พระศรีอารย์ในจิตทัศน์ของนอสตราดามุส คำทำนายเช่งเคย เเต่เเปลกกว่าอันอื่นหน่อย
ตั้งกระทู้ใหม่
พระศรีอารย์ในจิตทัศน์ของนอสตราดามุส
" เสียงนุ่มนวลแห่งมิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินจากแผ่นดินทิพย์ แสงเพลิงมนุษย์ ฉายรองรับเสียงประเสริฐนั้น จะเป็นเหตุให้โลกต้องเปื้อนเลือด สมณเพศทั้งหลายที่ไม่ยึดถือศีล (พรหมจรรย์) และนำไปสู่การทำลายโบสถ์วิหารที่ไร้ความบริสุทธิ์ "
(ซ.1 ค.96 )
นับว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกน่าอัศจรรย์อย่างมากเลยทีเดียว ที่นอสตราดามุสได้เขียนโคลงทำนายบทนี้ขึ้นเมื่อ 450 ปีก่อน ภายใต้สังฆจักรโรมันคาทอลิก สมมุติว่าท่านได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีประวัติยาวนานถึง 2,000 ปีกว่ามาแล้วในสมัยนั้น ท่านคงจะไม่กล่าวถึงพระศรีอาริยเมตไตรยอย่างแน่นอน ถ้าในจิตทัศน์ของท่านไม่ได้เห็น สัจธรรมบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และมีส่วนสัมพันธ์กับศรัทธาใหม่ของโลกโดยตรง คำว่า " มิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ " นี้จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากพระนามของพระศรีอาริยเมตไตรย เพราะคำว่า " เมตไตรย " นี้ แปลว่า " เพื่อน " ในความหมายของภาษาบาลี สันสกฤต บุคคลผู้นี้เป็น Sacred Friend จะเป็นใครก็ตาม แต่การใช้คำว่า " มิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ " หรือ " เพื่อนผู้ศักดิ์สิทธิ์ " แสดงให้เห็นว่าผู้ที่จะมาโปรดสัตว์ในโลกยุคนี้ จะไม่ใช่เป็นบุคคล
ธรรมดาอย่างแน่นอน อีกทั้งมาจากแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ หรือ Holy Ground อีกด้วย ก็ยิ่งชี้ชัดว่าน่าจะเป็นองค์พระศรีอาริยเมตไตรย ซึ่งนายจอห์น ฮอค ฟันธงว่าจะเสด็จมาในโลกนี้ประมาณ ระหว่างคริสต์ศักราช 2000 ( พ.ศ.2543 ) หรือกว่านั้นเล็กน้อย ซึ่งใกล้เคียงกับวันเวลาที่พระเยซู หรือพระมาซิ อาร์ พระมะห์ดีร์ ตามความเชื่อของมุสลิม จะเสด็จมาในวันพิพากษาโลกนี้ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อกันอย่างเงียบๆ ว่าอาจจะเป็นพระศาสดาโพธิสัตว์องค์เดียวกันก็ได้
การเสด็จมาของพระศรีอาริยเมตไตรย ก็คงต้องมาชำระสะสางความเสื่อมของศาสนาอยู่แล้ว ในภาวะที่มีการวิวัฒนาการ บรรดาพระสงฆ์สมณเพศผู้ยึดถือพรหมจรรย์ ก็คงไม่แตกต่างอะไรกับนักบุญทั้งหลายผู้เสียสละในอดีต วันเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้นคงต้องผ่านขั้นตอนตามปรกติวิสัย ซึ่งบางครั้งอาจต้องมีความเจ็บปวดอันเกิดจากการต่อต้าน หรือขัดแย้งทางอุดมการณ์และความคิดเกิดขึ้น ซึ่งในหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้นในอดีต การเสียสละของนักบุญอาจถึงกับต้องเลือดตกยางออก
" อังคารกับคฑาของจูปิเตอร์ (พฤหัส) เล็งลัคน์
เกิดสงครามมหาวิบัติภายใต้ราศีกรกฎ
หลังจากนั้นไม่นาน กษัตริย์ใหม่จะถูกสถาปนา
เป็นผู้นำสันติสุขมาสู่โลกมนุษย์เป็นเวลายาวนาน "
( ซ.6 ค.24 )
วรรคที่น่าสนใจในโคลงบทนี้ ได้แก่วรรคที่มีคำว่ากษัตริย์ ที่จะนำสันติสุขมาสู่โลกมนุษย์ หลายฝ่ายตีความกันว่า นอสตราดามุสกำลังพูดถึงวันที่โลกชำระบาปแล้ว หลังจากกลียุคอันเกิดจากสงคราม ภัยพิบัติอันเกิดจากธรรมชาติ หรือโรคระบาด โลกจะปรากฎผู้นำใหม่ที่มาในมิติที่อยู่เหนือธรรมชาติ อาจจะเป็นพระศรีอาริยเมตไตรย พระมาซิอา พระมะห์ดี หรือพระยาธรรมิกราช ที่เสด็จมาโปรดสัตว์ตามพุทธทำนาย ตามคำทำนายในพระคัมภีร์ไบเบิล หรือตามพระวัจนะในพระคัมภีร์กุรอ่านก็ได้
ตามการคำนวนทางโหราศาสตร์ โดยอาศัยหลักของดาราศาสตร์ ดาวอังคารจะเล็งลัคน์กับดาวพฤหัสหลังปี ค.ศ.1999 เป็นครั้งแรกในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ.2002 (พ.ศ.2545) เพราะฉะนั้นเหตุการปาฎิหาริย์ที่จะทำให้ชาวโลกตะลึง น่าจะเกิดขึ้นในกำหนดเวลาดังนี้
ระหว่างเดือนกันยายน - ตุลาคม ค.ศ.2004 ( พ.ศ.2547 )
ระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ.2006 ( พ.ศ.2549 )
ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2009 (พ.ศ.2552 )
ระหว่างเดือนเมษายน- พฤษภาคม ค.ศ.2011 ( พ.ศ.2554 )
วันเวลาดังกล่าวที่บันทึกไว้ข้างต้นนี้ น่าจะเป็นการคำนวนเวลาของวาระแห่งการสิ้นยุค ของสังคมมนุษย์โลกจากหลักฐานต่างๆ เท่าที่จะเสาะหามาได้
" บรรยากาศ ท้องฟ้า แผ่นดินโลกจะมืดลง และถูกบดบังจนมืดครึ้ม แม้แต่คนไม่เชื่อศาสนา ยังพร่ำเรียกหาพระผู้เป็นเจ้ากับนักบุญ.... "
( ซ.9 ค.83 )
คำทำนายของนอสตราดามุสข้างต้นนี้ คล้องจองกับพุทธทำนายที่บอกว่า ท้องฟ้าจะมืดเจ็ดวันเจ็ดคืน ครุฑจะบินกลับถิ่นสถาพร คนจรจะกลับกรุง ฟูกจะมีหนาม ผีป่าจะเข้าบ้าน ผีบ้านจะเข้าไพร....และในพระคัมภีร์ไบเบิลกับพระคัมภีร์อัลกุรอ่าน ทำนายว่าพระอาทิตย์จะมืดลง ดวงจันทร์จะหยุดส่องแสง ดวงดาวบนท้องฟ้าจะร่วงหล่น...ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งเลยทีเดียว.....
( คัดลอกมาจาก หนังสือนอสตราดามุส ฉบับเพิ่มเติมเกี่ยวกับศรัทธาใหม่ เขียนโดยศาสตราจารย์เจริญ วรรธนะสิน )
16 ความคิดเห็น
ถ้าถามเรานะ
เราว่าเราทำความดีไว้มากๆดีกว่า
คนเค้าจะทำนายอะไกทำนายไป..จะดีจะชั่ว อยู่ที่ตัวเรา
PS. H e D w ! g >> P o t t e r m a n i a ...,, D R A M I O N E ,,...
เห็นด้วยกะความคิดเห็นที่1
น่าสนใจค่ะ
เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นจริง
ทำดีอย่าหวังผลเด้อ บอกแค่นี้แหละ
พระศรีอาริย์ส่งพระจิตของท่านมาอยู่ที่ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าท่านหนึ่งซึ่งเป็นบุตรของพระศรีอาริย์เช่นกัน พระโพธิสัตว์ท่านนี้อายุเกิน50 หน่อยๆเป็นมนุษย์ที่ 3 โลกเตรียมไว้นานแล้วเพื่อทำให้สุวรรณภูมิยิ่งใหญ่เกรียงไกรเยี่ยงโบราณกาล จะเกิด 2 อย่างขึ้นคือทรัพย์สมบัติมากมายจะบังเกิดแก่สยามและผู้คนจะบรรลุธรรมอย่างมากมายทั่วโลก ไม่เกินปี 2555 พระโพธิสัตว์ท่านนี้มีชื่อเป็นพระนามเดิมของพระโคตมพุทธะและพระศรีอาริย์รวมกัน มีศรีษะแห่งภิกษุและใบหน้าแห่งฤาษีเป็นมนุษย์ที่ล้านปีอาจมีหนึ่งคน จงหากันให้เจอเถิดก่อนที่ท่านจะปลีกตัวเข้านิพพาน
เรารักเป็นห่วงเพื่อนร่วมโลก แต่คนเดียวนี้ไม่รู้เป็นไงกัน ไปหมด เห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปลี่ยบ เราท้อแท้  ความจริงใจมีน้อยเหลือเกิน
คำทำนายของผม ศาสดาองค์ นี้จะลงมารวมศาสนาให้เป็นหนึ่ง คนชั่วถ้าไม่กลับตัวจะถูกลงโทษ คนดีจะอยู่ได้ ที่อยู่ของนรกจะกลับเป็นสวรรค์ ที่อยู่ของสวรรค์จะกลับเป็นนรก ผู้ปฎิบัติธรรมหรือมีธรรมจะเห็นคนมีหลายจริตให้ยึดติดกับเมตตา คาถา เมตตาธรรมค้ำจุนโลกา กรุณาธรรมค้ำจุนโลกา มุฐิตาธรรมค้ำจุโลกา อุเบกขาธรรมค้ำจุนโลกา ยังไม่ได้เรียบเรียง
ความลับสวรรค์ ถึงเวลาต้องเปิดเผย พระเจ้าสูงสุดถ่อมองค์ มาจุติเป็นลูกสามัญชน เป็นภาคหนึ่งของพระเยชูเจ้า นับถือศาสนาคาทอลิก ได้รับการเจิมเป็นกษัตริย์ด้วยเดชะพระจิต  เมื่อวันที่  24  ธ.ค. 1999  ที่น่ายินดี คือเป็นคนไทยมีใบหน้าคล้าย ร.9 มีไฝที่บนคิ้วขวา สวมแว่นตา มารดาท่านใบหน้าคล้ายสมเด็จย่าสวมแว่น ขณะนี้ มีอายุ45 ปี เรื่องราวของท่าน ร.9 ท่านล่วงรู้และมีนิมิตถึงกัน เพียงแต่ร อเวลาอันสมควรในการประกาศ แต่งตั้งเท่านั้น  ที่แปลกคือ มารดาท่านอายุอ่อนกว่าสมเด็จย่า 33 ปี และท่านเองก็อายุอ่อนกว่ามารดาท่าน 33ปี  ชื่อท่านมี คำว่า  ฉัตร นำหน้า บิรรรดาท่านชื่อ  ฉัตร  บิดาท่านเสียชีวิตตรงกับวันเกิด คือวันคริสตมาสอีฟ 24  ธันวาคม 2530  ขอให้ชาวโลกผู้ชอบธรรมและถูกเลือกสรร  จงยินดีเถิด  ฟ้าใหม่แผ่นดินใหม่จะบังเกิด ณ.แผ่นดินสุวรรณภูมิ ซึ่งถูกจัดวางไว้แต่เริ่มสร้างโลก เพื่อเประจักษ์พยานแห่งชัยชนะแห่งสวรรค์  เหนืผ่นดินโลกซึ่งเคยแปดเปื้อนมลทินบาปและซาตาน  และประกาศพระสิริโรจนา  แห่งพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด ณ  ฝแผ่นดิน
ไ
ใบ
เรานี่แหละพระศรีอาริย์ตัวจริงเขียนจริงเลย ไม่ต้องไปหาที่ไหนมาเกิดแล้วจ้า
ทนอ่านแล้วคันปาก เหม้ากันแหลกลาน ไม่จริงทั้งงั้น
คนที่เป็นพระศรีอารย์ท่านต้องพิสูจน์ตัวตนจากทุกคำทำนายแต่ละศาสนาได้ ไม่ใช่แค่ศาสนาใด ศาสนาหนึ่ง ต้องทำให้ทั่วโลกยอมรับ และต้องบรรลุธรรมเฉียบพลัน หรือเกิดใหม่ก่อน เปิดตา รู้แจ้ง สร้างสันติสุข และอ้างอิงได้ทางวิทยาศาสตร์
พระศรีอารย์ไม่ได้ทิ้งข้อมูลให้ตามหา หรือมาวิเคราะห์กัน หลายคนต่างหลายความเห็น
ถ้าอยากเห็นท่าน ต้องเห็นธรรม เห็นความดี ในตัวตน สัญญาลักษณ์ คือความดี เราเห็นดีของตัวตนเรา เราก็เห็นท่าน จะไปย่กอะไร
คนคือความไร้ตัวตน เป็นพุทธะพระเจ้าอยู่เองอยู่แล้ว
ข้าพเจ้าแด่ท่านผู้เจริญ
เอาเป็นว่า ผมจะบอกอะไรให้สักนิด ก่อนอื่นเลย เรามาดูที่จิตของเรากันคนเรานั้นมีดวงจิต เหมือนกับลูกแก้ว แล้วให้เราลองจินตนาการว่าดวงจิตของเรานั้น เหมื่อนเส้นดายที่ไปผูกมัดกับสิ่งต่างๆไว้เช่น บ้าน รถทรัพย์สินเงินทอง ความโกรธ ความโลภ ความหลง เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ นำพาความทุกข์มาให้เราพร้อมกับนำพาความสุขมาให้เราเช่นกันพระพุทธเจ้า ท่านสอนให้เราปล่อยวางจากสิ่งเหล่านั้น เราก็ควรตัดสิ่งเหล่านี้ออก ค่อยๆตัดถ้าเราตัดสินเหล่านี้ออกหมด เราก็จะค้นพบเองว่า ความสุขความทุกข์ มันไม่มีความหมาย พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราละกิเลส ถ้าเราทำไม่ได้ เราก็ไปนิพพานไม่ได้ แก่นแท้ของนิพพานนั้น ไม่ได้มีอะไรเลย เปรียบเสมือนขวดที่ว่างเปล่า ที่ไม่ได้บรรจุอะไรไว้ แต่ชีวิตคนเราในปัจจุบันนี้ เปรียบเสมือนขวดแก้ว ที่บรรจุ ความทุกข์ ความสุข สิ่งนี้จึงไม่เรียกว่า การปล่อยวาง (ขออธิบาย เกี่ยวกับนิพพาน ให้เข้าใจ นิพพานก็คือดวงจิต แต่ว่าดวงจิตของคนเรานั้น เปรียบเสมือนกับฟองอากาศ ใครหลายๆคนเคยเห็นฟองอากาศใช่ไหม ฟองอากาศนั้นมีสีสันสวยงาม( เปรียบเสมือนชีวิต ของคนเราที่สวยงาม ) แต่ว่าฟองอากาศ ของชีวิตคนในปัจจุบันนี้ มี 2สี ด้วยกัน สีดำ ( เปรียบเสมือน ชีวิตคนเราที่มีความทุกข์ เป็นที่ตั้ง ) สีขาว ( เปรียบเสมือนความสุข เป็นที่ตั้ง ) ก็เหมือนกับการใช้ชีวิตของคนเรา ปะปนไปด้วยความทุกข์ ความสุข เสมอหนังฟองอากาศ ที่แต่งแต้มไปด้วย สีขาวและสีดำ เหมื่อนฟองอากาศที่มีทั้งสีขาวและดำ ( สีขาว ก็คือความดี ที่จะทำให้เราไปสวรรค์ )และ( สีดำ คือความชั่ว บาป อันเป็นสิ่งที่ทำให้เราไปนรก ) แต่อากาศที่จะไปนิพพานได้ ก็คือเป็นฟองอากาศ ที่ไม่มีทั้งสองสี ไม่ใช่ทั้งสีขาว ที่เป็นดั่งความสุขและไม่ใช่สีดำ ที่เป็นดั่งความทุกข์ แต่เป็นดั่งฟองอากาศที่สดใส่ไรซึ่งสีสันดั่ง
คนเราขจัดสีขาวและดำออกจากฟองอากาศจนหมดสิ้นไป ดั่งคนเรารู้จักละกิเลส รู้จักปล่อย รู้จักว่าง ดั่งเหมือนคนเราที่รู้ว่าแม้ร่างกายตัวเองนั้น ก็หาได้สำคัญไม่ จึงจะเรียกว่า จิตแห่งนิพพาน จิตแห่งการปล่อยวาง ไร้ซึ่งสีสันดั่่งฟองอากาศที่ว่างเปล่า จึงจะเป็นจิตแห่งการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร เข้าถึงนิพพาน
ข้อนี้จะอธิบายเกี่ยวกับ แก่นแท้
ของสวรรค์ นรกและนิพพาน
แก่นแท้ของสวรรค์นั้น จะเกิดขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อ คนเรานั้น ดำเนินชีวิตเอาความสุขเป็นที่ตั้งไม่ว่าจะประกอบด้วยความสุขประเภทใด การทำบุญ การรักษาศีล มีจิตใจเมตตาอารี กตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดา การอยู่กับครอบครัวอยู่กับคนที่เรารักกัับการดำเนินชีวิตด้วยปัจจัยที่เป็นความสุขทั้งปวง สิ่งเหล่านี้จึงจะเป็นการก่อกำเนิดจิตแห่งสวรรค์คนเหล่านี้ตายไปแล้ว ไปจุติบนสวรรค์ ถ้ามีบุญบารมีมากหน่อย ก็ไปเกิดเป็นพรม.. ต่อไปเป็นแก่นแท้แห่งนรก แก่นแท้แห่งนรกนี้ประกอบไปด้วยผู้คนที่มีจิตใจหยาบช้า ไม่รักษาศีล ไม่มีความเมตตา ไม่มีความอ่อนโยน ไม่มีความกตัญญูรู้คุณ เป็นผู้ที่ก่อความเดือดร้อนให้ผู้อื่น และประกอบไปด้วยปาปก็ดี ด้วยปัจจัยทั้งหลายที่ไม่ดีเล่านี้ก็ดีที่เป็นกรรมชั่ว ถ้าตายไปก็ไปจุติ ในนรกตามกรรมของตัวเอง ทีได้สร้างไว้( พอแค่นี้ก่อน ไว้เจอกันครับ ทุกคน เมื่อเวลามาถึง )
อารียา เมตายา=อาริยะ เมตไตร
น้องไนซ์ นิรมิตเทวาจุติ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?