David The Bubble Boy เด็กชายผู้อาศัยอยู่ในพลาสติกใส
“David The Bubble Boy” เด็กชายผู้อาศัยอยู่ในพลาสติกใส
จะเป็นอย่างไรถ้าคุณต้องใช้ชีวิตอยู่ในพลาสติกใสตลอดเวลาทั้งชีวิต? นี่คือเรื่องราวของ David หรือที่รู้จักกันในชื่อ “The bubble boy” ผู้ที่ไม่เคยได้สัมผัสกับโลกภายนอกแบบตรงๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว
ที่มาภาพ wired
David Phillip Vetter เกิดมาพร้อมกับอาการผิดปกติที่เรียกว่า Severe Combined Immunodeficiency (SCID) หรือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ที่ทำให้เขาไม่มีภูมิต้านทานเชื้อโรค และต้องใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบปิดที่ฆ่าเชื้อแล้วเท่านั้น เพราะถ้าเขาได้เจอกับเชื้อโรคแม้แต่เพียงนิดเดียวก็อาจจะทำให้เสียชีวิตได้
พ่อแม่ของ David คือ David Joseph Vetter, Jr. และ Carol Ann Vetter เคยมีลูกชายที่ป่วยเป็นโรค SCID มาก่อนแล้ว ซึ่งเด็กคนนั้นมีอายุได้ 7 เดือนก่อนที่จะเสียชีวิตลง ทั้งคู่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ว่า ถ้าหากทั้งสองมีลูกชายอีกเด็กคนนั้นจะมีโอกาส 50% ที่จะป่วยเป็นโรคนี้ ครอบครัว Vetter ซึ่งมีลูกสาวที่เป็นปกติดีอยู่แล้ว 1 คน ได้ตัดสินใจมีลูกอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ก็เป็นเด็กผู้ชายอีก และทั้งสองก็ปฏิเสธที่จะทำแท้งและเก็บเด็กคนนี้เอาไว้
David เกิดวันที่ 21 กันยายน ปี ค.ศ.1971 ที่โรงพยาบาลเด็ก Texas Children’s Hospital ในเมืองฮูสตัน รัฐเทกซัส หลังจากเขาเกิดมาได้ไม่ถึง 10 วินาที เขาก็ถูกย้ายไปอยู่บนเตียงปิดแบบพิเศษที่เตรียมไว้สำหรับเขาโดยเฉพาะ หลังจากนั้น เขาก็ต้องอาศัยอยู่ในพลาสติกใสปลอดเชื้อตลอดเวลาเกือบทั้งชีวิตของเขา ในตอนแรกมีแผนที่จะทำการผ่าตัดปลูกถ่ายไขกระดูกซึ่งจะช่วยรักษาเขาได้ แต่โครงการนี้ก็ต้องหยุดไปก่อน เนื่องมาจากไขกระดูกของพี่สาวไม่เข้ากับร่างกายของเขา และยังไม่มีผู้บริจาคที่เหมาะสม
ที่มาภาพ cbsnews
น้ำ อาหาร อากาศ เสื้อผ้า และผ้าอ้อมของ David จะต้องถูกฆ่าเชื้อก่อนจะถูกส่งเข้าไปยังตู้ปลอดเชื้อที่เขาอาศัยอยู่ การจะจับตัวเขาได้ต้องทำผ่านถุงมือแบบพิเศษซึ่งออกแบบมาให้ติดกับผนังตู้ เท่านั้น ภายในตู้จะมีเครื่องอัดอากาศเปิดไว้ตลอดเวลา ซึ่งเครื่องนี้มีเสียงดังมากทำให้การสื่อสารกับเด็กชายเป็นไปได้ยาก แต่ทีมแพทย์และพ่อแม่ของเขาก็พยายามหาวิธีที่จะให้ David ได้ใช้ชีวิตเป็นปกติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยจัดให้เขาได้เรียนหนังสือ ดูโทรทัศน์ และเล่นอยู่ในห้องปลอดเชื้อ
ที่มาภาพ cbsnews
หลังจาก David เกิดได้ 3 ปี ทีมรักษาได้สร้างตู้ปลอดเชื้อขึ้นในบ้านของครอบครัวเขา ซึ่งทำให้ David ได้อยู่ที่บ้านบ้างครั้งละ 2-3 สัปดาห์ ซึ่งในช่วงเวลานั้นเขาก็จะมีเพื่อนเล่นคือพี่สาวและเด็กๆ แถวบ้าน ซึ่งเพื่อนๆ เขานี่เองได้ทำการฉายภาพยนตร์เรื่อง Return of the Jedi ในโรงภาพยนตร์แถวบ้านเป็นพิเศษเพื่อให้ David ได้มาดูโดยอยู่ในตู้ปลอดเชื้อแบบเคลื่อนที่
เมื่อ David อายุได้ 4 ปี เขาใช้เข็มเจาะเลือดที่ถูกลืมทิ้งไว้ในตู้ เจาะเป็นรูบนพลาสติกที่ล้อมรอบเขาอยู่ เมื่อเกิดเหตุแบบนี้ขึ้น ทีมแพทย์เลยพยายามอธิบายเกี่ยวกับเชื้อโรคและอาการของเขาให้ David ฟัง เมื่อเขาเริ่มโตขึ้น เขาก็เริ่มรับรู้ว่ามีโลกภายนอกที่นอกเหนือจากพลาสติกใสที่เขาอาศัยอยู่อีก และแสดงความสนใจที่จะได้เห็นสิ่งภายนอกผ่านทางหน้าต่างโรงพยาบาลและโทรทัศน์
ที่มาภาพ wired
ในปี ค.ศ.1977 เมื่อ David อายุได้ 6 ปี นักวิจัยจากองค์กร NASA ได้พัฒนาชุดพิเศษที่ดัดแปลงมาจากชุดอวกาศสำหรับ David โดยเฉพาะ ชุดนี้จะมีท่อยาว 2.5 เมตร ต่อกับตู้ปลอดเชื้อของเขา ทำให้เขาสามารถออกจากตู้และเดินเล่นข้างนอกได้ ชุดนี้มีราคาถึง 50,000 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐหรือเท่ากับประมาณ 191,800 เหรียญดอลล่าร์ในปัจจุบัน ในตอนแรก David ไม่ยอมใส่ชุดนี้ แต่หลังจากนั้นก็เคยชินมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้ใส่ชุึดนี้เพียง 7 ครั้งเท่านั้นก่อนที่เขาจะโตเกินกว่าจะใส่ได้ และหลังจากนั้นถึงแม้ NASA จะทำชุดใหม่ให้ เขาก็ไม่เคยใส่มันอีกเลย
ที่มาภาพ cbsnews
ที่มาภาพ dailyfunnyphotos
ในสมัยนั้น ถ้าเกิดมีเด็กที่เกิดมาพร้อมอาการ SCID แบบ David เด็กคนนั้นจะต้องถูกนำไปไว้ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดเชื้ออย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นก็จะเสียชีวิตจากการติดเชื้อ David ถูกวินิฉัยว่ามีสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคง เนื่องมาจากไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ และเมื่อเขาโตขึ้นเขาก็ค่อยๆเข้าใจว่าเขาไม่อาจมีชีวิตแบบปกติเหมือนคนอื่น ได้ ทำให้เขาเริ่มกลายเป็นคนขี้โมโหและซึมเศร้า เขาวิตกกังวลเกี่ยวเชื้อโรคเป็นอย่างมากและมักจะฝันร้ายซ้ำๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เสมอ
ที่มาภาพ cbsnews
บาทหลวง Raymond Lawrence ซึ่งเป็นบาทหลวงประจำอยู่ในโรงพยาบาล ณ ขณะนั้น เคยกล่าวไว้ว่า การที่นำเอา David ไปอยู่ในพลาสติกใสแบบนี้เป็นการกระทำที่ไม่ได้ผ่านการคิดมาอย่างดีพอ ทุกคนไม่ได้คิดว่า ถ้าหากไม่รีบหาทางรักษาแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กต่อไป ทั้งหมดทำแบบนี้ด้วยการสันนิษฐานเอาเองว่า เด็กจะสามารถอยู่ในตู้แบบนี้ไปได้เรื่อยๆ ตลอดชีวิต นอกจากนั้น เขายังกล่าวหาว่ามีแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ 3 คน ที่เกลี้ยกล่อมให้พ่อแม่ของ David ตั้งท้องต่อไปเพื่อจะได้มีตัวทดลอง ซึ่งแพทย์ 3 คนที่ว่าปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ทั้งหมด
กรณีของ David นี้ยังทำให้เกิดคำถามด้านจริยธรรมว่า พ่อแม่ที่สืบทอดความผิดปกติทางยีนและมีโอกาส 50% ที่จะมีลูกป่วยด้วยอาการ SCID ควรจะยอมให้ตั้งครรภ์หรือไม่
ที่มาภาพ sfgate
ในการดูแล David มีการใช้เงินไปประมาณ 1.3 ล้านเหรียญดอลล่าร์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหาทางรักษาเขาไม่ได้ และไม่มีผู้บริจาคที่เหมาะสมแม้แต่คนเดียว แพทย์มีความเป็นห่วงว่า เมื่อ David เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเขาจะกลายเป็นคนที่คาดเดาและควบคุมไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ทั้งทางทีมแพทย์และครอบครัวจึงตัดสินใจลองทำการปลูกถ่ายไขกระดูกที่ไม่เข้า กับร่างกายของเขา การผ่าตัดเป็นไปได้อย่างราบรื่นทำให้ทุกคนมีความหวังว่าเขาอาจจะหายดี อย่างไรก็ตาม ไม่กี่เดือนต่อมา David ก็ล้มป่วยลงเป็นครั้งแรก เขามีอาการท้องเสีย อาเจียน และเลือดออกภายใน ซึ่งอาการหนักมากจนต้องนำเขาออกมาจากตู้ปลอดเชื้อเพื่อรักษา
ที่มาภาพ cbsnews
หลังจากนั้นอีก 15 วัน ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.1984 David ในวัย 12 ปีก็เสียชีวิตลงจากโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว จากการชันสูตรพบว่า ไขกระดูกที่ถูกบริจาคมานั้นมีเชื้อโรค Epstein-Barr ฟักตัวอยู่ ซึ่งเชื้อนี้ไม่สามารถตรวจหาล่วงหน้าได้ และเมื่อถูกเปลี่ยนถ่ายไปแล้ว เชื้อโรคนี้ก็แพร่กระจายและทำให้เกิดมะเร็งในตัวของเขา
ที่มาภาพ findadeath
หลังจากการเสียชีวิตของ David พ่อแม่ของเขาก็หย่ากัน หลังจากนั้นพ่อของเขาก็ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรีของเมือง ส่วนแม่ก็แต่งงานใหม่กับนักข่าวของนิตยสาร People ซึ่งช่วยเขียนเล่าเรื่องราวของ David ส่วน Mary Murphy แพทย์ที่ดูแลเขาก็ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับกรณีของ David ซึ่งจะตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1995 อย่างไรก็ตาม การตีพิมพ์ก็ถูกระงับไปโดยพ่อแม่ของ David เอง ปัจจุบันนี้ Mary Murphy เสียชีวิตไปแล้ว แต่เนื้อหาในหนังสือของเธอยังคงอยู่ในอินเตอร์เน็ต
ที่มา Wikipedia
แปลและเรียบเรียงโดย
PS. 《super junior and F.T.islang เริ่มจะชอบ MBALQ Teetop B.P.A B1A4 ~~
21 ความคิดเห็น
น่าสงสารจัง
เราก็หลงดีใจ นึกว่าเค้าจะรอดชีวิต
พอเห็นป้ายหลุมศพกับข้อความกำกับเท่านั้น น้ำตามันก็ไหล...
กำลังฟังเพลงเศร้าๆอยู่เลย ขอให้มีความสุขมากๆในภพหน้านะเดวิด
ชีวิตคนเรามีค่ามากๆเลยนะ เด็กคนเดียวพ่อแม่เลี้ยงมาหมดไปกี่ล้าน...
อยู่ไปก็ทรมานเหมือนกันนะ มันเหมือนปมด้อย... พ่อแม่กับหมอก็ไม่น่าให้เค้ามาทรมานเลย
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจังเลย
มีโอกาสหายไขกระดูกดันมีโรคติดมาด้วยอีก
อ่านไปก็คิดไปว่าถ้าเป็นเราจะเป็นยังไง
ถ้าเราเป็นพ่อแม่เด็กเราจะทำยังไง เฮ้ออ
PS. >>> Nice to meet u... Again ^O^
โรคน่ากลัวจัง
PS. ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรบนโลก................ GDTORY only!!!!!!!
ถ้าพ่อกับแม่ของเดวิดรู้ว่าจะต้องเป็นแบบนี้ แล้วจะเกิดเขามาเพื่อ?? สงสารเขานะ คิดดูสิ ถ้าพวกคุณต้องใช่ชีวิตแบบเดวิด พวกคุณจะเป็นยังไง จะทนได้มั้ย
    คิดว่าจะรอดที่ไหนได้ เฮ้อ...
เสียใจกับครอบครัวของเขาด้วยนะ T T
อย่างน้อย เขาก็มีชีวิตอยู่ได้ ตั้ง 12 ปี
นึกถึงหนัง -*-
จำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร พระเอกก็เป็นโรคแบบนี้เหมือนกันนะ อยู่ในพลาสติกใสตลอดอ่ะ
แทบสนุกมากๆ ด้วย ตอนจบแอบซึ้งไปหน่อย
...ไม่คิดเลยว่าจะตายแล้ว นึกว่าจะรอดซะอีก
คุณพ่อคุณแม่อย่างน้อยก็มีความพยายามที่ดีค่ะ ในการเลี้ยงลูก เสียใจด้วยนะค่ะ
สงสาร อ่ะ งื้ออออออ
PS. แอม'exotic hottest secrettime and say a ...ชาตินี้ถ้าไม่ได้แต่งงานกับลู่ยอมขึ้นคานค่ะ !!!
ความเห็น11
เรื่อง bubble boy จ้า
ตอนแรกนึกว่าจะมีแต่หนังเรื่องนั้นซะอีก
ชีวิตจริงก้มีด้วยวุ้ย
เศร้าๆๆๆ ถ้าจะเกิดมาแล้วมีชีวิตแบบนี้ก็อย่าเกิดมาเลยดีกว่า
ความจริงพ่อแม่แหละไม่ควรทำให้เขาเกิด รู้ว่าลูกเกิดมาแล้วเป็นอย่างนี้ยังจะ...
PS. LOVE KYUTAE
เสียใจ เศร้า สงสาร หดหู่ น้ำตาคลอ
ไปว่าพ่อแม่เค้าทำไมล่ะ ใครๆ เค้าก็อยากจะให้ลูกมีชีวิตต่อ
เดวิดบอกหรอว่าเค้าทรมานกับการที่ต้องเป็นแบบนี้ ?
พ่อแม่เค้าทำแบบนี้เพราะต้องการรักษาชีวิตลูกไว้ให้ถึงที่สุดไง
ทำไมไม่คิดสองแง่ล่ะ โทษพ่อแม่ก็ไม่ได้
ลูกจะออกมาเป็นยังไงพ่อแม่ก็รักไง ลูกเป็นแบบนี้ เท่าไหร่ก็รักษา
และยื้อให้ถึงที่สุดไง ไม่เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่รึไง
ใจเขาใจเรานะคะ
เสียใจด้วยนะ
หวังว่าจะได้เกิดมามีชีวิตใหม่ที่ดีกว่านี้
But the world was touched by him....
RIP
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?