|
ตีกันเป็นเรื่องตลก ตบกันเป็นเรื่องธรรมดา ???
ภาพ: คลิปสะท้อนสังคม "เรื่องจริงที่เด็กไทยต้องเจอ..." โดย pooztheclassicamcnx, youtube
|
||||||||
|
แหล่งข้อมูล:
- คู่มือการใช้สื่อเสียง "พ่อแม่เลี้ยงบวก" http://jitdee.com/download/project_detail.php?pcode=3
|








33 ความคิดเห็น
และปัจจุบันเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
คำตอบคือผิดด้วยกันทั้งคู่
โทรทัศน์ควรจะจัดเรตให้เหมาะสม
การจัดเรตไม่ใช่แค่การขึ้นหนังสือเตือน หรือเซ็นเซอร์แหลก
หากเป็นการจัดเวลาให้เหมาะสมกับผู้รับชม
รายการที่ไม่เหมาะสมกับเด็กก็ไม่ควรที่จะอยู่ในช่วงที่เวลาเด็กดูได้
การเซ็นเซอร์ก็แทบไม่จำเป็นเลยหากรายงานทั้งหลายจัดเวลาให้ดี
ทว่าในปัจจุบันเซ็นเซอร์เหล้า มีด ปีน ในหนังหลังสองยาม ?
เด็กที่ไหนจะดูได้ ? ถ้าดูได้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ที่ทีวีแต่เป็นตัวเด็กกับผู้ปกครองแล้ว !
และการเซ็นเซอร์ก็ไม่ใช่ทำพร่ำเพื่อเช่นเซ็นเซอร์นมชิซูกะ หรือเครื่องในหุ่นในเมก้าเครเวอร์
(ทว่าเพราะช่องนี้มีการเมืองในสถานีเยอะ ทีมเซ็นเซอร์จึงเซ็นแหลกเพื่อไม่ให้โดนลูกหลง)
ผู้ใหญ่เองก็เช่นกัน ถึงแม้สื่อหนึ่งจะปลอดภัย แต่ใช่ว่าทุกสื่อจะปลอดภัยเหมือนกันหมด
ยังไม่รวมถึงสภาพแวดล้อมเพื่อนฝูง ที่อาจจะชักชวนไปในที่ผิดได้ด้วย
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ ที่จะดูแลเด็กด้วย ไม่ใช่ให้เป็นหน้าที่ของคนอื่น
ทว่า ด้วยนิสัยของมนุษย์ มักจะลากดีเข้าตัวลากชั่วเข้าคนอื่นอยู่แล้ว
จึงมักจะโยนความผิดไปให้ที่อีกฝ่ายโดยไม่ยอมดูตัวเองเลย
สาวกละครหลังข่าวก็มักจะโยนให้ผู้ปกครองผิด แล้วปกป้องละครที่รักของตน
ส่วนผู้ใหญ่เองก็โยนความผิดให้ที่ทีวีหรือละคร แบบไม่ได้ดูเลยว่าตัวเองไม่ได้ดูแลลูกแม้แต่น้อย
สิ่งที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่น้อยมาก ๆ
ทว่าในยุคปัจจุบันมันอัพโหลดคลิปพวกนี้ได้ง่ายจึงคิดว่ามีเยอะ
อีกทั้งสื่อเองก็โหมกระแสให้ผู้รับสารนึกว่าเกิดเป็นเรื่องปรกติ
ซึ่งตรงจุดนี้จะทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบได้ง่าย และอาจจะมีมากขึ้นอีกในอนาคตเพราะสื่อ
(ขนาดพฤติกรรมฆ่าตัวตายเลียนแบบยังมีแล้วนะ แต่ในต่างประเทศ... จำไม่ได้ว่าชื่ออะไรเคสไหน)
อย่าเลยเนอะ เราต้องมีความเป็นผู้ใหญ่พอ
เพราะงั้นคนผิดก็คือผู้ใหญ่นั่นแหละ ถ้าเรามองตามประเด็นในกระทู้นี้อะนะ
นี่คือความรู้สึกของเรา ใครไม่ชอบก็อย่าด่ากันนะ
หากกลับมาจากโรงเรียนเจอคนๆนั้นรอเขาอยู่ที่บ้าน ทำให้เด็กรู้ว่าเขามีค่าพอที่จะมีคนรออยู่เจอเขา
มีคนที่รับฟังทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาตลอดวันอย่างใจเย็นไม่ว่าเรื่องมันจะงี่เง่าขนาดไหน
พร้อมที่จะเอ่ยชมรูปที่เขาวาดหรือกลอนที่เขาเขียนอย่างเต็มใจแม้ว่ามันจะได้คะแนนแค่ เจ็ดเต็มสิบก็ตาม
กอดเขาที่ร้องไห้กลับมาบ้านเพราะโดนแกล้ง หรือโดนทำโทษโดยไม่ดุด่าหรือตะคอกใส่ จนกว่าเขาจะหมดน้ำตา
ตอบคำถามแปลกๆทุกคำถามที่เขาถาม ตอบไม่ได้ก็บอกเขาตามตรงไม่โกหกหรือตอบปัดๆให้พ้นไป
แนะนำแนวทางที่ถูกต้องในการทำหลายสิ่งหลายอย่างให้เขาถึงมันจะเป็นอย่างเรื่องง่ายๆ อย่างมารยาทในการใช้ช้อนส้อมกินข้าว
ช่วยเขาอย่างตั้งใจให้เขาทำบางอย่างได้เพื่อที่จะไม่อายเพื่อนโดยไม่ล้อเขา แม้ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเพียงการหัดล้างก้นให้ได้ก่อนขึ้นประถม หรือการอาบน้ำแต่งตัวได้เอง ก่อนไปอยู่ค่ายลูก็ตาม
ขณะและหลังจากดูการ์ตูนหรือละครหลังข่าวร่วมกันกับเขาได้พูดคุยวิจารณ์ถึงตัวละครให้เขาฟังตัวไหนดีไม่ดีอย่างไร ตัวไหนควรเอาอย่าง ตัวไหนไม่ควรทำตาม ตัวไหนควรช่วยเหลือ และรับฟังความคิดเห็นตลกๆ ไร้เดียงสาของเด็กอย่างเขาด้วยโดยไม่หัวเราะเยาะ
สอนให้เค้ารู้ว่าความรุนแรงเป็นสิ่งไม่ดี เป็นสิ่งสุดท้ายที่ต้องทำ แต่ก็มีบางเวลาที่จำเป็นต้องใช้ อย่างตำรวจยิงผู้ร้ายในละคร แต่ใช้อย่างมีสติ มีเหตุผลไม่ใช่อารมณ์
ผมว่าถ้ามีใครซักคนแบบนี้อยู่ที่บ้านของเด็กเหล่านั้น หรือคนที่อยู่ที่บ้านของเด็กเหล่านั้นเพียงคนเดียวทำได้แบบนี้เหตุการณ์ในคลิปต่างๆคงไม่เกิด
ไม่รู้ว่ามันยากเกินไปรึเปล่า
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 28 มีนาคม 2555 / 00:00
เอ่อ... อ่านหรือเปล่าเนี่ย ?
ตรงไหนที่บอกว่าเด็กผิด ?
เขาข่ายประโยคนี้เลยนะ
"ด้วยนิสัยของมนุษย์มักจะลากดีเข้าตัวลากชั่วเข้าคนอื่นอยู่แล้ว
จึงมักจะโยนความผิดไปให้ที่อีกฝ่ายโดยไม่ยอมดูตัวเองเลย"
ยังไม่ทันว่าอะไรว่าตัวเด็กหรือท่านว่าเป็นฝ่ายผิดเลย
ก็รีบโยนความผิดนั้นให้ผู้อื่นไปก่อนเสียแล้ว
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 28 มีนาคม 2555 / 00:41
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 28 มีนาคม 2555 / 00:39
ผู้หญิง : ขอเบอร์หน่อยได้ไม๊คนหล่อ
ผู้ชาย : มีแฟนแล้วครับ
ผู้หญิง : เป็นแฟนกัน แสดงว่ายังไม่ได้กันสิ จะเอาอ่ะ ของเบอร์หน่อย (สงสายตาหวานเยิ้ม)
อึ้ง อึ้ง ครับท่าน กล้าผู้ได้มากขนาดนี้ -0-* เจอกันครั้งแรกด้วย แต่ผู้ชายมันก็ไม่ได้ให้หรอก
ถ้าโทษ คงตัวเราแหละ ที่อายุป่านนี้ยังแยกไม่ออกว่าอะไรดี อะไรไม่ดี
ผู้ใหญ่เขาก็ต้อง แก้ปัญหาในวิถีทางของเขา สื่อเองก็ต้องแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นในวิถีทางของเขาเช่นกัน
แค่ผู้ชายคนเดียวยังตีกันขนาดนี้ แล้วอีกหน่อยถ้าเป็นเรื่องที่ใหญ่มากกกก มันคงไม่เดือดร้อนทั้งประเทศเลยรึ
ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับตัวเด็กเองด้วย ว่าจะเลือกทางไหน รับ หรือ ไม่รับในสิ่งที่ตาเห็นหูได้ยินจากสื่อต่าง ๆ
โดยส่วนตัว จำได้เลยว่า ประมาณป.2 ป.3 มีละครเรื่องหนึ่งออกอากาศที่ช่องมากสี นั่นคือเรื่อง "ทองเนื้อเก้า"
ที่ตัวเอกของเรื่อง คือลำยอง และเป็นแม่ของพระเอก ที่วัน ๆ งานการไม่ทำ แต่งตัวสวย ติดเหล้า มีสามีหลายคน ฯลฯ
และตัวเราเอง ก็แอบคนที่บ้านดูละครเรื่องนี้ เรียกได้ว่า "ติด" เลยล่ะ
แต่เราเอาอย่างลำยองมั้ย ก็ไม่ เพราะเราคิดได้เองว่า นั่นไม่ดีนะ ไม่ควรเอาอย่าง
เด็กส่วนหนึ่งที่คิดได้เองก็มี คิดเองไม่ได้ก็เยอะ
ไม่ต้องดูไกลหรอก น้องสาว (ลูกน้า) เราเองนี่แหละมีให้เห็นอยู่ทุกวัน (ปีนี้ 9 ขวบ)
จากการดูพฤติกรรมอยู่ห่าง ๆ ก็เห็นแล้วว่าไม่น่าจะเกิน 15 (คิดในแง่ร้าย) ก็มีสามีซะแล้ว แต่ถ้าดีขึ้นมาหน่อย ยืดให้ถึง 18 และนอกจากจะมีสามีแล้ว เผลอ ๆ ยังอัพเกรดให้พ่อให้แม่เป็นคุณตาคุณยายก่อนเวลาอันควรอีกด้วย
ซึ่งก็สมใจคุณแม่เขาล่ะ ที่อยากเป็นคุณยายยังสาว (มีลูกตอนเกือบ 40)
เราเคยถามเรื่องนี้กับน้านะ น้าบอกว่า ไม่เอาหรอก รอให้มันถึงวัยอันควรก่อน
ก็ได้แต่คิดอยู่ในใจ คงจะมีวันนั้นหรอก เห็นปลูกฝังกันตั้งแต่อยู่ในท้อง ว่าอายุ 15 ก็จะให้มีผัวแล้ว
อีกอย่าง ส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมเด็กเองด้วย ที่ชอบดูละครหลังข่าวแล้วเลียนแบบพฤติกรรมของตัวละคร
และด้วยความที่ทั้งพ่อแม่มีตำแหน่งเป็นถึงผู้บริหารสถานศึกษาด้วยกันทั้งคู่
ก็เลยเอาเวลาส่วนใหญ่ไปทุ่มเทให้กับงาน สนใจซีแปดซีเก้า และใส่ใจลูกชาวบ้านมากกว่าลูกตัวเอง
กลับบ้านมาก็เอาแต่อยู่หน้าคอม ไม่สนใจลูกเท่าไหร่ แค่ดูแลให้มันทำการบ้านอ่านหนังสือตามที่ครูสั่งแล้วก็จบกัน
จากนั้นเด็กมันจะไปทำอะไรก็เรื่องของมัน นังพ่อนังแม่ก็หัวฟูอยู่หน้าคอมทำงานอัพซีของตัวเองต่อไป
แล้วเด็กมันจะไปทำอะไรได้ นอกจากดูละคร พ่อแม่ขึ้นนอนเมื่อไหร่ ก็ขึ้นพร้อมพ่อแม่
ทุกวันนี้ นาง (เด็ก) ก็ทำตัวเป็นสาว ชอบเอาชุดสีขาวมาใส่ แล้วพูดว่า นี่คือชุดแต่งงานของหนู หนูเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุด
ได้เห็นได้ยินแล้วก็อนาจใจ สมัยเราอายุเท่ามัน เรายังนั่งเล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับพี่สาวข้างบ้านอยู่เลย
และอีกส่วนก็มาจากผู้ปกครอง ว่าผู้ปกครองจะทุ่มเทเวลาให้เด็กมากแค่ไหน อย่างที่ #13 บอก
ตามที่เห็นในข่าว ตอนที่ "เรยา" เป็นกระแสสังคม พ่อแม่ผู้ปกครองลุกฮือขึ้นมาต่อต้านเลย ว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
แต่กว่าจะออกมาพูดมาประท้วงได้ ละครก็ใกล้จะจบเต็มทีแล้ว (ช้าไปมั้ย หรือเพิ่งจะสำนึกได้) ก็นะ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
คิดว่า การที่ผู้ปกครองออกมาพูด เพราะไม่รู้ว่าจะตอบคำถามลูกยังไง ในกรณีที่ลูกถามเกี่ยวกับฉากที่ตัวละคร...กัน
เฮ้อ ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะรู้บ้างมั้ยนะ ว่านิยาย 18+ ที่ขายตามท้องตลาดบางเรื่องน่ะ เด็ก 15-16 เป็นคนเขียน
หรือเพราะมันไม่เห็นเป็นภาพอย่างในละคร "ดอกส้มสีทอง" ก็เลยไม่รู้
หรือว่ามัวแต่เอาเวลาไปนั่งลงแป้งขูดหาหวยตามต้นไม้ประหลาด ตีหวยจากจิ้งจกตุ๊กแกห้อยหัวกันอยู่ ก็เลยไม่มีเวลาให้ลูก
อีกอย่าง อย่างในเรื่องความรุนแรงทั้งหลายแหล่ นักเรียนตบกันแย่งผู้ชาย เด็กอาชีวะยกพวกตีกันฆ่ากัน
มันก็เป็นกระแสเฉพาะตอนที่เป็นข่าวครึกโครมเท่านั้นแหละ พอไม่มีข่าว เรื่องเหล่านี้ก็หายเข้ากลีบเมฆไป
พอมีข่าวเด็กตีกันตบกันอีก ผู้ใหญ่ถึงได้ขุดขึ้นมาพูดกันใหม่
เรื่องมันก็วนเวียนเป็นหนังม้วนเดิมที่ฉายซ้ำ ๆ ซาก ๆ อย่างนี้แหละ ไม่เห็นทำอะไรกันจริง ๆ จัง ๆ สักที
เวลาเกิดปัญหา ผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองก็ขุดหลักการขึ้นมาพูดใส่กัน ว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้
พอเรื่องเด็กตีกันเงียบ ๆ ไป ผู้ใหญ่ก็ไม่ทำอะไร นอกจากเมาเหล้าเมารักในสภา
เฮ้อ เจริญล่ะ เอาแต่ใส่สูทเดินโก้และกินภาษีประชาชนไปวัน ๆ
และอย่างเรื่องเพศ เรื่องนี้ไม่อยากจะพูดเท่าไหร่ เพราะพูดแล้วเซ็ง
คนที่บ้าน อายุ 30 แล้ว พอได้ยินน้อง ๆ หลาน ๆ พูดเรื่องใต้สะดือเข้าหน่อย ทำเป็น อี๋ รับไม่ได้ สกปรก
ที่เราพูดเรื่องทำนองนี้ขึ้นมา ก็เพราะอยากจะสอนให้น้องสาว (อายุ 13) มีความรู้ติดตัว จะได้ไม่ไปศึกษาด้วยตัวเอง
แต่ถึงไม่ต้องสอน เด็กมันก็พอรู้อยู่บ้างแล้ว เพราะครูที่โรงเรียนสอนมา
ขนาดเรื่องอย่างว่าของน้องหมา นังอายุ 30 ยังรับไม่ได้เลย เรื่องมีอยู่ว่า ตุลาปีแล้ว ติดเกาะกันยกบ้าน
แล้วนังหนมเข่ง (ตัวผู้) ดันเกิดติดสั-ดครั้งแรกขึ้นมาซะอย่างนั้น ไส้กรอกชี้โด่ชี้เด่เลย
ลุงเห็นตัวมันงอ ๆ ก็สงสัย ก็เลยไปดูถึงได้รู้ว่ามันเป็นอะไร ป้าสะใภ้ก็พูดขึ้นมา เฮ้ย ลูกชายเป็นสั-ด
แล้วป้าก็บอกให้ลุงชักให้มันหน่อย สงสารมัน เพราะมันไม่ได้ปลดปล่อย (ที่บ้านไม่มีนโยบายตอนสุนัข)
นัง 30 เกิดอาการรับไม่ได้ ยกมือปิดหู ปิดตา เดินหนี เห็นแล้วอยากจะบ้าตาย
เรื่องเพศ เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่สมควรให้ความรู้กับเด็กให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เด็กจะได้ไม่หาความรู้จากที่อื่น
แต่ถ้าผู้ใหญ่ทำตัวแบบนัง 30 ที่บ้านเราแล้ว ประเทศไทยก็เชิญเผชิญปัญหาทำแท้ง ทับไม่ร้องท้องไม่รับกันต่อไปเถอะ
ส่วนตัว ที่บ้านก็ไม่เคยสอนเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะเห็นว่าสกปรก เด็กไม่สมควรรู้ สงสัยคิดว่าเด็กเกิดจากการจ้องตากระมัง
แต่ด้วยความอยากรู้ เราก็เลยศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง ด้วยการดู AV อ่านบทความอย่างว่า แต่ไม่เคยปฏิบัติจริง