“เจมีน Chubby Cheeks” เจ้าของธุรกิจอายุน้อย กับเนยทาขนมปังสไตล์ใหม่ขวัญใจโซเชียล

. . . . . . . . .

“จะอายุน้อย อายุมาก เราว่านั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือคุณค่าที่สร้าง”   

การเป็นนักธุรกิจอาจดูเหมือนอาชีพที่ไม่ง่าย บางคนคิดว่าจะต้องเป็นคนมีอายุ มีประสบการณ์เยอะก่อนจึงจะลงมือทำได้ แต่จริง ๆ แล้วต่อให้มีอายุเท่าไหร่ทุกคนก็สามารถมีธุรกิจเป็นของตัวเองได้แล้วทั้งนั้น เหมือนกับเจ้าของธุรกิจที่น้อง ๆ จะได้รู้จักกันในบทสัมภาษณ์วันนี้ พี่เอิร์ธ SparkD ขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ พี่เจมีน จรัสรวี อินทรศรี เจ้าของธุรกิจ Chubby Cheeks และ ศิลปินค่าย Juicey ผ่านบทสัมภาษณ์ที่ทุกคนจะได้มาสำรวจเส้นทางการเป็นนักธุรกิจ และรู้จักเคล็ดลับการสร้าง Branding ให้โดดเด่นและแตกต่างในวงการธุรกิจ

. . . . . . . . .

พี่เจมีน  Chubby Cheeks
พี่เจมีน  Chubby Cheeks

พี่เอิร์ธ : Chubby Cheeks คืออะไร เล่าให้น้อง ๆ รู้จักกันหน่อย

พี่เจมีน: น้องเนยชับบี้คือผลิตภัณฑ์ของ Brand Chubby Cheeks เป็นเนยทาปังชีสกรอบ ซึ่งตอนนี้ก็มีอยู่สองรสชาติ รสออริจินัลกับรสการ์ลิคพลาสลีย์

มีสองสิ่งที่ทำให้น้องเนยโดดเด่นก็คือ อย่างแรกก็คือตัว Product ของน้องเนยชับบี้เอง พูดได้เลยว่าแตกต่างจากเนยบนท้องตลาดจริง ๆ เพราะด้วยความพิเศษของน้องที่มีเกร็ดชีสกรอบซึมอยู่ทั่วเนื้อเนยให้เอาไปประกอบอาหาร เอาไปทาขนมปัง เอาไปย่าง ก็จะได้ผิวสัมผัสความหอม กลิ่น รสชาติ และสีที่แตกต่างจากเนยทั่วไปบนท้องตลาด ส่วนอีกความโดดเด่นก็คือ วิธีการสื่อสารของ Brand น้องเนยชับบี้เป็น Brand ที่มีความเป็นตัวเองสูงในด้านของการสื่อสาร เพราะอยากใกล้ชิดกับลูกค้าก็เลยสื่อสารให้น่ารักและมีความเฟรนด์ลี่ ดังนั้นก็เลยทำให้ทุกคนเข้าใจตัวตนน้องเนยชับบี้ได้เร็วจึงมีความโดดเด่นในโซเชียลมีเดียมาก

พี่เอิร์ธ : พี่เจมีนมีแรงบันดาลใจในการทำ Product Chubby Cheeks มั้ย

พี่เจมีน: การที่เกิด Product นี้ขึ้นมาได้มันไม่ได้ง่ายเลย เราไม่ได้ตั้งใจที่จะทำธุรกิจหรือทำ Product ตัวนี้ขึ้นมาขายด้วยซ้ำ มันเกิดขึ้นจากช่วงโควิดระบาดที่ทุกคนต้องกักตัวอยู่บ้าน ตอนนั้นเราก็อินกับการทำอาหาร เพราะมันออกไปซื้ออาหารข้างนอกไม่ได้ เราก็เลยหาวัตถุดิบทำอาหารเอง แต่เราเป็นคนเลือกกิน ฉะนั้นวัตถุดิบที่เราเลือกมาก็จะพยายามเลือกแต่ของดี ๆ จนถึงขนาดที่ต่อให้แพงแค่ไหนถ้าไม่อร่อยก็คือทิ้ง เราจะเลือกวัตถุดิบที่ดีด้วยอร่อยด้วย เลือกอันที่ตรงจริตถูกปากรสชาติเรามาทำ 

สาเหตุที่เราลองทำน้องเนยชับบี้เป็นเพราะเรารู้สึกว่าอยากกินอาหารในแบบที่อยากกิน แต่ละร้านก็จะมีสูตรและสไตล์ของตัวเอง เราไปกินข้างนอกก็ยังไม่ถูกใจร้อยเปอร์เซนต์ ก็เลยได้ลองทำเนยกรอบขึ้นมา และส่งให้เพื่อนกิน เพื่อนบอกอร่อยและแนะนำให้ลองขาย เราเลยตัดสินใจขายเล่น ๆ ด้วยความที่เราจบสถาปัตย์ก็มีทักษะดีไซน์ เลยลองทำ Branding ดู ลองขึ้น Mock up และก็โพสต์เล่น ๆ แค่นี้เลย ต้นกำเนิดของ Chubby Cheeks 

ตอนทำครั้งแรก จริง ๆน้องเนยก็มีความคล้ายกับปัจจุบัน แต่มันยังไม่ได้แบบที่เราอยากได้ขนาดนั้นอยู่แล้ว คือเราเป็น Perfectionist ถ้าจะทำอะไรสักอย่างมันจะมีภาพในหัวชัด ทั้งความกรอบ สี รูปถ่าย เราต้องพยายามหาสูตรไปเรื่อย ๆ จนมันเป็นน้องเนยชับบี้ในปัจจุบัน ครั้งแรกที่ส่งให้เพื่อนก็ยังไม่ได้เพอร์เฟ็กต์นะ ก็ผ่านการปรับมาเป็นเดือนกว่าจะได้ขายจริง ๆ การหาส่วนผสมที่สร้างทั้งผิวสัมผัส กลิ่น สี รสชาติ ก็ใช้เวลาเยอะ เพราะว่าพอเราเลือกที่จะทำขาย มันคนละเลเวลกับการทำกินเองด้วย เราต้องดูถึงขนาดที่ตักขึ้นมาและความรู้สึกเป็นยังไง ผิวสัมผัสที่แบบลูกค้าปาดเรายังใส่ใจเลยว่าปาดยังไงให้ลื่นไหลไม่สะดุด เป็นเพราะว่าเราใส่ใจในทุกรายละเอียด

Chubby Cheeks แสนอร่อย
Chubby Cheeks แสนอร่อย

พี่เอิร์ธ: รู้สึกยังไงบ้างกับการเป็นนักธุรกิจอายุน้อยในปัจจุบัน

พี่เจมีน: เรารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อายุน้อยขนาดนั้น มันเป็นอายุที่พอดีกับการทำธุรกิจ มันเป็นช่วงอายุที่กำลังมีแรงและมีไฟ เราจบมหาลัยปี 2018 และมี Gap year ประมาณปีครึ่งเพื่อค้นหาตัวเองว่าอยากทำอะไร จนต้นปี 2020 เราได้ลองมาทำธุรกิจ มันเป็นอายุที่เหมาะกับการที่ลอง เพราะเรารู้สึกว่าถ้าเริ่มตอน 24 แล้วเจ๊งเราก็มีโอกาสให้เริ่มใหม่ เราเลยไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอายุน้อยร้อยล้านขนาดนั้น รู้สึกว่ามันเป็นอายุที่พอดีสำหรับการเริ่มลองทำธุรกิจ

พี่เอิร์ธ: ชีวิตช่วงมหาลัยของพี่เจมีนเป็นยังไงบ้าง ส่งผลอะไรต่ออาชีพในปัจจุบันมั้ย

พี่เจมีน: เราเรียนจบสถาปัตย์อินเตอร์ จุฬาฯ ทุกคนอาจเคยได้ยินชื่อเสียงของการเรียนสถาปัตย์มาระดับหนึ่ง เป็นการเรียนที่เหนื่อยมาก ต้องทำโปรเจกต์หลาย ๆ อย่าง แต่ในขณะเดียวกันสิ่งที่เราได้จากการเรียนสถาปัตย์ก็เยอะมาก ๆ ถ้าน้อง ๆ คนไหนที่สนใจอยากเรียนสถาปัตย์อินเตอร์ เราไม่อยากให้คาดหวังว่าเรียนจบมาเราจะต้องได้เป็นสถาปนิก เพราะวิธีเรียน วิธีทำงานส่งของคณะนี้มีแนวคิดเบื้องหลังที่สามารถใช้ได้นอกเหนือความรู้จากสถาปัตย์

เวลาเราเรียนสถาปัตย์เราได้ Soft Skill มากกว่า Hard Skill ถ้าอย่าง Hard Skill ก็คือการสร้างตึก การคิดคอนเซปต์ตึก หรือการใช้โปรแกรม มันเป็นความรู้ที่ติดตัวเรามา แต่สิ่งที่ได้ใช้มากที่สุดก็คือฝั่ง Soft Skill หลัก ๆ คือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ได้ใช้แน่นอนเลยในการทำธุรกิจ มันเชื่อมโยงกันตรงที่เวลาเรียนสถาปัตย์ต้องแก้ปัญหาตลอดเวลา เช่น การวางแผนส่งงานอาจารย์ จะทำยังไงให้ได้เหมือนที่อาจารย์ต้องการ หรือทำคนเดียวไม่ทันก็ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มันคือ Soft Skill ได้ใช้และเรียนรู้มา 4 ปี มันก็สะสมเอามาใช้ในธุรกิจได้เยอะมาก มันกลายเป็นทักษะหลักของเราเลยตอนนี้ 

อย่างที่สองคือ วิธีการคิด แต่ละคณะคงสอนให้เด็กมีวิธีการคิดที่ต่างกัน ใครเรียนคณะวิศวะก็อาจจะถูกสอนให้เด็กคิดอย่างเป็นระบบ ใครเรียนคณะนิติก็อาจจะถูกสอนให้มีเหตุและผล สถาปัตย์เองก็มีการใช้กระบวนการความคิดแบบมองไปข้างหน้า เช่น การตั้งคำถามว่า มีอะไรที่เราต้องทำอีก กว่าจะถึงจุดนั้นเราจะรู้ได้ยังไงได้ว่า เรามีวิธีการวางแผนวิธีการทำงานยังไง อันนี้ก็เป็นอีกสิ่งที่หนึ่งที่ได้จากการเรียนสถาปัตย์มาใช้ในธุรกิจ

ตอนเรียนเราเรียนสถาปัตย์ก็จริง แต่เราไม่ได้อินสถาปัตย์เลย จบมาแล้วรู้สึกว่า เราสร้างตึกไม่ได้ และก็ไม่เคยทำงานสถาปัตย์ แต่สิ่งเดียวที่เราได้มาและกลายเป็นคุณค่าในตัวเราคือการเอาดีไซน์มาสร้างการสื่อสาร คือการทำ Branding เวลาเรียนสถาปัตย์เราต้องพรีเซนต์งาน และการพรีเซนต์งานเป็นการสื่อสาร มันไม่ใช่แค่การเปิดสไลด์และพรีเซนต์ มันต้องมีการสร้าง Visual ที่สวยงาม ต้องหาวิธีสื่อสารอย่างเป็นขั้นตอนและให้ผู้ฟังเคลิ้มตามไปกับเรา และเราเอาตรงนี้มาใช้เป็นจุดเด่นตั้งแต่เรียนแล้ว เราอาจจะไม่ได้ทำงานเก่งเท่าคนอื่น แต่เราพรีเซนต์เก่ง เรามี Strategy ในการพรีเซนต์ เราก็เลยเอามาใช้กับทุกอย่าง รวมทั้งธุรกิจด้วย 

การทำ Branding คือการทำให้คนดูซื้อเราตั้งแต่แรก ก็เหมือนกับ Presentation เพราะฉะนั้นเราก็เลยอิน Branding ตั้งแต่เรียนสถาปัตย์ แล้วฝึกมาเรื่อย ๆ ตลอด 4 ปี และรับงานด้วย เป็นโปรเจ็กต์ที่จริงจังมาก เสนอขายงานลูกค้าตั้งแต่เรียนสถาปัตย์แล้ว พอเรียนจบเราก็ยังมีทำ Branding อยู่เพราะอินมาก 

เรารู้ตัวเองว่าชอบอะไรแล้วให้เวลากับสิ่งนั้นมาก ๆ เอาตัวเองไปเผชิญกับโลกแห่งความจริง รับฟีดแบ็กลูกค้า เราก็เอามาปรับ แล้วก็พรีเซนต์ใหม่ เราได้ขัดเกลาทักษะนี้จนเอามาใช้กับธุรกิจได้ขนาดนี้ 

พี่เจมีน  Chubby Cheeks
พี่เจมีน  Chubby Cheeks

พี่เอิร์ธ: ช่วงจบใหม่ ๆ หางานทำ พี่เจมีนเป็นยังไงบ้าง

พี่เจมีน: ช่วงเรียนจบใหม่ ๆ เรา Struggle มากกับการหาเงิน เพราะเราไม่ขอเงินที่บ้านแล้ว เรารู้สึกอยากสู้ชีวิตเป็นวัยรุ่นสร้างตัว ก็เลยทำทุกอย่างที่ได้เงิน มีงานอะไรที่เราทำได้ รับหมด แก้แบบได้สองสามพันก็รับ งานตัดต่อวีดีโอก็รับ อะไรก็ได้ที่เป็นทักษะพื้นฐานของเรา เรามองจากตัวเราในตอนนั้นแล้วลิสต์ออกมาเป็นข้อ ทำ Presentation ให้ตัวเอง ถามกับตัวเองว่า เจมีนมีอะไร แล้วก็ลิสต์ออกมา ด้านโปรแกรม ด้านสถาปัตย์ ด้านการสื่อสาร ลิสต์ออกมาแล้วไปหางานที่ตรงกับทักษะที่เรามี ทุกอย่างจริง ๆ เราทำกระทั่งไปขายรถมือสอง รับงานสตาฟ พนักงานสตาฟที่โรงแรมก็เคยทำ  พอเริ่มมีเงินระดับหนึ่งก็เริ่มอยู่ตัว ต้องเพิ่มทักษะ พอมันได้ทำงานหลายอย่างเราก็เริ่มรู้แล้วว่าอยากทำอะไรอยากลองอะไร มองเห็นตัวเองแล้วว่าอยากเป็นแบบไหน เริ่มขวนขวายทักษะแบบนั้น ตอนนั้นเราอินการทำคอนเทนต์ เราก็รับการทำ Branding มากขึ้นแต่เป็นการทำงานที่ไม่ได้เงิน เป็นการทำอะไรก็ได้ที่เพิ่มทักษะเรา ใช้เวลาเกือบปีกับตรงนั้น เราทำจนเราเก่ง พร้อมรับลูกค้า พร้อมทำ Branding แต่พอโควิดมาจบเลย อดทำที่วางแผนไว้ จนระหว่างนั้นก็คิด Chubby Cheeks ขึ้นมาได้

“ถ้าเรารู้สึกว่าตัวเองเก่งอะไรหรืออยากทำอะไร เราต้องทำมันออกมาเยอะ ๆ ทำมันจนเราเห็นว่าเราก็ทำมันได้ แล้วเราจะเริ่มชมตัวเอง พอชมตัวเองแล้วเราจะอยากทำต่อ พอผ่านจุดนั้นมาคนอื่นจะเริ่มเห็นว่าเราทำเก่ง ตอนแรกชมตัวเอง ขั้นที่สองก็คือการมีคนมาชมเรา มันทำให้เราใจฟูและทำให้เราอยากพัฒนาตัวเองไปอีก มันเรียกว่ารางวัลนั่นแหละ พอเราได้รางวัลเราก็จะรู้สึกว่าเราเก่ง พอเราเก่งก็อยากจะพัฒนาขึ้นไปอีก”

พี่เอิร์ธ: ค้นพบได้อย่างไรว่าตัวเองสนใจเกี่ยวกับการทำธุรกิจ Chubby Cheeks

พี่เจมีน: ตอนแรกเราทำ Chubby Cheeks เล่น ๆ เราไม่ได้ทำเพราะอยากรวย มันมาจาก Passion ล้วน ๆ ตั้งแต่การหาของอร่อยกิน รวมไปถึงการทำ Branding หลังจากที่เพื่อนเราให้ลองทำขาย เราก็เลยทำ Branding โดยใช้เวลาเดือนหนึ่ง ทั้งหาแพคเกจจิ้ง ทำฉลาก ทำ Mock up และก็ปล่อยรูปออกมา แต่การปล่อยรูปนี่ไม่ใช่เพราะอยากขายของนะ เรารู้สึกว่ามันน่ารักเลยแค่อยากอวด ก็ลงขายในกลุ่มต่าง ๆ จนมันบูมช่วงหนึ่ง

ตอนแรกเราไม่คิดว่าผลตอบรับจะดีขนาดนี้ พอผลตอบรับมันดี ก็เลยเกิดเป็นธุรกิจขึ้นมา จากนั้นจึงเริ่มมีการจัดการมากขึ้น อันนี้แหละคือการเรียนรู้ของจริง เราทำคนเดียวไม่ไหว ต้องหาแอดมิน ต้องหาคนช่วยผลิต หาคนช่วยแพ็ค ค่อย ๆ เริ่มมีระบบขึ้นมาว่าทำยังไงให้เราเหนื่อยน้อยลงกับการทำสิ่งนี้โดยที่เราก็ยังแฮปปี้กับมันอยู่ พอผ่านไป 5-6 เดือน เริ่มหาคนได้ เราก็เริ่มคิดจะทำธุรกิจจริงจังเพราะเห็นแววว่าน้องไปได้ พอเริ่มคิดว่าจะทำจริงจังก็หาพื้นที่สำหรับใช้ในการผลิต สร้างระบบผลิต สร้างระบบที่จำเป็นในตอนนั้น ใช้เวลานานอยู่พอควรกว่าทุกอย่างจะลงตัว เพราะเราค่อนข้างใหม่กับการทำธุรกิจ เราก็อาศัยถามเพื่อนถามรุ่นพี่เอา 

ช่วงที่ตัดสินใจขายครั้งแรกเราไม่ลังเลเลย คิดแค่ว่าลองดู ไม่คาดหวังอะไร ซึ่งเราตกใจกับผลลัพธ์ที่มันได้มาก เอาจริง ๆ เราไม่ได้แฮปปี้กับตอนที่คนสั่งเยอะตอนนั้นนะ มันเครียดมากในช่วงแรก เพราะเราไม่ได้ตั้งใจจะผลิตเยอะ แต่คนสั่งเยอะมาก เสียงโอนเงินเข้าดังตั้งแต่ 2 ทุ่มถึงตี 2 พอดูยอดแล้วมันเยอะเกินกว่ากำลังผลิตของเราจะทำได้ ตอนนั้นกลัวตำรวจจับมากเพราะรับเงินเขามาแล้ว ตอนนั้นเราเลยทำยังไงก็ได้ให้มีของส่งลูกค้า มันเลยกลายเป็นการอัปสเกลไปอีกขั้นหนึ่งของเรา พอสเกลใหญ่ขึ้นแล้วก็ทำมันเป็นธุรกิจเลย  

พี่เจมีน  Chubby Cheeks
พี่เจมีน  Chubby Cheeks

พี่เอิร์ธ: เส้นทางกว่าจะเป็นเจ้าของนักธุรกิจของพี่เจมีนยากหรือง่ายแค่ไหน เป็นยังไงบ้าง

พี่เจมีน: การเป็นนักธุรกิจมีอุปสรรคตลอด ใครจะทำธุรกิจต้องเตรียมใจสำหรับการแก้ปัญหา คุณไม่ได้เป็นนักธุรกิจแล้วได้เป็นนักธุรกิจ คุณเป็นนักแก้ปัญหาคุณถึงได้เป็นนักธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน การผลิต ลูกค้า เราต้องแก้ปัญหาให้ได้ ยิ่งทำแบรนด์ต้องไม่คาดหวังคนที่จ้างมาให้เขาแก้ปัญหาให้ 100% หรือแก้ปัญหาให้ตรงจริตคุณได้ 100% แต่เราสามารถเทรนคนในบริษัทให้มีแนวคิดไปในทางเดียวกันได้ เพราะสุดท้ายแล้วแนวทางแก้ปัญหานั้น ๆ จะขึ้นอยู่กับจุดยืนของ CEO และถ่ายทอดออกมาให้พนักงานมีจุดยืนเดียวกัน แต่ละแบรนด์หรือบริษัทก็จะมี mindset ที่ต่างกัน สรุปแล้วการทำธุรกิจก็มีปัญหาตลอด และการเป็นเจ้าของธุรกิจ ชีวิตมันไม่ใช่การปูด้วยพรมแดง ตื่นมาทุกเช้าคือมาแก้ปัญหาที่แตกต่างกันไปของทุกๆวัน

เราเป็นคนสนุกกับการแก้ปัญหา ที่บ้านจะเรียกเราว่า นักแก้ปัญหาประจำบ้าน (555)  ด้วยความที่เราไม่ค่อยชอบปล่อยอะไรไว้แบบค้างๆคาๆ เลยจะมองทุกอย่างให้มีทางออกที่ดีเสมอ ส่วนใหญ่เวลาเรา รู้สึกเครียดกับปัญหาหรืออะไรก็ตาม เราจะระบายอารมณ์เครียดนั้นออกมาผ่านการพูดคุยก่อน แต่จะไม่ไปร้อนรนกับมันมาก พอเย็นลงวิธีการต่อไปของเราในการจัดการปัญหาให้เห็นเหตุและผล คือการทำสไลด์ อะไรก็ตามที่เรารู้สึกเครียดอยู่ในใจหรือคิดวนอยู่ในหัว มันจะปนกันอยู่แบบนั้น ต้องเอามันออกมา บางคนก็อาจจะแตกความเครียดออกมาลงกระดาษเป็นไดอารี่ อย่างเราทำเป็นสไลด์แล้วลิสต์ออกมาเป็นข้อ ๆ เลยว่าปัญหามีอะไรบ้าง มันทำให้เรามองเห็นภาพทุกอย่าง เราจะจัดความสำคัญมันถูกว่าปัญหาไหนควรจัดการก่อน และเราจะมองเห็นวิธีแก้ที่ชัดและเป็นระบบขึ้น ซึ่งเราว่ามันเวิร์ก หลาย ๆ คนเอาไปใช้ได้นะ มันช่วยผ่อนปรนความรู้สึกหรือความเครียดได้เยอะ ยิ่งลิสต์ละเอียดยิ่งช่วยได้เยอะ

พี่เอิร์ธ: Chubby Cheeks อยากเซตภาพตัวเองเป็นแบบไหนให้กับลูกค้า

พี่เจมีน: เราอยากโตไปพร้อมกันกับลูกค้า เช่น สมมุติลูกค้ากินครั้งแรกตอนอายุ 10 ขวบ พอลูกค้าอายุ 20 ก็ยังอยากให้น้องเนยชับบี้เป็นน้องเนยในใจลูกค้าอยู่ เราไม่รู้ว่าเป็นไปได้มั้ย แต่ถ้าวันหนึ่งเราตายไปเราก็อยากให้น้องเนยชับบี้ยังอยู่

ตอนแรกที่ทำเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะเซต Branding มาแบบนี้ แต่มันขึ้นอยู่กับจริตของ CEO พอเราเป็นแบบนี้ Brand ก็เลยเป็นแบบนี้ ซึ่งเราเพิ่งทำคอนเทนต์ได้ 2 ปีเองนะ แต่ก่อนเราจะสร้างคอนเทนต์ได้ขนาดนี้ มันเกิดจากเราได้ยินคำพูดของลูกค้ามาก่อน ลูกค้าเรียกแบรนด์เราว่าน้องเนย แล้วมัน Impact กับเรามากเลย มันไม่ใช่แค่เนยอันนี้ แต่ลูกค้าเรียกเราว่าน้องเนยมาตั้งแต่ต้น แก่นของการสื่อสารตอนนี้มันเลยเป็นน้องเนย สิ่งนั้นก็เลยทำให้คอนเทนต์มันเป็นแบบนี้ จริง ๆ ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าอยากให้ลูกค้ารัก เราทำแค่เพราะว่าอยากใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น ลูกค้ารู้สึกกับ Brand เรา เราก็จะรู้สึกได้ว่าลูกค้าเอ็นดูน้องชับบี้

3 ขวบละน้าา
3 ขวบละน้าา 

พี่เอิร์ธ: วิธีการทำคอนเทนต์สไตล์ Chubby Cheeks เป็นยังไงบ้าง

พี่เจมีน: วิธีการทำคอนเทนต์เราจริงจังมากเพราะอย่างที่บอกเราใส่ใจในการสื่อสาร เราจะคิดเลยว่าคอนเทนต์นี้เป็นคอนเทนต์ที่ต้องการให้ลูกค้าได้ความรู้หรือเปล่า หรือคอนเทนต์นี้แค่ต้องการสร้างความรู้สึกให้ลูกค้าขำ เราเริ่มต้นจากจุดนั้นทุกครั้งที่จะสร้างคอนเทนต์หนึ่งคอนเทนต์ มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นจากอะไรลอย ๆ ต้องมีมูลมาก่อนว่าคอนเทต์นี้เราทำเพื่ออะไร และทำให้ใครดู เขาดูแล้วจะรู้สึกอะไรหรือได้อะไรจากคอนเทนต์นั้น

ถ้าดูคอนเทนต์ชับบี้จะรู้ได้เลยว่าคอนเทนต์นี้บอกวิธีการทำนี่ หรือปัดไปอีกคอนเทนต์หนึ่ง คนดูนั่งขำ เพราะเป็นคอนเทนต์ตลก คือเราคิดละเอียดตั้งแต่ขั้นตอนก่อนจะสร้างคอนเทนต์ด้วยซ้ำ เราแคร์คนดู พยายามจะไม่เป็นโฆษณา เราไม่ชอบการสื่อสารแบบแข็ง ๆ เพราะมนุษย์สื่อสารและรับรู้กันด้วยความรู้สึก ชับบี้เลยจะไม่ใช้การสื่อสารแข็ง ๆ แต่สื่อสารด้วยภาพและความรู้สึก

พี่เอิร์ธ: พี่เจมีนหาความรู้ทางด้านการทำ Branding จากที่ไหน

พี่เจมีน: ถ้าด้าน Branding เราศึกษาเอง ลองผิดลองถูกเองระหว่างที่รับงานจ้าง แต่ช่วงนั้นเรารู้สึกว่าแค่ Visual ไม่ทำให้ภาพรวม Branding น่าสนใจพอ เราคิดว่าวิธีการสื่อสารทำคอนเทนท์ก็สำคัญ เราเลยไปฝากเนื้อฝากตัวกับรุ่นพี่คนหนึ่ง เขาเป็นวิทยากรและเป็นคนที่แนะนำวิธีการตัดต่อคลิปให้รายการอายุน้อยร้อยล้าน คือเขาเก่งในการเล่าเรื่องและสื่อสารมาก เรารู้สึกชอบก็เลยไปขอติดตามทำงานกับเขาประมาณปีหนึ่ง ไปช่วยเขาจุก ๆ จิก ๆ แต่กลายเป็นว่าการไปช่วยเขา เราซึมซับเขามาหมดเลย แค่ไปช่วยเวิร์กชอป เสิร์ฟน้ำ แต่เราได้ฟังว่าเขาสอนอะไร เราได้ฟังวิธีการคิด เราก็เก็บเกี่ยวสิ่งนั้นมาหมด เป็นการเก็บความรู้ 

จนถึงช่วงหนึ่งเรามีโปรเจกต์กับเพื่อน ๆ คือแข่งกันทำคอนเทนต์ เป็นการบังคับคน 4 คนให้ลงคอนเทนต์ทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละสามตัว แนว ๆ คอนเทนต์ TikTok ถ้าใครไม่ลงเก็บตังค์ 1,000 บาท มันเลยเป็นการบังคับให้เราต้องลงมือจริง ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เราได้เรียนรู้ของแท้ มันยากมากเลยกว่าจะทำคอนเทนต์ได้ตัวหนึ่ง บางทีทำไปได้ยอดแค่ 200 วิว แต่เราก็มีการประชุมกันทุกวันจันทร์ว่าจะปรับกันยังไงให้ดีขึ้น จนเราเริ่มรู้ทริค ผ่านไปประมาณ 2 เดือน เราเริ่มเข้าใจมัน เราได้ยอดล้านวิวคลิปแรกเราดีใจมาก  เราเอาคลิปนั้นกลับมาดูซ้ำ หาคำตอบว่าทำไมคนถึงดูคลิปนี้ หรือคลิป 200 วิวเราก็ดูซ้ำ ทำไมคนถึงดูแค่นี้ เราหมกหมุ่นกับสิ่งนี้มากจนได้ทักษะทั้งการทำ Branding และการสื่อสารมา และเอาความรู้ทั้งหมดมาทุ่มใส่แบรนด์น้องเนยชับบี้

พี่เอิร์ธ: แล้วพี่เจมีนเข้าวงการมาเป็นศิลปินค่าย Juicy ได้ยังไง

พี่เจมีน: มันคือช่วงที่เราทำคอนเทนต์ที่แข่งกับเพื่อน ผลลัพธ์ที่ได้จากตรงนั้นไม่ใช่แค่ความรู้ แต่ได้ค่ายเพลงติดต่อมาด้วย เราไม่คิดเลยว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เราดีใจมาก พอคุยกับพี่ ๆ เขาก็น่ารัก เราเลยตัดสินใจเอาเลย หนึ่งในทางเลือกหลังเรียนจบของเราคือการเป็นศิลปินอยู่แล้ว เพราะว่ามีช่วงหนึ่งที่เราเอาตัวเองไปฝังกับการทำเพลงเยอะมาก ๆ แต่การเป็นศิลปินมันคือคนละโลกกับการทำธุรกิจ การทำเพลงมันใช้เงิน และเราคาดหวังไม่ได้ว่าเราจะดัง เราคาดเดาไม่ได้ว่าเราจะมีรายได้จากการเล่นสดมั้ย มันคือการลงทุนอย่างเดียวเลย แต่เรานึกย้อนไปถึงตอนที่เราอยากเป็นศิลปิน จากจุดนั้นทำให้เรายังไม่ลืมว่าเราอยากเป็นศิลปิน และจังหวะเหมาะเจาะพอดีมีทางค่ายติดต่อมาก็เลยทำให้เรามีไฟ เราก็เลยมองข้ามเรื่องเงิน และอยากลองทำเพลง 

พี่เอิร์ธ: ถ้าอยากเป็นนักธุรกิจต้องทำอะไรบ้าง

พี่เจมีน: ถ้าอยากเป็นนักธุรกิจเราต้องอินกับสิ่งที่จะทำ มันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน อย่างเราไม่ได้อินกับการหาเงิน เราไม่ได้รู้สึกว่าอยากเป็นนักธุรกิจเพราะอยากรวย แต่เราเป็นนักธุรกิจเพราะอยากสร้างธุรกิจเฉย ๆ บางคนอาจจะสร้างธุรกิจเพราะอยากได้กำไร แต่เราสร้างธุรกิจเพราะอยากสร้าง Branding เรื่องเงินเรื่องกำไรคือผลตอบแทนจากสิ่งที่เราอิน ฉะนั้นถ้าอยากเป็นนักธุรกิจต้องไปหาสไตล์ของตัวเองให้เจอ 

จากนั้นให้ทำมันเรื่อย ๆ อยู่กับมันและหาอะไรใหม่ ๆ มาช่วยใส่รสชาติมากขึ้น อย่าทำสิ่งเดิมตลอด เพราะมันจะหมด Passion เอง การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเรื่อย ๆ ก็ไม่ใช่อะไรที่ง่ายแต่ก็ต้องทำ

“สุดท้ายให้ตั้งเป้าหมายไว้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเป้าหมายใหญ่ เป็นเป้าหมายเล็ก ๆ ก็พอ แล้วค่อย ๆ เก็บไปทีละอัน มันจะพาเราไปถึงเป้าหมายใหญ่เอง เราจะไม่เครียดเกินและสนุกกับทุกเส้นชัยที่เราไปถึง”

พี่เจมีน  Chubby Cheeks
พี่เจมีน  Chubby Cheeks

พี่เอิร์ธ: เป็นนักธุรกิจยากมั้ย

พี่เจมีน: ถ้าเป็นในแบบที่เราเป็นก็ไม่ยาก ต้องหาจุดสมดุลให้เจอ ถ้าชิลเกินไปก็ไม่ดี เรามีภาพในหัวชัดว่าอยากเป็นนักธุรกิจแบบไหน แต่เราไม่รู้ว่าอยากเป็นแบบใคร เราเลยพยายามที่จะปรับตัวเองตลอดเวลา มันก็ยากแต่สนุกดีนะ เรารู้สึกโตขึ้นทุกครั้งที่เอากลับมาคิดว่าสิ่งที่ทำไปมันถูกมั้ย แล้วเราจะได้คำตอบทุกครั้งว่าเราใกล้กับ CEO ในแบบที่จะเป็นมากขึ้น มันต้องปรับเรื่อย ๆ

เราให้คุณค่ากับทุกอย่างที่เป็น Branding ภาพ แสง สี เสียง เราให้คุณค่ากับสิ่งที่คนจะให้รู้สึกกับเราและจดจำเรา เพราะว่ามนุษย์ใช้ความรู้สึกในการจำ เราว่านี่เป็นทางของเรา หาจุดเด่นและเป็นตัวเองให้มากที่สุด ถ้าเราไปฝืนคนก็ไม่อิน เดี๋ยวนี้คนรับรู้ได้หมด อะไรเฟค อะไรจริง ถ้าเราเป็นตัวเองได้ คนก็จะเข้าถึงเราได้ 

พี่เอิร์ธ: คุณสมบัติที่ดีที่นักธุรกิจควรมีคืออะไรในมุมมองของพี่เจมีน

พี่เจมีน: คุณสมบัติที่ดีของนักธุรกิจคือการมีเหตุและผล รวมทั้งการเห็นอกเห็นใจคนอื่นไปพร้อม ๆ กัน เราค่อนข้างแฟร์ ไม่อยากให้ใครเสียเปรียบเพราะเราหรือเดือดร้อนเพราะเรา เราก็เลยต้องคุยกับทุกคนด้วยเหตุและผลไม่ว่าจะรู้สึกยังไงข้างในก็ตาม 

“ต้องเห็นอกเห็นใจในเวลาเดียวกันไม่ว่าจะกับใครก็ตาม เราไม่ควรไปสร้างบาดแผลให้ใคร ไม่ใช่แค่กับนักธุรกิจหรอก กับทุกคนบนโลกนี้เลย ทุกอย่างมันมีทางออกที่ดีเสมอ”

พี่เอิร์ธ: สิ่งที่พี่เจมีนฝากถึงน้อง ๆ ที่กำลังอ่านอยู่

พี่เจมีน: อย่าใช้ชีวิตแบบต้องมาเสียดายที่หลัง ใช้ชีวิตไปทำในสิ่งที่ต้องการ ไม่เบียดเบียนคนอื่น ชีวิตมีครั้งเดียว ถ้าเราทำสิ่งนี้ไปแล้วจะไม่เสียดายก็ทำไป อย่าให้พอแก่อายุ 80 แล้วมาเสียดายที่หลังว่าทำไมตอนนั้นถึงไม่ทำ และอีกเรื่องหนึ่งคือถ้าน้อง ๆ เจอเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นก็ปล่อยมันไป มันชีวิตมนุษย์ ดีแล้วที่เจอได้เรื่องทั้งดีและไม่ดีพวกนี้ ไม่งั้นแก่ไปจะไม่มีเรื่องให้เล่า เดี๋ยวไม่เท่

พี่เจมีน  Chubby Cheeks
พี่เจมีน  Chubby Cheeks

. . . . . . . . .

สุดท้ายนี้น้อง ๆ สามารถตามอุดหนุนน้องเนยชับบี้ได้ที่ Chubby Cheeks และสามารถติดตามผลงานในฐานะศิลปินค่าย Juicey ได้แล้วด้วย พี่เจมีนอยากเป็นเพื่อนกับคนเยอะ ๆ เพราะฉะนั้นมาเป็นเพื่อนกับเจมีนกันเยอะ ๆ นะ 

การเป็นนักธุรกิจใคร ๆ ก็เป็นได้จริง ๆ ด้วย เชื่อว่าวันนี้น้อง ๆ จะได้แนวทางและประสบการณ์ดี ๆ จากพี่เจมีนไปเยอะเลยนะ สำหรับวันนี้พี่เอิร์ธ พี่พิซซ่า SparkD ต้องขอตัวไปก่อน แล้วเจอกันบทความหน้าใน SparkD น้าาา!

. . . . . . . . .

 พี่เอิร์ธ SparkD เขียน/สัมภาษณ์
พี่พิซซ่า SparkD ถ่ายภาพ
พี่หมิง SparkD กราฟิกดีไซน์
พี่ฟิวส์ พี่แอล SparkD บรรณาธิการ

SparkD
SparkD - Columnist พื้นที่แรงบันดาลใจที่จะช่วยให้ Young Gen ค้นหาตัวเอง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น