แต่วันนี้ พี่เป้ จะพาน้องๆ ไปดู "งานรับปริญญาที่เศร้าที่สุดในโลก" เตรียมปาดน้ำตาได้เลย
เมแกน ซักก์ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในรัฐแมรี่แลนด์ อเมริกา
เธอใช้ชีวิตของเด็กมัธยมตามปกติ
แต่วันหนึ่งก็เกิดเรื่องที่แย่ที่สุดกับครอบครัวของเธอ นั่นคือ....
แม่ผู้เป็นที่รักป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ ซึ่งแม่ของเธอก็ได้อดทนและเข้มแข็ง
ต่อสู้กับโรคนี้มาเป็นระยะเวลากว่า 3 ปี
เวลาผ่านไป ในขณะที่วันเรียนจบมัธยมปลายของเมแกนได้ใกล้เข้ามา
อาการโรคมะเร็งของแม่ของเธอได้กำเริบอย่างรุนแรง
หมอได้บอกว่า แม่ของเธออาจมีชีวิตอีกได้ไม่นาน
และอาจจะไม่ทันอยู่ถึงวันงานพิธีจบการศึกษาของลูกสาว...
เมแกนได้บอกเรื่องนี้กับทางโรงเรียน
ในที่สุดโรงเรียนก็ได้ตัดสินใจจัดงานพิธีจบการศึกษามัธยมปลายในแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน
ขณะนั้น แม่ของเธอมีอาการที่อ่อนล้ามาก แต่ก็ยังพอรับรู้ได้ว่า
บรรยากาศในห้องพักผู้ป่วยตอนนั้นคือบรรยากาศพิธีจบการศึกษาเมแกน
เธอได้อยู่ร่วมงานสำคัญที่สุดของลูกสาว วันที่ทุกคนในครอบครัวรอคอยมาตลอด
ทางครอบครัวได้ขอบคุณไปยังโรงเรียนของเมแกนที่ได้ช่วยจัดงานขึ้นให้
เพราะทำให้สมาชิกทุกคนในครอบครัวได้อยู่ร่วมยินดีพร้อมหน้าพร้อมตากัน
แม้หลังจากนั้นได้เพียง 2 วัน แม่ของเมแกนจะได้จากไปอย่างสงบก็ตาม...
ลินซี ฟอร์ด วัย 17 ปี เป็นนักเรียนชั้นเกรด 12 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในรัฐเท็กซัส อเมริกา
ลินซีเป็นคนน่ารัก อารมณ์ดี จึงเป็นที่รักของเพื่อนๆ ทั้งห้องและชมรมกีฬาที่เธอเป็นสมาชิก
ปกติแล้วโรงเรียนในอเมริกาจะจัดพิธีจบการศึกษาในช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือประมาณเดือนมีนาคม
แต่ก่อนหน้านั้นเพียง 2 เดือน ลินซีก็ค้นพบว่ามีโรคร้ายแฝงอยู่ในร่างกายของเธอมาตลอด
มันคือโรคลูคีเมียหรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั่นเอง
บรรดาครูอาจารย์และเพื่อนๆ ร่วมระดับได้ปรึกษากันและลงความเห็นว่า
เพื่ออยากให้ลินซีอยู่ร่วมงานพร้อมกันด้วย
แน่นอนว่างานวันนั้นเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปีติและความเสียใจในเวลาเดียวกัน
ในตอนแรกหมอบอกว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ได้อีก 2 เดือนคือจนถึงเดือนมีนาคม
อ่านแบบนี้แล้ว รู้สึกรักคนในครอบครัวและเพื่อนๆ มากขึ้นอีกหลายเท่าเลย TT คงทำให้ใครหลายคนอยากที่จะตั้งใจเรียนมากขึ้นเพื่อให้คนรอบข้างเรายิ้มได้เนาะ
ภาพประกอบ : buzzfeed.com
26 ความคิดเห็น
อ่านแล้วจะร้องไห้ ยิ้มทั้งน้ำตาเลย
ทั้งประทับใจปนเศร้าT.T
ตอนอ่านเรียนวิชาภาษาไทยอยู่ เพื่อนก็ตกใจว่าเราเป็นอะไร อยู่ๆก็ร้องไห้
เศร้าค่ะ
ซึ้งมากๆ เลยค่ะ แต่ก็ยังดีที่เขามีชีวิตรอดจนถึงวันที่ลูกหรือตัวเองจบการศึกษา
ซึ้งมากเลยค่ะทั้งสองเรื่อง ทั้งน่าเศร้าแล้วก็สวยงามมากๆในเวลาเดียวกัน
ชอบเรื่องที่สองมากเลย ประทับใจตรงที่เพื่อนๆ ครูอาจารย์ ช่วยกันเลื่อนวันจบการศึกษาให้เร็วขึ้นเพื่อให้ลินซีได้มีส่วนร่วมด้วย
เศร้าอ่ะเฮ้ย
แล้วก็น่าประทับใจมากๆด้วยอ่ะ
เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เขาได้จบการศึกษา และน่าเศร้าที่หนึ่งชีวิตที่รอวันนั้นต้องมาจากโลกนี้ไป
ขอให้หลับให้สบายนะครับ
ดีใจกับพวกเขาที่ได้จบพร้อมเพื่อน แต่ก็เสียใจ ที่ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมความพยายามของตนเอง อ่านแล้วมีกำลังใจเรียนเยอะเลย
ยิ้มทั้งน้ำตาาาา
ถ้าสมมุติว่าตัวเราเองเป็นแบบนี้..
ขอให้ได้ทำสิ่งใดที่อยากทำสำเร็จ ขอให้ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก่อนตาย ก็ถือว่าคุ้มค่ามากเลยล่ะ คิดแบบเค้ามั้ย?
#ร้องไห้แปบT^T
แงๆๆๆๆๆๆๆๆ
._. ถ้าหนูอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นบ้าง คงใจหายและทำใจลำบากมากๆเลยนะคะ มันเป็นความยินดีที่น่าเศร้าเหลือเกิน TOT!!!
เวลา .... สำหรับบางคนก็มีความหมายมาก ๆ เลยนะครับ ' :)
ซึ้ง จริง ๆ คับ TT
คิดถึงย่า..
ย่าสัญญากับเราไว้ว่าจะอยู่ให้ถึงวันรับปริญญาทั้งของเราและของพี่ แต่ตอนนี้ย่าเราเดินไม่ค่อยจะไหวแล้ว สายตาก็ไม่ดี ความจำเลอะเลือน บางครั้งก็จำคนในบ้านไม่ได้ ถามว่าใคร? ตอนนั้นเราป่วยเป็นไข้เลือดออก ย่าเราจำผิดว่า คนที่ป่วยอ่ะคือพี่สาว ไม่ใช่เรา ขนาดย่าเราเห็นว่าเรานอนอยู่บนเตียง ย่ายังทักเป็นชื่อพี่สาวเราเลย. ย่าเคยไปตลาดใกล้ๆบ้านแค่เนี้ยะ ตอนกลับจำทางกลับบ้านไม่ได้ ตอนนั้นยังดีที่มีคนพามาส่งถึงบ้าน ย่ากินยาอะไรก็ไม่รู้ เราถามว่ายาอะไร? ก็ไม่ยอมบอก เราแยกอยู่กับย่านะเพราะพ่อกับแม่แยกทางกัน บ้านย่าเราเป็นบ้านสวน อยู่ลึกเข้าไปในซอย ต้องนั่งมอไซค์เข้าไป หรือเข้าไปอีกทางใช้รถก็ได้ แต่ทางออกตรงมอไซค์อ่ะ เรากลัวย่าจะถูกรถเฉี่ยวเลย รถมันเยอะ แล้วทางเดินก็แคบ ย่าเราเดินไม่ค่อยไหวด้วยอ่ะ บ้านย่าเราค่อนข้างใหญ่ แต่ในตัวบ้านหลักๆ ทั้งวันย่าอยู่คนเดียว พี่สาวคนหนึ่งก็ไปเรียน พี่ชายคนหนึ่งเรียนจบแล้วแต่ก็ไปต่อโท เรียนต่อ พ่อก็ไม่อยู่บ้าน แยกตัวไปอยู่แถวที่ทำงานอีก ป้าก็ไปทำงานตั้งแต่เช้า ลุงก็อยู่ใต้นู้นนน อาๆทั้งหลายก็ไม่อยู่เพราะอยู่อีกหลังแล้วต่างก็มีลูก ในบ้านหลังเล็กมีแค่อาอีกคนกับย่าอีกคนที่น้องกับลูกของย่าเราอยู่เท่านั้น ซึ่งนั่นแปลว่า ในบ้านหลังใหญ่ ที่เดินกว้างๆ ไม่มีใครอยู่เลยนอกจากย่าเรา ที่อายุก็ยังไม่ได้มากถึงขนาดนั้นแต่ร่างกายก็แทบจะไม่ไหวแล้ว
ย่ารักลูก คือพ่อ แต่พ่อก็ชอบแบบ.. นั่นแหละ. ระลึกได้แล้วก็เหมือนนํ้าตาจะไหล ที่สำคัญคือแม่เราห้ามไม่ให้ไปหาบ้านที่ย่าอยู่ด้วยนะ แต่เราก็แอบไปกับพี่บ่อยอยู่ แต่ก็กลัวถูกจับได้ ทุกครั้งที่ไป แล้วพอกลับมาก็จะระแวงตลอดเลย ..ชีวิต..
เรายังคิดอยู่ตลอดเลยเนี่ยว่า ย่าจะอยู่วันรับปริญญาของเรามั้ย? แต่ก็คิดกับตัวแหละ ย่าอยู่ไม่ถึงก็ไม่เป็นไร เพราะย่าก็อยู่กับเราตลอดแหละ
รักย่าาาา ฮือออออออออ
ปล. เราอยู่แค่ ม.3 (เทอม2) คิดดู อีกกี่ปีล่ะ?
ปล2. ไม่ใช่เรื่องแต่ง เรื่องจริงเลยเนี่ย..
มันนน มาเหมือนจะไม่ทันตั้งตัว