Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เทคนิคการเข้าฌาน สำหรับคนที่ไม่มีอะไรทำ หรือคนที่สนจาย

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
เทคนิคการเข้าฌาน 
  

  เข้าเรื่องกันดีกว่าครับ ... เด็กมักนั่งสมาธิได้ดีกว่าผู้ใหญ่ ...
เพราะเด็กบางคนทำตามโดยซื่อ และบางคนมีนิสัยไม่วอกแวก และไม่มีเรื่องให้กลุ้ม หลายครั้งที่เมื่อก่อนตอนผมยังเด็ก ครูให้นุ่งสมาธิหน้าห้อง ก่อนเข้าชั้นเรียนในตอนบ่าย (คิดว่าหลายโรงเรียนคงเป็นอย่างนี้ : โรงเรียนประถมศึกษา สมัยเมื่อ พ.ศ. 2536 ) วันไหนอารมณ์สบาย จะมีอาการน้ำตาไหล ตัวโยกเหมือนจะลอย แล้วก็วูบตกๆ เมื่อก่อนไม่ทราบว่าเป็นอะไร แต่ก็สนุกดี ชอบมากคิดว่าตัวเองจะเหาะได้เหมือนซุบเปอร์แมน ถามเพื่อนๆ ดูบางคนก็บอกเคยเป็นเหมือนกัน ซึ่งก็คืออาการปีติ จิตตอนนั้นเป็นอุปาจารสมาธิ

 

 

    เอาล่ะ  ขณิกสมาธิ เราคงไม่ต้องพูดถึงมาก หลายคนเรียกว่าทุกคน เคยสัมผัสมาแล้ว ก็เวลาที่คุณคิดแก้ปัญหาเรื่องใด เรื่องหนึ่งอยู่นั่นไงล่ะ หากจิตคุณไม่เกิดสมาธิขึ้น คุณก็จะไม่สามารถคิดแก้ปัญหานั้นออกได้ จะเห็นว่าช่วงเวลาที่เป็นสมาธิเพียงแว้บเดียวแล้วคิดออกนั่นแหละ คือ ขณิกสมาธิ มีองค์วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เป็นต้น เพียงชั่วขณะ

(จะเห็นว่าก่อนจะคิดออก เราจะต้องนึกถึงปัญหานั้นซ้ำๆๆๆ และตอนเราคิดออก จะเหมือนมีภาพฉายแว้บ.... แล้วเข้าใจปัญหาแก้ปัญหาได้ทันที และเราจะดีใจมาก:ปีติ มีความสุขมาก:สุข )

 

 

    ทีนี้ อุปาจารสมาธิ เราก็มาดูกันว่า ทำมัยสมัยเด็กๆ เราทำได้ง่ายๆ เท่าที่วิเคราะห์-ศึกษาค้นคว้า และลองทดสอบแล้วพบว่า เราจะต้องวางตัววางใจดังนี้

    1. จัดการปลิโพธะ เล็กๆ น้อยๆ ให้เรียบร้อยเสียก่อน ก็เช่น ตัดเล็บ ตัดผม อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน แต่งชุดสบาย อยู่ในสถานที่รื่นรมย์(อ๊ะๆ อย่าเข้าใจผิด คิดลึกนะคร้าบ รู้นะคิดอะไรอยู่ เหอะๆๆ) คือ ร่มรื่น สงบเงียบ เย็นสบาย ลมพัดหน่อยๆ มีลานหรือสถานที่นั่งสบายๆ กินข้าวอิ่ม ไม่เดือดร้อนการงานในภายหน้า ไม่กังวลเครียดอยู่กับเรื่องที่ผ่านมาแล้ว เป็นต้น (ก็คือ บรรยากาศของโรงเรียน บ้านนอกๆ กินข้าวเที่ยงแล้ว หล้างหน้าแปรงฟันแล้ว เสียงระฆังสัญญาณดัง ทุกคนก็เข้าแถว หน้าห้อง นึกถึงตอนนั้นแล้ว บรรยากาศดีจริงๆ เมื่อตอนนั่งสมาธิกัน โรงเรียนจะเงียบมากกกกกกกกก ใครจะดื้อจะซน เราไม่สน เพราะเราอยากเหาะได้ 555555555 แต่ก็เหาะไม่ได้ซักที)

    2. สวดมนต์เล็กน้อย ตามกำลังอย่าให้มากเกินไป จนจิตใจเฝื่อน ประมาณ 5 นาทีพอ เอาแค่ นะโม 3 จบ อรหัง สัมมา, สวากขาโต, สุปฏิปันโน (อาจบูชาพระกรรมฐานก่อนก็ได้ แต่อย่าให้ยาวนัก) แล้วก็เริ่มเลย

    3. อย่าสนใจใคร หายใจเข้า พุธ หายใจออก โธ คิดอยู่แค่นั้นพอ อย่าสนอะไร สนแค่   พุท   โธ              ลมเข้า  ลมออก ....... สบาย ๆ ไม่ต้องเกร็งนะครับ

    4. แรกๆ กำหนดเวลาแค่ 5 นาที 10 นาที พอที่ใจยังไม่ฟุ้ง ก็พอ (สมัยเรียน นั่งแค่ 5 นาทีเอง บางวันนานหน่อย 10 นาที อาจารย์ลืมตีระฆัง, ลืมดูเวลา ฯ) ลองเลื่อนเวลาออกไปเรื่อย ๆ จับนาฬิกาดูว่า ปกติเราจะฟุ้งภายในกี่นาที และค่อย ๆปรับให้นานขึ้น ๆ

    5. แต่ต้องทำทุกวัน ถึงเวลาที่เคยนั่ง ต้องนั่ง ต้องกำหนดเวลาตายตัว ในช่วงที่สะดวกสุด ถือว่าเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่ง

    6. สุดท้าย อย่าลืมแผ่เมตตา สัพเพสัตตา ธรรมดาๆ นี่แหละ

    7. ที่สำคัญ ได้ไม่ได้ อย่าซีเรียส ทำอย่างวัยรุ่นว่า ชิล ชิล ทำแบบเดะ ๆ เบสิก ๆ

    8. หากได้อุปาจารสมาธิ เกิดปีติอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น ให้สังเกตอารมณ์ตอนนั้นไว้ แล้วพยายามทรงอารมณ์นั้นไว้เรื่อย ๆ ๆ ๆ อย่าคิดว่าจะเร่งให้เข้าสู่ระดับสมาธิที่สูงขึ้นไปเป็นอันขาด เดี๋ยวจะกลายเป็นอยาก นอกจากจะไม่ได้สมาธิระดับสูงขึ้นไปแล้ว ก็จะเสื่อมลงจากระดับนี้ พอเสื่อมหายไปก็อย่ากลุ้ม ตั้งต้นใหม่ เหมือนเริ่มตั้งแต่แรก พยายามทำอารมณ์ใจให้เหมือนเดิม

    9. หากเคยได้อุปจารสมาธิในท่าทาง หรือที่นั่งใด ควรทำที่นั่นอีก จนถึงที่สุดแห่งฌาณ (4) : จากตำราพระวิสุทธิมรรค

 

 

    ระดับ อัปปนาสมาธิ จะมี 4 ขั้น หรือ 5 ขั้นก็แล้วแต่จะแบ่ง ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความสมาธิเบื้องต้น จะเข้าอัปปนาสมาธิ ก็ต้องผ่านอุปจารสมาธิ ขึ้นมา เอาเป็นว่าหากท่านได้อุปจารสมาธิแล้ว ต้องการจะได้อัปปนาสมาธิ ลองทำอย่างนี้ดู

    1. เริ่มที่ อุปาจารสมาธิ เกิดขึ้นแล้วก็วางใจในระดับนั้นไว้เรื่อยๆ และเฉยๆ ไว้ที่สุด เฉยกับอาการ ปีติ แต่ไม่ใช่ไปไล่ปีติออกไปนะครับ(ถ้าอย่างงั้นก็คือ จิตตกจากอุปาจารสมาธิซะแล้วววว คือ ถึงจะผ่านอุปาจาร เข้าสู่ปฐมฌาน แต่ก็ยังมีปีติอยู่ ดูในบทความที่แล้ว ๆ มา) และก็ภาวนาไปเรื่อย ๆ เฉย ๆ ไว้ นิ่งๆไว้ ทำแบบทองไม่รู้ร้อน ไม่รู้ไม่ชี้อ่ะครับ พอถึงระดับ ปฐมฌาน จะมีอาการนิ่ง ไม่วอกแวก ออกจากองค์ฌานทั้ง 4 เลย เรียกว่าจิตเข้าสู่ เอกคตาจิต ก็คือ จิตนิ่งนั่นเอง เหมือนน้ำในสระหลังบ้าน ที่สงบนิ่ง ยังไงยังงั้น ทำไปเรื่อย ๆ

    2. หากอยู่ ๆ ไม่มีการภาวนาไปเฉยๆ ชาวบ้านเรียกลืม แต่ความจริงเรียกว่าละวิตก วิจารณ์ หรือเพิกวิตก วิจารณ์ นั่นคือ ทุติยฌาน แล้วจิตจะจับอยู่แค่ปีติ สุข และจิตนิ่ง และหากรู้สึกตัวว่าลืมภาวนาเมื่อไหร่ ว่าเอ๊ะนี่เราลืมภาวนา ตอนนั้นแหละ รู้ไว้เลยว่า จิตเผลอหลุดจาก ปฐมฌาน และทุติยฌานซะแล้ว (คือ ฌาน 1 - 3 ไม่มีอารมณ์คิด) ปล. จิตบางคนอาจกลับเข้าสู่ระดับเดิมได้เร็ว และช้าต่างกัน

    แต่ก็ไม่ใช่ไปหยุดภาวนาเอาเองนะ ถ้าทำอย่างนั้น ก็เท่ากับใส่เกียร์ถอยหลัง ลงคลองไปเลย ถ้าจิตเฉยมีกำลังมากเข้า มันจะไปตัดตัววิตก วิจารณ์เอง โอเคมั้ยครับ

    3. ต่อไปก็ทำเหมือนเดิมคือ เฉย ๆ กับปีติ เฉย ๆ กับสุข และนิ่ง ๆ เข้าไว้ พอกำลังเฉยมีมากเข้า นิ่ง ๆ มีมากเข้า จิตก็จะตัดปีติ ไปเอง คือกลายเป็นไม่สนใจปีติ อาการขนลุกขนพอง, น้ำตาไหล ฯ จะหายไปเอง นั่นคือเข้า  ตติยฌาน เหลืออารมณ์สุข กับ เอกคตา ถึงจุดนี้ จะรู้สึกว่ากายแข็งทื่อ เหมือนเราอยู่ในเสื้อเกราะ จิตตัวในจะใส เริ่มสังเกตเห็นได้ และสุข อย่างเดียว นิ่งดิ่ง (ปล. การที่เรานึกคิดเช่นนั้นได้ว่า เอ๊ะ ทำไมตัวเราแข็ง นั่นหมายความว่า จิตเราถอนออกจากตติยฌานแล้ว ถึงได้งง สงสัย หากดึงจิตกลับ เลิกฟุ้งซ่านจะเข้าสู่จุดเดิมได้ โดยวางใจเช่นเดิม) คุณเคยขึ้นลิฟต์กันใช่มั้ยครับ เหมือนอย่างนั้นเลย จากฌาน 1 - 3 มันเร็วมาก เหมือนขึ้นลิฟต์ พอถึงชั้น 3 มันหยุด กิ๊ง อยู่อย่างนั้น ถึงขั้นนี้เหมือนเราอยู่ในลิฟ ประตูยังไม่เปิด จนกว่าจะถึงฌาน 4 แต่ก็ไม่อึดอัด เหมือนติดอยู่ในลิฟต์ค้างนะครับ จะสุขใจ ละมุนละมัย เห็นชัดว่าจิตแยกจากกายอยู่ "นี่กาย นี่จิต ก็รู้อยู่ เห็นอยู่" พระท่านว่าอย่างนั้น

    4. เมื่อเราเฉยถึงที่สุด นิ่งถึงที่สุด ประตูลิฟต์จะเปิดตอนนี้แหละ อารมณ์สุข จะถูกเพิกเฉยไปเอง เหลือแต่อารมณ์นิ่งดิ่ง ๆ เฉย ๆ เรียกว่า จตุตถฌาน มีเพียงอุเบกขา และเอกคตาจิต จิตตอนนี้ประภัสสร สว่างโพลง ขาวไปหมด (ดังที่พระว่า "จิตเดิมแท้ประภัสสร" ) จิตไม่เกาะกายเนื้อแล้ว เวลาฝึกมโนเต็มกำลัง ก็เอาจิตดวงนี้แหละออกจากกายไป เมื่อจิตออกจากกาย ก็จะเกิดอาทิสมานกาย ขึ้น อาจมีรูปเหมือนเดิมก่อนออกเป๊ะ หรือมีกายเป็นเทวดา พรหม หรือเป็นดวงกลมก็แล้วแต่

 

    เอาล่ะ เมื่อทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว อย่าเลิกง่ายๆ ทรงไว้ให้นานที่สุด เท่าที่จะคงได้ หากเสื่อมลงไป ก็พยายามใหม่  จนรู้สึกว่าฟุ้งแล้ว ก็พอ

    ทีนี้อยากได้อีกก็อย่าลืม ทวนอารมณ์ใจ และการวางอารมณ์ใจ ของตัวเองว่าทำอย่างไร ถึงทำได้ ฯ อ้อ ที่พูดมาทั้งหมดนี่ ใช่ว่าผู้เขียนจะเป็นผู้ทรงฌานอะไร เพียงแต่เคยมีประสบการณ์ เป็นบ้างครั้ง ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกครั้งนะครับ ถือว่าเล่าสู่เพื่อนนักปฏิบัติด้วยกันฟัง เป็นการแลกเปลี่ยนแชร์ประสบการณ์มากกว่าครับ


      

แสดงความคิดเห็น

>

16 ความคิดเห็น

DaZeng 4 พ.ค. 51 เวลา 03:03 น. 4

ลดนิสัยความเคยใจต่างๆลงวันละนิดๆ จะช่วยให้ใจนิ่งขึ้นมากครับ ขอแนะนำเพื่อนๆทุกคน^^

0
JNic 8 พ.ค. 58 เวลา 15:12 น. 7

ผมขอถามเจ้าของกระทู้ตรง ๆ นะครับ เคยและมั่นใจจริง ๆ ใช่ไหมครับว่าเข้าฌานจริง ที่ถามนี่ไม่ได้ไม่เชื่อหรือปรามาทนะครับ ต้องการผู้ที่รู้จริงมาแนะนำเท่านั้นละครับ เพราะผมเองก็ฝึกสมาธิอยู่เช่นกันและก็มีอาการหลาย ๆ อย่างตามที่เจ้าของกระทู้บอก แต่ผมไม่แน่ใจว่ามันคือการเข้าฌานหรือเปล่าจึงอยากจะขอความรู้จากเจ้าของกระทู้อะครับ ถ้าเจ้าของกระทู้มาตอบคอมเม้นผม ผมก็จะเริ่มถามนะครับ ขอบคุณครับผม

0
อิอิครุคริ 22 มิ.ย. 58 เวลา 16:41 น. 8

ถึงแม้จะเข้าถึงฌานในระดับสูงสุดแล้ว ก็ไปได้แค่นั้นเพราะว่าจิตตกอยู่กับความสุขที่ได้เข้าถึง ไม่ใช่ทางที่จะพ้นทุกข์จริงๆได้เลย ไม่ใช่ทางที่จะนำไปสู่ญาณถึงนิพพาน เพราะหนทางสู่นิพพานเป็นทางสายเอก เรียกว่าเจริญวิปัสสนากรรมฐาน (กำหนดรู้ในอาการทั้ง 4 - สติปัฏฐาน 4)

0
Jinyu 6 ต.ค. 58 เวลา 10:52 น. 9

เคยทำได้ตอนบวชเป็นพระ ร่างกายกายเหมือนหิน เหมือนนอนทับแขนแล้วแขนหาย แต่นี้เป็นทั้งตัว กระดิกนิ้วกระดิกส่วนอื่นปกติ แต่ไม่รู้สึกถึงการมีกล้ามเนื้อ ได้ยินเสียงสิ่งแวดล้อมแต่ไม่รู้สึกรำคาญ เฉยๆ เห็นลูกกลมใสๆเหมือนน้ำทั้งๆทีหลับตาแต่ชัดเจนเหมือนภาพสามดี หันไปทางไหนมันก็ตาม แต่พอได้ยินเสียงระฆัง รีบลืมตา ทุก อย่างขาวโพรงไปหมด ตกใจรีบหลับตาแล้วตั้งสติ แล้วค่อยๆลืมตา จึงเห็นภาพเป็นปกติ เป็นการทำได้ครั้งแรกและสุดท้าย สึกออกมาก็ทำไม่ได้อีกเลย เพราะมีเรื่องให้คิดเยอะไม่เหมือนตอนบวชไม่มีไรให้คิดวุ่นวาย จบ.

0
aaaa 14 ธ.ค. 58 เวลา 16:49 น. 10

จตุตฌาน ที่ว่าขาวโพลนไปหมดเพราะสมาธิขั้นนี้ยึดแสงสว่างเป็นอารมณ์ แต่ยังวางกายไม่สนิทนะคับ ^^

0
ตัวมอน 17 เม.ย. 59 เวลา 11:06 น. 11

สิ่งที่ผู้เขียนบอกมานั้นแสดงว่ามีประสพการณในระดับหนี่ง ผมเป็นผู้หนี่งที่ผ่านประสพการณเหล่านี้มาโดยไม่รู้หรือสนใจเรื่ิองของสมาธิมาก่อนเลยเพียงแต่ผมมองและคิดอย่างวิทยาศาตรไม่ว่าได้ขั้นตอนไหนมาถ้าเป็นของจริงจะลองกี่ครั้งจะได้ตามนั้นการมองและคิดอย่างวิทยาศาตรทำให้เราไม่ยึดติดในพิธีกรรมต่างๆไม่ยึดติดสถานที่ ครู หรือใดๆก็ตามมันจะทำให้เกิดการพัฒนาการที่เร็วและไปไกลมาก ผมเข้าชาณได้หลังสงครามแซดดำประมาณ 4 เดือนเข้าได้โดยเห็นและเข้าใจสัจธรรมเพียงข้อเดียวเกิดมาตัวเปล่าตายไปก็ตัวเปล่าเอาไรไปไม่ได้คิดแค่นี้ 10 ครั้ง เหตุที่่่่่คิดเพราะตัวเองได้ศูนยเสียเงินและเป็นหนี้รวมประมาณ 35 ล้านในตลาดหุ้นทั้งที่ซื้อก่อนสงครามแซดดำแค่ 10 วันมันรับไม่ได้วันสุดท้ายนั่งพักเหนื่อยหมดอาลัยตายอยากบนโซฟาเวลาประมาณ หนี่งทุ่มหลับตาลงอย่างหมดความหวังและเริ่มคิด จิตมันเข้าใจด้วยตัวมันเองนี่คือความจริงหรือสัจธรรมจิตมันวางและเกิดสภาวะจิตกับกายรวมเป็นหนี่งว่างเหมือนไม่หายใจจริงๆมันเป็นสภาวะลมละเอียดหรือการหายใจเข้าทางผิวหนังจากวันนั้นไปอีก 30 วันทุกๆวันผมสามารถเข้าชาณโดยไม่มีคนสอนตั้งแต่เที่ยงคืนถีง 6,7,8 โมงเช้าและทั้งวันไม่ต้องกินอะไรเลยก็อยู่ได้และใน 30 วันนั้นได้เรียนรู้อะไรมากขึ้นตอนปลายๆของ 30 วันและในวันสุดท้ายก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่าสิ่งที่ได้มาใน 30 วันมันไม่ใช่จุดสิ้นสุดที่ได้ในตอนต้นแค่ความว่างเปล่าจิตสงบและสุขมันคืออาการของการติดสุข จิตวางตัวอีกครั้ง วิตก วิจารณ ปิติ สุข ถูกทำลายโดยสิ้นแค่รู้ว่าสิ่งนี้ไม่จีรังยั่งยืน มันจีดสภาวะการวางเฉยไม่กระทบทั้งหมดทั้งมวลมันเกิดสภาวะทดสอบจิตใหม่ด้วยตัวมันเองมีสิ่งหนึ่งที่อยู่เหนือจิตคือ สติมันจะตามรู้ความรู้ ความคิดอารมณและจิปาถะมากระทบเราถ้าสติเรากล้าแข็งจะเกิดสภาวะไม่ยึดติดใดๆในสิ่งที่เกิดขึ้นสักแต่ว่าได้รู้ ได้เห็น ได้ยิน ได้สัมผัส แล้วก็วางเฉย พูดง่ายๆรู็ทั้งมวลแต่ไม่กระทบร้อนกระทบหนาวเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่จีรังยั่งยืน รู้ถีงเหตุที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แปรเปลี่ยนและดับไปในที่สุดมันเป็นของมันอย่างนี้โดยธรรมชาติ
สุดท้ายมันลึกลงไปอีกรู้ว่าเหตุที่มันเป็นทั้งหมดทั้งมวลเพราะเรามีเราเท่านั้นเอง รู้ถึงความเกิดเป็นทุกข แก่เป็นทุกข เจ็บเป็นทุกข ตายก็เป็นทุกข จิตที่มีสติที่กล้าแข็งกำกับดีแล้วในที่สุดสรรพสิ่งที่เกิดขี้นรอบเรากระทบเราเพราะเหตุผลเดียวตัวเรามีเรา สติที่ถึงพร้อมและไม่แยแสสิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดไม่เอาทั้งบุญและปาบมันวางทุกอย่าง อย่างหมดจดมันเกิดสภาวะว่างในว่างไม่มีอะไรเลยความรู้สึกตอนนั้นบอกได้แต่ว่าเกิดเป็นดวงขาวหลุดจากกลางหัวลอยขึ้นไปผ่านชั้นของโลกเข้าสู่จักรวาลจากดวงขาวกลายเป็นจุดเล็กๆและค่อยๆแตกสลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลเท่านั้นเองนั้นคือจบสภาวะเวียนว่ายตายเกิด


ผมคิดอย่างวิทยาศาตร หูทิพย กายทิพย ตาทิพย จิตทิพย เป็นแค่ส่วนหนี่งของอำนาจสมาธิในลาดับตามกำลังสมาธิแค่นั้นเองในทางในทางวิทยาศาสตรแ่พลังงานทางจิตซึ่งมีอยู่ในทุกคนเพียงแต่ไม่รู้วิธีนำมันมาใช้หรือฝึกฝนให้มันเกิดเพราะคนส่วนใหญ่ไปยึดติดวิธีการมันจึงเกิดการบล้อกองค์ความรู้เหล่านี้และไปไม่ได้ไกล

แค่เขียนเล่าให้ฟังและมันจะเป็นประโยชนอย่างมากพลังงานทางจิตหรืออำนาจสมาธิถ้าคิดอย่างวิทยาศาสตรเอามาพัฒนา คน ประเทศ รักษาโรค อื่นๆอีกมากมายถ้าพวกคุณรวมตัวกันติดคิดอย่างมีเหตุผลโดยไม่ยึดติด
วิธีการเข้าสมาธิมีมากมายแต่ผมได้โดยการเห็นทุกข์อย่างแสนสาหัสและเข้าใจสัจธรรมด้วยตัวเองด้วยจิตมันจึงรู้แจ้งแทงทะลุและวางของมันเอง

ขอบคุณ ตัวมอน e=mail gayathaispa@hotmail.com 17 เมษายน 2559

0
chaba-chompu 24 พ.ค. 59 เวลา 19:47 น. 12

เคยมีอาการค่ะแต่ไม่รู้ว่าขั้นไหน และก็สงสัยมานานว่าทำไมเกิดแสงสว่าว ทำตอนเป็นเด็กราวปอ4 เกิดความสว่างไสวโพลงที่หัวเหมือนโดนสาดแสงไฟดวงใหญ่มาที่หัวเพราะมันสว่างโพลงมากทั้งที่นั่งหลับตาในความมืด นั่งได้นานสองนาน ไม่ง่วง ไม่เมื่อย ได้ยินเสียงไก่ขันก็เลยคิดว่าเออมันจะเช้าแล้วยังไม่ได้นอนเลยก็เลยเลิกทำล้มตัวลงนอน วันต่อไปทำบ้างไม่ทำบ้างอาการที่ว่านี้ไม่เกิดอีก
พอโตมา ทำสมาธิบ้างไม่สม่ำเสมอ ก็มีอาการแต่ว่าไม่รู้ขั้นไหน มีครั้งหนึ่งไปอยู่วัด7 วันวันที่สี่ เกิดอาการนั่งอยู่เห็นตัวเองตัวใหญ่ขึ้นๆๆๆๆๆพองโตขึ้นเรื่อยๆๆๆๆ ก็รู้สึกกลัวเลยลองขยับมือดูรู้สึกหนักอิ้งมากเลย ตกใจมากเห็นตัวเองตัวใหญ่มากๆพองๆๆกลัวตัวเองพองแล้วเนื้อแตกเพราะยิ่งมองยิ่งตามดูยิ่งตัวใหญ่ก็เลยหยุดถอยกลับมาที่ลมหายใจตามลมหายใจดีกว่ากลัวตัวเองจะพองแตกตาย พอตามลมหายใจก็รู้สึกว่าลมหายใจเราเป็นท่อลำเลียงไปสู่ที่ท้องถึงสะดือเลยเป็นลำมันแยกกันจากคือท่อลมหายใจก็เฉพาะของเค้าเป็นลำท่อไปถึงท้องเลยหายใจเข้าออกๆก็เป็นลำอยู่อย่างนั้นค่ะ

0
ธรรมรงค์พุฒิเอก 6 มิ.ย. 60 เวลา 09:58 น. 13

เคยนั่งได้ครับมีปิติ. จิตสงบนิ่ง ไม่คิดอะไรเลยมีความสุขที่สุดสุขกว่าได้เงินล้านกว่าถูกหวยกว่าได้นที่รักเปนแฟนเสียอีก. สุขในความสงบ แล้วก็ติดนิ่งอยู่แ่นั้นไปต่อไม่ได้. แต่มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับผมผมทำสมาธิทุกเย็นเป็นเวลา1เดือนเข้าสมาธิวันละ1ชม.ทุกเย็น แล้วเช้าวันก็ได้ออกไปทำงานที่ดาสฟ้าเรือสินค้าตอนนั้นยุน่านนำ้ฮ่องกง และผมก็ได้ล้มลงหมดสติไป รู้สึกตัวทันทีแต่ไม่ใช่อยู่บนเรือ ที่นั้นผมเห็นปุยเมฆแสงทองเรืองรองนวลตา ผมรุ้สึกร่างกายไม่มีแต่ตัวผมเป็นดวงแก้วสีทองและสามารถมองได้รอบตัวเองผมมีความสุขมากที่สุดในชีวิตรู้สึกเบาสบายลอยอยู่กลางอากาศมันรู้สึกดีกว่าตอนที่มีตัวตนเสียอีกผมอยากกลับไปที่นั่นอีกแต่ไม่รู้ว่าที่นั้นคือที่ไหนและจะไปได้ด้วยวิธีไหนรอผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยครับ. ลืมบอกไปแยู่ที่นั้นได้แค่ไม่ถึงนาทีมั้งมันแจ่มจัดและชัดเจนรู้สัมพัสได้โดนจิต และผมก็รู้สึกตัวอีกที่ได้มานอนยุบนเรือที่เดิมที่ล้มลงนั้นเองทีนี้รู้สึกเจ็บที่ศรีษะ และหนาวมากทั้งที่แดดยามเที่ยงวันร้อนมากผมหนาวถึงกระดูกไม่รุ้ว่าทำไมนี้เราเปนอะไรไปหราและพอกลับมาไทยก็ได้ตามหาพระผู้รู้แต่ก็ยังไม่เจอจนบัดนี้เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี2002นะครับ

0