Banilla Honie

[JLS16] Rock! Scissor! Paper! เกมรักกั๊กหัวใจยัยตัวดี

สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง... แต่ฉันไม่ได้มีสี่ขา แล้วฉันก็ไม่ใช่นักปราชญ์ แล้วทำไมฉันถึงพลาดท่าให้ไอ้หมอนั่นล่ะ!?!

0%
VOTE
ตอนก่อนหน้า

ตอนที่ 7/7 :: Do it again : อีกครั้ง

บทที่ 7

Do it again: อีกครั้ง

 

อะไรคือรางวัลสำหรับการหยุดเรียนไปสามวัน...?

ก็งานไงจะอะไรล่ะ =______= ถึงชอลลี่จะขยันเอาการบ้านกับเลกเชอร์โน้ตมาให้ทุกเย็นแล้วก็เถอะ (จริงๆ คือมันหาเรื่องมาแอ๊วเฮียเต๋อค่ะ) แต่นี่มันเกินไปมั้ย

“นี่จ้ะภีรณี ใบงานช่วงที่หนูหยุดไป รีบทำรีบส่งนะ” ว่าแล้วครูสายใจก็ยัดกระดาษเอสี่ปึกหย่อมๆ ใส่มือฉัน หากเอามารวมกับใบงานวิชาสังคม คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษที่ได้มาก่อนหน้านี้ ฉันคงต้องใช้เวลาทำทั้งเทอม

ฉันเดินมึนออกมาจากห้องเชือด ว่ากันว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ งั้นฉันขอมโนเอาได้มั้ยว่าไอ้ใบสั่งฆ่าพวกนี้ไม่มีอยู่จริง #เท (เด็กดีไม่ควรเอาอย่างนะจ๊ะ) เฮ้ ฉันเพิ่งหายป่วยนะ พวกครูควรจะใจดีกับฉันมากกว่านี้สิ ไม่ใช่มาถึงก็ยัดงานให้แบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าหน้าพรหม ครูคงไม่คิดจะส่งฉันไปแข่งเพชรยอดมงกุฎหรอกใช่มั้ย -0-?

ปึก!

เพราะมัวแต่ดูใบงานไม่ดูทางเดิน ฉันจึงชนเข้ากับใครบางคนตรงมุมตึกอย่างจัง

“โทษทีๆ” ฉันบอกเขาไปอย่างนั้นพลางลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ นี่ฉันเดินชนคนเหล็กหรือไง ทำไมตัวเขาถึงได้แข็งแบบนี้ แต่พอเงยหน้าดูว่าใครเท่านั้นแหละ ฉันนี่ลมพัดตึง! เลยจ้า T~T

“หวัดดี ^^” เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคลี่ยิ้มทักทาย “หายดีแล้วเหรอ”

ฉันตัวแข็งเป็นหิน นี่มันเร็วไปหน่อยมั้ย ใครก็ได้ช่วยกดปุ่มย้อนเวลาที ฉันยังไม่พร้อมจะเจอเขา...ไม่ใช่ตอนนี้ ฉันยังนึกไม่ออกเลยว่าจะพูดอะไรหลังจากที่เมื่อเช้าฉันปล่อยให้เขากินข้าวคนเดียว ไหนจะเรื่องที่ฉันไม่ส่งไลน์ไปราตรีสวัสดิ์เขาอีก มันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งที่น่าโมโหอยู่นะ

“เฮ้ ไหวมั้ย” มือใหญ่โบกไหวๆ อยู่ตรงหน้าดึงฉันออกจากภวังค์

“เอ่อ...(‘ ‘) (._.) (‘ ‘)” ฉันอ้าปาก แต่นอกจาก เอ่อแล้วก็ไม่มีคำพูดใดๆ เล็ดลอดออกมาอีก ราวกับหาเสียงตัวเองไม่เจอ เลยต้องพยักหน้าให้เขาและเตรียมใจโดนเฉ่ง

“แต่หน้าเธอยังแดงอยู่เลยนะ ไปห้องพยาบาลมั้ย” แต่ดูเหมือนเอเธนส์จะไม่ได้กังวลเรื่องเดียวกับฉัน คนตัวสูงแถมแผ่นอกยังแข็งเหมือนคนเหล็กย่อเข่าลงให้สายตาของเราอยู่ในระดับเดียวกัน พร้อมทั้งยื่นมือมาทางนี้

“ไม่ต้องๆ ฉันไม่เป็นไรแล้ว” ร่างกายมักไปไวกว่าสมอง ฉันหดคอหนีมือของเอเธนส์โดยอัตโนมัติก่อนจะทันคิดได้ว่าไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ฉันต้องประหม่า แต่ก็นั่นแหละ คดีหมาตายลอยน้ำทำฉันขวัญกระเจิงซะขนาดนั้น คงหายกันง่ายๆ หรอกนะ

“โทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอตกใจนะ” เอเธนส์หน้าเจื่อนเล็กน้อย เขาชักมือกลับไปเกาท้ายทอยแก้เก้อ แสงแดดยามเที่ยงวันที่ส่องเข้ามาทำให้เห็นว่าใบหูของคนข้างหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ เขาเขินเหรอ?

บ้า!

“ฉะ...ฉันรู้” ฉันพึมพำปากสั่น ในหัวตอนนี้มีแต่ความว่างเปล่า ทุกอย่างขาวโพลนเหมือนหิมะ ทั้งที่เป็นอย่างนั้นแต่ใบหน้าฉันกลับร้อนสุดๆ หูแดงๆ  ของเขาทำให้ฉันนึกถึงสัมผัสอ่อนนุ่มในวันนั้น ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ฉันไม่เป็นตัวของตัวเอง โอ๊ยตาย นี่สินะอาการที่เรียกว่าเข้าหน้าไม่ติด “ฉัน...เอ่อ...ฉันมีเรียนชีวะฯ และ...ฉันต้องไปแล้ว”

“อ่า...” เอเธนส์เก็บมือเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วบอกด้วยเสียงที่แผ่วเบา “แล้วเจอกันนะ”

เมื่อเขาพูดจบฉันก็หนีออกมาทันที รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางหนีได้ตลอด (เดี๋ยวเย็นนี้ก็ต้องเจอกันอีก T.T) แต่ช่างมันก่อนเถอะ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นทำให้ฉันต้องเลี้ยวเข้าห้องน้ำเพื่อทำอะไรสักอย่างกับตัวเอง มันบ้ามากที่ฉันยังมีความรู้สึกนี้เหลืออยู่ทั้งๆ ที่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ทางที่ดีฉันควรรีบกลับมาเป็นปกติโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นอีกอาทิตย์กว่าที่เหลือฉันต้องแย่แน่

ฉันวางใบงานไว้ที่ขอบอ่างก่อนจะเปิดน้ำล้างหน้าล้างตา  โอม...จงฮึบ! ฮึบเข้าไว้ อีกไม่นานก็จะเป็นไทยแล้ว สู้โว้ยยยย!!

เอี๊ยดดด...ปึง!

ในระหว่างที่ฉันกำลังบริกรรมคาถาปลอบขวัญตัวเองให้สงบอยู่นั้น ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดและปิดด้วยเสียงที่ดังจนฉันสะดุ้งเฮือกใหญ่ พี่ม.หกกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้ ที่น่าขนลุกคือสายตาของทุกคนพุ่งมาที่ฉันหมดเลยน่ะสิ

“พี่มีอะไรกับฉันเหรอ” ฉันถามขึ้นเมื่อรุ่นพี่กลุ่มนั้นเดินเรียงหน้ามาปิดล้อมทางหนีเหมือนฝูงไฮยีน่าต้อนเหยื่อให้จนมุม แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือมิลินที่ยืนกอดอกแสยะยิ้มอยู่หลังสุด ตอนนี้เธอเหมือนแม่มดมากกว่าเจ้าหญิงอีกนะฉันว่า

“เธอกับเอเธนส์นี่ยังไง เป็นแฟนกันเหรอ” รุ่นพี่คนที่ดูทรงแล้วน่าจะเป็นหัวโจกถามของกลุ่มถามขึ้น ฉันนี่ถึงกับต้องรีบส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆๆๆ

“เปล่านะ” ถึงจะอยากตะโกนใส่หน้าแม่งว่า เปล่าโว้ย! แต่ดูจากจำนวนบาทาของอีกฝ่ายแล้ว มีสิทธิ์ที่ฉันจะตายเป็นผีเฝ้าห้องน้ำสูงมากอ่ะ “เราไม่ได้เป็นอะไรกัน”

“นังตอแหล”

 ฟุบ!

มิลินหวีดเสียงแหลมพร้อมทั้งปากระดาษปึกหนึ่งใส่หน้าฉัน แย่หน่อยที่มันเป็นกระดาษแข็ง มุมแหลมของมันจึงข่วนผิวจนฉันรู้สึกแสบ (อีกนิดนึงจะเข้าตาฉันแล้วนะนั่น) กระดาษพวกนั้นร่วงไปกองกับพื้น ฉันจึงเห็นว่ามันเป็นรูปถ่าย มีฉันกับเอเธนส์อยู่ในรูปพวกนั้น ที่สำคัญ...มันเป็นตอนที่ฉันจูงมือเขาข้ามถนน

“ไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่จับมือกันเดินงี้เหรอ เฮอะ! เชื่อก็โง่แล้ว ทำเป็นรักศักดิ์ศรี เอาดวลเป่ายิ้งฉุบมาบังหน้า ที่แท้ก็แอบกินกันเอง ยัยหน้าแรด!!” เจ้าหญิงที่กลับกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดถลาเข้ามาหาฉัน โชคดีที่พี่ๆ ลูกสมุนช่วยกันจับตัวมิลินไว้ ไม่อย่างนั้นฉันได้หน้าแหกเพราะเล็บของยาวๆ ของนางแน่

“พาออกไปก่อน” พอเห็นท่าไม่ดีพี่คนที่เป็นหัวโจกก็หันไปสั่งให้ลูกสมุน ฉันพยายามตั้งสติกับเหตุการณ์ตรงหน้า เข้าใจความรู้สึกเต้ย ฮอร์โมน[1] ที่โดนตบในห้องน้ำก็วันนี้

พอลากมิลินที่อาละวาดคุ้มคลั่งออกไปเสร็จ ก็เหลือแค่ฉันกับไฮยีน่าสี่ตัว เอ๊ย! พี่ม.หกอีกสี่คนยืนดมกลิ่นส้วม คนที่เป็นหัวโจกก้มเก็บรูปถ่ายพวกนั้นขึ้นมาแล้วถามต่อ “สรุปว่าพวกเธอสองคนไม่ได้เป็นแฟนกันจริงดิ” ฉันพยักหน้ารัวๆแบบไม่กลัวหัวหลุด “แล้วทำไมถึงเดินจูงมือกันล่ะ”

“ฉันแพ้ดวลเป่ายิ้งฉุบ เขาสั่งให้ทำอะไรฉันก็ต้องทำ” ฉันบอกไปตามตรง โชคยังดีที่พี่หัวโจกพยักหน้าเหมือนเข้าใจ ฮือออ ขอบคุณที่พี่มีสติ T^T

“เอาล่ะ พวกเธอจะเป็นอะไรกันก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน ประเด็นคือสิ่งที่เธอกับเอเธนส์เป็นอยู่มันทำให้ยัยบ้านั่นไม่พอใจ” ยัยบ้านั่นที่ว่า...คงหมายถึงมิลินนั่นล่ะ “ฉันไม่ได้อยากจะทำร้ายเธอหรอกนะ แต่ถ้ามิลินต้องการอย่างนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ ทางที่ดีฉันว่าเธอเลิกข้องเกี่ยวกับเอเธนส์ดีกว่า”

“...”

“ถือว่าเตือนดีๆ แล้วนะ” พี่หัวโจกบอกพลางยัดรูปถ่ายทั้งปึกใส่มือฉัน ราวกับจะทิ้งไว้ให้เป็นเครื่องเตือนใจ “ถ้าครั้งหน้าต้องมาเจอกันแบบนี้อีก...ถือว่าฉันขอโทษล่วงหน้าเลยแล้วกัน” สิ้นคำพูดนั้นเธอกับลูกสมุนที่เหลืออีกสามคนก็หมุนตัวแบบฟูลเทิร์นและเดินจากไป…

“เดี๋ยวพี่” มันควรจะจบลงแค่นั้นถ้าปากมอมๆ ของฉันไม่รั้งพี่เขาซะก่อน แทนที่จะสงบปากสงบคำอยู่เงียบๆ ให้เหตุการณ์มันผ่านไป โอ๊ยยย ต่อมเผือกมันเจือกมาสั่นอะไรตอนนี้ “ฉันขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”

“ว่ามาสิ” ยอมให้ถามด้วย ยอมใจในความนักเลงวุ้ย!

“ทำไมพี่ต้องทำตามที่มิลินสั่งด้วย” นี่ล่ะที่ฉันสงสัย พี่แกดูแกร่ง ดูสตรอง ดูเป็นคนจริง (ก่อนจะตบยังมาเตือนอ่ะคิดดู๊ววว) แต่ต้องมาทำตามที่คนอื่นสั่งเนี่ยนะ มีเหตุผลอะไรกัน “พี่แพ้ดวลเป่ายิ้งฉุบเหรอ” ฉันได้ยินพี่เขาทำเสียง ‘หึในลำคอ ก่อนจะพูดออกมาเป็นคำ

“ถ้ามันแค่นั้นก็ดีน่ะสิ” พี่หัวโจกถอนหายใจปและส่ายหน้า คุณพระ...เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็น ผู้หญิงอะไรส่ายหน้าได้โคตรเท่ “จะบอกให้ก็ได้ พ่อฉันเป็นลูกน้องพ่อมิลิน ถ้าฉันไม่ทำตามที่ยัยนั่นสั่ง นางจะให้พ่อนางไล่พ่อฉันออกจากงาน ไง...ร้ายใช่มั้ยล่ะยัยมิลินน่ะ ที่นี้ก็คงพอนึกออกแล้วสินะว่าต้องทำยังไงต่อ”

ทำตามที่มิลินต้องการ...นั่นคือสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว ใครจะไปรู้ล่ะว่าแม่เจ้าหญิงของทุกคนจะร้ายเว่อร์ปานนี้ แม้แต่พี่ม.หกยังต้องยอมสยบ ฉันก้มมองรูปถ่ายในมือทีละใบแล้วก็เห็นว่าด้านหลังของรูปมีรอยปากกาขีดเขียนคำด่าเต็มไปหมด บางรูปหน้าฉันก็ถูกกรีดจนเละด้วยคัตเตอร์บ้าง ปากกาบ้าง มันสื่อให้เห็นถึงความเกลียดชังที่ยัยมิลินอะไรนั่นมีต่อฉันอย่างชัดเจน ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ...คำถามนี้ผุดขึ้นมาในใจ ถ้าครั้งต่อไป...คนที่ถูกกรีดหน้าไม่ใช่ฉันที่อยู่ในรูปถ่าย แต่เป็นฉันตัวเป็นๆ ล่ะ...?

ฉันเม้นปากแน่นเมื่อคิดได้อย่างนั้น ความกลัวที่พวกสุขนิยมอย่างฉันไม่คุ้นเคยปรากฏขึ้นมาในใจ ฉันไม่ได้อยากให้ชีวิตวัยม.ปลายต้องลงเอยแบบนี้ ฉันไม่ได้อยากมีปัญหากับใคร ฉันแค่อยากมีความสุขและสนุกกับการดวลเป่ายิ้งฉุบไปวันๆ นี่ฉัน...ไม่มีทางเลือกอื่นเลยเหรอ

 

Athens’s story#3

ผมเจอเธอครั้งแรกในงานแข่งทักษะระหว่างเซนต์ไมเคิลและแอลลินตันปีที่แล้ว…

เธออยู่ม.สี่ ผมอยู่ม.ห้า ผมมาแข่งบาสฯ ส่วนเธอ...เท่าที่รู้มาเธอถูกอาจารย์พละบังคับให้ขึ้นสแตนเชียร์ หากใครกำลังสงสัยว่าทั้งหมดนี้เริ่มจากอะไร ผมคงตอบได้แค่ว่ามันเริ่มจากเสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์

ฮ่ะๆ ฮ่าๆๆ เอิ๊กกก ฮ่าๆๆๆ

ทุกครั้งที่ผมได้ยินเสียงหัวเราะแบบนี้ ต้องเห็นเด็กผู้หญิงตัวอวบๆ ผมกระเซิง อ้าปากตะเบงเสียงหัวเราะไม่เกรงใจใคร ในตอนนั้นผมไม่ได้คิดพิศวาสยัยเด็กบ๊องนี่หรอกนะ แค่รู้สึกว่าเธอดูบ้าบอไร้สติดี เห็นแล้วก็อดอิจฉาไม่ได้ เธอเป็นอิสระ ไม่แคร์สายตาของใคร อยากทำอะไรก็ทำตามใจ ถ้าผมทำอย่างเธอได้ก็คงดี...

แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ

หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ผมก็ไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกาอย่างที่ทุกคนทราบ มันเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุดของผมเลยก็ว่าได้ แต่สุดท้ายงานเลี้ยงย่อมมีเลิกรา ผมไม่อยากกลับเมืองไทยเลยแม้แต่นิด ดินแดนแห่งเสรีภาพได้เปลี่ยนผมไปแล้ว วิถีชีวิตและอิสระที่ได้รับจากที่แห่งนั้นทำให้ผมไม่อยากกลับมาใช้ชีวิตในกรอบที่ถูกขีดเอาไว้ ท่ามกลางความอึดอัดในตอนนั้น...กลับมีเสียงบางอย่างแทรกขึ้นมาจากส่วนลึกของความทรงจำ

ฮ่ะๆ ฮ่าๆๆ เอิ๊กกก ฮ่าๆๆๆ

ใบหน้าเปื้อนยิ้มและเสียงหัวเราะของยัยเด็กบ๊องคนนั้นปรากฏขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผลว่าบ้าแล้ว แต่การที่ผมทำเรื่องย้ายมาเรียนที่เซนต์ไมเคิลดูจะเป็นอะไรที่บ้ากว่า ผมยอมห่างกลุ่มเพื่อนที่แอลลินตัน ยอมเรียนซ้ำชั้นม.ห้า ก็ไม่แน่ใจนักว่าเพื่ออิสระ...หรือเพื่อเจ้าของเสียงหัวเราะบ้าบอที่ติดอยู่ในหัวกันแน่

ยัยนั่นชื่อไปเปอร์

เชสต์...เพื่อนร่วมชั้น (ซึ่งเป็นคนเดียวที่เรียกผมว่าไอ้เธนส์ เราซ้ำชั้นเหมือนกันน่ะครับ) บอกอย่างนั้นเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่มองเธอไม่หยุด พอมาอยู่โรงเรียนเดียวกันผมก็ได้เจอไปเปอร์บ่อยขึ้น และทุกครั้งที่เห็นเธอยังคงหัวเราะบ้าบอทำให้ผมอารมณ์ดีอย่างน่าประหลาด ผมไม่สามารถละสายตาจากเธอได้ ไปเปอร์มีแรงดึงดูดบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ มันอยู่ในรอยยิ้มกว้างกับเสียงหัวเราะพวกนั้น

วันๆ เอาแต่เป่ายิ้งฉุบ ไม่สนใจใคร

ซึ่งก็จริงอย่างที่เชสต์ว่า ผมใช้ความพยายามหลายต่อหลายครั้งในการเข้าหา แต่ยัยเด็กบ๊องนั่นกลับไม่สนใจ เอาแต่ดวลเป่ายิ้งฉุบกับคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยๆ ยอมรับตรงๆ ว่าผมเสียเซลฟ์พอตัวเลยนะครับ หลายครั้งที่ต้องถามตัวเองว่าทำแบบนั้นไปทำไม แล้วคำตอบที่ได้รับก็คือผมได้ค้นพบสิ่งที่ขาดหาย และมันอยู่ในตัวไปเปอร์

มันคือทฤษฎีว่าด้วยความต้องการส่วนเติมเต็ม

“เหม่ออะไรพี่” ผู้สมรู้ร่วมคิดลำดับที่หนึ่งเดินมาวอร์มอัพกับผมที่ข้างสนาม หมอนี่ล่ะครับ ‘ตัวตั้งตัวตีคิดแผนเข้าใกล้ไปเปอร์ด้วยการให้ผมเข้าไปอยู่ในโลกใบเดียวกับเธอ และมันก็ได้ผลจนผมต้องมาเหนื่อยแข่งบาสฯ ทีมเดียวกับมันตามที่ตกลงกันไว้นี่ล่ะ ผมไม่ได้ตอบอะไรไมค์และวอร์มร่างกายต่อไป การแข่งบาสฯ กับแอลลินตันจะมีขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า หรือก็คือในช่วงต้นเทอมสอง นั่นหมายความว่าพวกเราต้องมาซ้อมช่วงปิดเทอมด้วย ก็ถือว่าดีสำหรับผมล่ะนะ

“โอ๊ะโอ พี่เลี้ยงใครมาโน้นแน่ะ” ไมค์พูดขึ้นอีกครั้ง ไปเปอร์กับกระเป๋าสะพายคู่ใจผมกำลังตรงมาทางนี้ ผมหยุดการวอร์มอัพไว้เท่านั้นแล้วเดินไปสมทบกับคนตัวเล็กกว่า พยายามรักษาความเยือกเย็นไว้ให้ได้มากที่สุด ผมลืมไม่ลงหรอกครับว่าตัวเองทำเรื่องร้ายๆ กับเธอไว้ยังไง รสหวานนุ่มละมุนของวานิลลายังคงติดอยู่ที่ริมฝีปาก ไม่บ่อยหรอกครับที่ผมจะหลุดมาดสุภาพบุรุษที่ถูกพร่ำสอน แต่ในวันนั้น...

‘ขอโทษนะที่ฉันทำตัวไม่ดีกับนายมาตลอดอ่ะ’

‘ตลกล่ะ อย่างไปป์อ่ะนะจะมีแฟน เสียเวลาเล่นเกมตายเลย’

‘นั่นแหละ ยิ่งต้องให้นาย รับไปเร็วเข้าสิ เดี๋ยวซอฟต์ครีมละลาย ฉันไม่ได้ใจกว้างพอจะเสียสละของชอบให้ใครบ่อยๆ นะบอกก่อน’

...ทั้งความอ่อนโยนและความน่าหมั่นไส้ของอีกฝ่ายทำให้ผมห้ามตัวเองไม่ทันจริงๆ

มือเล็กที่ครั้งหนึ่งเคยจูงผมข้ามยื่นกระเป๋าสะพายที่ข้างในไม่ได้มีอะไรนอกจากผ้าขนหนูสองสามผืนมาตรงหน้า (ผมแยกกระเป๋าน่ะ อะไรหนักๆ ผมจะถือมาเอง) และแทนที่จะเบ้ปาก ปั้นปึ่ง หรือพูดจากวนโอ๊ยอย่างทุกที คราวนี้ไปเปอร์กลับเงียบสนิท...

“ฉันไปส่งที่บ้านได้นะถ้าเธอรู้สึกไม่ดี” ผมบอกอย่างนั้นเพราะคิดว่าเธอไข้กลับ ตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้วที่แก้มกลมๆ ทั้งสองข้างนั่นยังคงเป็นสีแดงอยู่ ผมรู้สึกผิดนะที่ทำให้เธอไม่สบาย...จากนี้ไปคงต้องเบามือหน่อยล่ะ

“ไม่ๆ ฉันสบายดี” ดวงหน้าหวานเงยขึ้นมา นั่นทำให้ผมเห็นรอยถลอกเล็กๆ ตรงใต้ตาซ้าย

“เจ็บมั้ย ไปโดนอะไรมา”

“อ๋อ ฉันโง่ข่วนหน้าตัวเองน่ะ ไม่ได้เจ็บอะไรหรอก” ไปเปอร์บอกเสียงอ่อยแล้วก็เงียบไป นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนไม่เปล่งประกายเหมือนอย่างเคย ราวกับมีบางอย่างรบกวนจิตใจของเธออยู่... ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมไม่สบายใจ ไปเปอร์ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยครับ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอมีแต่ทำให้ผมสนุกที่ได้แกล้ง ได้ขัดใจ ได้เห็นเธอโวยวาย แล้วก็ได้เห็นรอยยิ้ม มันเป็นอะไรที่เรียบง่ายและไม่น่าเบื่อเลย

ถ้าไปเปอร์ไม่ได้ป่วย...แล้วอะไรที่ทำให้เธอกลุ้มใจอย่างนี้ล่ะ

“มีเรื่องอะไรรึเปล่า ไม่สบายใจอะไรบอกฉันได้นะ” ผมบอกเสียงแผ่ว อยากยื่นมือไปจับมือเธอชะมัดแต่ก็ต้องห้ามตัวเองไว้ ไปเปอร์ในตอนนี้เปราะบางเกินไป ขืนบุ่มบ่ามทำอะไรเดี๋ยวเธอจะป่วยอีก คนตัวเล็กกว่าไม่ได้ให้คำตอบในทันที นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววขบคิดวูบไหว ริมฝีปากบางที่เคยยิ้มกว้างตอนนี้กลับเม้มสนิทเป็นเส้นตรง อาการแบบนี้ชอลลี่บอกว่าหนัก...

“เอ่อ...คือ...”

Ring Ringgggggg!

ริมฝีปากบางขยับ ไปเปอร์กำลังจะเอ่ยอะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ในใจออกมา ทว่า...เสียงโทรศัพท์กลับขัดจังหวะเสียก่อน มันเป็นโทรศัพท์ของผมเอง ริงโทนที่ตั้งไว้เฉพาะบอกว่าผมต้องรับสายนี้ถ้าไม่อยากมีปัญหาทีหลัง

“อ่า...ฉันต้องรับสายนี้” ผมบอกอย่างเสียดาย เมื่อเธอพยักหน้า ผมจึงเดินไปหยิบโทรศัพท์ในเป้นักเรียนซึ่งวางกองกันที่จุดพักนักกีฬาและสไลด์หน้าจอรับสาย “ครับผม”

[เอเธนส์ลูก สุดสัปดาห์นี้กลับบ้านไหมจ๊ะ] เสียงหวานของคุณแม่ผ่านมาตามสาย เนื้อความที่ถามมาทำให้ผมลำบากใจที่จะตอบ มันไม่ใช่สิ่งที่ท่านอยากได้ยินหรอก

“เอ่อ...ผม...” ผมกำลังคิดหาข้ออ้างในการไม่กลับบ้าน การบ้านศิลปะอย่างคราวก่อนคงใช้ไม่ได้แล้ว แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกปลายสายก็ดักคออย่างรู้ทัน

[เงียบแบบนี้กำลังคิดจะเบี้ยวแม่อยู่ล่ะสิ ไม่ได้แล้วนะ อย่าลืมสิจ๊ะว่าวันเสาร์เรามีงานกาล่าของคุณหญิงรมณี ส่วนวันอาทิตย์ก็มีปาร์ตี้น้ำชาบ้านคุณน้าอรดี]

“...”

[นี่ก็ใกล้จะถึงวันเกิดลูกกับหนูเดลล่าแล้วนะ ต้องมาคุยกันแล้วล่ะว่าปีนี้จะจัดยังไง ธีมที่น้าอรดีเสนอมาก็น่าสนใจอยู่หรอก แต่แม่ว่าธีมที่แม่คิดไว้ดีกว่า ไหนจะต้องหาที่จัดเลี้ยงด้วย ปีที่แล้วห้องที่แมริออทแทบแตกแน่ะ! ปีนี้คงต้องหาห้องที่ใหญ่กว่าเดิม แล้วก็ต้องหาร้านเค้กดีๆ ด้วย กินแต่เค้กฝีมือน้าอรดีมาก็หลายปี ลูกคงเบื่อเหมือนที่แม่เบื่อใช่มั้ยล่ะ]

“...”

[อ้อ! แม่คิดว่าลูกต้องการสูทตัวใหม่ด้วยนะจ๊ะ เสร็จจากปาร์ตี้น้ำชาแล้วเราไปดูสูทใหม่กันดีกว่า ทอมฟอร์ด หรืออามานีดีล่ะ...]

“...”

[เอเธนส์...ฮัลโหล...ฟังแม่อยู่รึเปล่าลูก]

“ครับ...ผมฟังอยู่” ผมไม่ได้โกหก ผมฟังที่คุณแม่พูดจริงๆ ด้วยความรู้สึกบางอย่าง... ครอบครัวผมค่อนข้างมีหน้ามีตาในสังคมน่ะครับเลยต้องออกงานนั้นงานนี้อยู่บ่อยๆ แต่เนื่องจากคุณพ่อประจำการที่ต่างประเทศ หน้าที่คู่ควงจึงกลายเป็นของลูกชายคนเดียวอย่างผม

ผิดมั้ยถ้าผมจะบอกว่าผมเหนื่อย

[ถ้าฟังอยู่ก็ดีจ้ะ ได้ยินแล้วนะ]

“ครับ”

[แล้วเจอกันจ้ะลูกรัก]

เฮ้อ...

ผมถอนหายใจหลังจากคุณแม่วางสาย ก่อนจะเก็บมือถือไว้ที่เดิมแล้วรีบหันไปหาไปเปอร์ เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนยังขมวดคิ้วเหมือนเดิม น่าแปลก...ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนั้นแต่อารมณ์ขุ่นมัวของผมก็ยังได้รับการเยียวยาอยู่ดี เธอคือโอเอซิสของผม...

“เมื่อกี้เราถึงไหนกันนะ” ผมพากลับเข้าเรื่อง อยากรู้จังว่ายัยเด็กบ๊องนี่มีเรื่องอะไรในใจ ถ้าพาไปกินเบอร์เกอร์เฮียหมีเธอจะอารมณ์ดีขึ้นมั้ยนะ

“คือ...ฉันมีเรื่องจะคุยกับนายน่ะ” คนตรงหน้าเอ่ยออกมาในที่สุด ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ยอมรับว่าประหลาดใจนิดหน่อย ผมได้ยินเธอสูดหายใจเข้าลึกอย่างกับจะรวบรวมความกล้าแล้วพูดต่อ “ถึงจะดูขี้โกงเพราะฉันหยุดเรียนไปก็เถอะ แต่นี่ก็สัปดาห์ที่สามแล้ว ที่แล้วมาฉันว่าฉันก็ทำหน้าที่ของผู้แพ้เป็นอย่างดี เอ่อ...ถ้าไม่นับเรื่องที่ไม่ส่งไลน์ราตรีสวัสดิ์กับเมื่อเช้าปล่อยให้นายกินข้าวคนเดียวน่ะนะ”

จริงครับ มันเป็นอะไรที่เหงาสุดๆ จนต้องไปดักเจอยัยเด็กบ๊องนี่แถวห้องพักครูตามคำบอกเล่าของชอลลี่เลย

“ทุกอย่างที่นายสั่ง สาบานเลยว่าฉันทำเต็มที่ นายเองก็เป็นผู้ชนะที่ดี นายไม่แกล้งฉันเหมือนที่คนอื่นๆ แกล้ง แถมยังช่วยฉันตอนโมเดลตกน้ำอีก ฉันรู้สึกขอบคุณมากจริงๆ แต่...” ไปเปอร์เว้นวรรค ทำหน้าเหมือนลำบากใจ ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ผมสังหรณ์ใจว่ามันไม่ใช่เรื่องดี “...ฉันไม่อยากทำแบบนี้แล้ว”

นั่นไงล่ะ

“ฉันอยากให้นายยุติเงื่อนไขของเรา”

เสียงวงดุริยางค์ซ้อมบรรเลงเพลงแว่วมาถึงในโรงยิมแห่งนี้ มันคือเพลง Someone in the crowd[2] ที่ชอลลี่สั่งให้ผมไปหาฟัง ผมเองก็ชอบเพลงนี้นะ แต่น่าเสียดายที่ท่วงทำนองของมันไม่ได้เข้ากับบรรยากาศในตอนนี้สักเท่าไหร่ ถ้อยคำของคนตรงหน้าทำให้สมองผมช็อตจนไม่สามารถตีความอย่างอื่นนอกจากสิ่งที่เธอพูดออกมาได้ ความรู้สึกต่อต้านผุดขึ้นมาพร้อมกับคำถามที่ว่า...เกิดอะไรขึ้นกับไปเปอร์

ยัยไปป์มันเป็นพวกศักดิ์ศรีค้ำคอ ความรับผิดชอบมันนี่สูงอย่างกับตึกเอ็มไพร์สเตต พี่ไม่ต้องกลัวว่ามันจะหลบหน้าหรืออะไรนะ หายเขินเมื่อไหร่เดี๋ยวมันก็กลับมาเองแหละ

นางฟ้าแม่ทูนหัวและผู้สมรู้ร่วมคิดลำดับที่สองบอกอย่างนั้น ผมเห็นด้วยกับชอลลี่ ไปเปอร์รักศักดิ์ศรียิ่งกว่าอะไร

คนแพ้ก็มีศักดิ์ศรีอย่างคนแพ้ ฉันยินดีรับผิดชอบคำพูดของตัวเองเสมอ ถ้าฉันบอกว่าจะทำก็คือจะทำ การที่ฉันถูกแกล้งเพราะคำพูดของตัวเองแล้วมันยังไง ไม่ใช่ธุระอะไรของพวกนายเลย

เชื่อมั้ยว่าผมไม่เคยประทับใจคำพูดของใครมาก่อน แต่เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้...ผมกลับยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

คนตัวเล็กข้างหน้าไม่สบตาผม ต่างจากทุกครั้งที่เธอมักตาต่อตาฟันต่อฟัน ริมฝีปากบางกลับมาขบเม้มเป็นเส้นตรงอีกครั้ง ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมต้องสูดหายใจเข้าลึก แม้จะอยากถามถึงสาเหตุ แต่ผมในตอนนี้ได้สูญเสียความเยือกเย็นไปหมดแล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นเจ้าเด็กน้อยที่ร้องไห้งอแงเพราะถูกแย่งของรัก ผมยังไม่พร้อมจะปล่อยมือจากเธอตอนนี้ ยังมีอีกหลายอย่างที่ผมอยากให้เธอรู้สึกและเข้าใจ...ที่สำคัญผมยังไม่ได้เริ่มทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้เลย

 “ได้สิ ^^” ผมคลี่รอยยิ้มการค้าแบบที่ชอบใช้กับพวกผู้ใหญ่ในงานกาล่า นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววประหลาดใจ เธอคงสงสัยล่ะว่าทำไมผมถึงยอมง่ายๆ ...แต่ไม่มีหรอกครับสุภาพบุรุษหรือเจ้าชาย “ถ้าเธอชนะ” ทุกคนในโลกนี้ล้วนมีปีศาจที่เรียกว่าความเห็นแก่ตัวสิงสถิตอยู่ในใจเหมือนกันหมด ให้ตายเถอะ...ผมไม่ได้อยากเจ้าเล่ห์ใส่เธอในเวลาแบบนี้เลยนะ แต่ในเมื่อมันเป็นทางเดียวที่จะรั้งเธอไว้ได้ ผมก็ไม่ลังเล “มาดวลเป่ายิ้งฉุบกันเถอะ”



[1] ตัวละครจากซีรี่ส์ Hormone SS2

[2] เพลงประกอบภาพยนตร์ LA LA LAND เข้าฉายช่วงต้นปี 2017

Last talk

ฮาเหลลลล สวัสดีค่า

โครงการนักเขียนหน้าใสปีเก้าดำเนินมาสู่ช่วงสุดท้ายแล้วนะคะ ขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้

มาพูดถึงตอนสุดท้ายกันดีกว่า ขอบอกว่ามันเป็นอะไรที่เละที่สุดแล้ว จากคอมเมนท์พี่เจ้าหญิงที่ว่าไม่ค่อยอินกับความรู้สึกของเอเธนส์ เนื่องในโอกาสสุดท้าย เราจึงขอยกประเด็นนี้มาขยาย สนองนี้ดตัวเองล้วนๆ สิ่งที่อยากบอกให้ที่คนรู้คืออิมเมจของเอเธนส์คือน้องนาย ณภัทร เอ้ยไม่ใช่! แค่อยากสื่อความรู้สึกที่ว่า แค่เห็นหน้าก็อารมณ์ดีแค่นี้เอง ถ้าไม่เข้าใจก็ขออภัยนะคะ ฮือออ

เช่นเดียวกับตอนก่อนๆ ที่เคยอัพ เราไม่มีความมั่นใจสักนิดเดียวว่ามันจะสนุกมั้ย สิ่งเดียวที่ทำให้เราเดินมาถึงจุดนี้ได้ คือความมั่นหน้า //ผิด ความรักที่มีให้ตัวละครค่ะ ไม่ว่าจะตัวพระ-นาง เฮียๆ ทั้งสาม หรือชอลลี่คนขายเพื่อน ทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราไปแล้ว ราวกับพวกเขาเหล่านั้นมีตัวตนอยู่จริง ณ มุมใดมุมหนึ่งของโลก หรืออาจจะเป็น Someone in the crowd ที่เรามองข้ามไป (แน่ะ! แม้แต่ทอล์คก็ยังใส่อีสเตอร์เอ้ก! 55555 ไม่ทันแล้วโว้ยยยยย)

               
สุดท้ายนี้ขอบคุณทางโครงการมากๆ นะคะที่ให้โอกาสได้ลองทำอะไรใหม่ๆ

ขอบคุณพี่เจ้าหญิงที่ค่อยเคาะสนิมให้ทุกๆ วีค คอมเมนท์ของพี่เป็นทั้งแรงผลักดันและยาใจ ต้องแอบกระซิบว่าที่เดินเรื่องช้าไปเพราะอ้างอิงมาจากนิยายที่ได้ตีพิมพ์แล้วอ่ะค่ะ (55555)

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดคือน้องๆ ที่ทุกคนที่ขับเคลื่อนด้วยความฝันบาเส้นทางสายน้ำหมึก มิตรภาพดีๆ จะคงอยู่ตลอดไปถ้าไม่ถามยืมเงินนะคะ //ล้อเล่นนน

สุดท้ายของสุดท้ายแล้ว คะแนนโหวตที่สวนทางกับเนื้องาน ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่สนับสนุนให้เราได้ทำตามฝัน รักนะคะ


4 ความคิดเห็น

  • 1
  1. #1 pampb2 (จากตอนที่ 7)
    2017-02-25 01:16:10
    ง่า~ หมดแล้วหรอ TT 
    แล้วไปป์คิดอย่างไรกับเอเธนส์จ๊ะ ที่แน่ๆคนอ่านเขิลนำไปละนะ 55+ 
    แก๊งไฮยีน่า ดีงาม มีเหตุผลที่สุด 
    มิลิน!! ฉันจะคอยดูเธอ!!
    กรี๊ด~ เอเธนส์ มาเป่ายิ้งฉุบกับเราได้นะ คิคิ

    # อ่านเรื่องนี้ทีไรนึกถึงสมัยเรียนม.ปลายมากเลย 55+ โดนใจ~
     ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้ JLS16 นะคะ โชคดีค่ะ :)
    #1
  2. #2 Kyoha (จากตอนที่ 7)
    2017-02-27 16:37:54
    มีความวนลูป 55555555

    รู้สึกได้ว่า เหมือนกลับมาstart เกมใหม่ แต่ผู้เล่นเลเวล50แล้ว 

    5555555555

    //กอดคอ

    เรากะเธอนี่พอๆกันเลย
    #2
  3. #3 Banilla Honie, Karin (จากตอนที่ 7)
    2017-02-27 17:09:07
    จากเม้นท์บน
    @Kyoha ก็เริ่มสงสัยตัวเองว่าเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำหรือเปล่านะ O_O??
    จากที่คิดว่าตอน 7 จะเป็นตอนที่ดีสุด แต่พอเอาเข้าจริงดันเป็นตอนที่เละสุดซะงั้น อ๊อยยยยยยยย
    ขออัยทุกๆ กรรมการ และทุกท่านที่หลงเข้ามาอ่านนะคะ (มีเหรอ???)
    โดยเฉพาะพี่อายที่ให้แนวทางดีมากๆๆ มาตลอด แต่ศิษย์น้องผู้นี้มิสามารถชริงๆ
    รู้สึกผิดตั้งแต่วันอัพงานจนถึงตอนนี้ ถ้าปีหน้ามีจริง (?) จะขอแก้มือใหม่นะคะ ในบทนี้จริงๆ แล้วต้องการแค่จะสื่อความรู้สึกของเอเธนส์ ว่านาง what where when why how whose whom who 
    แต่ดูแล้วฝีมือเราจะยังไม่ถึงจริงๆ แฮะ
    ฮรื่อออออออออออออออ
    #3
  4. #4 (จากตอนที่ 7)
    2017-02-28 01:42:48
    สวัสดีจ้า

    อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์สุดท้ายเลยมาคอมเม้นสักหน่อยนะ
    พี่ชอบที่เราวางตัวละครได้ดี ไม่ปล่อยมาเฟ้อจนเกินไป แต่ละคนมีบทบาทของตัวเอง บรรยายก็ดี ไดอะลอคก็ดี ส่วนตัวพี่ว่าสิ่งที่ขาดไปสำหรับเรื่องนี้คือเส้นเรื่องที่สนุกอ่ะ มันแผ่วลงด้วยล่ะ พี่ยังจำฉากเป่ายิ้งฉุบได้ ตลกออกตอนนั้นอ่ะ เหมือนแบบโอ๊ย ทำไมมันสำคัญอะไรขนาดนี้ 5555555 อ่านแล้วจี้ แต่เหมือนเอเนอจี้ของตัวละครแผ่วลงไปด้วย จุดนึงอาจจะเพราะว่ามันเริ่มชอบกันแล้วด้วยล่ะ พี่ยังคิดว่าเรื่องมันเปลี่ยนหน้ามือหลังมือเร็วไปหน่อย แล้วก็ที่มีฉากย้อนอดีต ส่วนตัวพี่ว่ามันยังไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ อยู่ดีๆ ก็โผล่มายังไงไม่รู้ ดูไม่ค่อยลื่นไปกับส่วนอื่นๆ ของเรื่องอ่ะ แล้วก็เรื่องมันไม่ค่อบเดินไปไหนด้วย จริงๆ มันก็คือรักใสๆ ในโรงเรียนอ่ะนะ แต่ฉากเหมือนวนอยู่กับที่ มีกลุ่มผญชอบพระเอกโผล่มา มุกมันเก่าล้าววว ไม่ได้บอกว่าใช้แล้วผิดนะ แต่เหมือนมีฉากแบบนี้มาก็ไม่ได้มีผลอะไรกับเรื่องมาก พอมันเป็นการแข่งขันเราต้องระวังเรื่องพวกนี้ด้วยมั้ง ถ้าเป็นในเล่มมันอาจจะเข้าใจได้มากกว่านี้

    รวมๆ แล้วอย่าเพิ่งเกลียดพี่นะ 5555555555555 ถ้าเกิดมางานประกาศรางวัลเจอกันนะคะ
    #4
  • 1

แสดงความคิดเห็น