สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com แม้จะเข้าฉายมาระยะนึงแล้วแต่ความแรงของภาพยนตร์เรื่อง Thor: Raknarok ก็ยังดีไม่ตกเลยค่ะ ใครที่เป็นแฟนคอมิกหรือแฟนหนังก็น่าจะรู้จักเรื่องราวของธอร์ในจักรวาลมาร์เวลมาอย่างดีแล้ว ฉะนั้นวันนี้ พี่พิซซ่า เลยเอาเรื่องราวน่าสนใจเกี่ยวกับตัวละครต่างๆ ในเรื่องธอร์มาฝากค่ะ แต่เป็นเรื่่องราวในแง่ของตำนานพื้นบ้านและวรรณกรรมแถบสแกนดิเนเวีย ไปลองดูกันค่ะ
ธอร์เคยแต่งหญิงแถมเป็นชุดเจ้าสาวด้วย
เห็นล่ำๆ แบบนี้แต่ธอร์ก็เคยแต่งหญิงครั้งนึงค่ะ แถมแต่งได้เนียนจนตบตาคนได้เยอะด้วย เรื่องนี้มาจากร้อยกรองเรื่องเอ็ดด้า ร้อยกรองเอ็ดด้าเป็นเหมือนคอลเล็กชั่นรวมกลอนเกี่ยวกับตำนานโบราณต่างๆ แถบไอซ์แลนด์ค่ะ ส่วนมากก็จะเป็นเรื่องเทพเจ้าในตำนานนอร์สนี่แหละ ซึ่งเรื่องธอร์แต่งหญิงนี้มาจากกลอนที่มีชื่อว่า Þrymskviða หรือ Thrymskvida เมื่อถอดเป็นภาษาอังกฤษ
เรื่องมีอยู่ว่าพระราชาของพวกยักษ์โจตันน์ที่มีชื่อว่าทริมร์ (Þrymr) เนี่ยขโมยค้อนมโยเนียร์ของธอร์ไปแล้วก็บอกเหล่าเทพว่าให้เอาเทพีเฟรย่าผู้เป็นเทพีแห่งความรักมาให้เป็นค่าไถ่ค้อนนี้ เพราะเขาอยากได้เทพีสุดสวยองค์นี้มาเป็นภรรยา แน่นอนว่าเหล่าเทพชั้นสูงไม่ยอม ทั้งโอดิน ฟริกก้า ธอร์ และเทพชั้นผู้นำอื่นๆ เลยวางแผนตลบหลัง จับธอร์แต่งตัวเป็นเจ้าสาวโดยให้มีโลกิแต่งเป็นเพื่อนเจ้าสาว แล้วก็ส่งทั้งคู่ไปเข้าพิธีแต่งงานที่โจตันไฮม์
ภาพซ้าย: สาวใช้สองคนกำลังแต่งชุดเจ้าสาวให้ธอร์ ส่วนโลกิมาแอบดูแล้วหัวเราะ
Page 122 of Brown, Abbie Farwell (1902). "In the Days of Giants: A Book of Norse Tales" by E. Boyd Smith. Houghton, Mifflin & Co.
ภาพขวา: ธอร์ในชุดเจ้าสาวและโลกิที่เป็นเพื่อนเจ้าสาว
Page 105 of Fredrik Sander's 1893 edition of the Poetic Edda
แม้ธอร์จะไปแบบล่ำๆ ซิกแพ็คแน่นๆ ในชุดเจ้าสาว แถมยังกินวัวจนหมดทั้งตัวตั้งกะงานเลี้ยงต้อนรับ แต่โลกิก็แต่งเรื่องหลอกชาวยักษ์ให้เชื่อว่าเจ้าสาวแค่หิวจัดเพราะตื่นเต้นจนกินอะไรไม่ลงมา 7 วัน ซึ่งเหล่ายักษ์โจตันน์ก็เชื่อจนทุกอย่างราบรื่นตลอดงาน เมื่อถึงขั้นตอนการให้ของหมั้น พระราชาทริมร์ก็ให้มโยเนียร์เป็นสินสอด ทันทีที่ธอร์ได้ค้อนก็ฟาดไม่ยั้งเลย จัดการฆ่ายกบ้านหมดทั้งงานแต่งยิ่งกว่า The Red Wedding ในเกมออฟโธรนส์อีก จัดการเรียบร้อยธอร์กับโลกิก็พากันกลับแอสการ์ดแบบชิลๆ
ธอร์ไม่ได้เป็นบุตรแท้ๆ แห่งโอดินเพียงคนเดียว
ตามหนังของมาร์เวล ตอนนี้เรารู้ว่าโอดินมีลูก 3 คน คนแรกคือเฮล่า คนที่สองคือธอร์ ส่วนคนที่ 3 โลกินั้นเป็นลูกที่เก็บมาเลี้ยง แต่ถ้ายึดตามตำนานสายหลักของแถบสแกนดิเนเวีย พบว่าโอดินมีลูกชาย 4 คนที่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็น Odinson ได้อย่างภาคภูมิใจค่ะ นั่นคือธอร์, บาลเดอร์ (Baldr), วีดาร์ (Víðarr), และเวลี (Váli) นอกจากนี้ก็มีลูกกับคนโน้นคนนี้อีกแต่ไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรในแอสการ์ด บางคนโอดินก็ตัดขาดไปแล้วด้วย
ตำนานส่วนมากระบุว่าธอร์เป็นลูกชายของโอดินกับโยร์ (Jörð) ผู้เป็นยักษ์โจตันน์และเป็นร่างเทพของโลกมนุษย์ค่ะ ส่วนบาลเดอร์เป็นลูกของโอดินกับฟริกก้าผู้เป็นภรรยาและราชินีแห่งแอสการ์ด บาลเดอร์นี่เป็นลูกสุดรักสุดหวงเลยทีเดียว ส่วนวีดาร์เป็นลูกของโอดินกับยักษ์โจตันน์ที่ชื่อกรีดร์ (Gríðr) ในขณะที่เวลีเป็นลูกของโอดินกับยักษ์ที่มีชื่อว่ารินด์ (Rindr)
ภาพแรก: ธอร์ จาก “Thor’s Battle with the Giants” by Mårten Eskil Winge (1872)
ภาพที่สอง: บาลเดอร์ จาก “Each Arrow Overshot His Head” by Elmer Boyd Smith (1902)
ภาพที่สาม: เวลี จาก Vali by Carl Emil Doepler (1882)
ภาพที่สี่: วีดาร์ จาก "Vidar slays Fenrir" by W.G. Collingwood (1908)
เรื่องราวของโอดินกับแม่ของลูกสามคนแรกค่อนข้างไปในทางบวกค่ะ แต่สำหรับคนสุดท้ายถือเป็นเศร้าของรินด์มากๆ เรื่องมีอยู่ว่าหลังบาลเดอร์ผู้เป็นลูกรักเสียชีวิต โอดินก็ไปหาหมอดูเพื่อขอคำปรึกษาว่าจะแก้แค้นยังไงดี หมอดูก็บอกว่าเดี๋ยวโอดินจะมีลูกอีกคนที่มาแก้แค้นให้บาลเดอร์ โอดินจึงไปที่อาณาจักรของชาวรัธเธอเนียนโดยปลอมตัวเป็นนักรบตามที่หมอดูบอก แล้วก็ไปพยายามจีบรินด์ผู้เป็นเจ้าหญิงของเมืองเพื่อให้เธอยอมมีลูกกับเขาตามคำทำนาย
แต่จีบกี่รอบก็ไม่ติด โอดินเลยเสกของใส่ให้รินด์คลุ้มคลั่งแล้วก็ปลอมตัวเป็นหมอผู้หญิงที่เข้าไปตรวจอาการ จากนั้นโอดินในคราบหมอผู้หญิงก็บอกพระราชาว่ามีวิธีรักษาเจ้าหญิงให้หายแต่วิธีค่อนข้างรุนแรง จึงขอให้พระราชากับเจ้าหญิงมัดกับเตียงไว้ เมื่อพระราชายอม โอดินก็ข่มขืนเจ้าหญิงรินด์จนในที่สุดเธอก็ให้กำเนิดเวลีค่ะ และเมื่อเวลีโตขึ้นก็มาแก้แค้นให้บาลเดอร์ได้ด้วย
โลกิตัวร้ายก็เป็นแม่คน(?)นะ
ในตำนานจริงๆ โลกิก็เป็นลูกของลอฟี่ค่ะ แต่โอดินไม่ได้เก็บมาเลี้ยงเป็นลูกแบบในหนังนะ โลกิเป็นตัวร้ายจอมป่วนที่ไปยุ่งกับเรื่องชาวบ้านเยอะมาก ไม่ว่าจะอ่านตำนานอะไรเกี่ยวกับเทพเจ้านอร์สองค์ไหน ย่อมต้องมีชื่อของโลกิไปเกี่ยวข้องด้วยประจำ หลายเรื่องก็ไปเป็นตัวจุดชนวนความขัดแย้งต่างๆ ของชาวบ้านด้วยซ้ำ
ถึงจะไปยุ่งเรื่องชาวบ้านเยอะยังไง โลกิก็ลูกดกใช่เล่น และมีลูกต่างสปีชี่ส์มากสุดๆ ไปเลยค่ะ โลกิมีลูก 3 คนกับยักษ์โจตันน์ตนหนึ่ง ซึ่งลูกทั้ง 3 ถือเป็นอสูรกายตัวเด่นเลยด้วย นั่นคือเฮล่า เทพีแห่งความตาย, หมาป่าเฟนเรียร์ (หมาป่าตัวใหญ่ๆ ที่เห็นในหนัง), และยอร์มุนกานดร์ อสรพิษที่รัดพันอยู่รอบมิดการ์ด โลกมนุษย์ของเรานั่นเอง ยอร์มุนกานดร์ถือเป็นหนึ่งในคำทำนายของการเกิดแร็กนาร็อก คำทำนายบอกว่าเมื่อยอร์มุนกานดร์ที่รัดพันรอบมิดการ์ดปล่อยหางตัวเองลง แร็กนาร็อกจะเกิดขึ้น และธอร์จะเป็นผู้สังหารยอร์มุนกานดร์ แต่ธอร์ก็จะได้รับพิษรุนแรงเช่นกันจนเดินได้แค่ 9 เก้าก่อนจะตายตามไป
โลกิที่แปลงกายเป็นม้าสาวมาล่อ ในขณะที่นายช่างพยายามดึงม้าของตัวเองไว้
Myths of the Norsemen from the Eddas and Sagas. Londres : Harrap. Cette illustration figure en page 222. Trouvée sur http://www.archive.org/details/mythsofthenorsem00gueruoft et transférée sur la wiki anglophone par User:Haukurth
นอกจากนี้ก็มีลูกกับภรรยาอีกหลายคน แต่ที่เด่นสุดเลยคือโลกิเคยเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดด้วยค่ะ พ่อของลูกคือม้าหนุ่มที่มีชื่อว่า Svaðilfari ตำนานเล่าย้อนไปจนถึงยุคที่เหล่าเทพเจ้ากำลังสร้างมิดการ์ดกับวัลฮัลล่า (สวรรค์ของนักรบ) ตอนนั้นมีนายช่างคนหนึ่งเสนอตัวจะสร้างป้อมปราการรอบๆ ให้โดยขอเทพีเฟรย่า พระอาทิตย์ และพระจันทร์เป็นของตอบแทน สุดท้ายเทพเจ้ายอมตกลงรับคำขอโดยมีข้อแม้ว่านายช่างต้องสร้างให้เสร็จภายใน 3 ฤดูโดยห้ามให้คนอื่นช่วย นายช่างก็ตกลงแต่ขอให้ม้า Svaðilfari ของตัวเองช่วยงานด้วย เหล่าเทพเห็นว่าก็แค่ม้าตัวนึง เลยโอเค
ที่ไหนได้เจ้าม้าตัวนี้สามารถทำงานได้เป็น 2 เท่าของนายช่างด้วยซ้ำ สามารถเหวี่ยงก้อนหินหนักไปเข้าที่ได้ จนงานน่าจะเสร็จทันกำหนดแน่ๆ เหล่าเทพจึงมาคุยกันว่าแบบนี้ไม่ดีแน่ และต้องมีคนรับผิดชอบ ทุกองค์ลงมติว่าโลกิต้องรับผิดชอบเพราะเป็นคนแรกที่เสนอว่าให้ม้าช่วยก็ได้ เหล่าเทพจึงขู่ว่าถ้าโลกิคิดแผนร้ายมาขัดขวางนายช่างไม่ได้ โลกิจะต้องตายอย่างทรมาน ด้วยความกลัวโลกิจึงรับปากจะไปหาทางทำให้นายช่างทำงานเสร็จไม่ทัน
คืนนั้นโลกิจึงแปลงร่างเป็นม้าสาวแสนสวยไปยั่วยวนเจ้าม้า Svaðilfari ซึ่งเจ้าม้าเห็นแล้วก็อาละวาดแล้วรีบหนีนายช่างไปทันที นายช่างก็พยายามวิ่งตามม้าตัวเองทั้งคืนจนทำให้งานสร้างต้องหยุดไป และการสร้างป้อมจึงไม่เสร็จตามกำหนดการ แต่ในขณะเดียวกันโลกิก็เรียบร้อยไปกับม้าตัวนั้นแล้ว และคลอดลูกออกมาเป็นม้า 8 ขานามว่า Sleipnir ซึ่งเป็นม้าที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่อาณาจักรทั้ง 9 เคยมีมา และโอดินก็เป็นผู้ครอบครองสเลปนีร์
เรื่องเล็กเรื่องน้อยก็ขอให้โลกิได้แหย่ซักนิดเถอะ
นอกจากการป่วนในเรื่องใหญ่โต เรื่องที่ก่อให้เกิดสงคราม หรือเรื่องที่สามารถพลิกหน้าประวัติศาสตร์ได้แล้ว การเกรียนไปวันๆ ก็เป็นอีกทักษะหนึ่งของโลกิค่ะ ครั้งหนึ่งโลกิคิดว่าถ้าซิฟหัวล้านคงตลกน่าดู ซึ่งตอนนั้นซิฟแต่งงานเป็นภรรยาของธอร์เรียบร้อยแล้วด้วย ว่าแล้วโลกิก็แอบดอดไปโกนหัวซิฟตอนหลับ ทันทีที่ธอร์รู้ก็ปรี๊ดหนักมากและต่อยโลกิไม่ยั้ง จนโลกิต้องยอมสัญญาว่าจะไปให้คนแคระฝีมือดีช่วยทอผมใหม่มาให้ซิฟ เพื่อที่เธอจะกลับไปสวยเหมือนเดิม ธอร์จึงยอมปล่อยมือ
โลกิขณะลอบเข้าไปโกนหัวซิฟ
From Colum, Padraic, The Children of Odin. New York: The Macmillan Company, 1920.
จากนั้นโลกิก็ไปตามหาช่างคนแคระและขอให้พวกเขาทอผมจากทองคำให้ เหล่าคนแคระเห็นว่าเป็นโอกาสดีจึงคิดจะสร้างของขวัญอื่นๆ ไปบรรณาการเหล่าเทพเจ้าไปด้วยในเวลาเดียวกัน ทุกอย่างฟังดูน่าจะจบลงด้วยดีใช่มั้ยคะ แต่ไม่มีคำว่า "จบด้วยดี" ในพจนานุกรมของโลกิค่ะ เพราะพอรู้ว่าคนแคระจะทำของขวัญอีกหลายชิ้น ก็ดันปากดีไปท้าว่าคนแคระไม่มีทางสร้างของขวัญอะไรได้ดีไปกว่าชิ้นที่เคยสร้างไปแล้วหรอก ถ้าคนแคระทำได้จริงจะยกหัวตัวเองให้เลย แต่ถ้าคนแคระทำไม่ได้ก็ต้องยอมให้โลกิตัดหัว
คนแคระก็โมโหว่าโดนดูถูกฝีมือ เลยสร้างของขวัญมากมายที่อลังการมากๆ ขึ้นมาค่ะ มีทั้งเรือที่พับเก็บในกระเป๋าพกพาได้ หอกที่ไม่มีวันแทงพลาด รวมถึงค้อนมโยเนียร์ของธอร์ด้วย พอรู้ว่าตัวเองแพ้ โลกิก็พยายามต่อรองว่าขอให้ตัดหัวไปแบบไม่ติดคอ แล้วก็อ้างโน่นนี่ไปเรื่อย คนแคระเลยเรียกธอร์มาช่วยต่อยโลกิให้สลบ จากนั้นก็เย็บแผ่นหนังปิดปากโลกิซะเพื่อให้หุบปาก เพราะปากโลกิเป็นตัวเริ่มปัญหาหลายๆ เรื่องเลย
การแข่งกีฬาที่ธอร์และโลกิต้องพ่ายแพ้
ในร้อยแก้วเอ็ดด้า (คนละอันกับร้อยกรองเอ็ดด้า) มีตอนหนึ่งเล่าถึงตอนที่ธอร์, โลกิ, และคนใช้ออกเดินทางท่องเที่ยวด้วยกัน หลังเดินทางมาทั้งวันจนเหนื่อย พวกเขาก็ติดอยู่ในป่าแถมไม่มีที่ให้พักหลบแดดนอกจากถ้ำใหญ่แห่งหนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปหาที่นอนก็พบว่านั่นไม่ใช่ถ้ำ แต่เป็นถุงมือของยักษ์ที่มีชื่อว่าสคริมีร์ (Skrymir) สคริมีร์ตัวใหญ่มากแม้จะเทียบในมาตรฐานยักษ์ด้วยกัน เสียงกรนของเขาทำให้ธอร์กับโลกิคิดว่าแผ่นดินไหว
คืนที่สองพวกเขาย้ายไปนอนใต้ต้นไม้ใกล้ๆ สคริมีร์แทน จากนั้นด้วยนิสัยของธอร์ ก็อยากจะล้มเจ้ายักษ์ตัวนี้ให้ได้ แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไงก็ไม่เป็นผล ครั้งแรกที่ธอร์โจมตี เจ้ายักษ์ตื่นขึ้นมาเพราะคิดว่ามีผลไม้หล่นใส่หัวแล้วก็นอนต่อ ส่วนการโจมตีครั้งที่สองทำให้สคริมีร์ตื่นได้ สคริมีร์เลยบอกว่าถ้าจะอยากโชว์พาวแบบนี้ก็อย่าไปทะเล่อทะล่าทำที่ปราสาทของโลกิแห่งอุตการ์ดล่ะ เดี๋ยวจะโดนดี (พระราชาของที่อุตการ์ดก็ชื่อโลกิเหมือนกัน)
สคริมีร์ขณะนอนหลับ
http://www.norsemyth.org/2012/09/interview-with-joanne-harris-runemarks.html
ได้ยินดังนั้นธอร์ที่อยากแสดงพลังและโลกิที่ช่างยุก็สนใจเรื่องปราสาทนั้นทันที ทั้งหมดจึงเดินทางต่อจนเจอปราสาทที่ว่าแล้วก็แอบมุดเข้าไปข้างใน พระราชาเห็นก็บอกว่าห้ามเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต ถ้าจะมาขอพักที่นี่ก็ต้องแสดงพลังให้ดูก่อน โลกิที่ยืนแอบอยู่หลังธอร์รีบโผล่หน้าออกมาพูดทันทีว่าตัวเองกินเร็วกว่าใครๆ พระราชาจึงให้โลกิแข่งกินเร็วกับยักษ์ตนหนึ่ง ในขณะที่โลกิกินได้ไม่ถึงไหน ยักษ์ที่แข่งด้วยก็กินเนื้อหมดไปเป็นตัวๆ แล้ว
จากนั้นพระราชาจึงถามว่าคนใช้ของธอร์มีความสามารถอะไร คนใช้บอกว่าตัวเองวิ่งเร็วกว่าทุกคนที่รู้จักมา พระราชาจึงให้วิ่งแข่งกันยักษ์อีกตน แต่คนใช้ก็แพ้อยู่ดี คราวนี้ธอร์จึงขอลงแข่งบ้าง ความสามารถของธอร์คือกินเหล้าเก่งกว่าใครๆ แต่ธอร์ดื่มไปได้สามอึก ยักษ์อีกตนก็กินหมดเป็นถังๆ แล้ว ธอร์จึงขอเปลี่ยนมาแข่งยกแมวยักษ์ของพระราชา แต่ไม่ว่าจะยังไงธอร์ก็ยกได้แค่อุ้งเท้าข้างเดียว แต่ธอร์ก็ไม่ยอมแพ้ ขอแข่งสู้กับยักษ์ซักตน พระราชาจึงส่งยักษ์ผู้หญิงสูงอายุที่เป็นพยาบาลไปแข่งด้วย ธอร์ก็แพ้อยู่ดี
ถึงอย่างนั้นพระราชาก็ยอมให้ทั้งหมดพักที่ปราสาทและให้การต้อนรับเป็นอย่างดี จนวันรุ่งขึ้นเมื่อทุกคนเตรียมตัวกลับบ้าน พระราชาก็เดินมาส่งและบอกว่าขอให้ทั้งหมดอย่ากลับมาเหยียบที่นี่อีก จากนั้นก็คลายภาพลวงตาให้ทุกคนเห็นว่าทั้งหมดคือสิ่งที่สคริมีร์สร้างขึ้น ไม่ได้มีพระราชาและปราสาทที่นี่จริงๆ สคริมีร์บอกว่าวันนั้นที่ธอร์พยายามลองของโดยการลอบทำร้ายสคริมีร์นั้น ถ้าสคริมีร์ที่ไปนอนอยู่ไม่ใช่ภาพลวงตา เขาคงจะตายไปแล้วเพราะความอยากโชว์พาวของธอร์
นอกจากนี้ก็เฉลยด้วยว่าการแข่งขันทั้งหมดเป็นเรื่องลวงตา โลกิแข่งกินอาหารกับไฟที่เผาไหม้ทุกอย่างอย่างรวดเร็ว ธอร์แข่งดื่มเหล้าก็เป็นแก้วเขาสัตว์ที่ต่อตรงมาจากมหาสมุทร ทำให้ดื่มเท่าไหร่ก็ไม่หมด แมวที่ธอร์พยายามยกจริงๆ คือยอร์มุนกานดร์ ซึ่งในความเป็นจริงธอร์ยกงูลอยขึ้นบนท้องฟ้าได้เลยด้วยซ้ำ หลังสคริมีร์พูดจบ คิดว่าธอร์จะฟังแล้วคิดตามมั้ย ไม่ค่ะ ธอร์ฟังแล้วก็เดือดปุดๆ ง้างค้อนเตรียมฟาดสคริมีร์ แต่สคริมีร์และภาพลวงตาทั้งหมดหายไปก่อนที่ธอร์จะฟาดทัน
จริงๆ มีเรื่องสนุกๆ จากตำนานเทพเจ้านอร์สอีกเพียบเลยนะคะ ตำนานแถบนี้มีเอกลักษณ์ต่างจากตำนานกรีกโรมันที่เราได้ยินกันบ่อยๆ เยอะเลยค่ะ แม้การนับญาติในจักรวาลหนังมาร์เวลจะไม่เหมือนกับในตำนานโบราณเท่าไหร่ แต่นิสัยของแต่ละตัวถอดมาได้ดีมากเลยค่ะ ธอร์ใจร้อนชอบใช้กำลังยังไงก็ยังเป็นอย่างนั้น โลกิปากเสียและชอบแถยังไงก็ยังเป็นอย่างนั้นเช่นกัน มาติดตามกันต่อนะคะว่าเรื่องราวของสองพี่น้องจะเป็นยังไงต่อไปในโลกภาพยนตร์ค่ะ
6 ความคิดเห็น
ธอร์ไม่น่าได้ชื่อว่า เทพเจ้าสายฟ้าเลย ต้องได้ชื่อว่า ธอร์ผู้ดื้อดึง เพราะไม่ยอมแพ้ใครสักคน
ธอร์เป็นเทพแห่งค้อน 55555
ค้อนของธอร์ตามตำนานด้ามต้องสั้นจับไม่ค่อยถนัด เพราะโลกิแปลงร่างเป็นตัวเหลือบไปต่อยคนแคระไม่ให้สูบลมเร่งไฟเตาหลอมได้ตามต้องการ
ปล. โลกิตามตำนาน Norse เป็นลูกพี่ลูกน้องกับโอดิน (ค้นสาแหรกหรือ family tree ดูได้) ต้องถือว่าเป็นรุ่นพ่อของธอร์เลยนะ ไม่เข้าใจว่าทำไม Marvel ถึงโมดิฟายอะไรได้ขนาดนี้
จริงครับ. โลกินี่รุ่นพ่อธอร์แล้ว
อ่านเพลินมาก ๆ ตำนาน นอร์ส ยังไง ฝาก คลิปทำค้อน เท่ห์ ๆ เอาไว้ด้วยนะคะ เราแจกฟรีด้วยนะค้อนธอร์ ขนาดเท่าจริง(แบบในหนัง) >//< ติดตามกติกาในคลิปได้นะคะ https://www.youtube.com/watch?v=1Gf-i9vklrU
ตำนานแปลกๆ อ่านเพลินดีจ้า รัก Thor รอดู Avengers The Infinity Wars กันนะจ๊ะ
https://youtu.be/z-kKJW6gqqs
เฮล่าเป็นลูกของโอดินเป็นพี่สาวของธอร์ไม่ใช่เหรอคะ?
อันนั้นในหนังเค้าดัดแปลงมาค่า