม่บอกหัวหน้า)ให้ฟรี จากที่อาจจะต้องเสียค่าทำเนียมถึง 200$!! สุดยอดมากๆ ค่ะ 
     
        เอาล่ะ นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้นค่ะ 5555 ยาวมากเลย ยังไม่ได้เล่าถึงช่วงการทำงานด้วยซ้ำ แต่ขอบอกว่าเข้มข้นไม่แพ้กันคะ สามเดือนสุดโหด ทำงานสอง! ทำงานสาม! ทำงาน 6 โมงเช้าถึง 5 ทุ่ม! 80ชม./อาทิตย์ นับทิปไม่หวาดไม่ไหว ดราม่า! โรแมนซ์ ประสบการณ์การเที่ยวหลังจบงาน ออแลนโด้ แอลเอ ซานฟราน ลาสเวกัส เกาหลี ญี่ปุ่น!!! โหดสุดในชีวิต และสนุกที่สุดในชีวิต รู้นะว่าอยากอ่าน แต่ขอเขียนต่อตอนสองนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามคะ จะกลับมาเล่าต่อเร็วๆนี้!
ปล.ทุกคำถามเรื่องการไปเวิร์คแอนด์ทราเวลบ๊วยยินดีให้คำแนะนำนะคะ
ติดต่อได้ทางเฟสบุ๊คชื่อ Buay Sripakdee
หรือแอดไลน์ Beles (ห้ามส่งเกมมานะ) C u soon ka!
     
   

       
อ่านแล้วเหนื่อยแทน อะไรหายยังพอรับได้ แต่ถ้าพาสปอร์ตกับเงินหายนี่ช็อกจริงๆ เพราะฉะนั้นใครจะเดินทางไกลต้องระมัดระวังทั้งตัวเองและทรัพย์สินของเราด้วยนะคะ ยิ่งถ้าไปคนเดียวนี่บอกเลยว่าต้องระวังมากขึ้นสองเท่า
พี่เป้
พี่เป้ - Columnist มนุษย์บ้างานและบ้านวด ผู้ตกหลุมรักปลาแซลมอน การนอน และและออฟฟิศ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

z-mojomoji Member 22 ธ.ค. 57 15:10 น. 10

เราไปเรียนต่างประเทศหลายครั้งแต่ไม่เคยทำอะไรหายเลยซักครั้งเดียว

อ่านอันนี้แล้วเป็นประสบการณ์ที่เหนื่อยและเป็นอุทาหรณ์ให้ตัวเองเก็บของ ระวังของ ให้ดีขึ้นกว่าเดิมเลย เยี่ยม สุดยอด!

0
กำลังโหลด

12 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยเจ้าของ

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
fe-ndiiz Member 21 ธ.ค. 57 01:22 น. 9

โหวว สุดยอดค่ะ เราไปนิวยอร์คสองรอบ รอบแรกเดินเที่ยวอย่างเดียวเลยค่ะ รอบที่สองขึ้นซับเวย์ตลอด ไม่ว่าจะไปไหน ซับเวย์น่ากลัวมากจริงๆค่ะ แต่สะดวก ไปโผล่ทุกมุมที่อยากไป คือถ้าเป็นเราคงสติหลุดไปแล้ว ถ้าเจอแบบนี้ เยี่ยมไปเลย!!

ไปพักบ้านคนไทยที่ควีนด้วยอ่ะ แต่เราเจอเจ้าของบ้านไม่ค่อยดี ที่นอนก็ไม่ดี เฮ้ออ ช่างมันเถอะ

1
กำลังโหลด
z-mojomoji Member 22 ธ.ค. 57 15:10 น. 10

เราไปเรียนต่างประเทศหลายครั้งแต่ไม่เคยทำอะไรหายเลยซักครั้งเดียว

อ่านอันนี้แล้วเป็นประสบการณ์ที่เหนื่อยและเป็นอุทาหรณ์ให้ตัวเองเก็บของ ระวังของ ให้ดีขึ้นกว่าเดิมเลย เยี่ยม สุดยอด!

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
samadamayna Member 30 พ.ค. 58 22:07 น. 12

ถ้าเป็นศาสนาอิสลามไปแลกเปลียนนอกหนูจะมีเพื่อนใหม่ไหมและเขาจะคิดยังไงกับหนูหรื่อค่ะ?

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด