Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

13 เมษายน ค.ศ. 2079 วันสิ้นโลก(ไม่ได้เเต่งเอง)นักวิทยาศาสตร์พบดาวเคราะห์น้อยจะพุ่งเข้าชนโลก

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ก่อนอื่นขออนุญาติพี่เเคมเอามาลงก่อนนะครับ

บนความนี้เป็นบทความของพี่เเคม

ความคิดของ จขกท. จากที่ได้อ่านหลายๆกระทู้เเล้วเรื่องเกี่ยวกับวันสิ้นโลกไม่มีมูลความจริงเลย เเต่อันนี้มีมูลความจริงครับ

น่ากลัว บรื๊ย.....

มาพบกับบทความของพี่เเคมกับเลยครับ


ไปอ่านเมล์ไปเจอมาอีกละคำทำนายโลกแตก มันช่างน่าเบื่อ โลกจะอวสานได้อย่างไร บ้างเชื่อว่าโลกจะถึงกาลอวสานแบบไม่ทันตั้งตัว บ้างทำนายว่าชีวิตบนโลกจะตายอย่างช้าๆ ขณะที่พวกมองโลกแง่ดีหน่อยเชื่อว่า ถึงอย่างไรก็คงหาทางเอาชนะปัญหาได้โดยวิวัฒนาการไปสู่สายพันธุ์อื่นๆ

วันนี้ผมเลยเอาข้อมูล 5 อันดับ หายนะโลกแบบเวอร์ๆ ที่กำลังเป็นจริงในอนาคตมาฝากนะครับ โดยเริ่มจากตอนนี้เป็นต้นไป

 

 

ดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส (99942 Apophis)

ผู้ค้นพบ Roy A. Tucker,David J. Tholen, and Fabrizio Bernardi (June 19, 2004)

อาจสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า บริเวณพื้นที่ ยุโรป อัฟริกาและเอเชียตะวันตก
(ความสว่างระดับ 3 mag.)

 

(ปล. เนื่องจากมันมีศัพท์ดาราศาสตร์เยอะ ผมงงมาก ขอเขียนตามความเข้าใจของผมละกันนะครับ)

เรื่องที่นิยมมากที่สุดคงจะเห็นไม่เกินดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก

เรื่องของดาวเคราะห์น้อยที่พุ่งเข้าชนโลกนี้ ค่อนข้างจะเป็นเรื่องคลาสสิตที่มีมานานหลายพันปีแล้วมั้ง และทำเป็นหนังก็เยอะไม่ว่าจะเป็นเรื่อง  Armageddon, Deep Impact ก็กล่าวถึง

มันมีทางเป็นไปได้ไหมที่จู่ๆ วันหนึ่งดาวเคราะห์น้อยจะพุ่งเข้าชนโลก

ไปเปิดกูเกิ้ลมาปรากฏว่ามีครับ มีนักวิทยาศาสตร์ได้สันนิษฐานว่าจะมีดาวเคราะห์น้อยชื่อ 99942 Apophis


        

และเชื่อหรือไม่ว่าดาวเคราะห์น้อยนี้จะเข้าใกล้โลกและอาจพุ่งเข้าชนโลกได้ เมื่อวันที่ วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2579 นับจากนี้ไปอีก 29 ปีข้างหน้าเท่านั้น

ดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส หรือ 99942 Apophis ถูกพบครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2547 ซึ่งขณะนั้นถูกเรียกว่า 2004 เอ็มเอ็น 4 (2004 MN4) โดยดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ถูกบ่งชี้ว่า...ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2572 (ค.ศ. 2029) ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ จะผ่านใกล้โลก

ความจริงเรื่องการสันนิษฐานนี้นักวิทยาศาสตร์ก็มาออกข่าวเยอะแล้ว ไม่ว่าจะเป็น อุกกาบาตมีชื่อว่า "2002 เอ็นที 7 จะพุ่งชนโลกในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 ซึ่งกว่าที่มันจะมาบนโลกคงนานไปมาก แต่เมื่อเทียบกับดาวดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสแล้วอีกไม่กี่ปีมันก็มาโลกแล้ว

ดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสนี้เราสามารถมองเห็นได้ตาเปล่าในเวลากลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบตะวันตกของทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป และแอฟริกา ไม่ต้องใช้กล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนในพื้นที่แถบชานเมืองและที่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ อะโพฟิสจะปรากฏเหมือนดาวทั่วไปบนท้องฟ้าแต่เคลื่อนที่ได้และเร็ว นักดาราศาสตร์เรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็นเหตุการณ์ครั้งเดียวในรอบสหัสวรรษ

ส่วนวงโคจร ดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสนั้นจะโคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยวงโคจรต่างจากดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่ที่อยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อยหลัก (ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี) วงโคจรของมันอยู่ใกล้วงโคจรโลก เส้นทางส่วนใหญ่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าโลกและเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ด้วยคาบ 323 วัน

 

ถ้าสมมุติมันมาโลกจะเกิดอะไรขึ้น??

จากข้อมูลด้านอวกาศ 99942 Apophis ให้ถือว่าเป็นวัตถุใกล้โลกระดับ Near-EarthObjects (NEOs) ซึ่งหมายความว่ามันอันตรายต่อโลกสูง

ถ้าดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ชนโลกเข้าจริงๆ แล้วละก็...ประเทศหรือภูมิภาคของโลกที่ถูกพุ่งชนอาจจะสูญหายไปจากแผนที่โลกเลยก็เป็นได้ ?!?

ตัวอย่างเคยมีมาแล้วนั้นคือ เหตุระเบิดที่ ทังกัสกา ไซบีเรีย เมื่อปี 2451 ครั้งนั้นอุกกาบาตมีพลานุภาพเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ 15 เมกะตัน ทำลายต้นไม้กว่า 60 ล้านต้น ในอาณาบริเวณ 2,150 ตารางกิโลเมตร โชคดีที่ไม่ใช่บริเวณที่มีประชากรอาศัยอย่างหนาแน่น

               (การระเบิดทังกัสกาเป็นการระเบิดที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัวอย่างยิ่ง เกิดขึ้นตอนเช้าของวันนั้น เป็นลูกไฟสว่างจ้าระเบิดขึ้นเหนือพื้นดิน เห็นได้ไกลถึง 800 กิโลเมตร เสียงระเบิดได้ยินไปไกลถึง 800 กิโลเมตร แรงระเบิดรู้สึกไปได้ไกล 80 กิโลเมตร ทำให้เกิดคลื่นแผ่นดินไหว วัดได้ทั่วโลก หมู่บ้านสองหมู่บ้านถูกพังราบ ป่าไม้ทั้งป่าถูกพังราบเป็นหน้ากลองกินอาณาบริเวณกว้างถึง 2,000 ตารางกิโลเมตร ต้นไม้ถูกแรงระเบิดพังราบเป็นแถบ ๆ เกิดไฟไหม้ป่าอย่างรุนแรง ท้องฟ้าแถบกลางคืนทั่วโลกสว่างอยู่หลายคืน แต่ท้องฟ้าเหนือกรุงลอนดอนก็สว่างขึ้นมาดังเป็นเวลากลางคืน แต่ท้องฟ้าเหนือกรุงลอนดอนก็สว่างขื้นมาดังกลางวันจนกระทั่งคนในลอนดอนสามารถอ่านหนังสือพิมพ์กลางถนนได้

             แต่เดิมมา ก็มีหลายทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์เสนอกันขึ้นมาเพื่ออธิบายสาเหตุการระเบิดที่ทังกัสกา ทว่าหลักฐานข้อมูลล่าสุดทำให้นักวิทยาศาสตร์เป็นจำนวนมากเชื่อกันว่า สาเหตุของการระเบิดที่ทังกัสกา มีเค้าว่าจะเป็นดาวหางมากที่สุด และก้าวไปไกลถึงขั้นระบุว่าดาวหางต้นเหตุของการระเบิดที่ทังกัสกา คือ ดาวหางชื่อ เองเก (Encke) มีวงโคจรระเบิดรอบดวงอาทิตย์ทุก ๆ 3.3 ปี การระเบิดนั้น ก็เป็นการระเบิดของชิ้นส่วนดาวหางเอ็นเคที่ระเบิดเหนือทังกัสกานั่นเอง

             โชคดีที่การระเบิดทังกัสกาเกิดขึ้นในแถบที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น จึงไม่มีผู้ใดได้รับอันตรายถึงชีวิต

             แต่ถ้าระเบิดนั้น เกิดขึ้นเหนือนครใหญ่ ๆ ของโลก เช่น กรุงเทพฯ โตเกียว นิวยอร์ก นึกภาพดูก็แล้วกันนะครับ ว่าอะไรจะเกิดขึ้น)

ส่วนดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสนั้นแรงระเบิดเมื่อเข้าพุ่งชนโลกนั้นมากกว่าปรมาณูหลายล้านตัน มากกว่าทีเอ็นที จำนวน 870 เมกะตัน หรือมากกว่า 4 เท่าของแรงระเบิดภูเขาไฟกรากะตัว ประเทศอินโดนีเซีย ในปี ค.ศ.1883 ที่คร่าชีวิตประชาชนไปกว่า 36,000 คน พื้นที่จมหายไปทั้งเกาะจากจำนวน 165 หมู่บ้าน

 และมันจะทำลายสิ่งมีชีวิตต่างๆที่อยู่รัศมีรอบๆของมันในพริบตา

ดูจากแผนที่โลกจะพบว่าตอนแรกดาวเคราะห์นั้นจะตกที่แคลิฟอร์เนีย อเมริกา(บางเว็บบอกว่าเม็กซิโก ไม่รู้ผมจะดูแผนที่ผิดหรือเปล่า จากนั้นมันก็พุ่งไปยังทิศตะวันออกผ่านไทยและไปจบฟิลปปินส์ และเกิดคลื่นซึนามิทำลายประเทศเกือบทั่วโลกให้จมหายไปกับทะเลและหายไปจากแผนที่โลกในที่สุด

ผลสุดท้ายมีความเป็นไปได้กี่เปอร์เซ็นต์ที่ดาวเคราะห์ดวงนี้จะพุ่งชนโลก

จากการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ โอกาสที่ดาวเคราะห์ดวงนี้จะชนโลกมีความเป็นไปได้อยู่ที่ 1 ใน 45,000 (บางเว็บบอกว่า มีโอกาส 1 ใน 30000,38000) แม้ว่าความเป็นไปได้จะต่ำ แต่ก็นับว่าเป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับบรรดาดาวเคราะห์น้อยที่มีวงโคจรใกล้โลกดวงอื่น ๆ ที่ได้ค้นพบไปก่อนหน้า ขณะที่หากคิด เป็นเปอร์เซ็นต์ โอกาสที่ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้จะชนโลกอยู่ที่ประมาณ "2.6 เปอร์เซ็นต์"

แต่ต่อมาก็สรุปใหม่ว่า อะโพฟิสจะเฉียดผ่านโลกด้วยระยะห่าง เพียง 36,350 กิโลเมตร(บางเว็บบอกว่า  ระยะห่างประมาณ 64,400 กิโลเมตร) หรือคิดเป็น 5.7 เท่าของรัศมีโลก ใกล้กว่าดวงจันทร์เกือบ 11 เท่า!?!  ส่วนผลกระทบที่ตามมานั้นอาจเกิดคลื่นซึนามิบางประเทศ

 

มีวิธีรับมือดาวเคราะห์ดวงนี้ไหม

วิธีเอาตัวรอดจากมัน เหมือนในภาพยนตร์ไม่มีผิด ซึ่งทางนักวิทยาศาสตร์ระบุถึงยแผนการป้องกันคือจะต้อง "ใช้ยานอวกาศบินเข้าไปประกบและเบี่ยงเบนเส้นทางโคจรของดาวเคราะห์น้อย" ให้พ้นจากโลก... ซึ่งเหมือนในหนังเลยก็ว่าได้……

แม้อัตราส่วนดังกล่าวคือโอกาสจะน้อยหรือมาก มันก็มีความหมายอย่างเดียวกัน คือ นักดาราศาสตร์ไม่สามารถฟันธงได้ว่าปี 2572 โลกจะเผชิญกับหายนะจากดาวเคราะห์น้อยดวงนี้หรือไม่ อะโพฟิสจึงเข้าไปอยู่ในรายชื่อดาวเคราะห์น้อยที่ต้องจับตามอง อย่างใกล้ชิดโดยนักนักดาราศาสตร์ทั่วโลกต่อไป

ในวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2029 คือวันชี้ชะตาโลก

 

 

http://sunflowercosmos.org/warning_report/warning_report_main/99942apophis_1.html

http://en.wikipedia.org/wiki/99942_Apophis



ขอบคุณบทความของพี่เเคมที่ให้ความรู้น้องๆครับ

ที่มาhttp://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=486572&chapter=32

อันนี้เป็นงานเขียนของพี่เเคมเเนะนำให้อ่านนะครับมีเรื่องดีๆอยู่เยอะมากสนใจเรื่องไหนก็คลิกเข้าไปอ่านนะครับhttp://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=486572

 13 เมษายน ค.ศ. 2079
วันสงกรานต์พอดี ถ้ามันมีไฟไหม้โลก ประเทศคงจะรอด 555+ สาดน้ำใส่มันเลย



แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 3 กรกฏาคม 2552 / 16:09

แสดงความคิดเห็น

>

8 ความคิดเห็น

ปลาคังน้อย 3 ก.ค. 52 เวลา 11:33 น. 1

ดี

ให้มันลงมาเลย

จะได้ตายๆกันไปให้หมดนี่แหละ

ไหนๆมนุษย์ก็ทำกับโลกถึงขนาดนี้แล้วนี่

สมควรแล้วกับการกระทำของมนุษย์

ปล.ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับพี่แคมมี่+จขกท.


PS.  Come break me down
0
pluem@dek-d 3 ก.ค. 52 เวลา 11:39 น. 2
ถ้าเป็นไปได้อยากให้มันลงมาเด๋วนี้เรย
อยากตายแต่กลัว
ถ้ามันลงมาจะได้มีคนตายกะเราด้วย
0
Seberjung 3 ก.ค. 52 เวลา 12:14 น. 4

ซะที่ไหนล่ะ คนเหล็กจะครองโลกต่างหาก


PS.  ผลักดันดาร์คแฟนตาซี ต่อต้านกองเซ็นเซอร์ เบื่อพันธมิตร ขับไล่ประชาธิปปัตย์ เอวังกับนิยายแนวโรงเรียน สิ้นชีพเพราะสัปดาห์หนังสือ เดินหน้าสู่ด้านมืด...
0
Dek-แมงกะปุ๊งเบอร์5 3 ก.ค. 52 เวลา 22:58 น. 6

เหอๆๆๆๆ

ถ้าตายแล้ว เราก้อไม่ได้เข้าเด็กดีดิ


PS.  -อาโรคา ยา ปรมานู ลาพา--ควายไม่มีโรค เปนลาบอันประเสริฐเราชื่อออ ฝ้ายยย จร้า
0
Peter1990 22 ก.ย. 61 เวลา 21:21 น. 8

สิ่่งที่คุณกล่าวที่อ้างอิงมาจากนักวิทยาศาสตร์มันใกล้เคียงกับความเป็นไปได้ในหลักอวสารโลกของศาสนาอิสลามมาก ถึงแม้จะหา probably เล็กน้อย แต่ผมว่ามันเป็นสัญญาณเตือนได้ดีทีเดียว...

0