Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เราจะโดนยึดบ้านทางอ้อมมั้ยคะ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ไม่ใช่ยึดแบบเรื่องหนี้ๆสินๆนะคะ แต่มาแนวครอบครัวค่ะ
บ้านหลังนี้เป็นบ้านของพ่อแม่เรา ที่สร้างไว้ตั้งแต่เรายังเด็ก แต่พ่อแม่เลิกกันแล้ว
 เรื่องคือ ตอนนั้นเราอายุ 7 ปี พ่อได้รับโทรศัพย์มาว่าปู่ตกต้นไม้ พ่อก็เลยต้องย้ายจากบ้านนั้น มาบ้านปู่เพื่อที่จะดูแลปู่ จนหาย เราก็อยู่บ้านปู่มาจนถึงอายุ 20 ปี จนกระทั้งวันนึงปู่เห็นรอบงัดแงะอยู่ที่บ้านเก่าพ่อกับแม่เรา ปู่ก็เลยย้ายออกไปจากบ้านนี้ไปเฝ้าบ้านเก่าพ่อแม่เรา เรียกว่าอยู่เลย แต่ก็ไม่ได้อะไร 
 จนตอนเราอายุ 21 ปี อาเราได้มาเยี่ยมปู่ แล้วพาปู่ไปเที่ยวที่เพชรบูรณ์ แต่ก็นานอยู่ กว่าปู่จะกลับ 
ปู่ก็เลยให้ป้าเรา (พี่สาวพ่อ) 'เฝ้า' บ้านพ่อแม่เราไว้ให้ ตอนที่ปู่อยู่เพชรบูรณ์ เพราะปู่รู้ว่าพ่อเรายังไม่ได้จะกลับไปบ้านหลังนั้น ป้าเราก็เลยขนผัว ขนลูกชาย แล้วก็แฟนลูกชายมาอยู่บ้านพ่อแม่เรา ตอนแรกเราก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนเแม่เรามาเล่นด้วย แม่ก็เลยถามถึงบ้านหลังนี้ เราก็เลยบอกไปตามที่เห็น แม่เราก็เลยโกรธแล้วบอกว่า พ่อไม่รู้หรอว่าป้าใกล้จะเกษียนอีกไม่กี่ปี (3 ปี) บ้านป้าก็ยังทำไม่เสร็จ แถมเป็นหนี้เยอะอีก บอกเลย ป้าไม่ออกหรอก ป้าก็ร้ายนะ เหมือนให้บ้านเขาแบบฟรีๆ พ่อก็โง่จริงๆ (อันนี้คือที่แม่เราพูด) แฟนแม่ก็เพิ่มว่า ถ้าตัวเองไม่อยากได้ แทนที่จะเก็บไว้ให้ลูก หลังจากนั้นคือเราคิดได้เลยค่ะ แต่พ่อเราเป็นคนไม่ค่อยพูดยิ่งอะไรที่เป็นเรื่องแบบนี้ เช่นแบบทวงหนี้ ทำให้คนอื่นเอาเปรียบพ่อบ่อย 
อันนี้เรายอมรับว่าเราหวงบ้าน ทั้งชีวิตเราอยู่บ้านนั้นได้แค่ 4 ปีเอง แม่บอกสร้างไว้เผื่อเราตอนโต 
แต่ตอนนี้ลูกชายป้ามันเคลมห้องนอนแล้ว มันคือห้องเราตอนเด็ก ป้ากับผัวก็อยู่ห้องพ่อแม่เรา 
แล้วปู่เรามานี่วันสงกรานต์ ป้ายังไม่ออกจากบ้านเลยค่ะ ยังนอนที่เดิม ไม่ยอมกลับบ้าน  
ส่วนลูกกับแฟนเค้านอนบ้านปู่  เพราะปู่มาแล้ว เลยไม่มีที่นอน ดูเหมือนพวกมันจะไม่ออก 

ที่ตั้งกระทู้นี้คือเราจะทำยังไงดีคะ เรากลัวเค้าไม่ออก เพราะเราก็ไม่รู้ว่าปู่จะกลับไปเพชรบูรณ์อีกมั้ย 

เราเอาเรื่องนี้ไปตั้งในกระทู้ Pantip เราโดนด่าว่าเราก็อยากได้ผลประโยชน์เหมือนกัน ไม่ต่างจากป้าหรอก 
ก็มันบ้านพ่อแม่เรานิ่ เราเป็นลูก เราไม่มีสิทธ์หวงหรอ เราก็อยากอยู่บ้านหลังนั้น  -_- 

แสดงความคิดเห็น

>

8 ความคิดเห็น

สมาเนียพลาซา 14 เม.ย. 67 เวลา 11:12 น. 1

เจ้าของบ้านที่ดินชื่อใคร คนนั้นจัดการ ไม่ก็ทำหนังสือลงนามมอบอำนาจให้เรา เราไปหาทนายต่อจัดการ แต่ต้องคุยด้วยปากเปล่าก่อน

0
White Frangipani 14 เม.ย. 67 เวลา 17:05 น. 2


เราจะโดนยึดบ้านทางอ้อมมั้ยคะ


สวัสดีค่ะ คุณเจ้าของกระทู้


เม้นต์นี้ เม้นต์เข้ามาให้กำลังใจนะคะ


จากที่อ่านคำบอกเล่าของคุณนะคะ คุณเล่าได้ชัดเจนมาก ๆ ค่ะ


คือเมื่ออ่านออกมาแล้ว สามารถเห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจนค่ะ


จะมีนิดนึ่ง ที่การเล่าของคุณมีรอยต่อ...ที่ขาดหายไป...รอยต่อ ที่จะช่วยให้เหตุการณ์ของคุณชัดเจนยิ่งขึ้นนะคะ และดูจะเป็นเหตุที่สำคัญมาก ๆ ด้วย


นั้นก็คือ "บ้านหลังนี้ปลูกสร้างขึ้นบนที่ดินของใครคะ?" คือคุณไม่ได้บอกเข้ามาด้วยนะคะ ว่าบ้านถูกปลูกขึ้นบนที่ดินของใคร เพราะถ้าบ้านหลังนี้ถูกปลูกขึ้นบนที่ดินที่เป็นชื่อของคุณพ่อ หรือของคุณแม่เองนะคะ ก็จะง่ายมาก ๆ ที่คุณจะนำทุกอย่างมาแสดงต่อคุณป้าของคุณ ว่า แท้จริงบ้านหลังนี้อยู่ในสิทธิ์ครอบครองถูกต้องของคุณพ่อและของคุณแม่ของคุณ


ซึ่งถ้าทุกอย่างเป็นตามนี้นะคะ การที่คุณจะนำหลักฐานทั้งหมดมาแสดงต่อป้าของคุณ และคุณก็พูด และอธิบายว่า คุณขอให้คุณป้าย้ายครอบครัวของป้าออกไป เพราะคุณต้องการบ้านคืนค่ะ


คือเมื่ออยากได้คืน คุณก็ต้องกล้าพูด กล้าบอกนะคะ


คือไม่บอก ไม่พูดนะคะ คุณป้าคงไม่รู้ได้ค่ะ


จริงไหมคะ?


หรือในขั้นแรกคุณจะพูดคุยกับคุณป้าของคุณดี ๆ ด้วยการอธิบายไปว่าถึงเวลาแล้วที่คุณต้องการบ้านที่คุณพ่อ คุณแม่ของคุณปลูกขึ้นมาไว้ให้คุณ คุณบอกคุณป้าไปค่ะ


และหากคุณป้าไม่ยอมรับฟัง และยังคงเมินเฉย นั้นแสดงว่าคุณป้าไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ไม่แคร์กับการกระทำของป้าเอง ซึ่งป้าได้โกง(คือป้าได้ถือโอกาส ฉวยโอกาสเอาบ้านของคุณไปโดยที่ไม่ได้รับการยกให้ อย่างถูกต้องจากเจ้าของ) การกระทำของคุณป้าในครั้งนี้ ตามกฎหมายคือการโกงนะคะ


การโกงเอาของ ของผู้อื่น เป็นการกระทำผิดกฎหมายนะคะ ซึ่งคุณสามารถเข้าไปอ่านกฎหมาย เกี่ยวกับการโกง(หรือรวมคดีเป็นบุกรุก หรือฉ้อโกง ลักทัพย์ได้ด้วยหรือไม่? คุณลองอ่าน

เอกสารประกอบการบรรยาย

วิชากฎหมายอาญา

เกี่ยวกับการโกง การแย่งชิง การบุกรุก หรือการฉ้อโกง การลักทัพย์ดูนะคะ ว่าด้วยมีกฎหมายเอาผิดผู้กระทำ และกฎหมายปกป้องคุ้มครองผู้ถูกกระทำในรูปแบบใด คุณลองอ่านรายละเอียด ข้อมูลดูได้จากในลิ้งก์ค่ะ


https://www.thethaibar.or.th/thaibarweb/files/Data_web/dowloads_doc/term1/chayakamol/c1.pdf



ซึ่งในขณะนี้ คุณมีอายุมากกว่า 20 ปีแล้วนะคะ ตามที่คุณเล่ามานี้ค่ะ


คือคุณบรรลุนิติภาวะแล้วนะคะ คุณสามารถดำเนินเรื่องทุกอย่างที่เป็นเรื่องของกฎหมายได้ตามที่คุณต้องการเลยค่ะ คือเรื่องอะไรก็ตามที่อยู่ใต้กฎหมาย ซึ่งเป็นเหตุที่ไม่ถูกต้อง และคุณเองมีหลักฐานถูกต้องนะคะ คุณก็จัดการไปตามนั้นได้ด้วยตัวของคุณเองค่ะ


พ่อไม่รู้หรอว่าป้าใกล้จะเกษียนอีกไม่กี่ปี (3 ปี) บ้านป้าก็ยังทำไม่เสร็จ แถมเป็นหนี้เยอะอีก บอกเลย ป้าไม่ออกหรอก ป้าก็ร้ายนะ เหมือนให้บ้านเขาแบบฟรีๆ พ่อก็โง่จริงๆ


เข้าใจคุณนะคะว่า บ้าน ที่ดินซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย และเป็นทรัพย์สมบัติที่มีค่า มีความหมายสำหรับทุกคน และยิ่งเป็นสิ่งที่เป็นที่ระลึกจากวัยเด็กที่พ่อแม่ทำได้ร่วมกัน และคุณมีส่วนได้รับรู้ และรู้เห็น นั้นยิ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อจิตใจ


เข้าใจคุณได้เป็นอย่างดีค่ะ


แต่ในเคสของคุณนี้นะคะ ผู้ที่ดูจะทำให้คุณกังวลเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติตัวนี้ คือคุณป้าของคุณเอง คือเป็นคนในครอบครัวนะคะ จึงอยากแนะนำให้คุณทำใจเย็น ๆ ค่ะ


คือแม้คุณอยากได้คืน คุณก็ยังคงต้องใจเย็น ๆ นะคะ ทำใจเย็น ๆ และลองทำตามที่เจ้าของเม้นต์แนะนำมานะคะ


คือคุณลองเปิดใจคุยกับคุณป้าดี ๆ และชัดเจน ชัดถ่อยคำนะคะ ว่า คุณอยากได้บ้านคืน เพราะบ้านนั้นเป็นของคุณพ่อ คุณแม่ของคุณที่ตั้งใจสร้างไว้ให้คุณ คุณก็บอกคุณป้าไปค่ะ


และเมื่อคุณออกปากพูดกับป้าออกไปแล้ว คุณลองดูนะคะว่าผล หรืออาการของคุณป้าจะแสดงท่าทีออกมาอย่างไรค่ะ


หากคุณป้าโวยวาย ไม่ยอม หากแต่สร้างปัญหาให้คุณต้องหนักใจมากขึ้น และดูท่าว่า คุณป้าจะสร้างเรื่องให้ยิ่งใหญ่ขึ้น ในขั้นแรกคุณก็ไปขอให้ผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนันมาช่วยพูดให้นะคะ


และคุณเองก็เย็น ๆ ไว้ คือไม่ต้องแรง และไม่ต้องใส่อารมณ์ร้อนแรงนะคะ เพราะเรื่องแบบนี้นะ ร้อน หรือแรงใส่กันก็ช่วยอะไรไม่ได้ค่ะ เพราะคนเรานะคะ เพราะเป็นธรรมดานะ หากเขาลงได้ตั้งใจที่จะฮุบเอา หรือตั้งใจที่จะโกงเอาหน้าซื่อ ๆ แล้วนะ คนเช่่นนี้ ก็ไม่มีประโยชน์ที่คุณจะต้องใส่พลังใจให้ต้องเดือดดาลค่ะ คือหากเป็นเช่นนี้ ก็เอากฎหมายมาว่ากันไปตามกฎค่ะ


เพราะการเป็นญาติ แต่ญาติไม่ใยดี ไม่มีในความยํ่าเกรงต่อกัน ฮุบได้ โกงได้ด้วยหน้าซื่อ ๆ ความเป็นญาติคงต้องเก็บไว้ในส่วนลึกก่อน และเอากฎหมายมาว่ากันก่อนนะคะ


ทั้งนี้ ที่แนะนำเช่นนี้ เพราะเข้าใจว่า ในบางครั้งการเป็นญาติ หรือเป็นเครือญาติก็ไม่ช่วยให้การมีชีวิตร่วมกันเป็นสุขสงบได้ หากแต่การเป็นญาติของบางคนกลับที่จักทำให้ชีวิตหนักหนาสาหัสหนักขึ้น (หากญาติ ๆ เหล่านั้นไร้ซึ่งคุณธรรม ไร้ซึ่งศีลธรรม แต่มีความเห็นแก่ตัวเป็นใหญ่ เขาทั้งหลายก็จะไม่นับญาติกับคนใดในครอบครัว และคนเช่นนี้นะคะ มีกฎหมายเท่านั้นค่ะ ที่จะสามารถช่วยให้เขาทั้งหลายสงบ และจำนน ในการอยู่ร่วมสังคมได้ค่ะ)


คือเหตุเช่นนี้มีเกิดขึ้นจริงนะคะ และเมื่อเป็นเช่นนี้ และคุณต้องการของ ของคุณคืน และต้องการความสงบสุข คุณก็ต้องพึ่งกฎหมายค่ะ


เพราะกฎหมายไม่ปรานีคนผิดอยู่แล้วค่ะ ไม่ปรานีแม้ญาติที่กระทำการละโมบโลภมาก โกงได้ ลักขโมยได้ แม้จากญาติด้วยกัน กฎหมายก็จะไม่ปรานีค่ะ


เพราะฉะนั้นหากคุณคลายปัญหาไม่ได้ด้วยการพูดกันดี ๆ ผ่านการนับถือ ผ่านสายเลือด ผ่านฉันท์มิตร ผ่านสายสัมพนธ์ดั่งคุณก็เป็นเครือญาติ และคุณป้าไม่ยอมนะคะ คุณก็ดำเนินการไปตามกฎหมายค่ะ


และการดำเนินการตามกฎหมายนะคะ คุณก็ให้ทนายจัดการทั้งหมดเลยนะคะ โดยที่คุณเองพยายามห่าง ๆ ไว้ คือให้ทนายเขาจัดการไปค่ะ ให้เป็นหน้าที่ของทนายไป เพราะการมีปัญหากับญาติ ๆ ในเรื่องดังกล่าวนี้ คงไม่ใช่เรื่องดีนักในความรู้สึก เพราะฉะนั้น ถ้าคุณต้องการให้ทนายดำเนินคดี คุณเองก็พยายามห่าง ๆ คุณป้าไว้ และปล่อยให้ทนายเขาจัดการ ให้เป็นหน้าที่ของเขาไปนะคะ


------



ทั้งหมดข้างบนนั้นนะคะ เป็นการแนะนำคุณในกรณีบ้านที่คุณพ่อ คุณแม่ปลูกขึ้นนั้นเป็นที่ดินของคุณพ่อ คุณแม่เองนะคะ คือถ้าเป็นที่ดินของพ่อแม่เองจะสามารถแก้ไขได้ง่ายมาก ตามที่แนะนำมา คือถ้าคุณได้พูดกับคุณป้าแล้วดี ๆ คุณป้าก็ไม่ย้ายออก คุณก็ดำเนินคดีไป โดยให้ทนายดำเนินการไปค่ะ


แต่ ถ้าที่ดินแปลงที่คุณพ่อคุณแม่ปลูกบ้านหลังนั้น ยังคงเป็นสมบัติของคุณปู่ และที่ดินแปลงที่บ้านลูกสร้างขึ้นนั้น คุณปู่ยังไม่ได้ยกให้ใคร(คือตรงนี้ที่คุณมิได้เล่าเข้ามานะคะ คือเหตุการณ์ตรงนี้มีตกไปจากการเล่าของคุณค่ะ)


คือถ้าที่ดินแปลงนั้นเป็นของคุณปู่นะคะ แน่นอนว่าบ้านของคุณพ่อคุณแม่ของคุณถูกปลูกขึ้นบนที่ดินที่เป็นมรกดรวม ซึ่งยังไม่ได้แบ่งให้กับลูก ๆ คนใดชัดเจน และแน่นอนหากเป็นเช่่นนี้ ที่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณป้าคิดว่า บ้านหลังนั้นอยู่บนที่ของคุณปู่ คุณป้าจึงไม่คิดอะไรให้ละเอียดยิบย่อย


คือคุณป้าไม่คิดอะไรมาก(คือไม่เกรงใจว่าแท้จริงว่าเป็นบ้านของใคร) และเมื่อบ้านที่ไม่มีใครอยู่หลังนั้น ตั้งอยู่บนที่ ที่เป็นมรดกของทุกคน คุณป้าก็ใช้วิธีคิดง่าย ๆ คือเข้าไปอยู่อาศัย และอาจจะถือครองเลยก็เป็นได้ ง่ายดี ซึ่งคุณพ่อของคุณก็ไม่ว่าอะไร คือคุณป้าอาจจะคิดเช่นนี้ก็เป็นได้ จึงเกิดเป็นเหตุการณ์ในเคสที่คุณเล่าเข้ามานี้นะคะ


หากแต่ในที่นี้ หากบ้านที่คุณพ่อ คุณแม่ปลูกขึ้นบนที่ดิน ที่เป็นมรดกรวม คือยังไม่เป็นของคนใดคนหนึ่ง แต่มีใคร ๆ ชาวบ้านรอบ ๆ นั้น หรือทุกคนที่มีชีวิตอยู่ ซึ่งรู้ได้เห็นว่าในครั้งที่คุณพ่อคุณแม่ทำการปลูกสร้างบ้านในครั้งหนึ่งนั้น และทุกคนรู้ เห็น ว่าคุณพ่อคุณแม่ของคุณเป็นผู้จ่ายเกี่ยวกับอุปกรณ์ทั้งหมดภายใต้การปลูกสร้างบ้านในครั้งนั้น


คือถ้าเป็นเช่่นี้ และมีผู้คนมากมายที่ช่วยเป็นหลักฐานให้ บ้านหลังนั้นก็เป็นบ้านของคุณพ่อคุณแม่ของคุณ และเป็นมรดกของคุณจริง ๆ แต่ที่ดินที่คุณพ่อคุณแม่ได้ทำการปลูก คุณปู่ยังไม่แบ่งให้เป็นสิทธิ์ถูกต้องชัดเจน


ทั้งนี้ ในเคสนี้ ก็อาจจะเป็นอะไรที่ซับซ้อนนิดนึ่งค่ะ เพราะหากเป็นเช่นนี้ การที่คุณป้าของคุณท่านจะถือวิสาสะย้ายครอบครัวเข้าไปอยู่ดังที่เกิดเป็นเหตุในเคสของคุณนี้ และไม่มีทีท่าว่าป้า และครอบครับจะย้ายออก ทั้งนี้คุณป้าอาจจะคิดว่าบ้านไม่มีใครอยู่แล้ว และบ้านหลังนั้นก็ตั้งอยู่บนพื้นที่ส่วนรวมของครอบครัว คือคุณปู่ยังไม่แบ่งให้ ยังเป็นของทุกคน ป้าก็ถือวิสาสะนี้ คืออาจจะเป็นเช่นที่กล่าวมานี้ ก็เป็นได้ค่ะ


และหากเป็นเช่นนี้ คุณก็ตามเรื่องต่อ และค้นหาความจริงว่า บ้านหลังนั้นปลูกอยู่บนที่ดินของใคร รู้ให้ชัดเจนว่า แท้จริงเป็นเช่นไร คุณก็ถามคุณพ่อของคุณนะคะ ว่าที่ดินนั้นเป็นของใคร และหากเป็นมรดกรวมของทุกคน คือคุณปู่ยังไม่แบ่งให้ชัดเจน และถ้าคุณอยากได้บ้านหลังนั้น คุณก็ปรึกษากับคุณพ่อว่า ขอให้คุณปู่แบ่งได้แล้ว และแน่นอนว่าส่วนที่คุณขอให้คุณปู่ให้ก็คือที่ดิน ตรงที่คุณพ่อ คุณแม่ปลูกบ้านไว้แล้ว คุณก็บอกไปค่ะ ทุกอย่างได้ชัดเจน และ


และหากทุกอย่าง เป็นไปตามนี้นะคะ ทุกอย่างก็จะลงตัวค่ะ

(แต่การที่คุณปู่จะแบ่ง และคุณปู่ยังมีชีวิต ต้องใช้จ่าย การที่คุณปู่จะขอเงินจากลูก ๆ ทุกคนบ้างเพื่อเลี้ยงชีพ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งตรงนี้ก็เป็นอีกประเด็นนะคะ ซึ่งนอกเหนือจากประเด็นของคุณนะคะ)


และเมื่อตกลงกันได้ แบ่งปันกันออกไป และเป็นสัดส่วนของทุกคนถูกต้องแล้ว บ้านหลังนั้นก็จะเป็นของคุณพ่อคุณถูกต้องค่ะ ทุกคนได้ไม่ผิดใจ ไม่ค้างคาใจกันในญาติมิตรด้วยค่ะ


และหากคุณป้าไม่มีที่อยู่นะคะ และคุณเองไม่มีความจำเป็นที่ต้องเข้าไปอยู่บ้านหลังนั้น แต่คุณอยากเก็บไว้ คุณก็มีนํ้าใจถามป้าว่า คุณอยากปล่อยให้เช่า คุณป้าจะช่วยจ่ายให้คุณในราคาที่อาจจะถูกกว่าที่ป้าจะไปเช่าอยู่ที่อื่นได้หรือไม่ คุณก็ถามคุณป้าไปค่ะ


ซึ่งคุณได้บอกเข้ามาด้วยว่าคุณป้าใกล้จะเกีษยณแล้ว นั้นแสดงว่าคุณป้ามีงานทำมาก่อนหน้านี้ คุณป้ามีการศึกษา คุณป้าเป็นผู้ใหญ่พอที่จะเข้าใจในสิทธิ์ ในความรู้สึกของลูกหลานได้ตามครรลองของความจริง คือทั้งหมดนี้ น่าจะช่วยให้คุณป้าของคุณเข้าใจอะไร ๆ ได้ดี และขอบใจคุณด้วยค่ะ


และคุณยังบอกมาด้วยว่า คุณป้ามีลูกด้วยนะคะ ในที่นี้ คือคุณป้านะคะมีอายุมากแล้ว และใกล้เกษียณแล้วด้วย ลูก ๆ ของป้าก็คงโตพอที่มีงานทำ มีรายได้ และที่จะช่วยคุณป้าจ่ายค่าเช่าบ้านให้คุณได้บ้าง ซึ่งน่าจะเป็นเหตุที่เป็นไปได้ค่ะ


ทั้งหมดนี้ แนะนำคุณเพื่อเป็นกำลังใจให้คุณนะคะ


เราจะโดนยึดบ้านทางอ้อมมั้ยคะ


ตามเหตุการณ์ที่คุณเล่ามานี้นะคะ หากทุกอย่างมีหลักฐานชัดเจนดีพอนะคะ คุณจะไม่โดนโกง คุณจะไม่โดนยึด คุณจะไม่ถูกฮุบเอาไป โดยที่คุณพ่อของคุณไม่อนุญาตค่ะ


คือคุณอยู่ในประเทศที่บ้านเมืองของคุณมีระบบระเบียบ และมีกฎที่ดีเป็นกรอบ เป็นขอบเขต และเป็นสิ่งที่คุ้มครองทุกคน คุณจะไม่เสียสิ่งที่เป็นของคุณ และคุณจะไม่เสียสิ่งที่คุณรักไป...ตราบที่คุณไม่เต็มใจยกให้ค่ะ


คือในบ้านเมืองที่มีกฎหมาย ซึ่งเป็นความยุติธรรมคุ้มครองอยู่ ตราบที่คุณไม่เต็มใจยกให้ ไม่ว่าใคร ๆ ก็เอาของคุณไปไม่ได้ค่ะ


คุณทำใจดี ๆ และหยึดเหตุผลเข้าไว้ และยึดตรงที่ว่าในปัญหานี้ผู้ที่มีส่วนนั้นก็เป็นญาติอีกด้วย จะช่วยให้คุณใจเย็นขึ้นค่ะ และดำเนินการทุกอย่างไปตามวาระนะคะ ตามวาระที่คุณเองรู้สึกว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด และจะนำความสันติที่สุดมาสู่ทุกคน และที่สำคัญ คุณจะได้ของคืน โดยที่ไม่หมางใจกัน นั้นสำคัญยิ่งด้วยค่ะ


สุดท้ายนี้.

เป็นกำลังใจให้คุณค่ะ


https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-02.png

6
555 15 เม.ย. 67 เวลา 01:24 น. 2-1

แนะนำเลอะเทอะ ถ้าพ่อเป็นเจ้าของบ้านแล้วลูกไม่สบายใจลูกควรคุยกับพ่อ ลูกมีสิทธิ์อะไรไปคุยกับป้าแล้วขอให้ป้าออกจากบ้านในเมืื่อตัวเองไม่ใช่เจ้าของบ้าน คนถามอย่าทำตามคำแนะนำนี้เด็ดขาดเป็นคำแนะนำที่แย่มากและไร้ความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง ถ้าทำตามคำแนะนำนี้อาจจะทำให้พ่อกับป้าทะเลาะกันแล้วอาจจะโดนด่าว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอนด้วย

0
White Frangipani 15 เม.ย. 67 เวลา 06:11 น. 2-3

อ้าว ลอง ๆ เม้นต์กลับตั้งหลาย ๆ รอบ แต่ไม่ยอมโพสต์


หรือว่าข้อความที่ตอบเข้ามานะยาวววววไป


จะลองตอบกลับคุณ 555 อีกครั้งข้างล่างนะคะ


0
White Frangipani 15 เม.ย. 67 เวลา 06:13 น. 2-4

เม้นต์นี้ ถึงคุณ555นะคะ


สวัสดีค่ะ คุณ555 เจ้าของคห.ที่2-1


ชื่อของคุณนะคะ ดูคุณมีอารมณ์ดีมาก ๆ เลยด้วยค่ะ

เห็นเป็นภาพรวมในเม้นต์ของคุณแล้วนะคะ

คล้ายคุณหัวเราะร่าเดินเข้ากระทู้มาเลยด้วย

อากาศร้อน ๆ เช่นนี้ อารมณ์ดี ๆ ได้ ก็เป็นเรื่องดีนะคะ

ฮ่า ฮ่า ฮ่า

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/yy-02.png

เจ้าของเม้นต์นี้ก็มีอารมณ์ดี ๆ ด้วยเช่นกันค่ะ

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-02.png

0
White Frangipani 15 เม.ย. 67 เวลา 06:21 น. 2-5

แนะนำเลอะเทอะ


ที่คุณว่า...แนะนำเลอะเทอะ...นี้นะคะ คือคุณรู้สึกเช่นนั้นต่อคำแนะนำของเจ้าของเม้นต์ ซึ่งมีอยู่เป็นเนื้อหายาว ๆ ข้างบนหรือคะ?


ถ้าพ่อเป็นเจ้าของบ้านแล้วลูกไม่สบายใจลูกควรคุยกับพ่อ ลูกมีสิทธิ์อะไรไปคุยกับป้าแล้วขอให้ป้าออกจากบ้านในเมืื่อตัวเองไม่ใช่เจ้าของบ้าน


สาเหตุจากที่คุณกล่าวมานี้นะคะ อาจจะเพราะคุณเองที่ไม่อ่านคำบอกเล่าของเจ้าของกระทู้ให้ละเอียดก่อนมั้งคะ?


ไม่เพียงคุณไม่อ่านข้อความที่เจ้าของกระทู้เล่าเข้ามาอย่างละเอียดเท่านั้นนะคะ แต่คุณไม่มีการใช้ลอจิกในการคิด ในการตีความ และไม่มีหลักการที่จะสามารถพิจารณาสิ่งใดให้เป็นเรื่องราวที่ดี ได้นั้น น่าจะเป็นปัญหาของคุณค่ะ


คือเรื่องเหตุการณ์ของคุณเจ้าของกระทู้นะคะ มีอยู่ว่า...

(จะช่วยยกมาให้คุณอ่านนะคะ)


คือเหตุการณ์ของเจ้าของกระทู้ที่เกิดเป็นปัญหานี้นะคะ มีสาเหตุดังต่อไปนี้ค่ะ

(คุณดูโจทย์ให้ชัดเจนนะคะ)


แต่พ่อเราเป็นคนไม่ค่อยพูดยิ่งอะไรที่เป็นเรื่องแบบนี้ เช่นแบบทวงหนี้ ทำให้คนอื่นเอาเปรียบพ่อบ่อย


คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ มีสาเหตุเป็นปัจจัยชัดเจนดังที่ว่า คุณพ่อของคุณเจ้าของกระทู้ท่านไม่ค่อยพูด ท่านไม่ทันคน จึงทำให้หลายอย่างดูจะยาก หรือเกิดเป็นความยากขึ้นมา คือเกิดเป็นปัญหาตามที่เจ้าของกระทู้พบเจอนะคะคุณ


ซึ่งทั้งหมดนี้นะคะ ตามที่เห็นนี้ คือน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เจ้าของกระทู้เกิดความวังวล จนเป็นปัญหาที่ค้างคาใจ จนต้องตั้งกระทู้ถามขึ้นมา


ซึ่งก็ดีนะคะที่เขามาตั้งกระทู้ถาม เขาได้รับฟังความเห็นที่แตกต่าง เพื่อการแก้ปัญหาไงคะ


เพราะอะไรคุณจึงพิมพ์เข้ามาคล้ายเจ้าของกระทู้ทำสิ่งที่ผิดคะ?


คุณนั้นล่ะที่เลอะเทอะ


เพราะอะไรคุณจึงไม่คิดถึงจิตใจของคนอ่านคะ?


คือหากคุณพ่อของเจ้าของกระทู้ชัดเจนนะคะ คือถ้าท่านพูด ท่านบอก ท่านอธิบายว่าบ้านนั้นเป็นของใคร และสิทธิ์ของใคร ลูก คือเจ้าของกระทู้ก็ไม่ต้องกังวล และไม่ต้องรู้สึกกลัวที่จะต้องเสียบ้านไป เช่นที่เราเห็นผ่านคำบอกเล่าของเขานี้นะคะ


และด้วยที่ว่า เจ้าของกระทู้ได้เล่าเข้ามาด้วยนะคะว่า เขาเองมีอายุ 21 ปีแล้ว หรืออาจจะมากกว่านั้นในวันนี้ ซึ่งก็น่าที่จะถึงเวลาแล้วนะคะ ในการที่เจ้าของกระทู้จักต้องกระโดดเข้าไปจัดการทุกอย่างที่เป็นผลประโยชน์ของตน จริงไหมคะ?


และในที่นี้ ที่คุณกล่าวเข้ามาว่า ถ้าพ่อคุณไม่ได้ยกบ้านให้ใครพอพ่อคุณตายและพ่อคุณไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้สิทธิ์ในบ้านนั้นครึ่งหนึ่งจะเป็นของแม่คุณและสิทธิ์อีกครึ่งหนึ่งจะเป็นของลูก


ซึ่งตรงนี้เจ้าของกระทู้มิได้กล่าวใด ๆ เป็นโจทย์เข้ามาว่ามีใครอื่นเข้ามามีสิทธิ์นะคะ เมื่อในโจทย์ หรือคำบอกเล่าที่เจ้าของเคสเขาไม่ให้มา เพราะอะไรคุณจึงเม้นต์ขยายความออกไปให้ดูเป็นเรื่องที่ดูจะเป็นปัญหาใหญ่ ยุ่งยาก และทำให้ต้องคิดมากเพิ่มขึ้น ทำให้เขาเกิดความกังวลเพิ่มขึ้นคะ?


ในส่วนของแม่ของเจ้าของกระทู้ก็บอกเข้ามาด้วยนะคะว่า


อันนี้เรายอมรับว่าเราหวงบ้าน ทั้งชีวิตเราอยู่บ้านนั้นได้แค่ 4 ปีเอง แม่บอกสร้างไว้เผื่อเราตอนโต


นี่คือโจทย์นะคะคุณ

เมื่อโจทย์ให้มาชัดเจนได้แบบนี้ ยังไม่ชัดเจนสำหรับคุณอีกหรือคะ?


คือเมื่อคุณพ่อของเจ้าของกระทู้ไม่สามารถจัดการได้ จนเกิดเป็นปัญหาดังที่เป็นเคสที่เกิดขึ้นนี้ การที่ลูกผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ต้องจัดการด้วยตัวเอง แม้ว่าจะต้องข้ามขั้นระดับญาติไปบ้าง แต่ก็ไม่ผิดกฎหมายนะคะ ตราบที่เขาเป็นลูกค่ะ


อย่างน้อยเจ้าของกระทู้ก็สามารถคลี่คลายปัญหาทั้งหมดนี้ได้ภายใต้ชื่อบิดาของตน หากผู้เป็นพ่อไม่สามารถจัดการได้ เพราะเจ้าของกระทู้นะคะ เขาบรรลุนิติภาวะแล้วค่ะ และเขาก็มีสิทธิ์ที่จะดูแลรักษาทรัพย์สมบัติที่เป็นส่วนของตน(หรือเป็นส่วนของพ่อ) นั้นไม่ผิดนะคะ


และถ้าเจ้าของกระทู้ทำสำเร็จ บ้านนั้นก็จะไม่ถูกคุณป้าฮุบไป ดีด้วยสิคะ เมื่อยามที่คุณพ่อแก่เฒ่า ชราภาพ คุณพ่อของเจ้าของกระทู้ได้มีที่อยู่อาศัย หรือมีมรดกให้ลูกของตนไงคะ


หรือคุณว่าไงคะ?


การเป็นลูกนะคะ และการทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ผิด หรือเลอะเทอะตรงไหนคะคุณ?


ลูกนะ มีสิทธิ์ช่วยพ่อแม่ทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านกฎหมายได้เต็มที่ และถูกต้องอยู่แล้วค่ะคุณ ยิ่งเจ้าของกระทู้รู้จักผู้เป็นพ่อของเขาเป็นอย่างดีเช่นนี้นะคะ ด้วยความที่รู้จักเป็นอย่างดีจึงกลัวจะเสียผลประโยชน์ หรือกลัวเสียบ้านไป และต้องการทำธุรกรรมแทนคุณพ่อ ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้เจ้าของกระทู้ต้องพูดคุย ปรึกษากับพ่อของตนก่อนการดำเนินการ ซึ่งต้องมีแน่นอนอยู่แล้ว และคำแนะนำก่อนหน้านี้เจ้าของเม้นต์ก็ได้ให้คำแนะนำไว้ด้วยค่ะ


คุณนะคะ ที่ไม่ยอมอ่านให้ถี่ถ้วน


หรือว่าที่เมืองไทยนะ ทำไม่ได้คะ?


คุณดูนี่นะคะ


แต่พ่อเราเป็นคนไม่ค่อยพูดยิ่งอะไรที่เป็นเรื่องแบบนี้ เช่นแบบทวงหนี้ ทำให้คนอื่นเอาเปรียบพ่อบ่อย


การที่ลูก ซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วนะ จะช่วยพ่อคิด ช่วยพ่อจัดการธุรกรรม นั้นเป็นเรื่องที่เลวร้าย เป็นเรื่องขัดต่อกฎหมาย ขัดต่อศีลธรรม ขัดต่อวัฒนธรรมหรือคะคุณ?


คุณจึงใช้คำที่รุนแรงว่าด้วย "พ่อแม่ไม่สั่งสอน"


คุณนะคะที่ไม่คิดก่อนพิมพ์


คนถามอย่าทำตามคำแนะนำนี้เด็ดขาดเป็นคำแนะนำที่แย่มากและไร้ความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง


คุณนั่นล่ะ ก่อนที่จะพิมพ์อะไร ก่อนที่จะกล่าวอะไรนะคะ คิดก่อนไหมคะ?


ตรงข้ามนะคะ เจ้าของเม้นต์นี้ พยายามแนะนำให้เจ้าของกระทู้มีความรับผิดชอบในทุกอย่างต่างหากค่ะ รับผิดชอบในแบบที่ดีงาม เหมาะสมในฐานะที่เป็นหลานด้วยนะคะ คุณกลับขึ้นไปอ่านเม้นต์บนยาว ๆ ของเจ้าของเม้นต์ให้ดี ๆ ละเอียดอีกครั้งนะคะ


ถ้าทำตามคำแนะนำนี้อาจจะทำให้พ่อกับป้าทะเลาะกันแล้วอาจจะโดนด่าว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอนด้วย


ฮ่า ฮ่า ฮ่า


คุณนะคะ คงไม่อ่านเม้นต์ยาว ๆ ของเจ้าของเม้นต์ข้างบนนั้นได้หมดแน่ ๆ คุณจึงกล่าวเช่นนี้ เพราะจริงแล้วนะ เจ้าของเม้นต์นี้ ได้ให้คำแนะนำให้เจ้าของกระทู้อะลุ่มอะล่วยให้คุณป้าเขาด้วยนะคะ


คือแนะนำให้เจ้าของกระทู้ใช้สติ และคลี่คลายปัญหาด้วยการมีมารยาท ในฐานะหลานคนหนึ่งนะคะ และต้องมีความชัดเจนในทุกอย่าง ตามที่ควรจะเป็นภายใต้วัฒนธรรมอันดีด้วยค่ะ


ถ้าทำตามคำแนะนำนี้อาจจะทำให้พ่อกับป้าทะเลาะกันแล้วอาจจะโดนด่าว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอนด้วย


คุณใช้คำว่าอาจจะนะคะ คืออาจจะทำให้พ่อกับป้าทะเลาะกันแล้วอาจจะโดนด่าว่าพ่อแม่ แต่อยากให้คุณรู้นะคะว่า ตามหลักของจิตวิทยาเกี่ยวกับคนที่มีลอจิกดี และมีคุณธรรม มีศีลธรรม และมีมารยาทดีพอนะคะ คุณป้าท่านจะไม่ด่าคุณพ่อ ของเจ้าของกระทู้ และป้าจะไม่ด่าว่าพ่อแม่ว่าไม่สั่งสอนแน่ ๆ ค่ะ


หากแต่ถ้าเจ้าของกระทู้ไปบอกตรง ๆ ว่าขอบ้านคืนด้วยการพูดดี ๆ นะคะ คุณป้าท่านจะละอาย ท่านจะเคารพนับถือความกล้า และการมีความรับผิดชอบ และชัดเจนของหลานป้าแน่นอนค่ะ

จริงนะคะ


เพราะจริงแล้วบ้านหลังนั้นเป็นของน้องชายของป้านะคะ และยังเป็นของหลานป้าด้วยนะคะ(คือบ้านเป็นของพ่อของเจ้าของกระทู้นะคะคุณ)


เอาแบบนี้ดีกว่านะคะ เพื่อความชัดเจน ที่จะมีได้ และเพื่อเป็นหลักฐานให้กับคุณเองนะคะ คุณลอง ทดลองใช้ลอจิก คือใช้ความคิดด้วยหลักการที่ว่าน่าจะเป็นไปได้ดูนะคะ


คือคุณทดลองคิดด้วยตัวคุณเองนะคะว่า หลานผู้ที่กล้าไปขอบ้านคืนจากที่ตน(คุณป้า)ซึ่งทำการย้ายเข้าไปอยู่ทั้งครอบครัว และไม่มีทีท่าจะย้ายออกนะคะ ถ้าเป็นคุณ และคุณเป็นป้า(สมมุตินะคะ)คุณจะกล้าด่าหลานไหมคะ?


ถามจริงค่ะ


ด้วยที่เจ้าของเม้นต์นี้คิดว่า หากคุณเป็นคุณป้า และคุณมีสติ มีศีลธรรม มีคุณธรรม มีมารยาทดีพอ คุณเองจะไม่กล้าแม้จะอ้าปากนะคะ ทั้งนี้ อย่าว่าแต่จะด่าเลยค่ะ


ทั้งนี้ที่เจ้าของเม้นต์อธิบายเช่นนี้ เพราะเชื่อว่าคนที่มีศีลธรรม คุณธรรมเขาจะละอายที่จะคิดฮุบสมบัติของคนอื่น จริงนะคะ


ทั้งนี้เมื่อเข้าใจเช่นนี้ จึงได้ช่วยแนะนำให้คุณเจ้าของกระทู้ในแบบทั้งยืดหยุ่น และเตรียมความพร้อมที่จะดำเนินการตามที่ต้องทำ หากคุณป้าไม่สนที่จะร่วมด้วยช่วยกันคลี่คลายปัญหา


คือหากคุณป้าทำเมินเฉย ไม่แยแส ไม่ให้ร่วมมือ ไม่ใส่ใจ แน่นอนเจ้าของกระทู้ก็คงต้องทำการดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งก็ไม่ผิดนะคะ


คือหากป้าไม่นับหลาน หลานก็ต้องใช้กฎหมายช่วย เพราะหลานอยากได้บ้านคืน

คือก็เป็นความถูกต้อง และยุติธรรมแล้วนะคะ(คือแนะนำเผื่อไว้ค่ะ)


คุณจะกล่าวหาว่าเจ้าของเม้นต์เลอะเทอะได้อย่างไรกันคะคุณ?


มาถึงวันนี้นะคะ เรา ๆ ทุกคน เป็นคนยุคใหม่แล้ว ทำอะไรก็ให้ชัดเจนถูกต้องดีกว่านะคะ


และจงอย่าเอาความคิดติดเดิม ๆ และวัฒนธรรมเดิม ๆ ชนิดลูบหน้าปะจมูกมาใช้ข่มขู่กัน เพื่อให้เรา ๆ ต้องยํ้าคิด ยํ้าทำ และยํ่าอยู่กับที่ เลยดีกว่านะคะ


คือวิธีคิด วิธีทำที่ถูกต้องนะคะ จักทำให้ทุกคนที่มีส่วนร่วมมีความรู้สึกดี มีความสุขสงบค่ะ


ยิ่งเรื่องทรัพย์สมบัติ เรื่องผลประโยชน์ ในเรื่องของการนำเอาสาเหตุที่เป็นญาติ เป็นมิตรมาบังหน้า มาอ้างเพื่อที่คนเห็นแก่ตัวจักทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ เช่นการเอารัดเอาเปรียบ การโกง การเบียดเบียนกัน และกันในเครือญาติ ด้วยการนำเอาคำว่าญาติมิตรมาอ้างเพราะความเห็นแก่ตัว น่าจะถึงเวลาเลิก และละ ทิ้ง ไปได้แล้วค่ะคุณ


ตามกฎหมายนะคะ ทุกคนมีสิทธิ์เท่ากันค่ะ ตราบที่ทุกคนมีศีลธรรมในจิตใจ และมีความบริสุทธิ์ใจ และมีความสัมพันธ์ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น พ่อแม่ลูก สามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ แทนกันได้ ตราบที่เขาทั้งหลายไม่วิกลจริต แต่เขายังคงมีสติดีครบถ้วนค่ะ


คือไม่ว่าจะเป็นญาติมิตรหรือไม่ ตามกฎหมาย คนเรานะ น่าจะมีสิทธิ์เท่ากันค่ะ และยิ่งเป็นญาติล่ะ ที่ในบางราย ในบางเคสร้ายมาก เพราะเอาคำว่าญาติมาอ้าง เพื่อเอารัดเอาเปรียบญาติด้วยกัน เหตุเช่นนี้มีเกิดขึ้นมากมาย จริงนะคะ ซึ่งเคสเช่นนี้ล่ะ ที่กฎหมายต้องมีส่วนช่วย และกฎหมายต้องมีความยุติธรรมและศักดิ์สิทธิ์ด้วย


คือ "ถ้าทุกคนนะ ต้องการเป็นญาติทีี่ดี ต้องยอมฉัน ต้องยกให้ฉันมากกว่า หรือต้องยกให้ฉันเพียงคนเดียวสิ" ญาติแบบนี้ มีเยอะจริงนะคะ


น่าที่จะถึงเวลาที่ต้องให้เหตุการณ์แย่ ๆ ที่เป็นอะไรที่กดดันกัน และสังคม ในเหตุดังกล่าวนี้ ดับหายไปเสียทีนะคะ


ซึ่งมาถึงวันนี้ เป็นยุคไหน สมัยไหนแล้ว น่าที่จะถึงเวลาของกฎหมายได้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อทุกคนได้รับสิทธิ์ที่พึงควรได้ และได้รับความยุติธรรมที่ควรได้แล้วค่ะ ทุกคนได้รู้สึกดี และรู้สึกว่าสังคมที่เขาอาศัยอยู่นะ จะเกิดเป็นสังคมหน้าชื่นตาสว่าง รู้สึกสดชื่นและมีวามพึงพอใจในการอยู่ร่วมกัน ทุกคนได้เป็นสุขกันถ้วนหน้า เมื่อได้สิทธิ์ที่ถูกต้องที่เขาควรได้ และควรมี ทั้งหมดนี้จะเกิดเป็นความสงบสันติ ด้วยความพึงพอใจที่เขาทั้งหลายควรได้ คือจะเกิดเป็นสังคมที่ผาสุขค่ะ


และในเคสนี้ เจ้าของกระทู้เป็นลูกของเจ้าของบ้านนะคะ และคุณแม่ของเจ้าของกระทู้ก็บอกด้วยว่าปลูกบ้านไว้ให้ลูก ซึ่งบ้านหลังนี้มีค่าต่อจิตใจมากกว่าราคาของบ้านด้วยสำหรับเจ้าของกระทู้ก็ว่าได้ จริงไหมคะ?


เพราะฉะนั้นแน่นอนเป็นสิทธิ์ของเจ้าของกระทู้ ที่จะทำการดำเนินเรื่องแทนคุณพ่อได้ หากท่านไม่สามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยตนเองค่ะ


โอเคนะคะ ทั้งหมดนี้เป็นความคิดของเจ้าของเม้นต์เอง และก็นำมาแนะนำตามที่ตนเข้าใจว่าน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด และได้ช่วยอธิบายมุมมอง และแง่คิด และวิธีคิดของเจ้าของเม้นต์นี้ ให้คุณแล้วนะคะ และแน่นอนว่าเรา คือคุณ555 กับเจ้าของเม้นต์นี้ อาจจะมีความคิดที่แตกต่างกันได้ นั้นคุณเองต้องยอมรับให้ได้ และต้องให้เกียรติ์ด้วยนะคะว่า คนเรานะสามารถคิด และทำ แก้ปัญหาต่าง ๆ ในวิธีที่แตกต่างกันได้ แม้จะเป็นเคสเดียวกันก็ตามทีค่ะ


และถ้าคุณอยากสนทนาต่อ หรือถกต่อนะคะ กรุณาใช้คำที่สุภาพด้วยนะคะ

เพราะที่นี่เป็นเว็บสำหรับเด็ก ๆ เขานะคะ


หรือหากไม่ คุณก็สามารถปล่อยผ่านไป ก็ตามนั้นค่ะ


สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณ ที่คุณเข้ามาแลกเปลี่ยน และแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างไว้ภายใต้เม้นต์ที่เป็นแง่คิด มุมมองของเจ้าของเม้นต์ข้างบนซึ่งเป็นเม้นต์ย่อย ในหัวข้อที่มีอยู่เป็นประเด็นของกระทู้ค่ะ

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-02.png

0
555 14 เม.ย. 67 เวลา 19:52 น. 3
ใจเย็น ๆ ก่อนนะคุณ ตกลงเจ้าของบ้านคือพ่อคุณใช่ไหม จากที่คุณเล่าแม่คุณคงไม่ใช่เจ้าของบ้าน ถ้าพ่อคุณเป็นเจ้าของบ้านแล้วพ่อคุณยังไม่ตายคุณยังไม่มีสิทธิ์ในบ้านนั้นนะ พ่อคุณมีสิทธิ์ที่จะยกบ้านนั้นให้ใครก็ได้พ่อคุณไม่จำเป็นต้องยกบ้านให้คุณ ถ้าพ่อคุณไม่ได้ยกบ้านให้ใครพอพ่อคุณตายและพ่อคุณไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้สิทธิ์ในบ้านนั้นครึ่งหนึ่งจะเป็นของแม่คุณและสิทธิ์อีกครึ่งหนึ่งจะเป็นของลูก ที่คุณบอกว่าคุณตั้งกระทู้แล้วโดนด่าไม่แปลกเลย พ่อคุณยังไม่ตายคุณก็อยากได้บ้านแล้ว แล้วคุณนี่ก็แปลกถ้าคุณกังวลเรื่องนี้ทำไมคุณไม่คุยกับพ่อคุณคุณมาตั้งกระทู้ทำไม คุณได้คุยกับพ่อคุณบ้างไหม
2
Mr_C 14 เม.ย. 67 เวลา 21:28 น. 3-1

ตรงนี้ผมขอมองอีกมุม

ถ้าคุณ พ่อ ไม่ได้อยากยกให้ แต่ ป้า อยู่จนถึงเกณฑ์ "ครอบครองปรปักษ์" ได้ ต่อให้ไม่เต็มใจยกให้ ก็โดนบังคับอยู่ดี

0
555 15 เม.ย. 67 เวลา 01:10 น. 3-2
ศึกษากฎหมายให้ดี ๆ ก่อนคุณ ถ้าพ่อเขาอนุญาตให้ป้าอยู่ชั่วคราวอย่างนี้ไม่เข้าข่ายครอบครองปรปักษ์นะ แค่อยู่อาศัยไม่ใช่ว่าจะอ้างสิทธิ์ครอบครองปรปักษ์ได้ไม่อย่างนั้นลูกที่อยู่บ้านพ่อแม่ครบ 10 ปีก็ยึดบ้านพ่อแม่โดยอ้างว่าครอบครองปรปักษ์ได้สิ ผู้พิพากษาไม่ได้บ้องตื้นนะคุณ กรณีนี้เขาบอกว่าปู่ให้ป้าเฝ้าบ้านก็คือปู่พูดแทนพ่อว่าให้ป้าช่วยเฝ้าบ้านถ้าพ่อรู้เรื่องทีหลังแล้วไม่ได้โต้แย้งอะไรก็คือพ่อเห็นด้วยหรืออนุญาตว่าให้ป้าเฝ้าบ้านให้ กรณีนี้จะเริ่มเข้าข่ายครอบครองปรปักษ์ก็ต่อเมื่อป้าประกาศให้พ่อหรือคนในครอบครัวพ่อให้รับรู้อย่างชัดเจนว่าป้าต้องการยึดบ้านหลังนี้เป็นของตัวเองแล้วหลังจากประกาศแล้วต้องอยู่บ้านนั้นจนครบ 10 ปี
0
Mr_C 14 เม.ย. 67 เวลา 21:18 น. 4

เหตุการณ์แบบนี้ มีทางเลือกไม่กี่ทาง เอาเท่าที่รู้นะครับ

1. ไปคุยกับ "ป้า" ก่อน (เข้าไปคุยกันดีๆ ใช้เหตุ ผล ตามคำแนะนำของ คุณ "White Frangipani" นะครับ)


2.ทำสัญญาเช่า คิดเงิน ไม่คิดเงินก็ว่ากันไป (ถ้าคุยกันเข้าใจ แต่อยากอยู่ต่อให้มาจบที่ทำสัญญาเช่าแบบไม่เกิน 3 ปี ต่อ ครั้ง ถ้าเกิน 3 ปี ต่อครั้งต้องไปทำสัญญาบนสำนักงานที่ดิน)

3.แจ้งความข้อหาาบุกรุก หรือ ฟ้องขับไล่ (เจ้าของบ้าน หรือ ตัวแทน ไปแจ้งความ ; ไม่แนะนำ ยกเว้นคุยไม่รู้เรื่อง)

คำถามเพิ่มเติม

1.โฉนดที่ปลูกบ้านหลังนี้เป็นชื่อใคร และครุฑเป็นสีอะไร (แดง , เขียว , ดำ)

2.บ้านหลังนี้ตอนก่อสร้างใครเป็นผู้ขออนุญาต และมิเตอร์น้ำ ไฟ ใครเป็นคนขอ


3.ป้า มาอยู่บ้านหลังนี้กี่ปีแล้ว

สีครุฑ จะบอกว่าอยู่อย่างเปิดเผยกี่ปี ถึงจะครอบครองปรปักษ์ได้

1.สีแดง ต้องครอบรอง 10 ปี ติดต่อกัน

2. สีเขียว , ดำ ครอบครองแค่ 1 ปี


ต่อไปเป็นการแก้การครอบครองปรปักษ์ (กรณี ยังไม่ครบเวลาครอบครองปรปักษ์ และคุณ พ่อ หรือ แม่ เป็นเจ้าของที่ดิน และบ้าน)

1.เจ้าของบ้าน หรือ ตัวแทน ไปถ่ายรูป หรือ vdo ที่หน้าบ้าน (ให้เปิดแสดงข้อมูล เวลา วัน เดือน ปี ในรูปด้วย ; พอจะใช้เป็นหลักฐานได้)


2.เจ้าของบ้าน หรือ ตัวแทน เข้าไปคุยกับ ป้า พร้อมถ่าย vdo หรือ อัดเสียง โดยเริ่มต้นประมาณว่า "ขออนุญาตอัดเสียง หรือ ถ่าย vdo" (ไม่ขอเดี๋ยวจะโดนเล่น PDPA)

รอคำตอบก่อนว่าได้ หรือ ไม่ ถ้าได้ให้เริ่มด้วย "คุณ...ชื่อ-นามสกุล..ของป้า... ใช่ไหม (รอคำตอบ) เรา/ผม ชื่อ ...... เป็นเจ้าของบ้าน หรือ เป็นตัวแทนเจ้าของบ้าน จะมาแจ้งว่าบ้านหลังนี้เจ้าของยังไม่ได้สละสิทธิการครอบครองเลยมาแจ้งให้ทราบ" (อยากให้ใช่วิธีนี้ก่อนข้อ 3) ถ้าไม่อนุญาตให้ อัด หรือ ถ่าย ให้เดินทางกลับ แล้วไปใช้ข้อ 3 แทน


3.ไปปรึกษาทนายความ ให้ช่วยทำหนังสือ notice (โนติส ; หนังสือบอกกล่าวทวงถาม) ให้

แล้วให้เราส่งไปยังบ้านหลังนั้น ต้องส่งด้วยวิธีการส่งจดหมายลงทะเบียนเท่านั้น

เพื่อให้มีการเซ็นต์รับจดหมาย (บ่งบอกว่า notice ได้รับแล้ว)

และต้องมีสำเนา notice ที่ส่งไปเก็บไว้กับเรา หรือ ทนาย 1 แผ่น แล้วเก็บใบเสร็จที่ส่ง notice แบบลงทะเบียนไว้ด้วย เพื่อกรณี ไม่ยอมรับจดหมาย หรือ ไม่ยอมเซ็นต์รับ ใบเสร็จนี้จะเป็นหลักฐานเหมือนกันครับ (เป็นหลักฐานที่ดีที่สุด ว่าเรามีการยื่น notice)

2
555 15 เม.ย. 67 เวลา 01:19 น. 4-1

ถ้าไม่มีความรู้เรื่องกฎหมายพื้นฐานอย่าแนะนำคนอื่นเลยจะพาเขาเข้ารกเข้าพง กรณีนี้ถ้าพ่อเป็นเจ้าของบ้านถ้าไม่สบายใจควรไปคุยกับพ่อถ้าพ่อบอกว่าพ่ออนุญาตให้ป้าอยู่ที่บ้านพ่อชั่วคราวได้ก็จบแค่นั้น

0
Mr_C 15 เม.ย. 67 เวลา 20:42 น. 4-2

ผมพอเข้าใจที่ คุณ 555 พยายมจะสื่อสารอยู่ครับ คือ จะตีความไปว่า ป้า เข้ามาอยุ่ในบ้านหลังนั้น โดยอาศัยสิทธิ - ถือวิสาสะ ใช่ไหมครับ ถ้าใช่อันนี้ไม่นับเป็น ปรปักษ์ จริง แต่มันเป็นในกรณีที่ ป้า ยอมรับว่าสิทธิในบ้านและที่ดิน เป็นของ พ่อ ไม่ใช่ของตนเอง (ถึงว่าให้ไปคุยกับป ป้า ดูก่อน ถ้ายอมก็ลงลายลักษณ์อักษร ตัดโอกาสการเกิดปัญหาทีหลัง) ทั้งนี้ก็ต้องให้คุณพ่อ (เจ้าของ) เป็นคนจัดการ แต่จะว่าไปผมก็ลืมไปอย่างว่า เราทำสัญญาระหว่างกัน โดยไม่ต้องไปที่สำนักงานที่ดินก็ได้ ทำเหมือนเป็นข้อตกลง โดยมีการเซ็นต์ชื่อทั้ง 2 ฝ่าย

------------------------

ส่วน ป้า ถ้าจะฟ้องเป็นครอบครองปรปักษ์ ก็พอจะฟ้องได้ เช่น แสดงเจตนาชัดเจนว่าจะยึดเป็นเจ้าของ โดยไม่ให้เจ้าของสิทธิที่แท้จริง เข้าไปในที่ดิน หรือ บ้าน หรือ กระทำการใดๆ ในที่ดังกล่าว ให้นับจากวันนั้นไป 10 ปี ก็พอจะมีข้อกฎหมายตีความได้ ใช้กฎหมาย แพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 1381 พอเทียบเคียงได้ คุณพ่อผม เคยโดนเรื่องนี้ 1 ครั้ง แล้วแพ้ด้วย - - โดน อา ฟ้อง หลังจากนั้นมาญาติคนไหนมาขออยู่ ขอสร้างบ้านจับทำสัญญาหมด แต่ก็ไม่คิดค่าเช่า และก็ไปมาหากันตลอด (ส่วน อา คนนั้น ปัจจุบัน ไม่นับญาติ แล้ว) อีกอย่างตอนนั้นผมยังเด็กมากๆ เลยไม่รู้ว่าทนาย คุณพ่อ ตั้งประเด็นไหนขึ้นมาต่อสู้ด้วย ผมรู้แค่ว่าแพ้คดี

-----------------------


แต่ถ้าเรามีการทำสัญญาเช่า หรือ ข้อตกลงการอยู่อาศัย ก็หักล้าง มาตรา 1381 ได้ ถ้าผู้เช่าไม่แสดงหลักฐาน การปฎิเสธ หรือ แจ้งแก่เจ้าของสิทธิ ว่าจะไม่ถือสิทธิแทน ให้ถือว่าไม่เป็นการครอบครองปรปักษ์ ครับ ตาม "คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10255/2551"

การขับไล่เจ้าของสิทธิที่แท้จริง ออกจากที่ดิน หรือ บ้าน หลังที่มีปัญหา ตีความเป็น การแสดงเจตนายึดครองโดยเปิดเผย ได้อยู่นะครับ (แสดงการไม่ถือสิทธิแทนเจ้าของที่แท้จริง)

และก็ถ้า พ่อ-แม่ หรือ คุณ มีการไปมาหาสู่กับ ป้า กันตลอด มีการถ่ายรูปคู่กันอยู่บ่อยๆ อันนี้ ป้า จะอยู่นานแค่ไหนก็ไม่เป็นการครอบครองปรปักษ์ ครับ (แต่แนะนำเหมือนเดิม คือ เขียนสัญญา หรือ ข้อตกลง ไว้หน่อยดีกว่า)

0
Mr_C 15 เม.ย. 67 เวลา 15:05 น. 5

ปัญหามันอยู่ที่ "ถ้าพ่อเขาอนุญาตให้ป้าอยู่ชั่วคราวอย่างนี้" มีการเขียนเป็น ลายลักษณอักษร ไหมครับ

ถ้ามีเป็น ลายลักษณ์อักษร มีการเซ็นต์ ชื่อทั้งสองฝ่าย อันนี้ ok ครับ

น้ำหนักของการเขียนหนังสือสัญญา มีน้ำหนักมากกว่า คำพูด เพราะคำพูดพิสูจน์ไม่ได้ว่าพูดจริงไหม พูดกับใคร พูดเวลาไหน ถ้าไม่มีการอัดเสียงไว้้และก็ต้องเป็นการพูดกับอีกฝ่ายด้วยให้เขารับรู้ว่าแค่ "ชั่วคราว" แต่ให้ระวัง PDPA ครับ

เหตุผลที่ผมพอแนะนำได้ เพราะเป็นเคสที่ผมเจอมากับตัว (ครอบครัว)

และอีกอย่าง การยื่น notice ไม่ใช่การฟ้อง นะครับ (notice ถ้าเขียนเองได้ก็เขียนเอง)

เป็นแค่ "การแก้การครอบครองปรปักษ์" เพื่อให้เริ่มนับเวลาใหม่เท่านั้นเอง ไม่ใช่การฟ้องขับไล่แต่อย่างใด ครับ เพราะทนายยุทางผมอยู่ตอนที่ notice ครั้งแรกส่งไปแล้วไม่มีคนรับ ว่าให้ฟ้องขับไล่เลย ส่วนทางผมบอกให้ส่งไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีคนรับแล้วจบที่มำหนังสือสัญญา โดยไม่ต้องฟ้องศาลครับ

0
มัณทนา 15 เม.ย. 67 เวลา 15:45 น. 6

ถ้าบ้านเจ้าปัญหาอยู่กทม.

แนะนำให้ปรึกษากับสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาที่อยู่ใกล้บ้านค่ะ

ถ้าอยู่ต่างจังหวัด

แนะนำให้ปรึกษากับสำนักงานที่ดินจังหวัดในจังหวัดที่น้องอาศัยอยู่

สำนักงานที่ดินจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับแปลงที่ดิน โฉนดที่ดิน โอน ซื้อ ขายมากกว่า


เมื่อปลายปีที่แล้ว เรา พี่สาว และลูกสะใภ้ของตั่วโกวไปทำเรื่องโอนโฉนดที่ดิน

พี่สาวมีเพื่อนทำงานอยู่ที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครและติดต่อไปล่วงหน้า

บ้านที่เราอยู่มาตั้งแต่อายุ 3 ขวบเป็นบ้านปลูกเอง

(ในทะเบียนบ้าน พ่อเป็นเจ้าบ้าน)

ลูกสะใภ้ของตั่วโกว (เจ้าของโฉนดคนแรก) บอกว่าถ้าเขาตาย

บ้านหลังนี้ตกจะเป็นของเราเพียงคนเดียว

บอกเอาไว้ตั้งแต่เราอายุ 3 ขวบ

พ่อ พวกพี่ชาย พี่สาว และพวกญาติ ๆ ทางฝั่งพ่อช่วยกันลงขันออกเงินและยกเงินให้เลย

ทุกคนอยากให้บ้านหลังนี้เป็นของเราคนเดียวและปรึกษากันแล้วว่าจะโอนชื่อให้เราเลย

เพราะตอนนี้ เขาแก่มากแล้ว

สำนักงานที่ดินให้ลงชื่อมากกว่า 1 คนได้ค่ะ

ชื่อในโฉนดที่ดินมี 2 คน คือ พี่สาวกับเรา

0
ixoraFlowerlady 16 เม.ย. 67 เวลา 15:09 น. 7

ฟ้องทนายกับตำรวจไล่ไปเลย ไม่ก็เก็บค่าเช่า


บ้านหลังในเมืองหลวง 30000 ได้มั้ง


ต่างจังหวัดก็เจ็ดแปดพัน

1
Sfgsdhgdv 17 เม.ย. 67 เวลา 14:32 น. 8

สถานการณ์ของคุณเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับความรู้สึกและความสัมพันธ์ในครอบครัว ซึ่งต้องการการจัดการอย่างรอบคอบและเอาใจใส่ นี่คือคำแนะนำบางประการที่อาจช่วยคุณ:

1. การสื่อสารอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา: สิ่งสำคัญคือการพยายามสื่อสารกับพ่อและปู่ของคุณเกี่ยวกับความรู้สึกและความกังวลของคุณเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ พยายามหาโอกาสที่เหมาะสมเพื่อพูดคุยเรื่องนี้อย่างจริงจังและอย่างมีเหตุผล
2. พิจารณาข้อตกลงหรือการเจรจา: หากปู่ของคุณยังไม่มีแผนที่จะกลับไปเพชรบูรณ์ อาจต้องพิจารณาถึงการทำข้อตกลงหรือการเจรจากับป้าและครอบครัวของเธอเกี่ยวกับการอยู่อาศัยในบ้านหลังนี้
3. ขอคำปรึกษาจากผู้ใหญ่หรือผู้เชี่ยวชาญ: อาจต้องการขอคำปรึกษาจากผู้ใหญ่ในครอบครัวหรือจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเพื่อหารือเกี่ยวกับสิทธิและวิธีการจัดการกับเรื่องนี้อย่างเหมาะสม
4. รักษาความสงบและอดทน: ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและความรู้สึก การรักษาความสงบและอดทนเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้คุณสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. หาทางเลือกหรือแผนสำรอง: ในขณะที่คุณกำลังพยายามหาทางแก้ไขปัญหานี้ อาจเป็นการดีที่จะคิดถึงทางเลือกหรือแผนสำรองสำหรับที่อยู่อาศัยของคุณเองด้วย
จำไว้ว่า การตัดสินใจหรือการดำเนินการใดๆ ควรพิจารณาถึงผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวและความรู้สึกของทุกคนที่เกี่ยวข้อง การหาทางออกที่เป็นธรรมและยุติธรรมสำหรับทุกฝ่ายอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ด้วยการสื่อสารที่ดีและความเข้าใจซึ่งกันและกัน จะช่วยให้คุณสามารถหาทางออกที่เหมาะสมได้ค่ะ
0