เลี้ยงมาแบบไหนไม่สำคัญ เท่าฟัง(วัยรุ่น)ให้เป็น



     ทุกวันนี้ สิ่งที่แวดล้อมตัวเรา ล้วนแต่ดึงดูดใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งความเป็นไปของสังคม สื่อโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต ความบันเทิงรอบตัว การเปลี่ยนแปลงของระบบการศึกษาให้สอดคล้องตามยุคสมัยที่พยายามกระตุ้นให้เด็กคิด และแบบอย่างทางสังคมที่มีแต่การเรียร้องด้วยสันติวิธีแบบกฎหมู่ (ออกมารวมตัวชุมนุม) ล้วนทำให้ลูกวัยรุ่นต้องการอิสรภาพทางความคิดและการกระทำ กลายเป็นเด็กต้องการมีปากมีเสียงเรียกร้องสิทธิ์ของตนเองต่อพ่อแม่อยู่เสมอ 

         
       
 
   ด้วยการที่เด็กกล้าเรียกร้องสิทธิ์ของตนเองต่อพ่อแม่นี่เอง หลายครั้งหลายคราวเลยจึงกลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้งกัน เพราะการที่ลูกออกสิทธิ์ออกเสียงกับพ่อแม่ คือ การเถียงและก้าวร้าวผู้ใหญ่ พอพ่อแม่เห็นเจ้าอาการก้าวร้าวเหล่านั้นของลูก ก็คิดว่าเลี้ยงลูกมาไม่ดี ในขณะที่ลูกกลับคิดว่าตัวเองทำถูกแล้ว เดี่ยวนี้ใครๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะพูดแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกวัยรุ่นจะไม่รู้ว่าการที่เถียงผู้ใหญ่ไม่ดีนะคะ เขารู้สึกผิด เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะทำแบบไหนให้ผู้ใหญ่เข้าใจเขาจริงๆ 

     แต่ไม่ว่าครอบครัวไหน คงไม่อยากให้ลูกหลานมีแต่บุคลิกภาพที่ก้าวร้าว กล้าพูดกล้าแสดงออก แต่ไม่เห็นหัวใคร เพราะนั่นไม่ใช่ลักษณะอันดีตามแบบวัฒนธรรมไทยเลย ดังนั้น การเลี้ยงลูกให้มีทั้งมารยาทสมความเป็นไทย แต่ยังมีความกล้าคิดกล้าทำอย่างเหมาะสมตามสภาพการเปลี่ยนแปลงและต้องต่อสู้ในสังคม จึงเป็นเรื่องท้าทายคุณพ่อคุณแม่มากๆ

        ครั้งนี้ผู้เขียนไม่ได้ต้องการแนะนำว่าวิธีการเลี้ยงลูกแบบไหนที่เหมาะสมและดีที่สุด เพราะ การเลี้ยงลูกมีหลากหลายหลักการ  มีทั้งวิธีทั้งแบบเข้มงวด แบบสายกลาง แบบอิสระเต็มที่ และผลลัพธ์ของวิธีต่างๆ นั้นก็ไม่ได้ดีหรือเลวร้ายเสมอไปค่ะ บางคนเข้มงวดลูกก็ได้ดี แต่อีกบ้านเข้มงวดแล้วลูกเตลิด อีกบ้านปล่อยอิสระลูกร่าเริงแจ่มใส อีกบ้านก็ปล่อยอิสระแต่ใจลูกแตกกระเจิดกระเจิง 

        แต่สำหรับลูกวัยรุ่นในทุกครอบครัว ล้วนต้องการให้พ่อแม่ปล่อยให้ตัวเองทำตามใจ แต่ไม่ได้หมายความว่า วัยรุ่นทุกคนจพร้อมทำทุกสิ่งอย่างด้วยตนเองจริงๆ นะคะ แล้ววัยรุ่นก็ไม่ได้กล้าทำไปเสียทุกเรื่องหรอกค่ะ บางเรื่องขลาดกลัว ไม่กล้าทำ แต่เพราะทิฐิ พอพ่อแม่ปล่อย (ไม่ว่าจะให้อิสระจริงๆ จำใจ หรือประชดลูกก็ตาม) ตนเองก็ต้องทำ กลัวพ่อแม่จะมาหาว่าเก่งไม่จริง แล้วจะมาหาเรื่องจำกัดตัวเองอีกภายหลัง บางครั้งเลยทำลงไปแล้วพลาดพลั้ง 
       ดังนั้น ถึงแม้ลูกจะขออิสระ แต่บางเรื่องพ่อแม่ก็ต้องคอยแนะนำ หรือถ้าจะห้ามก็ต้องใช้การโน้มน้าว และถ้าจะห้ามจริงๆ โดยที่ไม้อ่อนโน้มน้าวไม่ได้แล้ว ก็ต้องมีเหตุผลว่าทำไมทำไม่ได้จริงๆ อะไรที่ต้องห้ามก็ต้องห้ามค่ะ ใจอ่อนไม่ได้เลย โดยเฉพาะพ่อแม่ที่สนิทกับลูกๆ เพราะลูกจับจุดใจอ่อนของพ่อแม่ได้แล้ว ทำแบบไหน อ้อนให้พ่อแม่ยอม ฮา
  
       
       สำหรับในบ้านที่ลูกวัยรุ่นห่างจากพ่อแม่หรือ  
ผู้ใหญ่ในบ้านไปด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม เช่น พ่อแม่ทำงานหนัก ไม่มีเวลา ลูกไปเรียนโรงเรียนประจำ ลูกมีนิสัยเงียบขรึมแต่ก็วางใจว่าเป็นเด็กดี ฯลฯ ที่ทำให้พ่อแม่เผลอปล่อยและห่างลูกวัยรุ่นโดยไม่รู้ตัว ผู้ใหญ่ในบ้านก็ต้องหาช่วงเวลาที่จะได้เล่าเรื่อง พูดคุยเรื่องราวที่แต่ละวันที่ผ่านมาด้วยนะคะ เพื่อจะได้รับรู้และให้คำแนะนำให้ทันการณ์ การห่างเหมือนการปล่อย วันใดจู่ๆ พ่อแม่ต้องการจะห้ามขึ้นมา ลูกจะไม่เข้าใจ ก็เพราะเคยให้อิสระและปล่อยมาตลอด  อยากให้คุณพ่อคุณแม่ทราบว่า ต่อให้พื้นนิสัยของลูกเป็นเด็กดี มีเหตุผลมากขนาดไหน แต่จู่ๆ มาห้ามกัน ลูกวัยรุ่นก็จะไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น แล้วอาจจะพาลคิดไปว่าพ่อแม่ไม่เชื่อใจตนเองแล้ว

       ในเรื่องความเข้าใจถึงมารยาท การปฏิบัติตนระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ จริงๆ ควรเป็นเรื่องที่ต้องปลูกฝังกันมาแต่เด็ก แต่มาสอนกันในตอนเป็นวัยรุ่นก็ยังไม่ช้าเกินไปนัก เพียงต้องใช้กลวิธีมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหลักการสอนลูกวัยรุ่นทั่วโลกเหมือนกัน เพราะช่วงวัยรุ่นนี้ มีการพัฒนาทางความคิดเป็นไปตามหลักพัฒนาการของมนุษย์ทุกคน คือเป็นช่วงพัฒนาการด้านความคิดและค้นหาตัวตน ค้นหา "แนว" ของตนเอง  ดังนั้น  หลักง่ายๆ ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมวัฒนธรรมไหน หรือบ้านที่เข้มงวดหรือปล่อยอิสระอย่างไร   ผู้ใหญ่ควรยอมรับฟังวัยรุ่น      ให้โอกาสเขาพูดและเสนอทางที่ตนเองต้องการจะทำ เป็นหลักง่ายที่ทำยากใช่เล่นทีเดียว โดยเฉพาะสังคมที่ให้ความสำคัญกับเรื่องวัยวุฒิมาก่อน

ถ้าบ้านที่เข้มงวด
   เพียงให้ลูกได้พูดและเสนอ ลูกก็พอใจแล้ว ไม่ว่าพ่อแม่จะรับข้อเสนอนั้นหรือไม่
ถ้าเป็นบ้านที่อิสระ
   ก็ต้องถกกันนานหน่อย แต่ถีงจะต้องเสียเวลาพูดนานไปหน่อย
   แต่ลูกเข้าใจพ่อแม่ ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว

แต่ผู้ใหญ่ในบริบทของสังคมไทย ก็มักคิดว่าการที่เด็กเห็นแย้งตนเอง คือ การเถียง 
พ่อแม่จึงมักลืมพิจารณาให้ดีว่าลูกเพียงกำลังบอก
   พอลูกบอก พ่อแม่ก็ว่าไม่ฟังผู้ใหญ่ แบบนี้ คือ การเถียง
   ลูกโดนว่าเถียงก็โกรธ  เริ่มใส่อารมณ์ในคำพูด
   พอลูกโมโห ใส่อารมณ์มากเข้า พ่อแม่ก็จบที่ว่า ลูกก้าวร้าว
   นั่นแหละค่ะ จบเหมือนกัน ไม่เงียบกริบ...ก็บ้านแตกล่ะ

    
  














       สำหรับวัยรุ่นเอง หากต้องการให้ผู้ใหญ่ฟังเรา จะมัวแต่เรียกร้องสิทธิ์ไม่ได้ ต้องยอมรับฟังผู้ใหญ่ ถึงอย่างไรก็เป็นผู้มีประสบการณ์มากกว่า และที่สำคัญหากเราตั้งใจฟัง และไม่พูดด้วยอารมณ์โมโห ก็ยังเป็นการปฏิบัติตนได้เหมาะสมตามมารยาทไทย เมื่อเราหยุดฟัง ผู้ใหญ่ก็จะฟังเราด้วย เพราะพวกท่านอัศจรรย์ใจในความเป็นผู้ใหญ่ในตัวเราไงล่ะ!!


ไม่ว่าจะเลี้ยงลูกแบบไหน แต่เมื่อลูกเป็นวัยรุ่นแล้ว 
ก็ต้องการให้พ่อแม่ยอมรับฟังตนเท่านั้นแหละค่ะ

จริงไหม? วัยรุ่นชาว Dek-D.com ทั้งหลาย


 
ภาพประกอบ:
www.flickr.com/photos/emerycophoto/
 
พี่เกียรติ
พี่เกียรติ - Community Master ถนัดแฝงตัวตามกระทู้เด็กดี มีความสนใจเป็นล้านเรื่องขึ้นอยู่กับดราม่าขณะนั้น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

เจ้าหญิงแห่งดาบ Member 2 ก.ย. 54 19:31 น. 2
"แต่ผู้ใหญ่ในบริบทของสังคมไทย ก็มักคิดว่าการที่เด็กเห็นแย้งตนเอง คือ การเถียง 
พ่อแม่จึงมักลืมพิจารณาให้ดีว่าลูกเพียงกำลังบอก
พอลูกบอก พ่อแม่ก็ว่าไม่ฟังผู้ใหญ่ แบบนี้ คือ การเถียง
ลูกโดนว่าเถียงก็โกรธ  เริ่มใส่อารมณ์ในคำพูด
พอลูกโมโห ใส่อารมณ์มากเข้า พ่อแม่ก็จบที่ว่า ลูกก้าวร้าว
นั่นแหละค่ะ จบเหมือนกัน ไม่เงียบกริบ...ก็บ้านแตกล่ะ"

ชอบท่อนนี้ค่ะ  อยากให้ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ได้อ่าน  และอย่าว่าแต่พ่อแม่เลย  แม้แต่ครูอาจารย์บางคน(ขอย้ำ! ว่าบางคน) เวลาเด็กบอก  ก็หาว่าเถียง  แล้วพาลไม่ฟังเด็ก หนูขอปักหมุดไว้เลยค่ะ

(และวัยรุ่นอย่างพวกเรา  เวลามีเรื่องอะไรต้องการเหตุผลมากที่สุดเป็นอันดับแรก  หากไม่มีเหตุผลที่ดีและชัดพอ  ส่วนใหญ่มักจะโกรธกันมาก)





แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 2 กันยายน 2554 / 19:33
0
กำลังโหลด
โฮ๊ะๆ 2 ก.ย. 54 18:53 น. 1
เห็นด้วยมากๆคะ ทั้งพ่อ ทั้งแม่ ญาติผู้ใหญ่เราแทบพูดไรไม่ได้เลย เรามีเหตุผลทุกครั้งที่พูดแต่กลับไม่มี

ใครฟังเราเลย คิดว่าเถียง อะไรก็เถียง พอไม่รุ้จะพูดอะไรชอบจบคำที่ว่า

"พ่อ(หรือญาติคนอื่นๆ)ต้องผิดให้ได้เลยใช่ไหม"

แบบเหมือนกับว่าบังคับให้เราผิดอะ สุดท้ายยังไงเราต้องไปขอโทษอะ

มีครั้งนึงเผลอกินข้าวบูดเข้าไป เพระา หิวมาก พ่อบอกว่า ทำไมไม่ดู โง่หรือไงกินเข้าไปได้สารพัดอะ

กินของบูดไปไม่พอถูกด่าอีก เฮง(ซ)วย ที่สุด!!!!
0
กำลังโหลด
terryfiat Member 11 ก.ย. 54 10:55 น. 16
เห็นด้วย ควรฟังลูกบ้าง ไม่ใช่ดีแต่อ้างว่า "อาบน้ำร้อนมาก่อน" อย่างเดียว
ปล.คำดังกล่าว ขอบัญญัติเป็นคำหยาบในพจนานุกรมวัยรุ่ืนเลยละกัน
 
0
กำลังโหลด

30 ความคิดเห็น

โฮ๊ะๆ 2 ก.ย. 54 18:53 น. 1
เห็นด้วยมากๆคะ ทั้งพ่อ ทั้งแม่ ญาติผู้ใหญ่เราแทบพูดไรไม่ได้เลย เรามีเหตุผลทุกครั้งที่พูดแต่กลับไม่มี

ใครฟังเราเลย คิดว่าเถียง อะไรก็เถียง พอไม่รุ้จะพูดอะไรชอบจบคำที่ว่า

"พ่อ(หรือญาติคนอื่นๆ)ต้องผิดให้ได้เลยใช่ไหม"

แบบเหมือนกับว่าบังคับให้เราผิดอะ สุดท้ายยังไงเราต้องไปขอโทษอะ

มีครั้งนึงเผลอกินข้าวบูดเข้าไป เพระา หิวมาก พ่อบอกว่า ทำไมไม่ดู โง่หรือไงกินเข้าไปได้สารพัดอะ

กินของบูดไปไม่พอถูกด่าอีก เฮง(ซ)วย ที่สุด!!!!
0
กำลังโหลด
เจ้าหญิงแห่งดาบ Member 2 ก.ย. 54 19:31 น. 2
"แต่ผู้ใหญ่ในบริบทของสังคมไทย ก็มักคิดว่าการที่เด็กเห็นแย้งตนเอง คือ การเถียง 
พ่อแม่จึงมักลืมพิจารณาให้ดีว่าลูกเพียงกำลังบอก
พอลูกบอก พ่อแม่ก็ว่าไม่ฟังผู้ใหญ่ แบบนี้ คือ การเถียง
ลูกโดนว่าเถียงก็โกรธ  เริ่มใส่อารมณ์ในคำพูด
พอลูกโมโห ใส่อารมณ์มากเข้า พ่อแม่ก็จบที่ว่า ลูกก้าวร้าว
นั่นแหละค่ะ จบเหมือนกัน ไม่เงียบกริบ...ก็บ้านแตกล่ะ"

ชอบท่อนนี้ค่ะ  อยากให้ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ได้อ่าน  และอย่าว่าแต่พ่อแม่เลย  แม้แต่ครูอาจารย์บางคน(ขอย้ำ! ว่าบางคน) เวลาเด็กบอก  ก็หาว่าเถียง  แล้วพาลไม่ฟังเด็ก หนูขอปักหมุดไว้เลยค่ะ

(และวัยรุ่นอย่างพวกเรา  เวลามีเรื่องอะไรต้องการเหตุผลมากที่สุดเป็นอันดับแรก  หากไม่มีเหตุผลที่ดีและชัดพอ  ส่วนใหญ่มักจะโกรธกันมาก)





แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 2 กันยายน 2554 / 19:33
0
กำลังโหลด
monligh Member 2 ก.ย. 54 20:29 น. 3
ของเราก็คล้ายกันนะ
แต่พ่อแม่เราเลี้ยงมาแบบกำหนดทุกอย่างให้ตั้งแต่เด็กแล้วอ่ะ ว่าต้องเรียนพิเศษที่ไหน เรียนอะไรเงี้ย แล้วตอนขึ้นม.4ก็บอกว่าให้อยู่สายวิทย์ให้ได้นะ พอได้อยู่สายวิทย์แล้วพ่อแม่ถามว่าจะทำงานอะไรก็ตอบไม่ได้เพราะไม่รู้จะเรียนอะไร ที่เรียนสายวิทย์ก็เพราะแม่บอกให้เรียน บอกอยากให้เป็นหมอ พอบอกไม่อยากเป็นก็ถามว่าจะเป็นอะไร พอตอบไม่ได้ก็ชอบมาบ่นใส่เราทุกทีบ่นว่าไม่รู้ก็เรียนหมอไปนี่แหละดีแล้ว เราไม่ได้อยากเรียนหมอสักหน่อย แล้วก็เล่นกำหนดทุกอย่างให้มาตั้งแต่เด็กแล้วจู่ๆมาให้คิดเองใครจะไปตอบได้ล่ะ เราเองก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าจบแล้วจะทำงานอะไรดีอ่ะ น่ารำคาญเหมือนกันนะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
คุกกี้แอนด์ครีม Member 3 ก.ย. 54 19:46 น. 8
เราเคยคุยกับอา อาเราบอกว่า ตามธรรมชาติของผู้ใหญ่ทุกคนเผด็จการและคิดว่าตัวเองถูกเสมอไม่ผิด!! (อาพูดได้โดนใจมาก!!)
0
กำลังโหลด
หนูแพว 3 ก.ย. 54 21:11 น. 9
ถึง คห.3 เราก็เป็นเหมือนกันแต่รู้สึกของเราจะรุนแรงน้อยกว่านะ ทุกวันนี้เราแทบจะตัดสินใจอะไรไม่ได้แล้ว ตอบที่เราให้ทุกคนมักจะเป็นอะไรก็ได้ แล้วแต่ หรือถ้าให้ตอบจริงๆ เราจะตอบว่า (สิ่งที่เลือก)ก็ได้ เวลาแม่ถามอยากเป็นอะไร ก็ตอบว่า หมอก็ได้ จริงๆก็ไม่ได้แอนตี้หมอมากนะ แต่เราไม่ได้อยากเป็นขนาดนั้น ปัจจุบันก็ยังไม่รูว่าอยากเป็นอะไรมากกว่าหมอ เลยคิดว่าเป็นหมอก็ได้แหละ สรุปก็คือเราตัดสินใจเองไม่ค่อยได้เป็นคนขี้เกรงใจ หลายครั้งที่เราให้คำตอบของเราไปตรงๆ ผลก็ออกมากลายเป็นอีกอย่างนึง เราเลยรู้สึกว่าคำพูดเราไม่มีความหมายเท่าไร ปล.ชอบคห.8
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
May's Aliza Noldor Member 4 ก.ย. 54 11:17 น. 11
เวลาเราพูดขึ้นมาก็หาว่าเถียงทุกครั้งเลยนะ
แต่ไม่อยากให้เรื่องมันยาวเลย เงียบดีกว่า
แล้วก็ฟังท่านไปจนกว่าจะจบ ...... =='
0
กำลังโหลด
แว่นพลาสติก Member 4 ก.ย. 54 11:26 น. 12
 เราก็เป็น พอพ่อหรือแม่ประชดก็ต้องทำ
เพราะว่ากลัวว่าพ่อหรือแม่จะพูดว่าอวดเก่ง
ไม่ชอบเลย เหมือนคำสบประมาท
ก็เลยทำ สุดท้ายก็ออกมาไม่ค่อยจะดีสักงาน
0
กำลังโหลด
Bloody Wolf Member 6 ก.ย. 54 21:14 น. 13
ผู้ใหญ่น่ะนะ พอเถียงกับเราแล้วทำท่าจะแพ้ทีไร ก็จะยกคำพูดประเภท"อย่าพูดเรื่องนี้"ไม่ก็ประเภทไม่มีเหตุผลแต่เราโต้แย้งไม่ได้ รู้สึกตัวอีกทีเราผิดทุกทีเลย ประเภทที่ถ้ายกตัวอย่าง สมมติเรากำลังประดาบอยู่ แล้วพอทางนั้นทำท่าจะแพ้ ก็ชี้ไปด้านหลังแล้วตะโกนว่า"UFO!!" พอหันไปแล้วรู้สึกตัวอีกทีก็โดนแทงไปจมกองเลือดแล้ว อะไรทำนองนี้
0
กำลังโหลด
41501 Member 7 ก.ย. 54 09:33 น. 14
ผมเข้าเว็ปเด็กดีตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นเถียงพ่อแม่จนตอนนี้อยู่ในฐานะคุณพ่อลูกหนึ่งเสียแล้วครับ บทความนี้ดีมากเลยครับ เหมือนเป็นคู่มือแนะนำให้ผมได้รู้วิธีจัดการอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของตนเอง (รวมไปถึงของลูกสาวตัวน้อยที่จะกลายเป็นวัยรุ่นต่อไปในอนาคต) ผมอยากจะบอกให้ชาวเด็กดีรับรู้อย่างหนึ่งว่า คนที่เป็นพ่อแม่น่ะ ท่านรักเรามากยิ่งกว่าสิ่งใดจริงๆ ครับ... เรียกได้ว่ายอมตายแทนได้เชียว... ผมได้ยินมานานแล้วจากแม่กับคำที่ว่า "เอ็งไม่รู้หรอกว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่รู้สึกยังไง ต้องรอให้มีลูกก่อนถึงจะเข้าใจ" อยากจะบอกว่า เข้าใจแล้วแม่คร้าบบบบบบ~
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
terryfiat Member 11 ก.ย. 54 10:55 น. 16
เห็นด้วย ควรฟังลูกบ้าง ไม่ใช่ดีแต่อ้างว่า "อาบน้ำร้อนมาก่อน" อย่างเดียว
ปล.คำดังกล่าว ขอบัญญัติเป็นคำหยาบในพจนานุกรมวัยรุ่ืนเลยละกัน
 
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด