บุคลิกนิสัยใจคอของคนเราแต่ละคนมีความแตกต่างกันไป ซึ่งส่งผลต่อความคิดและการกระทำ ที่จะทำให้อยู่ในสังคมได้อย่างไม่มีปัญหา มีผู้เชี่ยวชาญได้ศึกษารูปแบบการเลี้ยงดูลูกของพ่อแม่ที่ส่งผลให้เด็กเติบโตขึ้นมามีลักษณะต่างๆ ไว้หลายคน ดังนั้นวัยรุ่นจะมีบุคลิกแบบไหนก็สามารถคาดเดาจากพฤติกรรมการเลี้ยงดูของพ่อแม่ได้บางส่วน ผู้เขียนได้เลือกมานำเสนอ 4 รูปแบบการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ส่งผลต่อลูกค่ะ มาดูกันว่าพ่อแม่ของคุณ หรือตัวคุณเป็นพ่อแม่สไตล์ไหนกันนะคะ
1. Authoritarian type การเลี้ยงดูแบบเผด็จการ
พ่อแม่เผด็จการ เลี้ยงลูกแบบควบคุมสูง ตั้งกฎเกณฑ์ให้ทุกอย่าง วางกรอบเป๊ะๆ พร้อมบทลงโทษชัดเจน แหกคอกเป็นเจ็บตัว พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยวิธีเข้มงวดกวดขันมากจนเกินไป มักจะใช้การตำหนิบ่อย หรือถึงขึ้นระเบิดอารมณ์ใส่เมื่อทำผิด พ่อแม่เผด็จการบางส่วน อาจเข้มงวดเพราะประสบการณ์ชีวิตที่ไม่สมหวังของตัวเอง ทำให้มาเข็ญเคี่ยวลูกอย่างเด็ดขาดแทน เวลาลูกถาม ก็ไม่มีคำอธิบายใดๆ นอกจากคำตอบในทำนองว่า เพราะพ่อแม่สั่งให้ทำ เพราะเด็กต้องฟังผู้ใหญ่เท่านั้น พ่อแม่แบบนี้จะใส่ความคาดหวังไว้กับเด็กสูง แต่ไม่ให้ความใกล้ชิดสนิทสนม และขาดการสื่อสาร (เพราะพ่อแม่พูดฝ่ายเดียว)
วัยรุ่นที่โตมาด้วยการเลี้ยงดูลักษณะนี้ มักจะว่านอนสอนง่าย แต่จะขาดทักษะทางสังคม รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า จะพูดะไรหรือจะแย้งใครก็ทำไม่ได้สักอย่าง ไร้แรงจูงใจในการจะลงมือทำอะไร เข้าขั้นขาดความคิดสร้างสรรค์ รังแต่จะต้องทำตามผู้อื่นไปทั้งชีวิต หรือหากเจอสถานการณ์พลิกผันก็จะกลายเป็นคนก้าวร้าวไปเลย แต่ก็พบว่าวัยรุ่นที่อยู่ภายใต้การเลี้ยงดูจากพ่อแม่สไตล์นี้จะมีผลการเรียนสูงกว่าการเลี้ยงดูลูกแบบอื่นๆ
2. Permissive type การเลี้ยงดูแบบช่างเอาใจ
พ่อแม่แบบช่างเอาใจ เลี้ยงแบบตามใจลูก ให้ความใกล้ชิดสนิทสนม แต่ไม่ตั้งกฎเกณฑ์ใดๆ เลย ขาดการควบคุมดูแแลลูกในทางที่เหมาะสม ให้ได้ทุกอย่างที่ลูกต้องการ แทบจะไม่คาดหวังอะไรจากลูก ให้อิสระกับลูกจนเกินพอดี มีผลการศึกษาที่พบว่าวัยรุ่นที่พ่อแม่ตามใจ ให้ความใกล้ชิดแต่กลับมีพฤติกรรมชอบขโมยข้าวของทั้งที่มีพร้อมอยู่แล้ว ก็เพราะรู้สึกว่าอะไรก็ได้มาง่ายๆ ไปหมด มันน่าเบื่อ ชีวิตมันง่ายเกินไป พ่อแม่ที่เข้าข่ายเลี้ยงดูลูกลักษณะนี้มากที่สุด คือ พ่อแม่ที่เห็นลูกทำผิดก็ปล่อยไปเฉยๆ ทำไม่รู้ไม่ชี้ พอเจออะไรที่ลูกทำลำบากก็เร่งช่วยเหลือทันที
วัยรุ่นที่ถูกเลี้ยงมาในลักษณะแบบนี้พอต้องเข้าสังคมก็ทนกฎเกณฑ์ของสังคมไม่ได้ อยู่โรงเรียนก็รู้สึกรำคาญครูที่ชอบบังคับมากๆ จนอาจมีปัญหากับครู เพราะเคยได้ถูกเอาอกเอาใจ โตไปมักมีความผิดชอบต่ำ และทำงานร่วมกับผู้อื่นไม่ค่อยได้
3. Authoritative type การเลี้ยงดูแบบมีเหตุผล
พ่อแม่แบบมีเหตุผล บางตำราใช้คำว่า พ่อแม่แบบประชาธิไตย เป็นรูปแบบการเลี้ยงดูที่เหมาะสม ให้ผลเชิงบวกกับการพัฒนาของวัยรุ่น เป็นการเลี้ยงดูลูกด้วยความรักและความเข้าใจ พ่อแม่จะใช้อำนาจควบคุมลูกหลานอย่างมีเหตุผล โดยยังมีกฎเกณฑ์ให้ลูกชัดเจนเหมาะสม ไม่ปล่อยให้อิสระ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเผด็จการไม่ฟังอะไรเลย ยังคงมีการตั้งความคาดหวังกับลูกไว้สูง แต่ก็แบบที่มีเหตุผล แบบที่ยังเปิดโอกาสให้ลูกโต้แย้งได้
วัยรุ่นที่ถูกเลี้ยงมาในลักษณะแบบนี้จะเห็นคุณค่าในตัวเอง มีความเชื่อมั่นในตัวเอง รักตัวเอง มีความเคารพในพ่อแม่ และมักประสบความสำเร็จในการเรียนหรือในสิ่งที่สนใจ
4. Uninvolved type การเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย
การเลี้ยงดูสามัญประจำครอบครัวที่พ่อแม่งานยุ่ง อาจให้ลูกอยู่กับตายายหรือพี่เลี้ยง อาจมีกฎบ้าง แต่ไม่ได้ควบคุมกฎนั้นด้วยตัวเอง เหมือนสอนผ่านๆ เวลาเจอหน้าลูกบ้างตามโอกาส เป็นการเลี้ยงดูที่ไม่อบอุ่น คล้ายกับพ่อแม่กลุ่ม Permissive type ช่างเอาใจอยู่บ้าง ในเรื่องการให้วัตถุภายนอกไม่ได้ขาด แต่ต่างตรงที่ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนม พอมีปัญหาเกี่ยวเรื่องลูกขึ้นมา ก็มักโทษคนเลี้ยงไว้ก่อน ส่วนหนึ่งก็เพราะตัวเองไม่รู้ หรือแม้แต่โยนความผิดไปมาให้ฝ่ายพ่อหรือแม่ จนกลายเป็นปัญหาทะเลาะกันเองระหว่างคู่สามี-ภรรยาต่อหน้าลูกไปเสียอีก การเลี้ยงดูแบบนี้ส่งผลเสียต่อพัฒนาการของลูกมากที่สุด
วัยรุ่นที่ถูกเลี้ยงดูาในลักษณะนี้ จะรู้สึกขาดความอบอุ่น หากมีแฟนก็ติดแฟนจนหึงหวงจัด รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า หาเพื่อนยากหรือไม่มีเพื่อนเลย เพราะขาดทักษะการเข้าสังคม จนอาจกลายเป็นคนต่อต้านสังคมไปเลย และมักจะล้มเลวในการเรียนอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เรื่องการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกมีบุคลิกแบบหนึ่งเท่านั้น ไม่มีการเลี้ยงดูแบบไหนที่ดีที่สุดหรือเลวร้ายที่สุด และยังขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่วัยรุ่นจะได้พบเจอด้วย เช่น จากที่โรงเรียน ไม่ได้หมายความว่าถูกเลี้ยงมาแบบปล่อยปละละเลย จะต้องกลายเป็นคนเลวของสังคมไปในที่สุดเสมอไป ดังนั้นเมื่อวัยรุ่นเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น เริ่มมีความคิดเป็นของตนเองมากขึ้น พ่อแม่ก็สามารถเปลี่ยนสไตล์การเลี้ยงดูของตัวเองได้เช่นกัน จากพ่อแม่ควบคุมจอมเผด็จการกลายไปเป็นพ่อแม่แบบมีเหตุผลมากขึ้น
และนอกเหนือจากรูปแบบสไตล์การเลี้ยงดูของพ่อแม่แล้ว สิ่งสำคัญอีกข้อ คือ การเป็นแบบอย่างของพ่อแม่ แบบอย่างที่ไม่ดีของผู้เลี้ยงดูมีผลต่อพฤติกรรมเด็กด้วย เช่น ครอบครัวที่พ่อติดเหล้าจะส่งผลให้ลูกติดเหล้าได้ (แม้ว่าลูกจะรู้ว่าเหล้าไม่ดี แต่ลูกก็รู้สึกว่าไม่ผิดที่จะลิ้มลองหรือติดมัน เพราะผู้ใหญ่ใกล้ตัวก็ทำเป็นปกติ) และก็ยังมีการศึกษาอีกว่าพ่อแม่ที่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวให้ลูกเห็น ส่งผลด้านลบต่อการพัฒนาทางสติปัญญาของลูกด้วยนะคะ
วัยรุ่นชาว Dek-D คิดว่าตนเองถูกเลี้ยงดูมาอย่างไรกันบ้างคะ เล่าสู่กันฟังได้นะ
แหล่งข้อมูล, ภาพประกอบ:
- aihd.mahidol.ac.th/sites/default/files/images/new/pdf/journal/janapr2007/9.pdf
- tinyzone.tv/HealthDetail.aspx?ctpostid=5153
- parentingscience.com/authoritative-parenting-style.html
114 ความคิดเห็น
พ่อแม่มีเหตุผลค่ะ
พ่อเเม่มีเหตุผลครับ ไม่เลี้ยงด้วยเงิน เเต่เลี้ยงด้วยคำสั่งสอนเเละประสบการณ์ เเละเปิดโอกาศทางความคิดด้วย
บ้านเราออกแนวเผด็จการ(ครอบครัวทหารอ่ะ) แต่ทำไมเราออกมาเหมือนแบบปล่อยปละละเลยยังไงก็ไม่รู้อ่ะ
แบบนี้คล้ายๆลำยอง ช่ายป๊ะ
ปล.เราก็ไม่เคยดูทองเนื้อเก้าเหมือนกันแต่ดูตัวอย่างน่าจะใช่นะ
พ่อแม่มีเหตุผลค้ะ แต่บางทีก็แอบเผด๊จการนิดๆ บางทีก็ปล่อยละเลย (เอ๊ะ สรุปยังไง?)5555
มีเหตุผลงับ!
มีเหตุผลค่ะ
เผด็จการระดับสูงค่ะ - -* แย้งไม่ได้สักเรื่อง และที่บ้านไม่เคยทำความเข้าใจอะไรในตัวเราสักอย่าง
ไม่มีพ่อเเม่เลี้ยงลูกเเบบฮาหรือตลกบ้างเลยหรอ#กรรม เข้าผิดที่ค่ะ ถถถถ
พ่อเราเป็นตำรวจ แต่เลี้ยงแบบ มีเหตุผลนะ
พ่อชอบพูดว่า " ก็ให้มันไปลอง ดีไม่ดีเดี๋ยวมันก็รู้เอง "
คุณพ่อเราค่อนข้างเผด็จการ
แม่เราเลี้ยงแบบปล่อยๆกับเอาใจอ่ะ แม่เรามีหลายอารมณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแล้วแต่ระดับฮอร์โมน 55+
โดยส่วนตัวนะคะ
ตอนเด็กๆ จะเป็นแบบเผด็จการ
แต่พอเริ่มโตขึ้น ..ก็เปลี่ยนเป็นแบบเหตุผล
**********
คิดว่าพ่อแม่ดูแลเราได้ดีมากๆเลยค่ะ
เพราะตอนเด็กๆ วุฒิภาวะทางด้านเหตุผลของเรายังไม่ค่อยมี
ส่วนมากมักจะใช้อารมณ์เป็นหลัก พ่อแม่ใช้เหตุผลคงไม่ค่อยฟังหรอกค่ะ
ดังนั้นพ่อแม่เผด็จการช่วงนี้แหล่ะค่ะ ดีที่สุดแล้ว
และพอเริ่มโตขึ้น เราเริ่มคิดอะไรเป็นมากขึ้น
ถ้าพ่อแม่ใช้เผด็จการ เราต้องต่อต้านแน่นอน
แต่ถ้าใช้เหตุผล ให้เราคิด.. เราก็จะคิดและไม่ต่อต้าน
*****ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มากๆจริงๆค่ะ
แบบมีเหตุผลค่ะ
ก็มีเหตุผลนะ
แต่พ่อจะชอบปล่อยให้ลองเอง
ส่วนแม่กับยายจะไม่ค่อยปล่อยให้ทำอะไรเองมาก
-ส่วนบ้านเรา
เผด็จการ : เหตุผล = 4:1
อืมมม...เลือกยากนิดนึง คือพ่อแม่เลี้ยงแบบเก่าคือตี เวลาว่าก็ว่าแรงถึงแรงมาก ไม่ได้พูดคำหยาบเท่าไหร่แต่เนื้อความแบบแรง เช่น ครั้งนึงพ่อโมโหเรามากเลยบอกว่า พนันไว้เลยว่าก่อน ม.สาม เราต้องไรโนแน่ๆ แต่มันได้ผลมากค่ะ เพราะตีแล้วเราก็ไม่นอกลู่นอกทาง พอโดนว่าจนเจ็บใจแล้วก็ต้องทำตัวให้ดี ไม่ให้เป็นไปอย่างที่เขาว่า บางครั้งก็อธิบายให้เราเข้าใจแบบตรงๆ เลยว่า เนี่ยทำแบบนี้แล้วมันจะเป็นยังไง ทำไมไม่ดี น่าขายหน้า ฯลฯ
โดนลงโทษมาแล้วทุกรูปแบบ ฉีกหนังสือ (บารามอสของช้านนนน โฮๆๆๆ) ขังไว้นอกบ้าน ก็โดน พ่อเป็นคนเจ้าอารมณ์แล้วก็จริงจังกับชีวิต ซึ่งเราว่าข้อนี้เป็นสิ่งดี เพราะเขาจะห่วงอนาคตเรามาก เลยดูแลเราดี
เวลาเราทำผิดมากๆ ก็อาจเจอลงไม้ลงมือหนักๆ บ้าง แล้วตอนเด็กๆ มีบทลงโทษแบบแอบโหด เช่น ถ้าไม่กินผัก ข้าวมื้อนั้นไม่ต้องกินอะไรเลย กลับมาบ้าน แม่จะนั่งเฝ้าให้ทำการบ้านให้เสร็จ โตมาก็ติดเป็นนิสัยมีความรับผิดชอบ ไม่ต้องเฝ้าก็ทำงานเองได้
เวลาอยากได้อะไร แม่จะไม่ซื้อให้ทันที แต่จะถามว่าจะเอาไปทำไม ให้คิด แล้วแม่ก็จะชี้ให้เห็นทุกวันว่าพ่อกลับดึกนะ พ่อเหนื่อยนะ เหงื่อออกเต็มเลย เงินแต่ละบาทมันหายาก เราโตมาเลยประหยัด เพราะเราเห็นใจพ่อแม่ พ่อแม่ไม่เคยจัดงานวันเกิดให้ ไม่ฉลองพร่ำเพรื่อ ไม่ทำอะไรที่ฟุ่มเฟือย ซึ่งเราก็เข้าใจไม่ได้น้อยใจอะไร เพราะเราก็เห็นว่ามันเป็นวันธรรมดา
ยกเว้นแต่บางครั้งแข่งชนะมา พ่อก็จะให้เงินเอาไปเก็บเข้าบัญชี แล้วก็ไปกินข้าวนอกบ้าน เพื่อเป็นกำลังใจให้ แต่โตมาเราก็เกรงใจบอกว่าไม่ต้องหรอก แค่ชนะมาแล้วพ่อแม่ภูมิใจ เราก็ดีใจแล้ว ^^ คือพ่อแม่เลี้ยงให้เราเห็นค่าของเงิน แต่ไม่ได้ยึดติดกับเงินหรือรางวัล ตัวเรา เราดีใจที่การทำสำเร็จมากกว่า
พ่อแม่จะสอนให้ทำอะไรเอง แล้วก็ช่วยพ่อแม่ คือเราไม่รู้เขาทำยังไง แต่พ่อแม่ทำให้เรารู้สึกเคารพแล้วก็อยากช่วยได้ บางครั้งเห็นเด็กสมัยนี้ให้พ่อแม่ถือกระเป๋าให้ เทน้ำให้แล้วยังขัดใจเลยว่า พ่อแม่ทำงานมาก็เหนื่อยแล้ว ยังต้องมาบริการรับใช้ลูกอีก
พ่อรุนแรงแล้วก็จุกจิกไปบ้าง แต่เพราะผ่านอะไรมาเยอะ เลยไม่อยากให้เราเจอสิ่งที่พ่อเจอ เลยจู้จี้มากเรื่องมารยาทบนโต๊ะหรือความคล่องแคล่ว ทำอะไรต้องมีไหวพริบ เรื่องเรียนพ่อแม่จะสนใจมาก สอบอะไรมา เรียนอะไรมาถามทุกวัน พาไปแข่งโน่นแข่งนี่ โรงเรียนไม่ไปส่ง พ่อขับพาไปเองเลย
ของใหม่ๆ ของกินที่หายาก พ่อก็พยายามซื้อให้ลองกิน จะได้มีความรู้เยอะๆ ตัดคอลัมน์หนังสือพิมพ์มาให้อ่านแล้ววิเคราะห์ให้ฟัง จะได้เป็นคนมีความคิด
พ่อทุ่มเทแล้วก็ใส่ใจเรามากมากกก มีเงินเท่าไหร่ทุ่มให้เราเรียนภาษาเต็มที่ พ่อแม่ไม่เคยใช้เงินไปปรนเปรออะไรตัวเองเลย (โทรมสุดๆ)
เราดูเด็กสมัยใหม่ที่พ่อแม่ตามใจแล้วก็ว่าเราโชคดีที่พ่อแม่ตามคุมตลอด ไม่งั้นติสต์ๆ อย่างเราคงเตลิดหนักกว่านี้ 5555
บางครั้งเราซึ้งใจมากกับสิ่งที่พ่อทำให้ อย่างตอนไปสอบเข้ามหิดลที่จุฬาภรณ์ฯ ชลบุรี (ซึ่งสุดท้ายไม่ติด - -") แถวนั้นไม่ค่อยมีอะไรขาย พ่อเลยหุงข้าวอบ ยกทั้งหม้อไปให้เรากับพี่กินเป็นข้าวเที่ยง ตอนประถมบอกพ่อว่าข้าวที่โรงเรียนแทบไม่มีอะไรเลย พ่อก็ตื่นแต่เช้ามาทำกับข้าวให้เตรียมไปกินตอนเที่ยง ทุกเย็นก็เป็นคนทำกับข้าว พ่อบอกคนอื่นทำไม่อร่อย 5555
อีกอย่างคือพ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ดีจริงๆ แล้วก็ให้เราโตตามวัยด้วย ละครไม่ให้ดู พาเข้านอนเร็ว อ่านนิทานให้ฟังจะได้ฝึกภาษาไทย พูดให้ชัด ไม่พูดคำหยาบหรือเรื่องเพศๆ อะไรให้ได้ยินเลย (ตอนเด็กๆ เคยโมโหเลยพูดคำว่าวะใส่พ่อ โดนพ่อตบปาก) เราเลยโตมาแบบอินโนเซ็นต์มาก เหล้า บุหรี่ อะไรก็ไม่แตะเลย ประหยัด เกรงใจคนอื่น
เขียนมาซะยาว คือคิดว่า มุมหนึ่งก็เผด็จการ แต่ก็ไม่มากขนาดนั้น มีเหตุผลและเลี้ยงดูแบบใส่ใจมากๆ พูดไปๆ ก็รักพ่อแม่มากขึ้น โอยยยยย