ตีกันเป็นเรื่องตลก ตบกันเป็นเรื่องธรรมดา ??? 


          เมื่อไม่กี่วันมานี้เป็นช่วงที่สังคมไทยตื่นตระหนกอีกครั้ง เนื่องมีการเผยแพร่คลิปทะเลาะเบาะแว้งของเด็กมัธยมต้นทางสื่อออนไลน์ และอีกหลายๆ คลิปก็ถูกนำมาแพร่หลายตามต่อๆ กันมาอีกหลายคลิป แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเยาวชนในวัยเรียนทั้ง ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และวิเคราะห์กันว่าเกิดจากการเลียนแบบความรุนแรงในโทรทัศน์ 


             
  
ภาพ: หนังสือ คู่มือการใช้สื่อเสียง "พ่อแม่เลี้ยงบวก"
มีพ่อแม่หลายคนที่ดูละครเพราะผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าในการทำงาน การดูละครของผู้ใหญ่จึงดูเอาสนุกสนานไม่คิดอะไรมาก แล้วก็ลืมนึกไปถึงลูกหลานที่ร่วมดูละครอยู่ข้างๆ ลืมคิดไปว่าลูกไม่ได้ดูละครเพื่อผ่อนคลาย แต่ดูเพื่อเรียนรู้ และเลียนแบบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกศึกษากันมานานแล้วถึงผลกระทบการความรุ่นแรง ในอดีตมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ "การรู้เท่าทันละคร" ของคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่พบว่าละครที่ออกอากาศส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความรุนแรง การยกย่องคนมีฐานะ กดคนที่ด้อยกว่า กดขี่ทางเพศ ชู้สาว นอกใจ มีเพศสัมพันธ์ ตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร การถูกทิ้ง การใช้กำลังทำร้ายคนอื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งความรัก 


       ยังมีผลการศึกษาที่เกี่ยวข้องกันอีกว่า เด็กสามารถเข้าถึงโทรทัศน์และสื่ออินเทอร์เน็ตได้มากกว่ากิจกรรมอื่นๆ และการดูการมองสื่อเหล่านี้มีอิทธิพลต่อเด็กและวัยรุ่นมากกว่าการพูดคุยหรือตักเตือนจากพ่อแม่เสียอีก ผลของโทรทัศน์จึงรุนแรงมาก ทั้งๆ ที่ยังไม่นับรวมถึงสาเหตุความรุนแรงที่เกิดจากการเลี้ยงดูในบ้านเอง ที่บางบ้านมีพ่อทำร้ายพ่อแม่ มีแม่เลี้ยงเดี่ยวทำงานหนักไม่มีแม้แต่เวลาคุยกับลูก มีพี่น้องที่ทะเลาะกันแย่งข้าวของโดยที่ผู้ใหญ่ในบ้านเหนื่อยจะห้าม (เลยปล่อยให้ทะเลาะจนคว้าปืนคว้ามีดมาทำร้ายกัน) ดังนั้น ความรุนแรงจากโทรทัศน์เหล่านี้จึงเกิดในหมู่เด็กและวัยรุ่นโดยที่เด็กผู้นั้นเองก็อาจไม่เข้าใจ และคิดไปว่านี่คือวิธีการ "เอาเรื่อง" คือการสยบปัญหาทุกอย่าง ดังที่เราเห็นปรากฎในคลิปที่เผยแพร่ 


ภาพ: คลิปสะท้อนสังคม "เรื่องจริงที่เด็กไทยต้องเจอ..." โดย pooztheclassicamcnx, youtube


       มีข้อแนะนำสำคัญที่นักจิตวิทยาแนะนำไว้ว่า ไม่ควรปล่อยให้ลูกดูโทรทัศน์แต่ยังเล็ก โดยไม่มีการจำกัดเวลาและมีผู้ใหญ่แนะนำ เพราะเด็กจะเลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมมาใช้ในชีวิตประจำวัน พ่อแม่ควรชี้แนะ ชวนคิด ชวนคุย และอธิบายถึงถึงพฤติกรรมที่ดี-ไม่ดีในละคร ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้จะมีการจัดเรตรายการโทรทัศน์ แต่ป้ายเตือนดังกล่าวก็ไม่มีผลใดๆ หากผู้ใหญ่ยังไม่มีวิธีการจัดการการรับสื่อของเด็กให้เหมาะสมค่ะ ผู้ใหญ่อาจไม่ได้ทำผิดเพื่อให้ใครเลียนแบบ แต่เด็กทุกคนต้องเรียนรู้ไปตามพัฒนาการ ดังนั้นจึงกำลังซึมซับความรุนแรงนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ค่ะ



ถึงเวลาหรือยังที่ผู้ใหญ่จะหันมามองอีกครั้งว่า...
ใครกันสร้างความรุนแรงให้อนาคตของชาติ



      สำหรับวัยรุ่นชาว Dek-D เราอย่าเพิ่งเหมาไปว่าผู้ใหญ่หล่อหลอมให้เราไม่ดี เรามักคิดว่าตัวเองโตแล้ว เราจึงต้องมีสติ ให้เราระมัดระวังตัวเอง และมองเรื่องราวต่างๆ เป็นเพียงตัวอย่าง แต่อย่านำมาใช้เป็นแบบอย่าง!

     ถ้าเราว่าสิ่งนั้นไม่ดีอย่างไร ก็อย่าให้ตัวเองต้องไม่ดีอย่างนั้น เรามีความคิดแล้ว ก็ต้องมีสติพิจารณาควบคู่ไปด้วย วัยรุ่นไทยต้องคิดได้! 


รวมไม่ควรขำขันคนที่ทำผิด และอย่าปล่อยให้การทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยกำลัง
กลายเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมไป
 
     
     ขอฟังเสียงวัยรุ่นกับข้อเสนอแนะในเรื่องนี้ค่ะ                                          
                                                                                      





 
แหล่งข้อมูล: 
  - คู่มือการใช้สื่อเสียง "พ่อแม่เลี้ยงบวก"  http://jitdee.com/download/project_detail.php?pcode=3

พี่เกียรติ
พี่เกียรติ - Community Master ถนัดแฝงตัวตามกระทู้เด็กดี มีความสนใจเป็นล้านเรื่องขึ้นอยู่กับดราม่าขณะนั้น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

33 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
ซ่อนนาม Member 27 มี.ค. 55 19:19 น. 3
ทีวีผิด หรือ ผู้ใหญ่ผิด ?

คำตอบคือผิดด้วยกันทั้งคู่
โทรทัศน์ควรจะจัดเรตให้เหมาะสม
การจัดเรตไม่ใช่แค่การขึ้นหนังสือเตือน หรือเซ็นเซอร์แหลก
หากเป็นการจัดเวลาให้เหมาะสมกับผู้รับชม
รายการที่ไม่เหมาะสมกับเด็กก็ไม่ควรที่จะอยู่ในช่วงที่เวลาเด็กดูได้
การเซ็นเซอร์ก็แทบไม่จำเป็นเลยหากรายงานทั้งหลายจัดเวลาให้ดี
ทว่าในปัจจุบันเซ็นเซอร์เหล้า มีด ปีน ในหนังหลังสองยาม ?
เด็กที่ไหนจะดูได้ ? ถ้าดูได้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ที่ทีวีแต่เป็นตัวเด็กกับผู้ปกครองแล้ว !
และการเซ็นเซอร์ก็ไม่ใช่ทำพร่ำเพื่อเช่นเซ็นเซอร์นมชิซูกะ หรือเครื่องในหุ่นในเมก้าเครเวอร์
(ทว่าเพราะช่องนี้มีการเมืองในสถานีเยอะ ทีมเซ็นเซอร์จึงเซ็นแหลกเพื่อไม่ให้โดนลูกหลง)

ผู้ใหญ่เองก็เช่นกัน ถึงแม้สื่อหนึ่งจะปลอดภัย แต่ใช่ว่าทุกสื่อจะปลอดภัยเหมือนกันหมด
ยังไม่รวมถึงสภาพแวดล้อมเพื่อนฝูง ที่อาจจะชักชวนไปในที่ผิดได้ด้วย
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ ที่จะดูแลเด็กด้วย ไม่ใช่ให้เป็นหน้าที่ของคนอื่น


ทว่า ด้วยนิสัยของมนุษย์ มักจะลากดีเข้าตัวลากชั่วเข้าคนอื่นอยู่แล้ว
จึงมักจะโยนความผิดไปให้ที่อีกฝ่ายโดยไม่ยอมดูตัวเองเลย
สาวกละครหลังข่าวก็มักจะโยนให้ผู้ปกครองผิด แล้วปกป้องละครที่รักของตน
ส่วนผู้ใหญ่เองก็โยนความผิดให้ที่ทีวีหรือละคร แบบไม่ได้ดูเลยว่าตัวเองไม่ได้ดูแลลูกแม้แต่น้อย

0
กำลังโหลด
ซ่อนนาม Member 27 มี.ค. 55 19:28 น. 4
...และนอกจากนี้
สิ่งที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่น้อยมาก ๆ
ทว่าในยุคปัจจุบันมันอัพโหลดคลิปพวกนี้ได้ง่ายจึงคิดว่ามีเยอะ
อีกทั้งสื่อเองก็โหมกระแสให้ผู้รับสารนึกว่าเกิดเป็นเรื่องปรกติ

ซึ่งตรงจุดนี้จะทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบได้ง่าย และอาจจะมีมากขึ้นอีกในอนาคตเพราะสื่อ
(ขนาดพฤติกรรมฆ่าตัวตายเลียนแบบยังมีแล้วนะ แต่ในต่างประเทศ... จำไม่ได้ว่าชื่ออะไรเคสไหน)
0
กำลังโหลด
KaKla-LegenD Member 27 มี.ค. 55 19:32 น. 5
สังคมปัจจุบันมันแย่นะ คนส่วนใหญ่ใช้แต่อารมณ์เป็นที่ตั้ง ก็มักจะเกิดเหตุชกตีกันเป็นประจำ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
สายชล 27 มี.ค. 55 21:00 น. 8
คห.3 แล้วใครผลิตสิ่งที่แพร่ภาพบนทีวีล่ะ ก็ผู้ใหญ่เองไม่ใช่หรือ????

เพราะงั้นคนผิดก็คือผู้ใหญ่นั่นแหละ ถ้าเรามองตามประเด็นในกระทู้นี้อะนะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
✿BAD'Ni9HtMΔЯEₒ Member 27 มี.ค. 55 21:28 น. 10
ใช่แล้ว! ถ้าเด็กมองเห็นแต่ด้านที่ไม่ดีแล้วนำมาเป็นตัวอย่างก็เกิดผลเสีย  แต่ถ้านำเสนอในด้านที่ดีให้เด็กดูก็เป็นการสนับสนุนให้เขาเป็นคนดีได้ ผู้ใหญ่นั่นแหละสำคัญที่สุด ที่ต้องคอยดูแลลูกหลานอย่างใกล้ชิด !
0
กำลังโหลด
คุโรมิ อาสะ มิโยโกะ Member 27 มี.ค. 55 22:01 น. 11
 ทำไมไม่ยอมทำตัวอย่างที่ดีให้เด็ก โตเป็นผู้ใหญ่แล้วแท้ น่าจะมีความรู้หรืออะไรดีกว่าเด็ก แต่ดันมาทำตัวให้ไม่น่านับถือ สอนเด็กในทางที่ผิด เราก็เป็นเด็กคนหนึ่ง เห็นผู้ใหญ่สมัยนี้ทำ ก็รู้แล้วว่า เพื่อน หรือพี่ หรือน้อง ที่พอเราเห็นแล้วมีความรู้สึกในด้านลบนั้น เป็นมาจากใคร จากผู้ใหญ่ที่ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ เอาแต่ตัวเองเป็นหลัก และ้ที่เกลียดที่สุดคือ ด่าในหลวง ตัดต่อภาพในหลวง ทำให้มีความรู้สึกว่าคนแบบนี้ถ้าไม่มีบนแผ่นดินไทย ประเทศไทยจะสูงขึ้นเยอะ 

 นี่คือความรู้สึกของเรา ใครไม่ชอบก็อย่าด่ากันนะ 
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
พ่อมดอนุบาล Member 27 มี.ค. 55 23:57 น. 13
จริงๆแล้วเด็กต้องการคนเพียงแค่คนเดียว ที่เขาไว้ใจที่จะคุยเรื่องทุกอย่างให้ฟังได้ โดยไม่ตัดสินเขา และเก็บความลับหรือเรื่องน่าอายของเขาไว้ได้โดยไม่บอกใคร

หากกลับมาจากโรงเรียนเจอคนๆนั้นรอเขาอยู่ที่บ้าน ทำให้เด็กรู้ว่าเขามีค่าพอที่จะมีคนรออยู่เจอเขา

มีคนที่รับฟังทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาตลอดวันอย่างใจเย็นไม่ว่าเรื่องมันจะงี่เง่าขนาดไหน

พร้อมที่จะเอ่ยชมรูปที่เขาวาดหรือกลอนที่เขาเขียนอย่างเต็มใจแม้ว่ามันจะได้คะแนนแค่ เจ็ดเต็มสิบก็ตาม

กอดเขาที่ร้องไห้กลับมาบ้านเพราะโดนแกล้ง หรือโดนทำโทษโดยไม่ดุด่าหรือตะคอกใส่ จนกว่าเขาจะหมดน้ำตา

ตอบคำถามแปลกๆทุกคำถามที่เขาถาม ตอบไม่ได้ก็บอกเขาตามตรงไม่โกหกหรือตอบปัดๆให้พ้นไป

แนะนำแนวทางที่ถูกต้องในการทำหลายสิ่งหลายอย่างให้เขาถึงมันจะเป็นอย่างเรื่องง่ายๆ อย่างมารยาทในการใช้ช้อนส้อมกินข้าว

ช่วยเขาอย่างตั้งใจให้เขาทำบางอย่างได้เพื่อที่จะไม่อายเพื่อนโดยไม่ล้อเขา แม้ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเพียงการหัดล้างก้นให้ได้ก่อนขึ้นประถม  หรือการอาบน้ำแต่งตัวได้เอง  ก่อนไปอยู่ค่ายลูก็ตาม

ขณะและหลังจากดูการ์ตูนหรือละครหลังข่าวร่วมกันกับเขาได้พูดคุยวิจารณ์ถึงตัวละครให้เขาฟังตัวไหนดีไม่ดีอย่างไร ตัวไหนควรเอาอย่าง ตัวไหนไม่ควรทำตาม ตัวไหนควรช่วยเหลือ และรับฟังความคิดเห็นตลกๆ ไร้เดียงสาของเด็กอย่างเขาด้วยโดยไม่หัวเราะเยาะ

สอนให้เค้ารู้ว่าความรุนแรงเป็นสิ่งไม่ดี เป็นสิ่งสุดท้ายที่ต้องทำ แต่ก็มีบางเวลาที่จำเป็นต้องใช้ อย่างตำรวจยิงผู้ร้ายในละคร แต่ใช้อย่างมีสติ มีเหตุผลไม่ใช่อารมณ์

ผมว่าถ้ามีใครซักคนแบบนี้อยู่ที่บ้านของเด็กเหล่านั้น หรือคนที่อยู่ที่บ้านของเด็กเหล่านั้นเพียงคนเดียวทำได้แบบนี้เหตุการณ์ในคลิปต่างๆคงไม่เกิด

ไม่รู้ว่ามันยากเกินไปรึเปล่า


แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 28 มีนาคม 2555 / 00:00
0
กำลังโหลด
ซ่อนนาม Member 28 มี.ค. 55 00:37 น. 14
#8
เอ่อ... อ่านหรือเปล่าเนี่ย ?
ตรงไหนที่บอกว่าเด็กผิด ?

เขาข่ายประโยคนี้เลยนะ
"ด้วยนิสัยของมนุษย์มักจะลากดีเข้าตัวลากชั่วเข้าคนอื่นอยู่แล้ว
จึงมักจะโยนความผิดไปให้ที่อีกฝ่ายโดยไม่ยอมดูตัวเองเลย"


ยังไม่ทันว่าอะไรว่าตัวเด็กหรือท่านว่าเป็นฝ่ายผิดเลย
ก็รีบโยนความผิดนั้นให้ผู้อื่นไปก่อนเสียแล้ว

แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 28 มีนาคม 2555 / 00:41
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 28 มีนาคม 2555 / 00:39
0
กำลังโหลด
หญิงเหวี่ยง Member 28 มี.ค. 55 08:15 น. 15
  ผู้ใหญ่แล่ะ ประเด็นหลัก ตอนเรายังเด็กก็ได้ดูแต่การ์ตูนอ่ะ แต่เราคิดว่า ถ้าปิดกั้นเกินไปอ่ะ มันจะทำให้เด็กอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ซึ่งมันก็เสี่ยง ที่จะมีการต่อต้านหรืออะไรก็ตามที่จะได้ดู ได้ทำ ในสิ่งที่ผู้ใหญ่ห้าม พอโตขึ้น ผู้ใหญ่รู้ไม่ทัน เด็กแบบนี้ก็เปรียบได้เหมือนทุ่งหญ้างแล่ะ ตามตัดให้สั้น ความเหนื่อย ความลำบากขึ้นอยู่กับพื้นที่ทุ่ง จะทุ่งกว้างหรือแคบ ก็ขึ้นอยู่กับกรอบที่สร้าง ที่ผู้ใหญ่สอน 
แล้วไม่อยากจะบอก ว่าเดี๋ยวนี้ เด็กมันเป็นหนุ่ม เป็นสาวเร็ว เห็นมาแล้วจากแถวบ้าน สังเกตลูกหลานดีๆ ตอนช่วงอนุบาลน่ะ เหอๆ เค้าจะเอามาเล่าให้ฟังว่า มีเพื่อนคนนั้นอ่ะ สวยมากเลย ชื่อตาหวาน บลาๆๆ พูดแล้วจะเขิน นั่นแล่ะ ได้เวลา ไม่ต้องพูดห้าม แต่ถามทีเล่นที่จริง ประมาณว่า เอ้า แล้วเค้าซื้อขนมให้กินป่ะ ช่วยทำการบ้านป่ะ แล้วเค้าทำไรมั่งอ่ะ -*- ถามไปเรื่อยๆ ตบๆกรอบให้แคบลงหน่อย รับรอง เลิก 5555
โตขึ้นมา ระวังที่สุด ช่วง ม.1-ม.2 เสียเยอะมาก แล้วอย่าเข้าข้างลูกตัวเองนะคะ ฟังหูไว้หู ขอร้อง ครูเค้าเห็น พฤติกรรมที่ รร. ปีนรั้ว โดดเรียน ตีกัน กินเหล้า เข้าม่านรูด มีถ่มเถ แต่ที่บ้านอาจจะเปนเด็กดี โอ๊ยย ช่วยพ่อแม่กันดีจัง แล้วเดี๋ยวนี้อ่า ผู้หญิงจีบผู้ชาย - -* เคยไปกินก๋วยเตี๋ยว เด็กคนละ รร. ไม่รู้มันกินได้ไม๊หรอก เห็นนั่งมองแต่ผู้ชาย สุดท้าย
ผู้หญิง : ขอเบอร์หน่อยได้ไม๊คนหล่อ 
ผู้ชาย : มีแฟนแล้วครับ 
ผู้หญิง : เป็นแฟนกัน แสดงว่ายังไม่ได้กันสิ จะเอาอ่ะ ของเบอร์หน่อย (สงสายตาหวานเยิ้ม)

อึ้ง อึ้ง ครับท่าน กล้าผู้ได้มากขนาดนี้ -0-* เจอกันครั้งแรกด้วย แต่ผู้ชายมันก็ไม่ได้ให้หรอก

0
กำลังโหลด
Vidia Simeron Member 28 มี.ค. 55 10:12 น. 16
จริงๆแล้วมันก็ผิดกันทั้งหมดแหล่ะค่ะ ทั้งตัวผู้ปกครอง ทั้งสื่อ อาจจะเป็นเพราะสังคมด้วย อย่างที่รู้กันอยู่ว่ายุคนี้ต้องแข่งกับเวลา บางครอบครัวที่ผู้ปกครองต้องออกจากบ้านแต่เช้าแล้วกลับมาอีกทีตอนดึกๆ ไม่มีเวลาให้ลูกๆ อีกสถานการณ์คืออยู่กับผู้อาวุทโสในครอบครัว เด็กจึงไม่ได้รับคำแนะนำสื่อต่างๆเมื่ออยู่ที่บ้านมากพอ และใช้สื่อเช่น ทีวี หรืออินเทอร์เน็ตแบบไม่ควบคุมจนได้รับข้อมูลบางอย่างที่ไม่เหมาะสมเข้ามาด้วย สถานการณ์ที่3 อาจเป็นเพราะเด็กต้องการเรียกร้องความสนใจจากผู้ปกครองด้วยสาดหตุบางอย่างเช่น ดูแลน้องจนไม่มีเวลาดูแลพี่คนโต(ว่าง่ายๆคือนึกว่าพ่อ แม่ไม่รัก)เป็นต้น ส่วนเรื่องสื่อจะไม่พูดนะค่ะเนื่องจากเห็นด้วยกับคห.3 ที่บอกว่าควรจัดการโปรแกรมให้เป็นระเบียบกว่านี้ รวมทั้งการทำงานของทีมเซ็นเซอร์ด้วยค่ะ ถ้าจะวิจารย์หรืออะไรเพิ่มเติมก็พิมพ์เลยนะค่ะ พอดีว่าเป็นครั้งแรกที่ออกความเห็นที่มีสาระแบบนี้... --"
0
กำลังโหลด
gen'maii 28 มี.ค. 55 10:37 น. 17
ถ้าตีกัน ตบกันเป็นเรื่องธรรมดา คงไม่ปกติแล้วล่ะ


ถ้าโทษ คงตัวเราแหละ ที่อายุป่านนี้ยังแยกไม่ออกว่าอะไรดี อะไรไม่ดี


ผู้ใหญ่เขาก็ต้อง แก้ปัญหาในวิถีทางของเขา สื่อเองก็ต้องแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นในวิถีทางของเขาเช่นกัน


แค่ผู้ชายคนเดียวยังตีกันขนาดนี้ แล้วอีกหน่อยถ้าเป็นเรื่องที่ใหญ่มากกกก มันคงไม่เดือดร้อนทั้งประเทศเลยรึ
0
กำลังโหลด
Love Actually Member 28 มี.ค. 55 13:36 น. 18

ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับตัวเด็กเองด้วย ว่าจะเลือกทางไหน รับ หรือ ไม่รับในสิ่งที่ตาเห็นหูได้ยินจากสื่อต่าง ๆ
โดยส่วนตัว จำได้เลยว่า ประมาณป.2 ป.3 มีละครเรื่องหนึ่งออกอากาศที่ช่องมากสี นั่นคือเรื่อง "ทองเนื้อเก้า"
ที่ตัวเอกของเรื่อง คือลำยอง และเป็นแม่ของพระเอก ที่วัน ๆ งานการไม่ทำ แต่งตัวสวย ติดเหล้า มีสามีหลายคน ฯลฯ
และตัวเราเอง ก็แอบคนที่บ้านดูละครเรื่องนี้ เรียกได้ว่า "ติด" เลยล่ะ
แต่เราเอาอย่างลำยองมั้ย ก็ไม่ เพราะเราคิดได้เองว่า นั่นไม่ดีนะ ไม่ควรเอาอย่าง

เด็กส่วนหนึ่งที่คิดได้เองก็มี คิดเองไม่ได้ก็เยอะ
ไม่ต้องดูไกลหรอก น้องสาว (ลูกน้า) เราเองนี่แหละมีให้เห็นอยู่ทุกวัน (ปีนี้ 9 ขวบ)
จากการดูพฤติกรรมอยู่ห่าง ๆ ก็เห็นแล้วว่าไม่น่าจะเกิน 15 (คิดในแง่ร้าย) ก็มีสามีซะแล้ว แต่ถ้าดีขึ้นมาหน่อย ยืดให้ถึง 18 และนอกจากจะมีสามีแล้ว เผลอ ๆ ยังอัพเกรดให้พ่อให้แม่เป็นคุณตาคุณยายก่อนเวลาอันควรอีกด้วย
ซึ่งก็สมใจคุณแม่เขาล่ะ ที่อยากเป็นคุณยายยังสาว (มีลูกตอนเกือบ 40)
เราเคยถามเรื่องนี้กับน้านะ น้าบอกว่า ไม่เอาหรอก รอให้มันถึงวัยอันควรก่อน
ก็ได้แต่คิดอยู่ในใจ คงจะมีวันนั้นหรอก เห็นปลูกฝังกันตั้งแต่อยู่ในท้อง ว่าอายุ 15 ก็จะให้มีผัวแล้ว
อีกอย่าง ส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมเด็กเองด้วย ที่ชอบดูละครหลังข่าวแล้วเลียนแบบพฤติกรรมของตัวละคร
และด้วยความที่ทั้งพ่อแม่มีตำแหน่งเป็นถึงผู้บริหารสถานศึกษาด้วยกันทั้งคู่
ก็เลยเอาเวลาส่วนใหญ่ไปทุ่มเทให้กับงาน สนใจซีแปดซีเก้า และใส่ใจลูกชาวบ้านมากกว่าลูกตัวเอง
กลับบ้านมาก็เอาแต่อยู่หน้าคอม ไม่สนใจลูกเท่าไหร่ แค่ดูแลให้มันทำการบ้านอ่านหนังสือตามที่ครูสั่งแล้วก็จบกัน
จากนั้นเด็กมันจะไปทำอะไรก็เรื่องของมัน นังพ่อนังแม่ก็หัวฟูอยู่หน้าคอมทำงานอัพซีของตัวเองต่อไป
แล้วเด็กมันจะไปทำอะไรได้ นอกจากดูละคร พ่อแม่ขึ้นนอนเมื่อไหร่ ก็ขึ้นพร้อมพ่อแม่
ทุกวันนี้ นาง (เด็ก) ก็ทำตัวเป็นสาว ชอบเอาชุดสีขาวมาใส่ แล้วพูดว่า นี่คือชุดแต่งงานของหนู หนูเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุด
ได้เห็นได้ยินแล้วก็อนาจใจ สมัยเราอายุเท่ามัน เรายังนั่งเล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับพี่สาวข้างบ้านอยู่เลย

และอีกส่วนก็มาจากผู้ปกครอง ว่าผู้ปกครองจะทุ่มเทเวลาให้เด็กมากแค่ไหน อย่างที่ #13 บอก
ตามที่เห็นในข่าว ตอนที่ "เรยา" เป็นกระแสสังคม พ่อแม่ผู้ปกครองลุกฮือขึ้นมาต่อต้านเลย ว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
แต่กว่าจะออกมาพูดมาประท้วงได้ ละครก็ใกล้จะจบเต็มทีแล้ว (ช้าไปมั้ย หรือเพิ่งจะสำนึกได้) ก็นะ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
คิดว่า การที่ผู้ปกครองออกมาพูด เพราะไม่รู้ว่าจะตอบคำถามลูกยังไง ในกรณีที่ลูกถามเกี่ยวกับฉากที่ตัวละคร...กัน
เฮ้อ ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะรู้บ้างมั้ยนะ ว่านิยาย 18+ ที่ขายตามท้องตลาดบางเรื่องน่ะ เด็ก 15-16 เป็นคนเขียน
หรือเพราะมันไม่เห็นเป็นภาพอย่างในละคร "ดอกส้มสีทอง" ก็เลยไม่รู้
หรือว่ามัวแต่เอาเวลาไปนั่งลงแป้งขูดหาหวยตามต้นไม้ประหลาด ตีหวยจากจิ้งจกตุ๊กแกห้อยหัวกันอยู่ ก็เลยไม่มีเวลาให้ลูก

อีกอย่าง อย่างในเรื่องความรุนแรงทั้งหลายแหล่ นักเรียนตบกันแย่งผู้ชาย เด็กอาชีวะยกพวกตีกันฆ่ากัน
มันก็เป็นกระแสเฉพาะตอนที่เป็นข่าวครึกโครมเท่านั้นแหละ พอไม่มีข่าว เรื่องเหล่านี้ก็หายเข้ากลีบเมฆไป
พอมีข่าวเด็กตีกันตบกันอีก ผู้ใหญ่ถึงได้ขุดขึ้นมาพูดกันใหม่
เรื่องมันก็วนเวียนเป็นหนังม้วนเดิมที่ฉายซ้ำ ๆ ซาก ๆ อย่างนี้แหละ ไม่เห็นทำอะไรกันจริง ๆ จัง ๆ สักที
เวลาเกิดปัญหา ผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองก็ขุดหลักการขึ้นมาพูดใส่กัน ว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้
พอเรื่องเด็กตีกันเงียบ ๆ ไป ผู้ใหญ่ก็ไม่ทำอะไร นอกจากเมาเหล้าเมารักในสภา
เฮ้อ เจริญล่ะ เอาแต่ใส่สูทเดินโก้และกินภาษีประชาชนไปวัน ๆ

และอย่างเรื่องเพศ เรื่องนี้ไม่อยากจะพูดเท่าไหร่ เพราะพูดแล้วเซ็ง
คนที่บ้าน อายุ 30 แล้ว พอได้ยินน้อง ๆ หลาน ๆ พูดเรื่องใต้สะดือเข้าหน่อย ทำเป็น อี๋ รับไม่ได้ สกปรก 
ที่เราพูดเรื่องทำนองนี้ขึ้นมา ก็เพราะอยากจะสอนให้น้องสาว (อายุ 13) มีความรู้ติดตัว จะได้ไม่ไปศึกษาด้วยตัวเอง
แต่ถึงไม่ต้องสอน เด็กมันก็พอรู้อยู่บ้างแล้ว เพราะครูที่โรงเรียนสอนมา
ขนาดเรื่องอย่างว่าของน้องหมา นังอายุ 30 ยังรับไม่ได้เลย เรื่องมีอยู่ว่า ตุลาปีแล้ว ติดเกาะกันยกบ้าน
แล้วนังหนมเข่ง (ตัวผู้) ดันเกิดติดสั-ดครั้งแรกขึ้นมาซะอย่างนั้น ไส้กรอกชี้โด่ชี้เด่เลย
ลุงเห็นตัวมันงอ ๆ ก็สงสัย ก็เลยไปดูถึงได้รู้ว่ามันเป็นอะไร ป้าสะใภ้ก็พูดขึ้นมา เฮ้ย ลูกชายเป็นสั-ด
แล้วป้าก็บอกให้ลุงชักให้มันหน่อย สงสารมัน เพราะมันไม่ได้ปลดปล่อย (ที่บ้านไม่มีนโยบายตอนสุนัข)
นัง 30 เกิดอาการรับไม่ได้ ยกมือปิดหู ปิดตา เดินหนี เห็นแล้วอยากจะบ้าตาย

เรื่องเพศ เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่สมควรให้ความรู้กับเด็กให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เด็กจะได้ไม่หาความรู้จากที่อื่น
แต่ถ้าผู้ใหญ่ทำตัวแบบนัง 30 ที่บ้านเราแล้ว ประเทศไทยก็เชิญเผชิญปัญหาทำแท้ง ทับไม่ร้องท้องไม่รับกันต่อไปเถอะ
ส่วนตัว ที่บ้านก็ไม่เคยสอนเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะเห็นว่าสกปรก เด็กไม่สมควรรู้ สงสัยคิดว่าเด็กเกิดจากการจ้องตากระมัง
แต่ด้วยความอยากรู้ เราก็เลยศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง ด้วยการดู AV อ่านบทความอย่างว่า แต่ไม่เคยปฏิบัติจริง

0
กำลังโหลด
Kanun_niratporn Member 29 มี.ค. 55 09:23 น. 19
เราว่ามันเป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้นะ ประเทศเราไม่ควรปล่อยให้ปัญหานี้มันเรื้อรังต่อไป เพราะเด็กก็คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า จะไปโทษเด็กก็ไม่ได้เพราะเด็ก ก็คือเด็ก การตัดสินใจยังไม่ได้มีการไตร่ตรองมากเหมือนผู้ใหญ่ และเราค่อนข้างเห็นด้วยกับ คห.3 - 4 เพราะสื่อที่ออกมาส่วนใหญ่แล้วชี้เป้าไปที่วัยรุ่นและผู้ใหญ่ แต่ลืมไปว่าเกือบจะทุกบ้านมีเด็กเล็กอยู่ ส่วนทางด้านท่านผู้ปกครอง แน่นอนเขาต้องรักลูกหลาน แต่ก็คงจะไม่ทันคิดว่า "ไอนี่นั่นโน่น ออกจะไม่เหมาะสม" ซึ่งตรงนี้เราว่าเป็นปัญหานะ หลักๆคงต้องเริ่มตั้งแต่สังคมในครอบครัว เพราะผู้ปกครองคงไม่ตามไปดูทุกวินาทีในสังคมโรงเรียน (หรืออะไรทำนองนี้) ซึ่งมันก็ต้องเริ่มจากการสังเกตุ และอบรมโดย "คำพูดที่ดี" เพราะบางครอบครัวสมัยนี้ชอบใช้คำพูดที่รุนแรง หรือการกระทำที่รุนแรง ต่อหน้าเด็กซะด้วย!! ): ซึ่งพอเด็กเห็นเขาก็จะคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา (ทีนี้หละแย่กว่าเดิม =0=) ก็ประมาณนี้นะค่ะหลักๆ (จริงๆนี้อีกเยอะที่อยากจะพิมพ์ แต่กลัวเยอะเกิน5555) สรุปว่า "มันแก้ไขได้ แต่ต้องดูถึงปัญหาที่แท้จริง ที่ไม่ได้มีแค่สื่อ" [จบดีกว่าเดี๋ยวยาว]
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด