เล่าประสบการณ์ไปทำงานที่ "มอลคอม" เมืองเล็กๆ วิถี Slow life ที่สวีเดน

    สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com วันนี้ พี่นิทาน จะมาแนะนำเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในสวีเดนให้รู้จักกันค่ะ เมื่อปีที่แล้วพี่ได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนี้เป็นเวลาสั้นๆ ประมาณสิบวัน ได้เรียนรู้ พบเจออะไรที่น่าสนใจและน่าจดจำมากมาย ถึงจะเป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่น่ามีอะไร แต่ก็มีเรื่องสนุกๆ มาเล่าให้ฟังค่ะ

   
    "Molkom" หรือมอลคอม เป็นเมืองเล็กๆ น่ารักที่อยู่ในเมืองคาร์ลสตัด (Karlstad) เมืองหลักของเขตแวร์มลันด์ (Värmland County) ในประเทศสวีเดน ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นเมืองที่มีแดดจ้าที่สุดในสวีเดน เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่าสวีเดนเป็นประเทศที่หนาวมาก และหนาวเกือบตลอดปี เลยต้องเห่อแย่งพระอาทิตย์กันแบบนี้แหละค่ะ 555 แต่จากประสบการณ์ที่ได้ไปอยู่มาเมื่อช่วงหน้าร้อนของเค้าก็แอบคิดในใจนะว่า... ไม่เห็นจะแดดจ้าตรงไหนเลย หน้าร้อนที่สวีเดนน่ะหนาวกว่าหน้าหนาวในเมืองไทยซะอีก!

ทะเลสาปมอลคอม ลมแรงเลยดูมีคลื่นเล็กน้อย
   
    หลังจากที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ฟาร์มมาประมาณสิบกว่าวันแล้ว (ใครอยากรู้ ตามอ่านได้ที่นี่เลย : http://www.dek-d.com/studyabroad/41039/ก็กลับไปเที่ยวเล่นในเมืองสตอกโฮล์มสองวัน แล้ววันต่อมาก็เตรียมพร้อม นั่งรถไฟมาลงยังเมืองคาร์ลสตัดด้วยเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงค่ะ จุดประสงค์ของการมายังเมืองนี้ก็คือการทำงานที่เลือกจากโครงการ Workaway เช่นเคย แต่อยากลองเปลี่ยนรูปแบบของงานและสถานที่บ้าง จะได้เจอคนใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ และเรียนรู้อะไรใหม่ๆ จากตอนที่ติดต่อกับโฮสต์ทางเว็บไซต์นั้นรายละเอียดของบ้านนี้คือเป็นบ้านหลังเล็กๆ ที่มีกันอยู่ 4 คน คือพ่อ แม่ และลูกๆ สองคนค่ะ คุณพ่อเป็นชาวดัชต์ที่มาอยู่ที่สวีเดนตั้งแต่เด็ก ส่วนคุณแม่เป็นชาวอุรุกวัย ผมทองตาฟ้าสวยไม่แพ้คนสวีเดนค่ะ 

สถานีรถไฟที่เมืองคาร์ลสตัด
   
    พอนั่งรถไฟมาถึงที่เมืองคาร์ลสตัด นั่งรอสักพักครอบครัวโฮสต์ก็มารับอย่างอบอุ่นและพาเราไปแวะกินกาแฟกันนิดหน่อยเพื่อความคุ้นชินกันและทำความรู้จักกันเล็กน้อย เมืองนี้ค่อนข้างเล็กและเงียบ ประกอบกับบรรยากาศ (หน้าร้อน) ที่ฟ้ามัวๆ ขุ่นๆ ไม่มีแดดใสจ้าอย่างที่คาดไว้ แล้วก็คนในเมืองก็ดูน้อยๆ เลยเกิดความรู้สึกต่างถิ่นนิดๆ ทำให้แอบคิดถึงเพื่อนๆ และสัตว์เลี้ยงที่เพิ่งจากมาไม่น้อยเลยค่ะ แต่พอคุยกับโฮสต์ทั้งคู่แล้วก็เริ่มคุ้นชินกันและรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่จะได้เจอในอีก 10 วันข้างหน้านี้ไม่น้อยเลยค่ะ ลืมบอกไปว่าลูกๆ สองคนขอโฮสต์นอนหลับกันอยู่ในรถที่จอดไว้ไม่ไกล แต่นั่งไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงเด็กร้อง เท่านั้นแหละ โฮสต์คนแม่รีบวิ่งไปที่รถ และเราทุกคนก็ลุกเดินกลับไปที่รถ เป็นสัญญาณบอกว่าสิ่งต่างๆ กำลังจะเริ่มขึ้นแล้วล่ะ...

ถนนที่มอลคอม แอบดูกันดารนิดๆ เนอะ 555
   
    ระหว่างที่นั่งมาในรถก็รู้สึกว่า อ้าว... บ้านไม่ได้อยู่ที่คาร์ลสตัดเหรอ เปล่าเลยค่ะ โฮสต์บอกว่าบ้านของเรา (ใช้คำว่าเราละกันเนอะ ไหนๆ ก็มาเป็นสมาชิกอีกคนของบ้านชั่วคราวละ) อยู่ห่างออกไป 20 นาที แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ค่ะ นั่งรถไปยาวๆ 20 นาที อาจฟังดูไม่นานสำหรับเมืองไทยนะคะ แต่กับสวีเดนที่แต่ละสถานที่สามารถไปไหนมาไหนได้สะดวกแบบไม่ต้องนั่งรถหลายต่อก็ถือว่าไกลพอสมควรเลยค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเพราะระหว่างนั่งในรถก็ดูวิวข้างทางไป วิวที่สวีเดนมีแต่ต้นไม้ ป่า หน้าร้อนก็จะเขียวตลอดทาง สวยไม่เบาเลยค่ะ 
 
    พอมาถึงบ้านก็ต้องประทับใจกับความน่ารักมุ้งมิ้งของบ้าน คือเป็นบ้านหลังเล็กๆ สีแดง (ที่มักเห็นบ่อยๆ ในสวีเดน) ที่ตั้งอยู่เดี่ยวๆ ท่ามกลางทุ่งและป่า มีบ้านหลังอื่นๆ อยู่ห่างออกไปอีกเล็กน้อย พอหันไปอีกด้านที่ฝั่งตรงข้ามของถนนหน้าบ้านก็ต้องทึ่งกับวิวทะเลสาป.. อะไรจะสวยงามขนาดนี้! นึกอิจฉาคนที่อยู่ในเมืองนี้ไม่น้อยเลย 

บ้านที่น่ารักของโฮสต์
   
    งานที่นี่ที่เราตกลงกับโฮสต์และทำความเข้าใจกันอีกทีเมื่อมาถึงก็คือ คอยเป็นเพื่อนเล่นของฟาวน่า เด็กหญิงวัย 4 ขวบจอมแก่นที่เป็นพี่คนโตของลอเรนซ์ เบบี๋อารมณ์ดีตัวน้อยวัย 11 เดือน โดยในแต่ละวันเราจะทำงานเพียงแค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้น ส่วนวันเสาร์ อาทิตย์จะเป็นวันหยุด เป็นกฏพื้นฐานของการทำงานกับ Workaway ค่ะ

     ซึ่งวันแรกที่มาถึงเนี่ยค่อนข้างยากเล็กน้อยเพราะเราต้องทำความรู้จักและชินกับฟาวน่าให้ได้ ไม่สิ... ต้องให้ฟาวน่าชินกับเราต่างหากล่ะ ฟาวน่าเป็นเด็กหญิงที่ค่อนข้างดื้อและแอบถูกตามใจเล็กน้อย แต่ก็ยังมีความน่ารักและร่าเริงในตัว ปัญหาอย่างเดียวคือฟาวน่าพูดภาษาสเปนกับดัชต์เท่านั้น แต่โฮสต์คนแม่บอกว่าไม่ใช่ปัญหาหรอก เพราะฟาวน่าเองก็พอจะเข้าใจภาษาอังกฤษบ้าง ซึ่งพอเราทำความคุ้นเคยกันแล้วก็พอจะสื่อสารกันได้จากท่าทาง อารมณ์ และศัพท์เล็กๆ น้อยๆ ที่ฟาวน่าพูดออกมา ในแต่ละวันเราจะหาหนังสือนิทานมาเล่าให้ฟาวน่าฟัง เล่มไหนเป็นภาษาอังกฤษก็ดีไป เล่าไป แต่เล่มไหนเป็นภาษาสวีเดน (บ้านนี้ก็พูดสวีเดนค่ะ คือพูดหลายภาษามาก) หรือสเปนเราก็จะไม่รู้ละ แต่ใครจะไปยอมแพ้ล่ะในเมื่อหนูฟาวน่าแกเล่นเซ้าซี้จะให้เล่าให้ฟังให้ได้ ก็เลยต้องแต่งเรื่องขึ้นมาเองจากภาพนั่นล่ะค่ะ 55555

หนังสือการ์ตูนภาษาสวีเดน
   
    อยู่ที่นี่ค่อนข้างสบาย เพราะนอกจากจะคอยเล่นกับฟาวน่าแล้วก็ไม่ต้องทำอะไรมาก ด้วยความที่โฮสต์มีความชิลอยู่สูงมากและไม่ค่อยซีเรียสกับอะไร เราเลยไม่ได้รับมอบหมายให้ทำอะไรอื่นนักจนแอบรู้สึกเบื่อและเริ่มหงอยในวันสองวันถัดมา ลองนึกภาพว่าอยู่ๆ เราจากเมืองที่คนเยอะๆ หรือบ้านที่มีคนเยอะๆ สัตว์เยอะๆ มายังบ้านอันไกลโพ้นตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางทุ่งและมีทะเลสาปกับป่าล้อมรอบ แถมไม่มีเพื่อน ไม่มีสัตว์เลี้ยง มีแต่เด็กน้อยๆ ที่พูดกันไม่ได้มากเท่าไหร่นักจะรู้สึกยังไง 555 ก็ค่อนข้างเหงาเล็กน้อย

     เลยบอกโฮสต์ว่าขอทำงานเพิ่มคือคอยล้างจานให้ค่ะ เพราะปกติบ้านที่สวีเดนส่วนมากจะใช้เครื่องล้างจานกัน แต่บ้านนี้ใช้ล้างเอาเอง แถมจานที่ต้องล้างจะงอกออกมาเพิ่มตลอดเวลา! คือง่ายๆ ว่าใช้อะไรเสร็จก็วางไว้นั่นเลย เลยต้องช่วยเก็บและล้างให้เค้าตลอดเวลาค่ะ ก็สนุกไปอีกแบบ ช่วยฆ่าเวลาให้เช่นกัน  

ลอเรนซ์ ลูกชายคนเล็กของบ้าน
   
    นอกจากจะเล่นกับฟาวน่าและช่วยดูแลลอเรนซ์บ้างแล้ว เราก็จะติดสอยห้อยตามโฮสต์ไปที่คอมมูนิตี้แห่งหนึ่งที่ออกแนวฮิปปี้ๆ สปิริชวล (Spiritual) ซึ่งแรกๆ ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเค้าทำอะไรกัน แต่พอต้องไปกับเค้าทุกวันก็เริ่มเรียนรู้ว่า เค้าเป็นชุมชนแห่งหนึ่งที่คนที่สนใจในเรื่องสปิริชวลหรือธรรมชาติที่จะมารวมตัวกันทำกิจกรรมและจัดงานเล็กๆ ผู้คนก็จะเป็นสไตล์เก๋ๆ แนวๆ แต่จะออกไปทางธรรมชาติๆ หน่อย รองเท้าไม่ใส่บ้าง โยคะบ้าง หินบำบัด หยินหยาง นั่งสมาธิ เล่นดนตรี ทานมังสวิรัติอะไรแบบนี้ค่ะ ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน แต่ก็น่าสนใจไปอีกแบบ แต่เราไม่ได้มีเวลาเจอกับเพื่อนใหม่ๆ หรือพูดคุยกับใครในนั้นเลยเพราะต้องดูแลฟาวน่าเป็นหลักระหว่างที่โฮสต์คนแม่ต้องเข้าประชุมกับกลุ่มสปิริชวล หลังจากนั้นเราเลยหาเวลาว่างไปเดินเล่นบ้าง สำรวจละแวกรอบๆ บ้านบ้าง สนุกดีค่ะ

บ้านโฮสต์ถ่ายจากถนนหน้าบ้าน จะเดินเข้าบ้านก็ไกลเหมือนกัน
   
    อย่างที่บอกว่ามอลคอมเป็นเมืองที่เล็กมาก (แต่ทำไมบ้านไกลถนน 555) เล็กถึงขนาดห้องสมุด ซูเปอร์มาร์เกต โรงเรียน ร้านอาหาร คาเฟ่ ทุกอย่างอยู่ใกล้กันหมด อาจต้องขับรถจากบ้านไปนิดหน่อยถ้าขี้เกียจเดินไกล หรือจะขี่จักรยานก็ได้ แต่ทุกๆ ที่สามารถเดินไปหากันได้ง่ายๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเวลาเราเล่นเกม The sims ยังไงยังงั้นเลยค่ะ ส่วนพวกบ้านก็จะหลังเล็กๆ น่ารัก เรียบๆ และสวยงามเป็นเอกลักษณ์ บางหลังใหญ่มากก็มี แต่เท่าที่สังเกตคือจะเหมือนบ้านในซิมส์มาก ไม่ค่อยมีรั้วกั้นปิดมิดชิดแบบเมืองไทยกัน หากจะปิดก็ใช้รั้วพุ่มไม้ปิดเอาค่ะ

บ้านหลังนี้น่ารักมาก เห็นแล้วนึกถึงหนังเรื่อง The Notebook
   
    เดินเล่นไปเรื่อยๆ ขอบอกว่าที่นี่ถึงแม้ว่าจะเป็นหน้าร้อนที่สามารถร้อนได้ถึง 30 องศา (ในบางเมืองและบางวัน) แต่ที่นี่ค่อนข้างอากาศแปรปรวน บางวันฝนตก สักพักแดดออก แล้วเดี๋ยวก็ครึ้มฝนใหม่อีกรอบ ความจริงอาจจะเป็นแบบนี้ตลอดเวลาสำหรับประเทศนี้ก็ได้ แต่ด้วยความที่เป็นคนไทยที่เจอแต่อากาศร้อนตลอดเวลา มาเจอที่นี่ก็งงเหมือนกันค่ะ และบางวันพอเจอแดดก็ถึงกับดีใจ มีความสุขที่ได้นอนกลางแดดอย่างไม่ต้องสงสัยเลย 555 

วิวถ่ายจากชั้นสองของบ้านค่ะ สวยมากกก ตื่นมาทุกวันเจออะไรแบบนี้

อีกมุมของทะเลสาปมอลคอม
   
    สถานที่สุดโปรดที่มักจะไปเวลาว่างก็คือทะเลสาปมอลคอมค่ะ เป็นทะเลสาปที่ใหญ่มาก แต่อยู่แค่อีกฟากของถนน คือมองจากบ้านไปก็เห็นวิวทะเลสาปแล้ว สวยมากกกกกกก แต่ต้องเดินไปนิดหน่อย ซึ่งไม่ใช่ปัญหาอะไรค่ะ ที่นี่อากาศเย็นสบายในหน้าร้อนเลยเดินไปไหนมาไหนได้ไม่ต้องกลัวร้อนและเหนื่อยเท่าไหร่นัก... แต่อยากบอกว่าในรูปที่ดูอากาศดีๆ อบอุ่นชิลๆ แบบหน้าร้อนทั่วไป ขอบอกว่าบางวันนี่ไปเดินเล่นที่ทะเลสาปแล้วลมพัดแรงมาก แถมแรงไม่พอ อากาศประมาณ 11 องศา โหดมากกกกกกกสำหรับหน้าร้อน แอบคิดในใจเบาๆ ว่านี่ถ้ามาหน้าหนาวคงร้องอยากกลับเมืองไทยทุกวันแน่นอน 

มุมนั่งเล่นหน้าบ้านค่ะ
   
    บางวันก็นั่งเปลบ้าง เอากีต้าร์ของโฮสต์ออกมานั่งเล่นบ้าง หาอะไรทำไปเรื่อย แต่ด้วยความที่อากาศแปรปรวน การซักผ้าและตากผ้าจึงไม่น่าสนุกเท่าไหร่นัก เพราะฝนตกบ่อยเลยต้องนำเสื้อผ้าทุกอย่างมาตากในบ้าน ตามตู้ ตามเตียง แต่ก็น่าแปลกใจที่ไม่นานก็แห้งแล้ว ดีเหมือนกัน 555 การใช้ชีวิตที่นี่ค่อนข้างเรียบง่าย ไม่มีอะไรหวือหวา สำหรับบางคนที่ชอบเข้าสังคมอาจจะเบื่อเล็กน้อย (บางครั้งพี่ก็เบื่อเหมือนกันค่ะ เพราะอยากมีเพื่อนคุยมาก เพื่อนที่คุยได้สนุกๆ ไม่ใช่โฮสต์หรือเด็กน่ะค่ะ 555) แต่ก็ไม่ได้แย่เสมอไป เพราะตอนนี้พอนึกๆ ย้อนไปแล้วก็อยากกลับไปอยู่ที่นั่นอีก เพราะความเงียบสงบและไม่วุ่นวายของเมืองนั้นก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างสำหรับการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายเหมือนกัน  

ตากถุงเท้าในห้อง
   
  
     ความจริงเมืองนี้อาจดูเรียบๆ และไม่มีอะไรมาก แต่ระหว่างการมาอยู่และทำงานที่บ้านนี้ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่สนุกและน่าจดจำไปอีกแบบ น้องๆ คนไหนที่สนใจอยากไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะโครงการไหนก็ตามก็อยากให้เลือกดีๆ ว่าจะไปที่ไหน และไปแล้วทำอะไร เราจะได้เรียนรู้และสนุกกับมันได้เต็มที่ค่ะ :)

พี่นิทาน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

nitannitan Member 13 มิ.ย. 59 15:49 น. 1-1
ขอวีซ่าท่องเที่ยวค่ะ แต่ไม่ต้องบอกสถานทูตเรื่องนี้เลยนะคะ คือไม่ใช่ว่าเป็นความลับ แต่ว่าเดี๋ยวเรื่องจะยุ่งวุ่นวายเพราะถ้าสถานทูตรู้เค้าอยากให้เรามีใบรับรองจากทางโฮสต์ จดหมาย เยอะแยะไปหมด ตอนที่พี่ไป ขอวีซ่าทั้งหมด 45 วัน แผนการท่องเที่ยวเราก็เขียนไปแบบเมคๆ เอาเลยว่าจะเที่ยวไหน เมืองไหน ประเทศอะไรบ้าง และอย่าลืมมีใบจองโรงแรม (สามารถจองได้แบบไม่ต้องเสียตังค์ก่อนในเว็บพวก booking.com ค่ะ)
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด