ฝึกลดคำฟุ่มเฟือยในภาษาอังกฤษกันเถอะ (พร้อมแบบฝึกหัด)

     สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ถ้าพูดถึงการเขียนเรียงความเป็นภาษาอังกฤษ หลายคนคงถึงกับเบ้ปาก ยิ่งถ้ามีกำหนดว่าต้องใช้กี่คำ บางคนเลือกจะใช้คำขยายเยอะๆ และเขียนวนไปมาเพื่อเพิ่มจำนวนคำซึ่งนั่นไม่ใช่วิธีที่ดีเลยค่ะ ในการเขียนภาษาอังกฤษก็ถือว่าการใช้คำซ้ำซ้อนไปมาดูน่าเบื่อ และทำให้งานเขียนเราดูไม่ดี วันนี้ พี่พิซซ่า เลยมีแบบฝึกหัดมาให้น้องๆ ฝึกหาคำฟุ่มเฟือยกัน


     ถ้าเราเขียนภาษาไทยว่า "ทีมเกาหลีเหนือพ่ายแพ้ให้กับทีมชิลี" น้องๆ รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ ในประโยคนี้มั้ยคะ สังเกตรึเปล่าว่าพี่จงใจเขียนให้ดูยาวโดยไม่จำเป็น จริงๆ เราใช้แค่ว่า "ทีมเกาหลีเหนือแพ้ทีมชิลี" ก็เข้าใจแล้ว แบบนี้คือการเขียนให้ฟุ่มเฟือยเกินไปค่ะ

     ในภาษาอังกฤษก็มีกรณีแบบนี้เช่นกัน เราเรียกว่า Redundancy ค่ะ มันคือการใช้คำ 2 คำหรือมากกว่านั้นมาอธิบายในสิ่งเดียวกัน โดยที่จริงๆ แล้วใช้ตัวเดียวก็พอ เช่น blend together คำว่า blend แปลว่าผสมให้เข้ากัน together แปลว่ารวมกัน ถ้าเขียนทั้ง 2 คำซ้ำซ้อนกันแบบนี้ก็จะกลายเป็น "ผสมให้เข้ากันรวมกัน" แล้วจะให้มันเข้ากันทำไมหลายรอบละเนี่ย ใช้ blend เฉยๆ ก็โอเคแล้ว อีกคู่ที่คล้ายกันที่คนมักเขียนซ้ำซ้อนคือ combine together ค่ะ combine แปลว่ารวมกัน, ประสานกัน ในตัวมันเองก็แปลว่าของต้องเข้ามารวมกันอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องเพิ่ม together เข้าไปอีก

     อีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นบ่อยมากในการโฆษณาก็คือ free gift ใช้ในทางโฆษณาไม่เป็นไร แต่ถ้าใช้เขียนรายงานส่งอาจารย์หรือสมัครเรียนต่อก็จะดูไม่ดีเท่าไหร่นะคะ เพราะ gift แปลว่าของขวัญ ของขวัญเราก็ต้องได้ฟรีอยู่แล้วสิ ถ้าต้องจ่ายเงินก็ไม่เรียกว่าของขวัญหรอกเนอะ ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องมี free มาอีกก็ได้ค่ะ


แบบฝึกหัด


     พอจะเห็นภาพกันแล้วเนอะ มาลองทำแบบฝึกหัดหา redundancy กันดีกว่า แบบฝึกหัดนี้พี่อนุญาตให้ใช้พจนานุกรมช่วยได้ค่ะ ลองแก้ประโยคต่อไปนี้ให้อ่านง่ายขึ้นแบบไม่ต้องมีคำฟุ่มเฟือยกัน

     1. He was invited to join them together at the table.

     2. Here is an actual fact to get your head around.

     3. There's never been a mutation like this in the past history.

     4. The Earth orbits around the Sun.

     5. I have to return back the favor.

     6. I've been afraid of losing him my whole entire life.

     7. You repay me back for rescuing you by stealing my money.

     8. He never let her out of arm's reach when they were in the same room.

     9. He was unable to hide his unexpected surprise this time.

     10. I arrived at 9 a.m. in the morning.




เฉลย


1. He was invited to join them at the table.
เขาได้รับเชิญให้ร่วมโต๊ะกับพวกเขา join มีความหมายของ together ในตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องเขียนเพิ่มอีก

2. Here is a fact to get your head around.
นี่คือข้อเท็จจริงที่จะทำให้คุณเข้าใจเรื่องนี้ fact คือข้อเท็จจริงแล้ว ไม่ต้องเพิ่ม actual ให้เป็นข้อเท็จจริงจริงๆ

3. There's never been a mutation like this in the history.
ไม่เคยมีการกลายพันธุ์เช่นนี้มาก่อนในประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์คือสิ่งที่เกิดมาแล้ว ไม่ต้องใส่ past อีกที

4. The Earth orbits the Sun.
โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ orbit แปลว่าโคจรหรือเดินทางรอบอะไรบางอย่างอยู่แล้ว จึงไม่ต้องเพิ่ม around ไปอีกรอบ

5. I have to return the favor.
ฉันจำเป็นต้องตอบแทนความช่วยเหลือ return คือกลับคืนหรือตอบกลับอยู่แล้ว ไม่ต้อง "กลับ" อีกที

6. I've been afraid of losing him my whole life. หรือ I've been afraid of losing him my entire life.
ฉันกลัวที่จะสูญเสียเขามาตลอดทั้งชีวิต whole กับ entire มีความหมายเดียวกัน ใช้ตัวเดียวพอ

7. You repay me back for rescuing you by stealing my money.
เธอตอบแทนที่ฉันช่วยชีวิตเธอไว้โดยการขโมยเงินของฉัน repay คือตอบแทนหรือใช้คืน ไม่ต้องมี back อีก ถ้าอยากจะใช้ ให้ใช้ pay back

8. He never let her out of reach when they were in the same room. หรือ He never let her out of arm's length when they were in the same room.
เขาไม่เคยปล่อยให้เธออยู่ไกลเกินเอื้อม/ระยะแขนเวลาที่พวกเขาอยู่ในห้องเดียวกัน reach คือเอื้อมมันสื่อถึงระยะช่วงแขนที่เอื้อมถึงอยู่แล้วโดยไม่ต้องใส่คำว่าแขนอีก หรือจะใช้ว่าระยะแขนไปเลยแบบไม่ต้องมีเอื้อมก็ได้

9. He was unable to hide his surprise this time.
เขาไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจได้ในครั้งนี้ surprise คือความประหลาดใจหรือจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องใส่ unexpected อีกที

10. I arrived at 9 a.m. หรือ I arrived at 9 in the morning.
ฉันมาถึงตอน 9 โมงเช้า a.m. บอกแล้วว่าเป็นตอนเช้า ดังนั้นเลือกใช้อย่างใดอย่างนึงก็พอ


     จะเห็นว่าส่วนมากเป็นคำที่รู้จักอยู่แล้วทั้งนั้น ไม่ใช่ศัพท์ยากเลยที่เราเลือกมาใช้ซ้ำซ้อนกัน ฉะนั้นก่อนส่งงานเขียนวิชาภาษาอังกฤษคราวหน้า อย่าลืมอ่านทวนดูนะคะว่าเราใช้คำฟุ่มเฟือยตรงไหนรึเปล่า แล้วรีบแก้ให้กระชับขึ้น งานเขียนวิชาการของเราก็จะดูดีขึ้นด้วยค่ะ (แต่ถ้าใครแต่งนิยาย บางครั้งการใช้ redundancy ก็มีประโยชน์กับนิยายได้นะคะ)


 
พี่พิซซ่า
พี่พิซซ่า - Columnist คอลัมนิสต์ฝ่ายเรียนต่อนอก

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

4 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
Nova Harbinger Member 23 ต.ค. 60 17:23 น. 3

ผมว่า join (something) together น่าจะความหมายเปลี่ยนนะครับ จะกลายเป็นหมายถึงการเชื่อมอะไรเข้าด้วยกัน ไม่ใช่การเข้าร่วม (เพราะฉะนั้นจะว่าเป็นคำฟุ่มเฟื่อยก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เป็นการใช้วลีผิดความหมายมากกว่า)


ส่วน actual fact นี่เดี๋ยวนี้ก็เริ่มเห็นเยอะขึ้น เพราะมีการใช้ fact ในความหมายของเกร็ดความรู้ หรือข้อสังเกต (ซึ่งไม่ใช่ข้อเท็จจริง อย่างความหมายตรงตัวของ fact) ดังนั้น actual fact ก็ช่วยเสริมความมั่นใจว่า เป็น fact เชื่อถือได้จริงๆ

0
กำลังโหลด
mmmmm 20 ก.พ. 62 17:16 น. 4

ถ้าเรารู้แล้วว่าคำ2คำนี้เป็นคำที่มีความหมายคล้ายๆกัน แล้วเราจะรู้ได้ไงคะว่าควรจะตัดคำไหนทิ้ง

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด